Only You EPISODE 8 :: Hello, Father and Mother-in-law. [50%] หลังจากแต่งตัวเสร็จในชุดเดิมที่ค่อนข้างยับ ผมก็มายืนกินช็อคโกแล็ตรอวิคเตอร์ที่กำลังแต่งตัว ผมมองถุงที่บรรจุช็อคโกแล็ตหลายสิบถุง นึกข้องใจว่าตัวเองจะกินหมดรึเปล่า ถ้ากินไปเรื่อยๆ เพลินๆ มันก็คงหมดล่ะมั้ง แล้วน้ำหนักก็จะขึ้นเรื่อยๆ เพลินๆ เช่นกัน ออสตินเล่นกวาดมาหมดเซเว่นแล้วมั้งเนี่ย แถมยังมีถุงท็อปซูเปอร์มาร์เก็ตอีก แต่ของฟรีจากแฟนหน้ายักษ์ของผมแบบนี้ ต้องกินให้หมดอย่าให้เสียกำลังใจคนซื้อให้
“วิคเตอร์ ทำไมคุณแต่งตัวนานจัง” ผมตะโกนถามเขาทั้งที่ปากยังเคี้ยวเค้กช็อคโกแล็ตหน้านิ่มสุดหอมหวานอร่อย ท่าทางอันนี้น่าจะเป็นของตลาดนัดแถวนี้นะ เพราะรสชาติคุ้นเคยปากมาก แง่มๆ
“ฉันไม่รู้จะใส่ชุดไหนไปดี” เขาตะโกนกลับออกมา ผมย่นคิ้วว่าทำไมเขาต้องเลือกชุดนานขนาดนั้น วางเค้กที่มีพลาสติกรองอยู่ลงบนโต๊ะ เดินเข้าไปในห้องนอน วิคเตอร์ที่ใส่แต่กางเกงใน Calvin Klein สีดำกำลังก้มๆ เงยๆ อยู่เหนือกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่ยังไม่ได้รื้อออกมาจัด เดี๋ยวกลับมาต้องเคลียร์ของให้เขาบ้าง ไม่งั้นเขาคงปล่อยทิ้งไว้ตลอดสองอาทิตย์ที่อยู่ไทยนี่แหละ ไม่รู้ว่าตอนขามานี่ออสตินเป็นคนจัดกระเป๋าให้รึเปล่า ไม่น่ามั้ง หรือจะเป็นอันเดรียนานะ บู้!! ผมแอบบู้หน้าใส่ตัวเองที่วกไปคิดเรื่องเธออีกแล้ว ผมสะบัดหัวเบาๆ ไล่ความคิดมากของตัวเองออกไป
“เลือกเยอะทำไมครับ ก็แต่งตามปกติไง” เขายืดตัวขึ้นมาพร้อมเสื้อเชิ้ตเนื้อผ้าราคาแพงตัวหนึ่ง เขาเดินมาหาผมในสภาพกางเกงในตัวเดียว พร้อมกับยื่นเสื้อที่เลือกมาให้ผม ไม่ได้อยากจะคิดอะไรเลยนะ แต่นั่นขนาดว่ามันสงบลงแล้วนะ ยังตุง ตุ่ง ตุ๊งเลยแฮะ
“พ่อแม่นายชอบสีฟ้ารึเปล่า” เขาถามหน้าตาสบายๆ ผมรับเสื้อมามองงงๆ เงยหน้าขึ้นมองเขาที่ยิ้มหล่อกลับมา
“แม่ชอบแน่ๆ แต่พ่อผมไม่แน่ใจ เห็นพ่อชอบซื้อของใช้สีแดงอยู่เรื่อย” วิคเตอร์ขมวดคิ้ว หันไปมองกระเป๋าเดินทางสีดำใบใหญ่ที่เปิดอ้าไว้
“ไม่มีอะไรที่เป็นสีแดงเลย พ่อนายจะไม่ถูกใจฉันรึเปล่าเนี่ย” จากตอนแรกที่ผมงง สงสัยว่าทำไมเขาถึงถามเรื่องสีที่พ่อกับแม่ชอบ ตอนนี้ผมยิ้มกึ่งเขินกึ่งขำ
“ใส่ตัวนี้ก็ได้ ใส่ตัวไหนก็หล่อทั้งนั้นแหละ” วิคเตอร์ยิ้มกว้าง เดินเข้ามาใกล้ผม ใช้สองมือจับแก้มผมไว้ ก้มลงมาจุ๊บปากผมหนึ่งที
“ต่อให้คนพูดว่าฉันหล่อเป็นล้านคน ก็สู้นายพูดคนเดียวไม่ได้” ผมยิ้มกว้าง พยักหน้าหงึกหงัก วิคเตอร์ย่นคิ้วนิดหนึ่ง ใช้สายตามองสำรวจหน้าผมอย่างกับกำลังหาสิ่งผิดปกติอะไรสักอย่าง ผมหน้าตาตื่นๆ กลัวว่าจะมีอะไรแปลกบนใบหน้าตัวเองหรือเปล่า
“กินยังไงให้ช็อคโกแล็ตเปื้อนปากเนี่ย…” ผมกำลังจะอ้าปากพูดต่อ แต่วิคเตอร์ก้มลงมาใช้ลิ้นเลียคราบช็อคโกแล็ตที่ติดอยู่ที่มุมปากทั้งสองข้าง ขนผมลุกซู่ตอนที่ลิ้นอุ่นๆ ของเขากวาดเลียแผ่วเบาแต่ย้ำๆ หลายที พอมุมขวาเสร็จก็ย้ายมาเลียมุมซ้ายให้แบบเดียวกัน ผมปล่อยให้เขาเลียช็อคโกแล็ตจนหมด รู้สึกว่าเส้นประสาทต่างๆ ตื่นตัวจนกลัวว่าอย่างอื่นจะตื่นด้วย
“หมดแล้ว” เขายิ้ม ใช้ลิ้นเลียริมฝีปากล่างไปมา ผมกลืนน้ำลายลงคอ มองลิ้นสีแดงสดไล้เลียริมฝีปากตัวเขาเองเกิดอาการรุมๆ ที่ตัวชอบกล รู้สึกว่าลมหายใจของตัวเองออกอาการติดขัดเบาๆ สติคล้ายจะเบลอๆ ยิ่งเขากัดริมฝีปากล่างไว้แล้วฉีกยิ้มทั้งอย่างนั้น ผมยิ่งรู้สึกร้อนหนักกว่าเดิม เลยบ่ายเบี่ยงอารมณ์ตัวเองด้วยการทำเป็นดูเสื้อที่เขายื่นมาให้แทน
อยู่กับยักษ์ตนนี้ต้องรู้จักควบคุมสติให้เป็น ไม่งั้นเข้าทางมันแน่ๆ บางทีก็อยากแงะสมองว่าเวลาอยู่ด้วยกัน คิดเรื่องอื่นบ้างมั้ย แต่ก็ยังถือว่าไม่เป็นไร เพราะคงเป็นแค่ช่วงแรกๆ เท่านั้นแหละ อยู่ไปสักพักอาจจะเริ่มอยู่ตัว และเขาเองก็อาจจะเริ่มเบื่อไปเอง
เหมือนจะคิดมาก แต่กับวิคเตอร์คิดไว้แต่เนิ่นๆ ก็ดีกว่า เตรียมใจ เผื่อใจไว้บ้าง ผมเองก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์กับใคร บางทีผมก็ทำตัวไม่ถูก วางใจ วางความคิดตัวเองไม่ถูกเหมือนกันว่ามันควรจะเป็นแบบไหน
“ใส่ตัวนี้แหละครับ เสื้อผ้าไม่เกี่ยว ขอแค่คุณอย่าพูดอะไรพิเรนทร์ๆ ก็แล้วกัน พ่อผมจบสายอาชีพอาจจะไม่ถนัดภาษาอังกฤษสักเท่าไหร่ ส่วนแม่ผมเขาฟังภาษาอังกฤษออกบ้าง ถึงจะจบแค่มอหก แต่ใช่ว่าเขาจะฟังภาษาอังกฤษไม่ออกเลย คำไหนสะดุดหู เขาก็จำไปเปิดคำแปลได้นะ” ผมพูดดักทางไว้ก่อน วิคเตอร์ยิ่งชอบพูดประโยคสองแง่สองง่ามอยู่ด้วย อันที่จริงแม่ผมก็ใช่ว่าจะฟังภาษาอังกฤษได้ชัดเจนมาก เพราะแม่จบสายวิทย์คณิตมา จะเป๊ะเรื่องการคำนวณมากกว่า ภาษาอังกฤษได้เพียงพื้นฐานง่ายๆ เท่านั้น แต่ก็ต้องหลอกเขาว่าที่บ้านผมยังพอมีคนฟังเขาออกอยู่นะ เขาจะได้ระวังคำพูดมากขึ้น
“อ้าว ทำไมแม่นายไม่เรียนต่อล่ะ” เขาถามหน้าตาสงสัยในระหว่างที่ผมกำลังติดกระดุมเสื้อเชิ้ตให้เขา
“ตอนนั้นตากับยายมีปัญหาเรื่องเงินครับ แม่เลยเลือกหยุดเรียนมาช่วยทำงาน” เขาพยักหน้าว่าเข้าใจ ผมเงยหน้ามองเขาแล้วยิ้ม รู้สึกดีที่อาการร้อนรุ่มจากการโดนเขาเลียมุมปากลดลงไปบ้างแล้ว
“แล้วตอนนี้พ่อกับแม่นายทำงานอะไรเหรอ” ผมกำลังพับแขนเสื้อด้านขวาให้ไปกองเป็นระเบียบอยู่ตรงข้อแขน
“เป็นพ่อค้ากับแม่ค้าครับ ที่บ้านผมเปิดร้านขายของ เอ่อ คล้ายๆ ซูเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆ” เขามองผมตาใส สีหน้าคล้ายว่าตกอยู่ในห้วงความคิด ก่อนที่เขาจะขยับปากพูดหน้าซื่อๆ
“แล้วพวกเขาจะขายลูกชายเขาให้ฉันมั้ย ราคาสูงแค่ไหน ฉันก็สู้นะ” ผมที่กำลังพับแขนเสื้อด้านซ้ายให้ต้องเงยหน้าไปมองเขาแล้วยิ้มเบ้ปาก วิคเตอร์ฉีกยิ้มชวนให้ใจละลายกลับมาให้
“ถึงเขาขายให้ ลูกชายเขาก็ไม่ยอมไปกับคุณหรอก” วิคเตอร์ดึงผมไปปะทะกับแผ่นอกเขาเบาๆ ส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ ก้มลงมาจุ๊บปากผมหนักๆ หนึ่งที
“ไม่ยาก จับอ้าขากระแทกสักวันสองวันให้หมดแรง แล้วอุ้มกลับไปด้วยเลย” ผมยิ้มกว้าง ส่งเสียงหัวเราะคิกคักกับแนวความคิดทะลึ่งของเขา วิคเตอร์มองมสายตาเคลิ้มๆ
“โหดร้ายตลอด แต่ตอนนี้พ่อคนโหด ช่วยใส่กางเกงเถอะครับ จะได้ไปกันสักที” ผมเดินไปเลือกกางเกงยีนส์ให้เขาใส่สักตัว กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่เหนือกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ สักพักก็คล้ายว่าจะหน้ามืด เพราะจู่ๆ หน้าผมก็คว่ำลงไปในกองเสื้อผ้าในกระเป๋า หน้ามืดเหรอ ไม่น่าใช่ แล้วเอ๊ะ อะไร อ๋อ รู้ละ
“วิคเตอร์!!!”
“ฮ่าๆๆๆ” ผมยกหัวตัวเองขึ้นจากกองเสื้อผ้า หันไปถลึงตาแยกเขี้ยว ไอ้คนขี้แกล้งยืนหัวเราะอ้าปากกว้าง ผมเลยหยิบเสื้อยืดตัวหนึ่งขึ้นมาแล้วปาใส่หน้าเขา อีกฝ่ายดึงเสื้อออกจากหน้า โยนไปที่เตียง ยืนหัวเราะไม่เลิกรา
“กระแทกขนาดนี้ ไม่ถีบผมเลยล่ะ!” ยัง ยังไม่สำนึก ดีนะเมื่อกี้หน้าไม่กระแทกกับขอบกระเป๋า จู่ๆ เขาก็เอาเป้ามากระก้นผมแรงๆ หนึ่งที กำลังเลือกกางเกงเพลินๆ หน้าไถลลงไปในกระเป๋าเสื้อผ้าซะงั้น
“โอ๋ๆ ล้อเล่นๆ ไม่แกล้งแล้ว เลือกกางเกงให้หน่อยสิที่รัก” เขายิ้มทะเล้น ก้มลงมาจูบกลางกระหม่อมผมหนักๆ เดินไปนั่งรอบนเตียงสบายใจเฉิบ ผมหน้ามุ่ย คิดว่าทำแบบนี้แล้วจะหายงอนเรอะ?! ง่ายไปเปล่าไอ้ยักษ์
อือ ง่ายๆ อย่างนี้แหละ
ผมเลือกกางเกง ยื่นไปให้เขาใส่ แล้วก็ออกไปกินช็อคโกแล็ตรอข้างนอกต่อจนหมด เลือกขนมแบบอื่นเอาไว้ไปกินระหว่างทางด้วย พอเขาแต่งตัวเสร็จ เราก็เดินออกจากห้องไปรอลิฟต์ บอดี้การ์ดหน้าดุแต่แอบดูดียืนรออยู่ข้างนอกแล้ว ผมแอบกระเถิบเข้าไปใกล้วิคเตอร์ เพราะคุณบอดี้การ์ดนิ่งจนแอบอึดอัด นึกถึงวิคเตอร์ช่วงแรกๆ ที่ผมไปฝึกงานด้วยเลย เงียบๆ ขรึมๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจาเนี่ย
“แน่ใจนะครับว่าไม่ให้ผมไปด้วย” ออสตินถามในขณะที่กำลังเดินเข้าไปในลิฟต์ วิคเตอร์จูงมือผมเข้าไปด้านใน เขาเข้าไปยืนมุมขวามือด้านในของลิฟต์ ให้ผมยืนซ้อนด้านหน้าเอาแขนโอบรอบตัวผมไว้หลวมๆ
“แน่ใจสิ” พ่อหัวสกินเฮดเกือบเกรียนพยักหน้า แอบเหลือบตามองผมที่ยืนเคี้ยวช็อคโกแล็ตแจ๊บๆ อยู่ พอเห็นเขามองผมเลยพยายามเคี้ยวเบาๆ ให้ดูสุภาพขึ้น มองอย่างกับเป็นครูฝ่ายปกครองงั้นแหละพ่อ (เกือบ) โล้นซ่า
ติ๊ง~
เสียงลิฟต์ดังที่ชั้นสิบเจ็ด พอประตูลิฟต์เปิดออกก็มีทั้งหนุ่มสาวชาวอะไรสักประเทศเดินเข้ามาด้านใน วิคเตอร์ยกมือกดปีกหมวกลงให้ปิดหน้าเขาอีกหน่อย ส่วนออสตินก็เดินเอาร่างหนาๆ ของเขามาบังตัววิคเตอร์ไว้ อาจจะบังวิคเตอร์ไม่มิด แต่ผมนี่แทบจมหายไปจากบริเวณนี้เลยละ
ลิฟต์เคลื่อนตัวลงต่อไป โดยมีสายตาขี้สงสัยของเด็กหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มนั้นมองมาทางวิคเตอร์ เขาทำหน้าเหมือนไม่แน่ใจ ยิ่งพอวิคเตอร์กดหน้าลงเขาก็ยิ่งขมวดคิ้วหนัก แถมยังพยายามก้มหน้าลงมองตามแต่พอโดนหน้าดุๆ ของออสตินมองกลับไป เขาก็สะดุ้งและหันไปมองทางอื่นแทน
“เลอะปากอีกแล้ว” วิคเตอร์บอกตอนที่ทุกคนกำลังทยอยออกจากลิฟต์ เขาใช้นิ้วโป้งเกลี่ยช็อคโกแล็ตที่ที่มุมปากออกให้
“นี่ๆ ผมมีไรให้ดู” ผมเอาลิ้นดุนๆ ฟันหน้า ฉีกยิ้มกว้างโชว์ฟันที่เปื้อนช็อคโกแล็ตให้เขาเห็น วิคเตอร์ยิ้มกว้างด้วยความตลก ส่งเสียงหัวเราะออกมาจนสาวๆ ต่างชาติกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินผ่านเราสองคนหันมามองเขา ผมเชื่อเสมอว่าวิคเตอร์มีรอยยิ้มที่พิฆาตใจมาก แต่เขากลับไม่ค่อยยิ้ม พอเขายิ้มทีบอกเลยว่ามันทำให้เขาน่ามองอีกหลายกองแม้เขาจะไม่ได้หล่อเป๊ะหรือหล่อกระชากวิญญาณ แต่อย่าได้ให้เขายิ้มเชียว ยังไงต้องมีเหลียวมองบ้างแหละ อย่างที่แม่สี่สาวที่กำลังยืนอยู่ตรงเค้าน์เตอร์เช็กอินมองด้วยสายตาค้างนั่นไง ผมเหลือบมองพวกเธอแล้วก็ยิ้มขำ พอหันกลับมามองวิคเตอร์ เขาก็กำลงก้มหน้าลงมองผมด้วยรอยยิ้ม มือขวาก็จูงมือซ้ายผมให้เดินตามออสตินไปเรื่อยๆ
“Are you Victor? (วิคเตอร์รึเปล่าคะ)” เราสองคนหันไปมองหญิงสาวผมสั้นหยิกผิวสีคนหนึ่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในแก๊งค์หน้าเค้าน์เตอร์เมื่อสักครู่ เธอเดินมาถามแบบไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก
“No. I’m not. (เปล่าครับ ไม่ใช่)” ผมอ้าปากหวอหันไปมองวิคเตอร์ที่ตอบกลับหน้านิ่ง รีบหันกลับไปมองหญิงสาวที่หน้าเสีย เห็นแบบนั้นผมก็แอบรู้สึกไม่ดีแทนเธอ เลยกระตุกมือเขาเป็นการเตือน แหงนหน้ามองเขาอย่างอ้อนวอน วิคเตอร์ถอนหายใจเบาๆ
“Yes. It’s me. (ครับ ผมเอง)” เขาตอบอย่างจำใจ ผมส่งยิ้มแฉ่งให้เขา วิคเตอร์ส่ายหัว ยกมือซ้ายขึ้นมายีหัวผมเบาๆ ผมหันกลับไปมองหญิงสาวคนนั้นที่มีสีหน้างงๆ
“Do you want to take a photo with him? (จะถ่ายรูปกับเขามั้ยครับ)” ผมถามพร้อมรอยยิ้ม เธอมองผมงงๆ แต่ก็พยักหน้ารับเร็วๆ ผมเลยหันไปหาวิคเตอร์ กระตุกมือเขาเป็นสัญญาณให้ปล่อย แต่เขากลับส่ายหัว เปลี่ยนเอามือซ้ายมาจับมือขวาผมไว้ ดันให้ผมไปยืนอยู่ข้างซ้ายของเขาแทน เขาส่งยิ้มให้หญิงสาวคนนั้นและถามหากล้อง เธอยิ้มดีใจ หันไปกวักมือเรียกเพื่อนที่กำลังยืนมองลุ้นๆ ว่าใช่วิคเตอร์แน่ๆ มั้ย
วิคเตอร์ถ่ายรูปกับสาวคนแรกโดยที่มือยังไม่ยอมปล่อยมือผม เหล่าสาวๆ มองผมอย่างสนใจใคร่รู้ว่าผมเป็นใคร ความกลัวเกาะกุมใจผมกลัวว่าพวกเธอจะนึกถึงข่าวเรื่องวิคเตอร์เป็นเกย์ ผมเลยกระตุกมือเขาเบาๆ ให้เขาหันกลับมามอง
“ถ่ายรูปก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมไปยืนรอกับออสติน” เขาทำท่าจะปฏิเสธ แต่ผมขยับปากว่า ‘Please’ เบาพร้อมหน้าตาขอร้อง เขาทำหน้าขัดใจ แต่ก็ยอมปล่อยมือผมออก หันไปถ่ายรูปโอบไหล่กับพวกสาวๆ ได้เต็มที่ ผมเดินไปหาออสตินที่ยืนอยู่ตรงเค้าน์เตอร์ฝากสัมภาระของโรงแรม อีกฝ่ายก้มมองผมด้วยใบหน้าเรียบเฉย จนผมที่พยายามยิ้มให้ ต้องค่อยๆ คลายยิ้มออกจากใบหน้า ยืนเคี้ยวช็อคโกแล็ตที่เหลือในมือต่อไปด้วยใบหน้าเจี๋ยมเจี้ยม
ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมืดสนิท ผมเริ่มกระวนกระวายนิดหน่อย ผมไม่ได้เอามือถือติดตัวมา ป่านนี้แม่คงโทรตามมือระวิงแล้วมั้ง ผมดันไม่ได้หยิบกระเป๋าเป้ออกมาด้วยตอนที่วิคเตอร์ไปหาที่มหาวิทยาลัย ได้แต่หวังว่าเก้าหรือแบมจะเก็บไว้ให้
“Um—excuse me—Mr.Body guard. What time is it? (เอ่อ คุณบอดี้การ์ดครับ กี่โมงแล้วเหรอ)” เขาไม่หันหน้ามามองผม ยกข้อมือขึ้นมาดูเวลาที่นาฬิกา เหลือบสายตาเฉยชามามองหน้าผม
“Quarter to eight. (อีกสิบห้านาทีสองทุ่มครับ)”
“T—thank you. (ขะ… ขอบคุณครับ)” ตอบเสียงเรียบพอกับใบหน้า ว่าจะยิ้มขอบคุณสักหน่อย เลยทำได้แค่อ้าปากพะงาบๆ แทน ออสตินยืนรอนิ่งๆ ต่อไป ส่วนผมหันไปมองวิคเตอร์ที่ยังคงถ่ายรูปกับแฟนคลับที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอีกเกือบสิบคน ผมมองเขาแล้วก็ยิ้ม รู้สึกดีที่เห็นเขาทำให้แฟนๆ เขายิ้มได้ ผมเข้าใจหัวอกแฟนคลับนะ เพราะผมก็เป็นติ่งพี่อดัม (มารูนไฟว์) คือแค่ได้ถ่ายรูปด้วย ได้พูดคุยเล็กน้อยก็ฟินมหาศาลแล้ว แต่ก็นะ ใครเป็นแฟนคลับวิคเตอร์ก็อาจจะต้องทำใจกับหน้ายิ้มยากของเขาสักหน่อย กระตุกมุมปากนิดนึงนี่ถือว่าพัฒนามากแล้ว
“You’re welcome.” วิคเตอร์เอ่ยบอกกับทุกคนหลังจากที่เวียนถ่ายรูปจนครบ ทุกคนกล่าวขอบคุณเขา ผมแอบประทับใจแฟนๆ เขาอย่างหนึ่งว่าทุกคนมีระเบียบมาก แม้จะตื่นเต้นแค่ไหนก็ตาม แต่ทุกคนก็ไม่กรูเข้าหาเขา หรือโวยวายกระโตกกระตากเสียงดังให้คนอื่นๆ ตกใจ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นอาจทำให้จำนวนคนที่มาถ่ายรูปเพิ่มขึ้นกว่าเดิม ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น วิคเตอร์อาจระเบิดกลางวงได้
เขาเดินมาหาผม คว้ามือซ้ายผมไปจับโดยยังมีสายตาของแฟนคลับที่มองมา มีหลากหลายความรู้สึกที่ผมสัมผัสได้ แน่นอนว่าหนึ่งในความรู้สึกนั้นคงกำลังสนใจว่าผมเป็นใคร ทำไมวิคเตอร์ถึงเดินเข้ามาจับมือ ผมก็ได้แต่ภาวนาว่าให้ทุกคนคิดว่าผมเป็นน้องชายเขาก็แล้วกันนะ ถึงหน้าตาจะไม่เหมือนกัน คิดว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องก็ยังดี
“ไปกัน” เขาเดินจูงมือผมให้ตามออสตินที่เดินนำหน้าไปก่อน ด้านนอกสว่างไสวไปด้วยแสงไฟที่ทางโรงแรมเปิดสู้กับความมืด อากาศที่เมืองไทยช่วงนี้ก็เดายาก บางวันฝนอยากตกก็ตก บางวันเหมือนจะตกแต่ก็ฟ้าครึ้มขู่เฉยๆ อย่างวันนี้อากาศก็เย็นๆ คล้ายว่าฝนจะตกแต่ก็ไม่มีเม็ดฝนสักเม็ด
“คันนี้เหรอ” วิคเตอร์ถามออสตินตอนที่เดินมาถึงลานจอดรถข้างๆ โรงแรม ออสตินพยักหน้าให้เขาพร้อมกับยื่นกุญแจรถเบ็นซ์สุดหรูสีดำให้ วิคเตอร์รับกุญแจรถไป กดปลดล็อคประตู ผมเดินไปเปิดประตูขึ้นรถ ส่วนเขาก็อ้อมไปฝั่งขวาฝั่งของคนขับ ผมหันไปยิ้มให้ออสติน แต่ก็ได้รับเพียงหน้าเรียบเฉยตอบกลับมา ทำเอาผมยิ้มเจื่อนเลยทีเดียว
“ออสตินนี่เขายิ้มมั่งมั้ย” ผมถามหลังจากปิดประตูและอยู่กันสองคนแล้ว วิคเตอร์หันมายิ้มมุมปาก มองหน้าออสตินตอนนี้แล้วเหมือนเห็นหน้าวิคเตอร์ตอนที่เราเพิ่งเริ่มรู้จักกัน อย่างกับโคลนนิ่งกันมา
“ไม่รู้สิ ไม่ได้สังเกตหน้าหมอนั่นตลอดเวลา” วิคเตอร์ตอบเสียงเรื่อยเปื่อย หันหลังไปมองด้านหลังเพื่อถอยรถออกตามที่ออสตินกำลังโบกมือให้อยู่
“ผมนึกว่าคุณทำพินัยกรรมยกสีหน้าเมื่อก่อนของคุณให้ออสตินด้วยซ้ำ” เขาหันมากระตุกยิ้มที่มุมปาก ขับรถออกไปทางประตูทางออกของโรงแรม เลี้ยวไปตามเส้นบังคับที่รถแล่นมาตามถนนใหญ่หน้าโรงแรม
“ถึงเขาไม่ค่อยยิ้ม แต่ออสตินไว้ใจได้ ไม่งั้นฉันไม่เลือกเขาหรอก” ผมพยักหน้า ก็ท่าจะจริง คนที่มีความเป็นส่วนตัวสูงอย่างวิคเตอร์ ไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้
ชีวิตจริงๆ ของเขาได้ง่ายๆ หรอก แสดงว่าออสตินต้องเป็นพวกไม่ทำตัวเหมือนแมงหวี่แมงวันให้เขารำคาญแน่ๆ เขาถึงได้เลือกมา
“คุณเลือกเพราะเขาไม่ยิ้มรึเปล่าเนี่ย” วิคเตอร์ยิ้ม เลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่ง
“อาจจะมีส่วน…” ผมพยักหน้าหงึกๆ ไปเรื่อย กำลังนึกถึงหน้าพ่อบอดี้การ์ดนั่น
“…สนใจออสตินเหรอ” เสียงทุ้มเรียบๆ ดังขึ้นมาในขณะที่สายตาผมเหม่อมองไปด้านหน้าเรื่อยเปื่อย
“ไม่ได้สนใจหรอกครับ แค่แปลกใจว่าทำไมเขาถึงไม่ค่อยยิ้ม” ผมหันไปตอบเขาหน้าซื่อ ตอบตามความคิดจริงๆ ของตัวเอง วิคเตอร์หันมามองหน้าผมด้วยสายตาแข็งกร้าวจางๆ แล้วหันกลับไปมองถนนต่อ
“ก็เหมือนสนใจอยู่ดี เท่าที่รู้จักมา ออสตินไม่มีรอยสักนะ เขาไม่ใช่สเป็กนายหรอก” ตอนแรกผมงงว่าทำไมถึงพูดแบบนั้น แต่พอเห็นสีหน้าตึงๆ นั่น ก็พอจะเดาออกว่าเพราะอะไร
“ไม่ใช่แบบนั้น ! ผมไม่ได้คิดแบบนั้นกับเขาสักหน่อย”
“ก็ลองคิดสิ ฉันเอานายไข้ขึ้นแน่ อย่าคิดไปทำอะไรกับใครแบบที่ทำกับไอ้จูบแรกนั่นอีกนะ” เขาว่าเสียงนิ่ง สีหน้าจริงจัง แววตาคมของเขาวาวขึ้นมาด้วยแรงอารมณ์ ผมแอบงงนิดหน่อยว่าเขาโยงไปขนาดนั้นได้ยังไงกัน
“วิคเตอร์ ไปกันใหญ่แล้ว…” บรรยากาศไม่น่าเปลี่ยนมาเป็นแนวนี้ได้นะ สมกับเป็นวิคเตอร์จริงๆ ที่แปรสภาพบรรยากาศได้ฉับพลันแบบนี้
“…ผมไม่พูดถึงออสตินแล้ว หยุดทำหน้าน่ากลัวเถอะครับ” ผมอาจจะพลาดเองก็เป็นได้ แต่ยังไงอย่าทำให้วิคเตอร์อารมณ์เสียดีกว่า พายุอารมณ์เขาไม่ใช่ของเล่นที่จะไปท้าทายด้วย ผมเอื้อมมือไปจับมือซ้ายเขามากุมไว้ ดึงมาหอมพร้อมส่งยิ้มไปให้
สีหน้าเขาดีขึ้น แต่ก็ยังไม่หายตึงทันที ผมเลยต้องลุกขึ้นนั่งชันเข่าบนเบาะ โน้มตัวไปแช่จูบไว้ที่หน้าผากเขา ผละหน้าออกแล้วดึงตัวกลับไปนั่งเต็มก้นบนเบาะตามเดิม ใช้มือขวาสอดประสานนิ้วมือซ้ายเขาไว้แน่น หันไปส่งยิ้มอ้อนให้เขา ไอ้ยักษ์ยิ้มมุมปาก
“รู้ว่าวิธีนี้ใช้ได้ ใช้ใหญ่เลยนะ” ผมยิ้มให้เขาที่ส่งยิ้มพึงใจกลับมา
ผมไม่เคยมีแฟน ไม่เคยคบกับใคร พอมีคนมาหึงแบบนี้ ต้องยอมรับว่าผมก็แอบรู้สึกเปรมในใจเล็กๆ มันให้ความรู้สึกว่าเราสำคัญ ว่าเขารักเรา เหมือนตอนที่เอิร์ทหึงนั่นแหละ แต่ความรู้สึกต่างกันมาก กับวิคเตอร์ให้ความรู้สึกที่ดีกว่าเยอะ อาจเป็นเพราะผมรักเขา เลยทำให้รู้สึกดีที่เขาออกอาการหึงหวงแบบนี้ ไม่รู้ว่าคนที่เขาเคยมีแฟนกันมาบ่อยๆ หรือคบกันมานานๆ แล้ว เขาจะรู้สึกกันยังไงบ้างนะ อาจจะเฉยๆ หรือจะชินไปแล้วหรือเปล่า
แต่กับวิคเตอร์ เขาเป็นคนเอาแต่ใจ เป็นคนขี้หวง เพราะเขาถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี ชีวิตเขาไม่เคยถูกขัดใจมาตั้งแต่เด็ก พอโตมาทำอาชีพแบบนี้ อาชีพที่คนรอบข้างต้องเอาอกเอาใจสารพัด มันยิ่งเพิ่มความเคยชินกับนิสัยนั้นให้กับเขา ฉะนั้นคนแบบนี้เวลาหึงหรือหวง มักจะมีเลเวลที่เพิ่มกว่าคนปกติ ผมก็ได้แต่หวังว่า วิคเตอร์จะไม่หึงโหด ฆ่าบีบคอผมหรอกนะ
“คิดอะไรอยู่” เขาถามหลังจากเรานิ่งเงียบไปสักพัก มีเพียงภาษามือที่ผมบอกเขาให้ตรงไป หรือเลี้ยวทางไหนเท่านั้นที่เรากำลังสื่อสารกัน ผมหันไปมองเสี้ยวหน้าเขา ยิ้มอ่อน ก่อนตอบเสียงเรื่อยๆ
“กำลังคิดว่าถ้าคุณหายไปนานกว่านี้ ผมจะเลิกรัก เลิกรอคุณได้รึเปล่า” วิคเตอร์ยกยิ้มมุมปาก ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“ไม่มีทาง” ผมอดจะเบ้ปากจนปากคว่ำใส่เขาไม่ได้กับความมั่นหน้ามั่นใจในตัวเองเหลือเกินของพ่อยักษ์หน้าหนวด
“มั่นใจจังนะ” ผมมองเขาด้วยสายตาหมั่นไส้ วิคเตอร์ยิ้มกริ่มจนแก้มอิ่ม
“ฉันรู้ว่านายรักฉันที่สุด ใช่มั้ย?” เขาเลิกคิ้วสองข้างขึ้น สีหน้าดูไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ แต่แววตานี่คาดคั้นเอาคำตอบเต็มที่ ผมยิ้มขำ ทำปากจู๋ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“ว่าแต่ฉัน นายก็จะไม่มีใครใช่มั้ยแมท” เขาเหลือบมามองอย่างสงสัยใคร่รู้ในประโยคคำถามนั้น ผมคลี่ยิ้มแผ่วเบา ลึกๆ ข้างในใจแอบดีใจที่เขาเองก็กังวลเหมือนผม ทั้งๆ ที่ตัวเขานั้นไม่จำเป็นต้องกังวลกับผมเรื่องนี้เลย
เขาเลือกได้ แต่ผมเลือกได้ที่ไหน ถ้าชีวิตนี้ผมมีโอกาสเลือกแค่ครั้งเดียว ก็เขานี่แหละที่ผมเลือก
“ประเด็นนั้นน่ะ ผมควรกังวลมากกว่าคุณอีกนะ แค่คุณเป็นผู้ชาย มันก็ยากพอแล้ว นี่คุณยังยังเป็นคนมีชื่อเสียงอีก คุณพบเจอกับของสวยๆ งามๆ แทบทุกวัน แต่ผมเป็นแค่ผู้ชายธรรมดาๆ คนนึงเท่านั้นเอง” วิคเตอร์ดึงมือผมไปจูบลงที่หลังมือหนึ่งที
“ของสวยๆ งามๆ ที่นายว่า บางครั้งก็สู้ของธรรมดาแต่เพลินตาอย่างนายไม่ได้นะ” โอเค ช่วงที่เขาหายไปทบทวนตัวเอง หายไปจากชีวิตผม เขาไปฝึกไอ้คำพูดหวานๆ พวกนี้มาด้วยสินะ
“You have a sweet mouth, huh? (คุณปากหวานเป็นด้วยหรอเนี่ย)” วิคเตอร์ยิ้มกว้างเขินๆ จนร่องแก้มคล้ายลักยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“Special for only you. (พิเศษเฉพาะนายเลยนะ)” หลงกันหน้ามืดตามัวกันล่ะงานนี้
TBC.
อาจจะดูย้ำคิดย้ำทำกับประเด็นเรื่องที่แมทกลัวไปหน่อยนะคะ แต่จะให้พูดรอบเดียวแล้วจบก็ไม่น่าใช่ ใครที่คิดว่าวนในอ่างก็มิเป็นไรนะะะ สไตล์งานเขียนตอมมาเป็นแนวนี้ตั้งแต่แรกแล้น คือเหมือนย้ำความคิดตัวละครบ่อยๆ มันเป็นประเด็นที่ปล่อยไม่ได้อะค่ะ ครั้งเดียวผ่านมันดูหลวมๆ เอ่าะ นิยายเรื่องนี้เน้น Situation มากกว่า location หรือ Timing นะคะ คืออยากให้อ่านเหตุการณ์ระหว่างคนสองคนมากกว่าค่ะ ถึงจะไม่ได้เกิดในสถานที่เยอะแยะ อย่างมีฉากในห้องตลอดตอน แต่ตอมอยากให้อ่านดูเนอะว่าสารที่ตอมจะสื่อนั้นคืออะไร จริงๆ ก็ใช่ว่ามีแก่นสารมากนักหรอกค่ะ 555555 นิยายเรื่องหาสาระไม่ได้หรอกนะ 55555 เอาเป็นว่าถ้าเขียนมีโลเกชั่นเดียว จะพยายามเขียนออกมาให้มีลูกเล่นเนอะะะ จะทำให้ดีที่สุดแล้วกันค่ะ
ส่วนที่เหลือมาดูกันว่าไอ้ยักษ์จะไปป่วนบ้านแมทยังไงบ้าง ถ้าคนในเพจกับทวิตจะรู้สปอยล์ไปบ้างแล้ว 55555
ขอบคุณคนอ่าน ณ เล้าเป็ดทุกๆ คนเลยค่ะ ขอบคุณมากๆ