บทที่12 ผู้พิทักษ์ในคราบอสูร
[/b]
Ricardo Say
“ตัวเล็ก...ถึงแล้ว” ผมหันไปเรียกคนข้างๆ ที่เอาแต่นั่งมองออกไปนอกหน้าต่างตลอดทางไม่ยอมคุยกับผมเลยครับ ที่เรียกตัวเล็กก็เพราะเรียกตามอาม่า ข้าวพาอาม่ามาที่โรงพยาบาลลบ่อยๆ เจอกันมาตั้งแต่เด็กแล้วแถมแต่ก่อนไอ้เด็กนี่ก็ตัวเล็กกว่าเด็กทั่วไปด้วยนึกว่าขาดสารอาหาร
“ ข้าว!...” ผมเอื้อมมือไปสะกิดทำเขาคนถูกเรียกสะดุ้งหันมามองผมแปลกๆ ผมเห็นความกลัวในดวงตาสีดำคู่นั้นอยู่แวบหนึ่งก่อนที่เจ้าตัวจะหลบสายตาไป
“เอิ่ม...ขอบคุณครับพี่หมอ” ข้าวว่าพลางจะเปิดประตูลงรถแต่ผมคว้าแขนเอาไว้
“กลัวพี่หรอ?” เมื่อคืนที่ไปช่วยโย ข้าวเห็นผมกลายร่างแถมยังฉีกไอ้พวกพรายนั่นเป็นชิ้นต่อหน้าผมว่าน่าจะยังติดตาอยู่แน่ๆ สำหรับคนธรรมดาที่เพิ่งมารับรู้การมีตัวตนของพวกผมมันก็ไม่แปลกหรอกที่จะกลัว
“ก็นิดหน่อย” ข้าวหอมพยายามฉีกยิ้มให้ผม คงอยากให้ผมสบายใจนั่นแหละ “เดี๋ยวผมก็ชิน”
“พรุ่งนี้มีเรียนมั้ย...พี่...”
“มีครับ...ผมไปก่อนนะ ขอบคุณพี่หมอมาก” ข้าวว่าก่อนที่ผมจะทันได้พูดจบ ก่อนจะเปิดประตูลงรถไปเลย...เฮ้อ
หงุดหงิด...เมื่อนึกถึงสายตาที่ข้าวมองผมเมื่อคืนไม่รู้ทำไม จากปกติไอ้เด็กนั่นชอบเข้ามากวนตีนผม แซวผมสารพัด ชอบที่มันยิ้มมันหัวเราะ ทุกอย่างรอบตัวมันดูจะสดใสไปหมด ผิดกับเมื่อคืนที่กลายเป็นพวกถามคำตอบคำนั่งเงียบตลอดทาง ผมยังจำสีหน้าเศร้าๆ ขอบตาแดงๆนั่นได้ คงเพราะเสียใจเรื่องที่ธีรแถมยังเกือบเสียโยไปอีกคน ผมเกลียดที่เห็นมันร้องไห้ มันทำให้ผมหดหู่ไปด้วย
แวร์วูฟแต่กำเนิดนั้นสามารถแปลงกายได้สามแบบ คือ เป็นมนุษย์ มนุษย์หมาป่า และหมาป่าเต็มตัว ผมเกิดมาในตระกูลแวร์วูฟที่ทรงพลังอย่างเดอลาครัวซ์ ครอบครัวผมมีอิทธิพลพอตัวในโลกของพวกอมนุษย์ ว่ากันว่าพวกเราเป็นนักรบที่แกร่งที่สุดในทุกยุคสมัย ไม่แปลกหรอกที่คนส่วนใหญ่เมื่อรู้ว่าผมเป็นใครมักจะเกรงกลัวผม ซึ่งผมก็ชินแล้วด้วย แต่กับข้าวหอม...ผมแคร์นะ ผมไม่อยากให้น้องมันกลัวผมแบบนั้น
วันนี้ผมลงตรวจผู้ป่วยนอก เข้าเวรมาแต่เช้าแล้วครับ ไม่มีสมาธิทำงานเลย ผมเลือกอาชีพหมอก็เพราะได้เจอผู้คนเยอะดี ชอบที่พวกเขาพูดคุยกับผมปฏิบัติกับผมเหมือนคนทั่วไปไม่ได้เกี่ยวกับสายเลือดที่ผมมี
“อ้าว! หวัดดีครับอาม่า” ผมยกมือไหว้หญิงชราบนรถเข็นที่ถูกเข็นเข้ามาให้ห้องตรวจโดยคนที่ทำให้ผมประสาทกินทั้งวันกับพี่สาวที่ถือกระเป๋าตามเข้ามา เธอยกมือไหว้ตอบพร้อมยิ้มให้ผม
“ไหนว่ามีเรียนไง” ผมยิ้มให้สองสาวต่างวัยก่อนจะหันไปถามข้าว
“บ่ายไม่มีครับ ผมออกไปรอข้างนอกนะ” ข้าวยิ้มให้ผมก่อนรีบออกจากห้องตรวจไป รู้สึกเหมือนกำลังหลบหน้าผมเลยแฮะ
ผมก็ตรวจอาการทั่วไปเสร็จก็ส่งอาม่าไปทำกายภาพบำบัดโดยมีพี่ข้าวฟ่าง พี่สาวของข้าวหอมไปเป็นเพื่อน ตามประสาคนแก่นั่นล่ะครับ เบาหวานความดันเพียงแต่ตอนนี้แกเริ่มมีอาการอัมพฤกษ์ถามหาเลยต้องทำกายภาพบำบัดครับ ผมโยนคิวให้หมอท่านอื่นทำต่อครับส่วนตัวเองออกมาเดินหาไอ้ตัวเล็กเจ้าปัญหาก่อน อยากคุยมากอยากทำความเข้าใจ คือผมอึดอัดที่มันเป็นแบบนี้ เริ่มสงสัยแล้วสิว่าผมรู้สึกยังไงกับมันกันแน่
หลังจากเดินหาอยู่ซักพักก็เจอข้าวหอมนั่งเล่นอยู่ในสวนด้านหลังโรงพยาบาลครับ หน้าขาวๆ นั่นดูโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด เหมือนคนไม่ได้นอน สายตามองเหม่อไปข้างหน้าในมือถือบุหรี่อยู่มวนหนึ่ง บนพื้นมีก้นบุหรี่อีก 2-3 อัน สูบจัดขนาดนั้นเดี๋ยวก็ได้ตายไวกันพอดี
“สูบบุหรี่ด้วยหรอ?” ผมถามพลางนั่งลงบนม้าหินข้างๆ คนถูกถามหันมายิ้มก่อนจะดับบุหรี่ในมือแล้วโยนทิ้งไป
“เฉพาะเวลามีอะไรต้องคิดนะ”
“แล้วคิดเรื่องอะไรอยู่ล่ะ” ผมหันไปถามนัยน์ตาสีดำนั่นมองผมแว๊บหนึ่งก่อนจะก้มหน้ามองพื้นแทน
“ก็เรื่องไอ้โย แล้วก็เรื่องที่พวกพี่ไม่ใช่มนุษย์” ข้าวหอมว่าพลางทำท่าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “ผมก็แค่คนธรรมดา ผมไม่รู้เลยว่าจะช่วยไอ้โยมันยังไง...เฮ้อ”
“ถามจริงเถอะ กลัวพี่หรือเปล่า”
“ไม่เท่าไหร่นะ วินาทีนั้นพี่ก็ต้องสู้นิ” ข้าวยักไหล่ “เพียงแต่ภาพมันยังติดตา เหมือนยังได้กลิ่นเลือดติดจมูกอยู่เลย”
“จริงหรอ!” ผมว่าพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนได้กลิ่นบุหรี่ปนกับกลิ่นแป้งจางๆ มันน่ารัก...ผมคิดบ้าอะไรวะ คนตัวเล็กหันมามองผมก่อนทำตาโตอย่างตกใจ ผมคว้าแขนทั้งสองข้างไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะทันลุกหนี รับรู้ได้ถึงอาการสั่นจากอีกฝ่าย สีหน้าดูอดอัดมาก นี่น้องมันกลัวผมจริงๆ สินะ
“พี่หมอ!?” ข้าวถามเสียงสั่น ผมถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะยอมปล่อยแขนอีกฝ่าย
“ไม่ต้องฝืนหรอกพี่ขอโทษละกัน” ผมไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกันเป็นครั้งแรกเลยที่ผมรู้สึกว่าไม่อยากเกิดมาเป็นแบบนี้ เป็นแวร์วูฟ!...ผมเดินออกมาโดยไม่สนเสียงเรียกตามหลังของอีกฝ่าย บางทีมันต้องใช้เวลาเพียงแต่ผมไม่อยากเห็นท่าทางแบบนั้นมันทำให้ผมปวดใจ ผมอยากให้ไอ้เด็กนั่นยังยิ้มให้ผม หัวเราะกับผมเหมือนอย่างเคย
......................................................................
Kawhom Say
วันนี้เรามาวาดภาพสีน้ำนอกสถานที่ เป็นพระราชวังแถวมหาลัยนี่ละครับ มีเวลาทั้งวันแต่นี่พึ่งบ่ายพวกผมก็วาดเสร็จแล้ว แล้วพากันนั่งเล่นใต้ร่มไม้ ลมพัดเย็นๆ สดชื่นดี ขาผมเริ่มชาเพราะไอ้โยนาห์มันยึดตักผมเป็นหมอนหลับสบายไปแล้ว มองหน้าหล่อๆ มันแล้วทำให้นึกได้ว่าโลกนี้ยังมีอะไรที่เราไม่รู้อีกเยอะ อย่างไอ้ที่หลับอยู่เนี่ยมันก็เป็นครึ่งแวมไพร์ ส่วนหมอริคที่เห็นกันมาตั้งแต่เด็กก็ดันเป็นแวร์วูฟ
เฮ้อ!...ผมถอนหายใจเมื่อนึกถึงดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของพี่หมอที่มองผมเมื่อวาน มันดูเจ็บปวด ผมก็ไม่ได้อยากทำให้พี่เค้ารู้สึกแย่แบบนั้น ผมไม่ได้อยากแสดงท่าทางกลัวแบบนั้นมันก็แค่ห้ามตัวเองไม่ได้ สบตาเค้าทีไรนึกถึงมนุษย์หมาป่าตัวใหญ่ที่ฉีกคนเป็นชิ้นๆ ในคืนนั้นทุกที ถึงผมจะชอบดูหนังสยองก็เถอะแต่เจอเข้ากับตัวจริงๆ มันต่างกันเยอะ แต่นอกจากกลัวมันก็มีความรู้สึกอื่นอีกเวลาพี่เขาเข้ามาใกล้ๆ แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
“เฮ้ยข้าว...วันศุกร์จารย์บอกหยุด เย็นนี้ไปแดกเหล้าปะ” ไอ้ตั้มเดินมาชวน โดยรวมผมก็คุยได้กับทุกคนล่ะครับมิตรภาพในวงเหล้าเกิดขึ้นเสมอ
“ไปปะไอ้โย...” ผมปลุกถามไอ้คนที่นอนหนุนตักผม มันยังนิ่งเลยโบกกบาลมันไปทีหนึ่งสะดุ้งเลยครับ
“ไปดิ เบื่อๆ พอดี” มันตอบ
“ตามนั้นอะ”
“ทุ่มนึงเจอกัน” ไอ้ตั้มว่าก่อนเดินไปนั่งกับกลุ่มมัน
“ผัวไม่ว่าหรอวะ” ผมหันไปถามเพื่อนผมที่ยังนั่งมึนๆ ยังไม่ตื่นดี สภาพหัวมันยุ่งซะไม่มี
“ผัวไม่ใช่พ่อ มันไม่อยู่ด้วยคืนนี้” มันหันมาตอบ เดี๋ยวนี้แม่งยอมรับเต็มปากเต็มคำเลยครับว่าพี่รอทเป็นผัวมัน
“ถามจริงเวลามึงกับพี่เค้าเอากันอะ มันเจ็บมั้ยวะ” ผมถามพร้อมยิ้มล้อมัน พลางมองรอยแดงๆ ที่คอมัน เห็นตลอด ดูขยันทำการบ้านกันดีเนอะ
“ไปลองเองดิไอ้เตี้ย” มันหันมาด่าผม หน้านี่แดงเลยครับสงสัยเขิน ฮ่าๆ ผมไม่ได้เตี้ยนะสูงตั้ง 170 เซนติเมตรเตี้ยตรงไหนวะ ว่าแต่ให้ไปลองกับใครวะ
พวกผมพากันไปนั่งกินร้านเหล้าแถวมหาลัย ดื่มไปคุยกันไปเหล่สาวกันไป ไอ้โยนี่สาวอ่อยตรึม สงสารพวกนางเนอะ เพื่อนผมดันมีผัวแล้วฮ่าๆ เพลงร้านนี้เพราะดีครับเป็นร้านนั่งชิวๆ นั่งก๊งกันจนดึกงบในกระเป๋าเริ่มหมดแถมบางคนแม่งเมาอย่างหมา ส่วนผมแค่กรึ่มๆ ไอ้โยที่ไม่ต้องพูดถึง คอทองแดงสุดๆ เว้นแต่วันที่มันอกหักเป็นครั้งแรกที่เห็นมันหมดสภาพแบบนั้น
ผมซ้อนมอไซต์กลับกับไอ้โยแต่จู่ๆมันก็หยุดรถครับ ถนนรอบๆ ตัวโล่งและเงียบมากมีเพียงแสงจันทร์บนฟ้ากับไฟข้างถนนที่ส่องมา
“มีไรวะ” ผมถามอย่างแปลกใจ
“เราโดนล้อมวะ” ไอ้โยว่าพลางลงจากรถก่อนดึงบางอย่างออกจากเอวแล้วยื่นให้ผม...ปืน!
“ไปเอามาจากไหนวะ...กูใช้ไม่เป็น” มันปลดเซฟก่อนยื่นให้ผม
“รอทให้มาไว้ป้องกันตัว...กูว่ามึงจำเป็นต้องใช้มากกว่ากู” มันยัดปืนใส่มือผม “ก็แค่ยิง”
เราโดนล้อมจริงๆ รถกระบะสามคันขับมาจอดปิดเราไว้ก่อนมีกลุ่มคนเกินสิบลงจากรถรวมกันตรงหน้า ครึ่งหนึ่งมีตาสีเหลืองวาวจ้องผมอย่าหิวกระหายส่วนอีกครึ่งกำลังกลายร่าง ร่างกายกำลังขยายใหญ่เต็มไปด้วยมัดก้ามและขนปกคุมรวมไปถึงส่วนหางที่ค่อยๆ งอกออกมา กรามยื่นพร้อมเขี้ยวยาวคมกริบโผล่พ้นปาก ก่อนส่งเสียงคำราม...แวร์วูฟ!..มนุษย์หมาป่า...ตัวเชี่ยอะไรซักอย่างนั่นละ
“ไม่ไหวแน่” ผมว่าเสียงสั่น เห็นภาพพี่ริควันนั้นเมื่อเทียบจำนวนแล้วโอกาสรอดแทบเป็นศูนย์ กลัวครับ มองหน้าไอ้โยสีหน้ามันก็แย่พอกันมือมันกดโทรศัพท์ยิกเลยครับ
“ยื้อไปก่อน รอพวกรอทมา” พูดเป็นเล่น...จะยื้อยังไงวะ “เฮ้ย! ยืนงงเชี่ยอะไร” ไอ้โยดึงแขนผมหลบกรงเล็บบีสก่อนที่มันจะข่วนหน้าผม
ปัง ปัง! ผมลั่นไกปืนใส่กลางหัวแวร์วูฟตัวหนึ่งที่กระโจนเข้ามา แต่ก็ไม่พ้นอีกตัวมันฟาดแขนใส่ผมกระเด็นติดต้นไม้จุกมากครับ ปืนกระเด็นหลุดจากมือไถลไปไกลจากตัวผม ชิบหายแล้วไง ส่วนได้โยโดนลากไปอีกทาง มันหลบได้บ้างสวนได้บ้างอาจเพราะเลือดแวมไพร์ในตัวมันเลยทำให้มันพอรับมือไหวแล้วผมล่ะ?
“อ๊าก!” ผมถอยทันก่อนที่กรงเล็บของมันจะฟาดเข้ากลางตัวแต่โดนขาผมแทน เลือดอาบเลยครับ พยายามดันตัวลุกขึ้นแต่กลับโดนพุ่งใส่จนล้มลงกลับพื้นอีกครั้ง ผมมองภาพตรงแล้วแทบหยุดหายใจ แวร์วูฟสีดำตัวใหญ่คร่อมอยู่บนตัวผม
“อึก...เจ็บ...อย่า!!” กรงเล็บทั้งสองกดไหล่ผมลงกับพื้นเล็บจิกลึกลงไปในเนื้อ เจ็บจนน้ำตาซึม เขี้ยวยาวๆ ที่พร้อมจะปลิดชีพนั่นห่างไปไม่ถึงฟุต...ตายแน่ผมตายแน่ ...ผมหลับตาเบือนหน้าหนีภาพตรงหน้าภาวนาด้วยใจที่เต้นแรง
เอ๋ง! น้ำหนักที่กดทับบนตัวหายไป ลืมตาขึ้นเห็นแวร์วูฟสีน้ำตาลตัวใหญ่ฝังเขี้ยวลงบนคอของอีตัวก่อนกระชากออกจนหลอดลมขาดเลือดกระจาย แล้วจัดการขย้ำพวกที่เหลือต่อ พละกำลังที่ต่างกันทำให้อีก 2-3 ตัวที่เหลือโดนฉีกเป็นชิ้นในพริบตา ผมได้แต่มองภาพสยองนั้นตาค้าง พวกบีสโดนพี่รอทเก็บจนหมดก่อนที่จะเข้าไปพยุงแฟนตัวเองลุกขึ้น
Awooh!!!! แวร์วูฟสีน้ำตาลตัวใหญ่ ยืนหอนท่ามกลางกองศพศัตรูที่เรียงราย แสงจันทร์วันเพ็ญที่สาดกระทบขนสีน้ำตาลเปื้อนเลือดนั่นสร้างความสยดสยองและหน้าเกรงขามในทีเดียว ร่างใหญ่ยักษ์นั่นกำลังเดินมาทางผมอย่างเชื่องช้า...น่ากลัว!...ผมเผลอกระเถิบถอยอย่างลืมตัวจนหลังไปชนกับต้นไม้ใหญ่แล้วหยุดอยู่ตรงนั้น ผมก้มหน้ากอดเข่าตัวเองนั่งตัวสั่นแบบไม่รู้จะทำยังไง
ผมรับรู้ถึงลมหายใจอุ่นที่เป่าข้างแก้ม ก่อนที่จมูกชื้นๆ นั่นดุนหน้าผมอย่างแผ่วเบาให้ความรูสึกปลอดภัยมากกว่าถูกคุกคามจึงตัดสินใจลืมตาขึ้นมอง สบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาอ่อนที่แสนคุ้ยเคยนั่น มันช่างดูอ่อนโยนแต่แฝงไปด้วยความเศร้าสร้อย ผมรู้ว่าตรงหน้านี้คือใคร ผมเอื้อมือที่สั่นเทาของตัวเองไปสัมผัสใบหน้าใหญ่ๆนั่น ขนสีน้ำตาลนุ่มมือยิ่งทำให้ผมรู้สึกวางใจยิ่งขึ้น
“พี่หมอ!...ฮือออ...” ผมโผเข้ากอดแวร์วูฟตรงหน้าก่อนปล่อยโฮออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ผมเกือบตายไปแล้วถ้าพี่เขาไม่มา ผมดีใจที่พีริคมาไม่ว่าด้วยรูปลักษณ์ไหน ผมก็ดีใจที่เป็นเขา รู้สึกผิดที่กลัวคนที่ช่วยชีวิตและปกป้องผม “ผมขอโทษ...ฮึก”
“ขอโทษทำไม...หืม” เสียงทุ้มกระซิบที่ข้างหู ผมเงยหน้ามองเจ้าของเสียงที่ตอนนี้คืนร่างเป็นมนุษย์ ใบหน้าหนวดๆ นั่นยิ้มให้ผม “พี่ไม่ได้โกรธเราซักหน่อย”
“ผม...ผม...ก็แค่...” ผมก้มหน้าร้องไห้อยู่แบบนั้น รู้สึกตัวเองขี้แยจัง Q_Q
“เลิกร้องได้แล้ว” คางของผมถูกเชยขึ้นสบตากับคนตรงหน้าก่อนที่ใบหน้าคมนั้นจะโน้มลงมาจูบซับน้ำตาที่ข้างแก้ม...ตึก..ตึก!...ผมได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นดังของตัวเอง รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว...งือ เขินอะ! ยิ่งมองพี่ริคตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวมีบ๊อกเซอร์ตัวเดียวทำให้เห็นหุ่นล่ำๆนั่นเต็มตา ...เซ็กซี่จัง
“อะแฮ่ม! ขอโทษที่ขัดจังหวะแต่เอาไงต่อ?” พี่รอทถามพลางประคองไอ้โยไว้ข้างๆ สภาพมันเยินใช้ได้แต่ไม่มีเลือดตกยางออกแต่ส่วนใด
“นายพาโยกลับห้องไปละกัน เดี๋ยวผมจะพาได้ตัวเล็กไปทำแผล” พี่หมอตอบพลางสำรวจแผลที่ขาผม เป็นรอยเล็บสามรอยลึกพอตัวเลย
“มีอะไรก็โทมาบอกกูหน่อยนะ” ไอ้โยว่าก่อนจะเดินขึ้นรถไปกับผัวมันแล้วขับออกไปส่วนมอเตอร์ไซต์เดี๋ยวพี่รอทส่งคนมาเอาไปเก็บอีกที
“เดินไหวมั้ย” พี่หมอถาม ผมส่ายหน้าตอนแรกก็ลืมๆไปละครับ พอทักมันเลยเจ็บขึ้นมา...สำออยแปป ร่างสูงเดินไปฉีกเสื้อจากศพแถมนั้นมาพันห้ามเลือดไว้ก่อนจะอุ้มผมขึ้น “ตัวเบาจัง กินข้าวมั่งปะเนี่ย”
“กินแต่ยอดข้าว(เหล้า)” ผมตอบยิ้มๆ พลางกอดคอหนาๆ นั้นไว้กลัวตก...บรรยากาศมันแปลกเนอะ...แต่ก็รู้สึกปลอดภัยนะในอ้อมกอดของพี่หมอ ^^
Talk Talk
[/b]
-พักยกมาชมคู่รองกันมั่ง ใกล้เวลาให้ข้าวหมาแล้วละ คิคิ
-ช่วงนี้เวิ่นหนักมาก คิดไม่ออกก็วาดรูปเล่นแทน ติสเเตกเป็นระยะๆ
-ขอบคุณสำหรับกำลังใจของทุกคน...ทั้งที่เราคิดว่าตัวเองเขียนแบบมึนๆ งงๆ แต่ก็ยังมีคนเข้าใจ