Miracle of LOVE ผมเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่งรัก
-20-
“พบรัก”
การตื่นนอนขึ้นมาแล้วได้เจอกับใครคนหนึ่งที่เป็นเหมือนดั่ง
‘รักแรกพบ’ นับว่าเป็นความปรารถนาของใครหลายคน และผมก็คิดว่าเรื่องแบบนี้จะมีอยู่แค่ในนิทาน นิยาย จินตนาการ หรือความเพ้อฝันเท่านั้น จนวันนี้ที่ผมได้เจอกับตัวเอง ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมไม่อาจละสายตาไปจากเจ้าของแก้มนิ่มที่มีลักยิ้มนี่ได้ บางทีอาจจะตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอ
ผมยกมือขึ้นเกลี่ยแก้มนิ่มสีระเรื่อ ดวงตาเรียวหลับพริ้ม ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ มันทำให้ผมคิดถึงช่วงเวลาสองเดือนกว่าที่เฝ้ารอคอยให้เจ้าชายนิทราลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกของผมในเวลานั้นมันทั้งหดหู่ เงียบเหงา ทั้งที่ได้เจอกันทุกวันแต่เหมือนมีกำแพงกั้นให้ห่างกันจนเกินที่ผมจะเอื้อมถึง หากแต่ตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป และหลายคนอาจจะมองว่าเร็วเกินไปแต่ผมคิดว่ามันช้าไปด้วยซ้ำ แต่ผมคิดว่าผมเสียเวลาให้กับความขี้ขลาดของตัวเองมามากพอแล้ว
“บ๊อกๆ”
“ว่าไงไอ้เปี๊ยก หิวดิมึง” หันมองนาฬิกาสิบโมงเช้า เลยเวลาอาหารเช้าของไอ้เปี๊ยกมานานแล้ว
ไอ้เปี๊ยกมันเห่าเรียกร้องความสนใจอยู่ข้างเตียงทำให้ผมต้องจับมันอุ้มขึ้นมาแล้ววางมันลงบนหน้าท้อง ผมจำได้ดีว่าวันแรกที่ผมอุปการะมันไว้ตัวมันเล็กเท่ากำปั้นของผม ตอนแรกผมคิดว่าจะไม่รอดเพราะมันนอนนิ่งมาก ผมเองก็กะจะทิ้งมันไว้อย่างนั้น แต่เพียงแค่เห็นว่ามันอยู่ในอ้อมอกของร่างที่ชุ่มไปด้วยเลือด แม้เจ้าของอ้อมแขนจะไร้สติแต่ก็ยังกอดมันไว้แน่น ผมจึงทิ้งมันไม่ลงและตัดสินใจเอามันไปรักษาที่โรงพยาบาลสัตว์อยู่นานเกือบอาทิตย์กว่ามันจะฟื้นตัวและสัตวแพทย์อนุญาตให้กลับบ้าน ในขณะที่เจ้านายของมันนอนหมดสติอยู่ที่โรงพยาบาลผมจึงต้องเอามันมาเลี้ยงที่บ้าน ผมตั้งชื่อมันว่า
‘ไอ้เปี๊ยก’ เพราะตัวมันเล็ก หน้าตาปัญญาอ่อน และนิสัยอินดี้ เหมือนเจ้านายของมันไม่มีผิดเพี้ยน และทุกครั้งที่เรียกชื่อมันก็ทำให้ผมคิดถึงเจ้านายของมันทุกที
ผมหันกลับไปฝังจมูกลงบนแก้มนิ่มและแตะริมฝีปากลงบนริมฝีปากนุ่ม ทำให้คนหลับขมวดคิ้วน้อยๆ แล้วครางอือในลำคออย่างรำคาญ ผมอมยิ้มขำกับท่าทางนั่นแต่ก็ยอมผละออกมา
“ปล่อยให้แม่มึงนอนพักผ่อนก่อนนะไอ้เปี๊ยก เดี๋ยวกูอาบน้ำเสร็จแล้วจะลงไปหาอะไรกินกัน” มันส่งเสียงรับผมก็จับมันอุ้มด้วยแขนข้างเดียวลงจากเตียงวางลงบนพื้น จากนั้นจึงผมก็เดินเข้าห้องน้ำไป
ผมใช้เวลาอาบน้ำไม่นานนัก ตอนนี้ตัวของผมหอมไปด้วยกลิ่นหอมแบบเด็กๆ เพราะสบู่เหลว แป้ง และยาสระผม มันเป็นยี่ห้อยอดฮิตของเด็กน้อยทั้งนั้น จะมีก็แค่ยาสีฟันนี่แหละที่ดูเป็นผู้ใหญ่หน่อย เดินออกจากห้องน้ำเห็นไอ้เปี๊ยกกำลังงับตุ๊กตาเน่าๆ เล่นอยู่ ผมจึงเดินมาหยุดยืนตรงโต๊ะหน้ากระจก กวาดสายตามองโลชั่นบำรุงผิว โลชั่นกันแดด และอีกสารพัดบำรุงผิวแบบที่ผสมน้ำนมแทบจะทั้งหมด ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนที่นอนอยู่บนเตียงถึงได้หอมเหมือนน้ำนมไปทั้งตัวแบบนั้น และผมก็เป็นคนชอบดื่มนมซะด้วยสิ
เปิดตู้เสื้อผ้ากะจะหาเสื้อและกางเกงใส่สักตัว แต่มันกลับทำให้อารมณ์ดีๆ เมื่อครู่หายวับไปในพริบตา คิ้วของผมกระตุกเมื่อเห็นสิ่งที่แขวนเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ในตู้ ใครก็ได้ช่วยบอกผมหน่อยว่าเศษผ้าบางๆ พวกนี้เรียกว่าเสื้อ แล้วไอ้ที่ขาดๆ ยุ่ยๆ เปื่อยเน่านี่คือกางเกง แฟชั่นบ้าบออะไรว่ะเนี่ย เสื้อคอลึกจนแทบถึงสะดือแล้วผ้ายังบางหวิวอีก แล้วดูกางเกงแต่ละตัว ขาลีบเล็กแล้วยังขาดวิ่นจนแทบจะไม่เป็นกางเกง ส่วนขาสั้นนี่คืออะไร เดี๋ยวนี้ผู้ชายเค้าใส่กางเกงยีนส์แค่คืบกันแบบนี้แล้วเหรอ?! นี่ผมแก่เกินไปหรือว่าแฟชั่นมันล้ำยุคเกินไปกันแน่ว่ะ?! แม้ผมพอจะรู้ว่าพบรักเป็นเด็กที่บ้าแฟชั่นแต่ไม่คิดว่ามันจะมากถึงขนาดนี้ ผมส่ายหน้าให้กับแฟชั่นบ้าบอแล้วลงมือหาเสื้อผ้าที่จะใส่ เจอชุดบาสเก็ตบอลแบบฟรีไซด์ที่พับอยู่ตรงด้านล่างมันเป็นชุดกีฬาของ
มหาวิทยาลัย ผมจึงพลิกดูด้านหลังหมายเลยสิบแปด
‘R.POPRAK’ “เป็นนักกีฬาบาสด้วยเหรอว่ะเนี่ย?” แปลกใจเล็กน้อยครับ เพราะสำหรับผมแล้วเด็กชายพบรักตัวโตกว่าไอ้เปี๊ยกแค่นิดเดียว
ได้ชุดเรียบร้อยผมก็อุ้มไอ้เปี๊ยกลงมาชั้นล่าง เปิดสำรวจตู้เย็นก็ทำให้ยิ้มได้สักหน่อยที่อย่างน้อยก็มีของสดติดเอาไว้บ้างพอควร จะว่าไปครั้งหนึ่งผมก็เคยได้กินอาหารฝีมือพบรักอยู่ครั้งหนึ่งนั่นคือเมื่อปลายปีที่แล้วตอนวันเกิดของเจ้าตัวและผมที่อยู่ในฐานะเงาของไอ้ปลื้ม
เมื่อคิดถึงไอ้ปลื้ม เมื่อเดือนที่แล้วผมคิดจะเคลียร์ปัญหาที่ค้างคาอยู่ทั้งหมดกับไอ้ปลื้ม ผมเปิดดูข้อความล่าสุดที่ผมถามไอ้ปลื้มไปว่า
‘เรื่องของเด็กนั่นมึงจะเอายังไง’ ไอ้ปลื้มตอบมาสั้นๆ แค่
‘ไม่รู้’ หลังจากนั้นแค่ไม่กี่อาทิตย์ช่วงที่ผมกับพบรักได้เจอกันที่ชลบุรี ไอ้ปลื้มก็โทรมาหาผมบอกว่าติดต่อพบรักไม่ได้เลย โทรไม่ติด ส่งข้อความก็ไม่อ่านไม่ตอบ ราวกับว่าโดนบล็อกเบอร์และไลน์เอาไว้ ผมจึงแนะนำให้มันลองติดต่อทางอื่นเพราะพบรักเล่นโซเชียลแทบทุกอย่าง แถมอัพเดทสถานะและสเตตัสแทบทุกวัน แต่ไอ้ปลื้มกลับตอบมาว่า
‘ไม่มี’ ซึ่งก็คือนอกจากเบอร์และไลน์ไอ้ปลื้มก็แทบจะไม่รู้รายละเอียดความเป็นไปของพบรักเลยสักนิด ทำเอาผมแปลกใจไม่น้อยกับความรักที่ผ่านมาของคนทั้งคู่ และผมค่อนข้างมั่นใจว่าไอ้ปลื้มรักพบรักในระดับที่สามารถเรียกว่าแฟน เพราะโดยปกติต่อให้ไอ้ปลื้มจะเจ้าชู้สักแค่ไหนแต่ถ้าหากไม่รักไม่จริงจังคนอย่างไอ้ปลื้มจะไม่มีวันให้อีกฝ่ายเข้าใกล้ชีวิตส่วนตัวของตัวเองเด็ดขาด แต่สำหรับเด็กพบรัก ไอ้ปลื้มอนุญาตให้เข้าออกห้องคอนโดของผม ทำอาหาร ทำความสะอาดห้องนอน และใช้ชีวิตประจำวันด้วยกัน มิหนำซ้ำยังใช้ชื่อของผมไปแอบอ้าง จริงอยู่ว่ามันทำแบบนั้นบ่อยแต่แค่ไม่นานไอ้ปลื้มก็จะเฉลยให้อีกฝ่ายรู้ไม่เคยหลอกใครนานเกินหนึ่งเดือนด้วยซ้ำ แล้วทำไมกับเด็กพบรักถึงแตกต่างจากทุกคนที่มันเคยคบ ไอ้ปลื้มกำลังพยายามเก็บคนที่ตัวเองรักไว้ราวกับไม่ต้องการให้ใครได้รู้ได้เห็น หรือในอีกแง่ไอ้ปลื้มกำลังกลัวอะไรบางอย่างอยู่กันแน่
ทำไมผมถึงลืมคิดเรื่องนี้กันนะ? ผมกดคอลหาไอ้ปลื้มแทบจะทันทีด้วยความร้อนใจ ผมควรจะคุยกับน้องชายฝาแฝดให้รู้เรื่องก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไปกว่านี้ ผมกับไอ้ปลื้มแม้จะเป็นฝาแฝดแต่เราก็ถูกเลี้ยงดูมาค่อนข้างจะแตกต่างกัน ผมเติบโตมาด้วยความเข้มงวดของคุณตาและคุณยาย ในขณะที่ไอ้ปลื้มโตมาด้วยแรงสนับสนุนจากคุณปู่และคุณย่าที่ให้ชีวิตและความคิดอิสระกับมันแทบทุกอย่าง แต่ถึงอย่างนั้นเราทั้งคู่ต่างก็มีความสุขในแบบของตัวเอง และเราก็มีจุดศูนย์กลางแห่งความรักเป็นคุณพ่อกับคุณแม่เหมือนกัน ผมรอสายอยู่นานไอ้ปลื้มก็ไม่รับ ผมจึงคอลซ้ำไปอีกรอบ ดูเวลาแล้วทางโน้นคงประมาณสี่ทุ่มไอ้ปลื้มคงยังไม่นอน
“บ๊อกๆ” ไอ้เปี๊ยกทั้งเห่าทั้งตะกุยขาของผมอย่างเอาเป็นเอาตาย มันคงจะทนหิวอีกต่อไปไม่ไหวแล้ว
“เออๆ กูรู้แล้ว ทำให้เดี๋ยวนี้แหละ” จำเป็นต้องพักเรื่องไอ้ปลื้มไว้ก่อน ผมวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ เพราะคิดว่าเดี๋ยวไอ้ปลื้มคงโทรกลับมาเอง
คลุกข้าวกับปลาทูให้ไอ้เปี๊ยกแล้วยืนดูมันกินอยู่ครู่หนึ่ง ไอ้เปี๊ยกมันมีพัฒนาการความเป็นหมาเพิ่มขึ้นเยอะ หรือจะเรียกว่ามันคงรู้ตัวแล้วว่าตัวเองเป็นหมา ดูได้จากการกิน การวิ่งเล่น การเห่า และอีกหลายๆ อย่าง จะมีก็แค่หน้าตาที่ดูปัญญาอ่อนเหมือนเด็กอมตีนนี่แหละที่ยังไงก็ยังคงเป็นแบบนั้น และเห็นทีไรก็ด่ามันไม่ลงสักที
ผมหันกลับมาทำข้าวต้มหมูแบบง่ายๆ ให้ตัวเองและคนที่ยังนอนอยู่บนห้อง เสร็จแล้วก็เดินออกไปหยิบยาแก้ปวดลดไข้ กับยาแก้อักเสบที่ติดไว้ในรถ วางไว้บนถาดเดียวกับข้าวต้มและน้ำเปล่าแบบไม่แช่เย็นอีกหนึ่งขวด
“แดกเสร็จก็เล่นไปก่อนนะมึง กูเอาข้าวเอายาไปให้แม่มึงก่อน” ผมวางน้ำให้ไอ้เปี๊ยก ข้างๆ ถ้วยข้าวที่มันกำลังกินอย่างเมามัน
“บ๊อกๆๆ” มารยาทดีมากครับ ข้าวเต็มปากก็ยังตอบรับอีก
ลูบหัวมันหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ ล้างมือล้างไม้แล้วยกถาดอาหารขึ้นไปบนห้อง แค่เปิดประตูเข้าไปเสียงแหกปากร้องไห้โฮปานใจจะขาดก็ดังระงมไปทั้งห้อง เสียงมันดังพอๆ กับเสียงร้องครางสุดเซ็กซี่เมื่อคืน เสียงดีไม่มีตกจริงๆ นี่ถ้าเอาโทรโข่งมาจ่อตรงปากผมคิดว่าอาจจะได้ยินกันทั้งหมู่บ้าน ผมรีบเอาถาดวางบนโต๊ะข้างหัวเตียงอย่างไว จากนั้นก็นั่งลงบนเตียงข้างกองผ้าห่มที่คลุมโปง
“ฮืออออ ฮื๊อออออออ”
“ร้องไห้ทำไม เจ็บตรงไหนบอกกูสิว่ะ?” ดึงผ้าห่มออกด้วยความเป็นห่วงกลัวจะขาดใจตายซะก่อน
“ฮื๊ออออ ฮึก...” พอได้มองหน้ากันก็หยุดร้องไห้ซะงั้น
ผมดึงร่นผ้าห่มออกไปกองไว้ที่ปลายเตียง ร่างเล็กที่นอนคว่ำแล้วจ้องหน้าผมตาแทบไม่กระพริบ จนผมอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
“ว่าไง เจ็บตรงไหน?” ถามพลางดึงขากางเกงขาสั้นของคนที่นอนคว่ำให้ปิดแก้มก้นที่มีรอยจ้ำแดงสักหน่อย
ผมเข้าใจนะว่าชุดนอนแบบกางเกงขาสั้นและเสื้อย้วยใกล้เน่ามันใส่สบาย ช่วงหน้าร้อนผมยังชอบใส่บ๊อกเซอร์กับเสื้อกล้ามบางๆ นอนเลย แต่สำหรับบางคนใส่แล้วก็กระตุ้นอารมณ์ได้ดีเกินไป อย่างเช่นคนที่นอนอยู่ตรงหน้าผมนี่แหละครับ
“...................” ไม่ตอบครับ เอาแต่จ้องหน้าผมอย่างเดียว น้ำมูกก็ยืดหนืดหยดลงบนหมอนอีกต่างหาก ผมชักไม่แน่ในแล้วว่าเมียหมาดๆ ของผมอายุยี่สิบปีหรือแค่สิบสองขวบกันแน่
“เป็นอะไร หืม?” หาทิชชู่มาเช็ดน้ำมูกให้ แล้วยีหัวยุ่งเล่น
“พี่เปรม” เรียกเสียงอ่อน ดวงตาบวมช้ำกระพริบปริบๆ พร้อมกับมือเล็กก็ค่อยๆ ไต่กระดึ๊บๆ ล้วงลูบกล้ามเนื้อหน้าท้องของผม ให้มันได้แบบนี้สิครับ ผมจะพยายามทำเป็นไม่รู้ตัวละกัน
“ตอบได้ยังว่าเป็นอะไร เจ็บตรงไหน?” แตะหน้าผากดู มีไข้อ่อนๆ
“ฮึก.. พี่เปร๊มมมมมมม” ใช้จังหวะที่ผมโน้มตัวลงวัดไข้คว้าคอของผมไปกอดไว้แน่นเลยครับ
“เออ.. ตะโกนทำเหี้ยอะไรเนี่ย กูได้ยินแล้ว” แสบแก้วหูแทบทะลุ
ผมต้องล้มตัวลงนอนเป็นหมอนข้างให้เด็กขี้แยกอด ลูบแผ่นหลังที่สะอื้นเบาๆ แล้วก็ลดระดับลงไปลูบสะโพกเล็กด้วย ไม่นานนักอาการสะอื้นก็สงบลง
“บอกได้ยัง?” ผมมองใบหน้าที่แดงจัดด้วยความเป็นห่วง คนถูกถามก็อ้ำอึ้งเล็กน้อย
“ก็ไอกวึพ่พวสห่ดยน พี่เปรมจดกรดห ไปห่ดย ไม่ชอบาอทวนหฟรกำ นี่นา”
“ห๊ะ? อะไรของมึง?” สาบานได้ว่าผมฟังไม่ทัน จับใจความแทบไม่ได้กับประโยครัวเร็วเป็นจรวดเมื่อครู่
ดวงตาคู่บวมกลอกไปมา เม้มปากแน่น จากนั้นก็เอาหน้ามาซุกกับหน้าอกของผมไว้
“ก็ไอคิดว่าพี่เปรมทิ้งไอไว้พี่เปรมกลับไปแล้วเพราะไม่ชอบที่ลีลาของไอไม่เด็ดนี่นา”
ระดับความเร็วของการรัวคำยังคงเส้นคงวา แต่ครั้งนี้ผมได้ยินชัดครับ แม้จะเสียงเบายังกับแมลงหวี่กระพือปีก แต่ผมก็สามารถจับใจความได้ทั้งหมด ผมจ้องเข้าไปในดวงตากลมสีดำ ผมบอกมันผ่านสายตาย้ำให้รู้ว่า ‘แค่นี้กูก็หลงมึงจะตายห่าอยู่แล้ว’ ไม่ได้บอกเป็นคำพูดออกไปอีกรอบ เพราะกลัวเด็กจะเหลิง
ความสัมพันธ์ชั่ววูบไม่ได้อยู่ในความคิดของผมแม้แต่น้อย ผมรู้ตัวและมีสติในทุกการกระทำของตัวเองและพร้อมจะรับผิดชอบกับทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น ผมไม่เคยชอบหรือคิดเกินเพื่อนกับผู้ชายคนไหน ยกเว้นแต่กับเด็กหนุ่มในอ้อมแขนคนนี้เท่านั้นที่มีอิทธิพลต่อหัวใจ อารมณ์ ความรู้สึกของผมยิ่งกว่าใครคนไหนที่ผ่านมา และผมเองก็คิดว่าพบรักก็คงจะเป็นแบบเดียวกับผม เราทั้งคู่ไม่ใช่เกย์ แต่เรากลับต้องการกันและกัน ซึ่งผมมั่นใจในความรู้สึกนั้นว่ามันเรียกว่า
‘ความรัก’พบรักเป็นเด็กผู้ชายที่ได้รับกรรมพันธุ์มาจากคุณแม่แทบจะทั้งหมด หน้าตาน่ารักมีเอกลักษณ์เฉพาะตรงลักยิ้มบนแก้ม จึงยิ่งทำให้ดูน่ารักขึ้นไปอีก บวกกับความสูงที่ไม่ได้มาตรฐานชายไทย รูปร่างบอบบางเอวก็เล็ก สะโพกก็เล็ก แต่ก็มีมัดกล้ามเนื้อที่ทำให้รู้ว่าเจ้าตัวออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ ผิวขาวเรียบเนียนลื่นมือซึ่งอาจจะได้มาจากการบำรุงด้วยบรรดาโลชั่นน้ำนมทั้งหลาย รวมทั้งกลิ่นกายเฉพาะตัวแบบเด็ก ล้วนเป็นเสน่ห์ที่น่าหลงใหล แต่สิ่งที่ทำให้ผมหลงจนโงหัวไม่ขึ้นคงจะเป็นทุกการกระทำที่อีกฝ่ายแสดงออกมามันดูไร้เดียงสาน่ารัก รวมทั้งหนอนชาเขียวตัวแดงๆ ที่ขยันพ่นน้ำเหลือเกิน ขนาดขยายตัวเต็มวัยก็ยังใหญ่ไม่ถึงครึ่งของผม มันก็ช่างน่าเอ็นดูสมกับเจ้าของมันนั่นแหละครับ
ย้อนกลับไปเริ่มต้นของเรื่องเมื่อคืน ตอนแรกผมแค่จะแหย่เล่นเท่านั้น แต่พอเจอร่างขาวๆ ที่สั่นกึกๆ พยายามทำเป็นใจกล้าความยับยั้งชั่งใจของผมก็พังทลายลงทันที ถึงจะไม่เคยมีประสบการณ์ชายชาย แต่ผมก็รู้ว่าครั้งแรกของผู้ชายมันอันตรายและเจ็บมากแค่ไหน ผมจึงต้องระมัดระวังทุกขั้นตอน และผมก็รู้ด้วยว่าพบรักเองก็พยายามและอดทนอย่างถึงที่สุดเพื่อให้ทุกอย่างมันผ่านไปด้วยดี จะมีแค่ความใจเด็ดที่อ้อนขอผมอีกรอบนี่แหละที่เหนือความคาดหมายไปหน่อย ผมเองก็ไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำอะไรจัดไปตามคำขอ แล้วแถมให้อีกรอบปิดท้าย สรุปเมื่อคืนผมเสร็จไปสามรอบ ในขณะที่เมียเด็กของผมที่แตะๆ ลูบๆ ไม่เท่าไหร่ก็ถึงฝั่งแล้วเลยเสร็จไปเป็นสิบกว่ารอบ ทำเอาหมดแรงสลบยาว ขนาดผมอุ้มพาไปอาบน้ำยังไม่รู้สึกตัว ทั้งนี้ทั้งนั้นคงต้องขอบคุณไอ้ดีนที่ยัดใส่มือของผมพร้อมคำอวยพรให้โชคดีก่อนจะวิ่งหายกลับเข้าบ้านของตัวเองไป
“กินข้าว กินยา แล้วนอนต่ออีกสักพักจะได้รู้สึกดีขึ้น” ผมขยับตัวหันไปหยิบถ้วยข้าวต้ม
“ไอเจ็บ” กระพริบตา ยู่หน้า ยู่ปาก บอกเสียงอ่อน
เจ็บก้นแต่ลามมาถึงมือด้วย ในฐานะหมอเอ็กเทอร์นก็ต้องตามใจผู้ป่วยล่ะครับ ไม่งั้นคงได้ร้องไห้ขี้มูกโป่งอีกรอบ ผมช่วยประคองให้เด็กขี้อ้อนนั่งพิงหัวเตียง ดูจากสีหน้าและหยดน้ำตาที่ซึมอยู่ตรงหางตาก็พอจะรู้แล้วว่าเจ็บจริง สะโพกเล็กแค่นั้นแต่รับของผมได้ถึงสามรอบในครั้งแรกย่อมไม่แปลกที่จะเจ็บระบมและมีไข้ ผมปลอบด้วยการจูบย้ำตรงขมับ คนถูกจูบก็ยิ้มแฉ่งหน้าบานแก้มแดง
ป้อนข้าว ป้อนยา เช็ดตัวให้สบายตัวขึ้น ไม่นานเด็กหนุ่มแก้มแดงก็หลับปุ๋ย ผมจึงเอาถ้วยลงมาเก็บที่ครัว โดยไม่ลืมหยิบตุ๊กตาน้องเน่าของไอ้เปี๊ยกติดมือมาให้ด้วย ไอ้เปี๊ยกเห่ากระโดดดีใจราวกับว่าได้เจอคนรัก จับงับแล้ววิ่งรอบบ้าน ผมจึงถือโอกาสสำรวจเดินดูรอบๆ บ้านบ้าง ผมรู้มาว่าพบรักรักบ้านหลังนี้มาก โดยเฉพาะการตกแต่งภายในเพราะเป็นฝีมือของคุณพ่อ และยังเป็นอิทธิพลที่ทำให้พบรักเรียนมัณฑนศิลป์ด้วย
ผมมองรูปในกรอบเล็กสามกรอบตรงห้องนั่งเล่น มีรูปเด็กตัวขาวแก้มยุ้ยน่าฟัดมองแทบไม่ออกว่าเป็นเด็กผู้หญิงหรือเด็กผู้ชาย อีกรูปเป็นรูปครอบครัวพร้อมหน้าทั้งสามคนถ่ายที่สวนสัตว์เขาดินเด็กน้อยในรูปอายุราวห้าหกขวบยิ้มหน้าบานแฉ่งอยู่ระหว่างอ้อมกอดของคุณพ่อคุณแม่ รูปสุดท้ายเป็นรูปงานวันเกิดอายุสิบขวบดูได้จากตัวเลขบนเค้กก้อนโต ใบหน้าเหมือนตุ๊กตายิ้มกว้างท่ามกลางอ้อมกอดของบุพการี เพียงแค่นี้ก็ทำให้รู้ว่าเด็กที่อยู่ในรูปเติบโตมาด้วยความรักมากมายเพียงใด
สำรวจบ้านจนทั่ว จากนั้นก็เปิดโน๊ตบุ๊คทำงานวิจัยที่อาจารย์หมอยัดเยียดมาให้ทำอย่างเลี่ยงไม่ได้ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็บ่ายสองกว่าแล้ว ผมจึงพักสายตาด้วยการเดินออกมาตรงสวนหน้าบ้านที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ มีไม้ต้นและไม้ดอกให้พอได้ร่มรื่นตามประสาคนในเมืองกรุง ผมนั่งมองต้นไม้ใบหญ้าตรงม้าหินไปเรื่อยๆ
“เฮ้ย! นี่คุณน้าเจโกะจ้างคนสวนใหม่ให้ลูกชายเหรอว่ะ หน้าตาคุ้นๆ เหมือนไอ้หมอเหี้ยที่ชื่อเปรมนทีป์เลย”
“หึหึ” ผมยกมือไหว้รุ่นพี่ที่เคารพ อีกฝ่ายพยักหน้ารับแบบกวนบาทาสุดๆ
“เป็นไง?” พี่ดินไขประตูรั้วเดินเข้าบ้านมาแบบสบายๆ ทำให้ผมคิดว่าหลังจากนี้ผมคงต้องเปลี่ยนแม่กุญแจประตูบ้านทั้งหมดซะแล้ว
“อะไรเป็นไงเหรอพี่?”
“สัส! อย่ามากวนส้น ทำน้องกูแหกปากลั่นทั้งคืน ดีนะห้องพ่อกับแม่กูอยู่ฝั่งโน้นไม่งั้นมึงโดนเพ่นกบาลแน่” พี่ดินโวยวายยกนิ้วกลางใส่หน้าผมแล้วหย่อนก้นลงนั่งฝั่งตรงกันข้าม ผมได้แต่หัวเราะเบาๆ ในลำคอเพราะเรื่องเสียงครางดังลั่นเป็นเรื่องจริง และผมก็ชอบมากๆ ด้วย
ผมไม่ได้ตอบหรือพูดอะไรต่อ พี่ดินเองก็เช่นกัน เราเงียบไปทั้งคู่ ผมมองไปตรงประตูบ้าน ไอ้เปี๊ยกเบียดตัวออกมาทางช่องประตูที่แง้มไว้ ปากมันก็ยังคาบตุ๊กตาน้องเน่าอยู่ มันไม่เคยปล่อยให้ห่างจากตัวเลยสงสัยจะรักมากจริงๆ มุดออกมาได้ก็เอาน้องเน่าไปวางไว้ข้างกระถางต้นไม้ ส่วนตัวเองก็วิ่งเริงร่าท้าแดดท้าลมตามประสาหมาน้อย
“มึงจริงจังกับน้องกูแค่ไหนว่ะ?” ผ่านไปหลายนาทีพี่ดินก็พูดขึ้น ผมจึงหันไปมองหน้าพี่ดิน
“ถึงพบรักจะไม่ใช่น้องชายแท้ๆ แต่กูก็รักมันเหมือนไอ้ดีนนั่นแหละ กูล้างขี้ล้างเยี่ยวพวกมันมาด้วยกัน เพราะฉะนั้นเรื่องนี้กูซีเรียส” ใบหน้าที่จริงจังและน้ำเสียงที่นิ่งเรียบทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่าพี่รหัสของผมกำลังจริงจังกับคำถามและคำตอบของผมมากแค่ไหน
ผมหันกลับไปมองไอ้เปี๊ยกอีกครั้งคิดทบทวนความรู้สึกของตัวเองเงียบๆ ไอ้เปี๊ยกนอนเกลือกตัวไปกับสนามหญ้า มันเป็นหมาชิวาวาที่ผมเคยอุปการะเลี้ยงดูอยู่เกือบสองเดือน ถ้าถามเหตุผลว่าทำไมผมถึงทำแบบนั้นก็คงจะมีแค่คำตอบเดียว
“ผมอยากจะให้พบรักอยู่กับผมไปเรื่อยๆ อยู่ด้วยกันไปจนกว่ามันจะเบื่อและไม่อยากอยู่กับผมอีกต่อไป” ในตอนนี้ผมตอบได้แค่นี้จริงๆ ผมแค่อยากจะเดินไปข้างหน้าโดยที่กุมมือเล็กนั่นไว้ให้เดินไปด้วยกัน แต่ผมก็ไม่รู้ว่าเจ้าของมือจะยอมเดินไปด้วยกันนานแค่ไหน
“มึงรักน้องกู แต่มึงไม่มั่นใจว่าน้องกูจะรักมึง?” พี่ดินจ้องหน้าผมเพื่อต้องการคำตอบ แต่ผมก็มีเพียงความเงียบให้เท่านั้น จนพี่ดินถอนหายใจออกมาเสียงดัง
“เห็นน้องกูตัวเล็กน่ารักแบบนั้นแต่ใจมันแมนเกินร้อยเลยนะ แล้วนี่ถึงขนาดที่มันยอมเป็นเมียมึงขนาดนี้ก็ไม่ต้องคิดมากแล้วล่ะ” มือใหญ่ยกขึ้นวางบนบ่าของผมแล้วบีบเบาๆ
“พี่เปรมคิดมากเรื่องอะไรเหรอ?” เสียงบุคคลที่สามทำให้ผมและพี่ดินเสียวสันหลังวาบเลยครับ
เรามองไปยังคนที่ยืนถ่างขาอยู่หน้าประตูบ้าน คิ้วของผมกระตุกยิกๆ กับสภาพหัวยุ่งๆ หน้ามึนๆ ภายใต้ชุดนอนเสื้อย้วยและกางเกงขาสั้น
“ฮิ้วววววววว” พี่ดินโห่ฮิ้วแซวน้องตัวเอง ไหนเมื่อกี้บอกว่ารักน้องนักหนาไงละครับ
คนที่ถูกแซวก็ไม่ได้ยอมง่ายๆ หรอกนะ ดูจากดวงตาเรียวที่จิกด้วยหางตานั่นก็รู้ได้ทันทีว่าเอาเรื่องแค่ไหน แม้แต่ผมเองเจอโหมดนี้เข้าไปยังขนลุกเลยครับ
“เออๆ กูขอโทษ กูผิดเอง กูยอมรับผิด” คนเป็นพี่ยกมือยอมแพ้
เจอพี่ชายยอมอ่อนให้ คุณน้องก็ระบายรอยยิ้มร่าเริงอย่างพอใจ ทำเอาผมอดจะอึ้งไม่ได้ว่าใบหน้าบูดบึ้งกับสายตาพิฆาตเมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมามันเป็นเพียงแค่ภาพมายาอย่างนั้นเหรอ??
“พี่ดินนนนนน” เสียงอ้อนออเซาะอย่างเดียวไม่พอครับ เจ้าของเสียงเดินถ่างขากระเผลกๆ มาเกาะแขนพี่ชาย
“สัส! ไม่ต้องมาอ้อน กูไม่อยู่เป็นก้างขวางคอมึงก็ได้” พี่ดินดึงแขนออกแล้วใช้นิ้วชี้จิ้มกลางหน้าผากมนพร้อมออกแรงผลักเบาๆ ก่อนจะเดินจ้ำไปทางรั้วข้างบ้านแล้วมุดไปโผล่อีกฝั่งโดยไม่บอกลากันสักคำ
เห็นแบบนี้แล้วนอกจากผมจะต้องเปลี่ยนกุญแจประตูทุกบานยังต้องเอาปูนมาโบกปิดทุกช่องทางด้วยสินะ และขณะที่กำลังคิดวางแผนจะบูรณะซ่อมแซมรั้วบ้านอยู่นั้น ผมก็สัมผัสได้ถึงความอุ่นจากฝ่ามือที่วางประสานกับมือของผม
“ว่าแต่พี่เปรมคิดมากเรื่องอะไรเหรอ?” ใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดูยื่นเข้ามาใกล้จนเห็นขนตาดำขลับที่เรียงกันเป็นแพสวยงาม
“ตื่นนานรึยัง?” ผมไม่ได้ตอบแต่เลี่ยงกลับเป็นอีกคำถาม
“ไม่นาน.. อ้อ เอานี่..” ไอโฟนของผมถูกยื่นมาตรงหน้า ทำให้ผมเพิ่งนึกได้ว่าลืมวางทิ้งมันไว้บนโต๊ะในครัวตั้งแต่ตอนสายโน่น ผมรับโทรศัพท์มาแล้วมองใบหน้าแดงระเรื่อที่อมยิ้มแก้มตุ่ย
“มีอะไรรึเปล่า?” อดไม่ได้ที่จะเกลี่ยแก้มนิ่มเล่น
“เมื่อสามปีก่อนตอนไอเข้าค่ายซัมเมอร์ พี่เปรมมองไอมาตลอดเลยใช่ม๊า?” เอียงคอถามซะน่ารัก ทำเอาผมไปต่อแทบไม่ถูก
“เรามาเจอกันอีกครั้งที่คณะอักษร ตอนที่ไอเดินสะดุดหินล้มหัวเข่าแตก พี่เปรมทำแผลให้ไอ” คางเล็กวางลงบนหัวไหล่ของผม
เมื่อสามปีที่แล้วตอนเข้าค่ายซัมเมอร์ คือตอนที่เราได้เจอกันครั้งแรก ในตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่ามองอีกฝ่ายบ่อยแค่ไหน มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่บังเอิญได้เจอกันที่คณะของน้องปิ่น ผมเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินสะดุดขาตัวเองล้มหัวคะมำหัวเข่าแตกอยู่ข้างโรงอาหาร เมื่อได้เห็นหน้าว่าเป็นใครและอีกฝ่ายทำอย่างกับว่าดีใจมากที่ได้เจอผม อีกทั้งยังเรียกชื่อของผมออกมา เพียงแค่นั้นหัวใจของผมก็เต้นแรงซะจนแทบจะทุออกมาจากอกแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“และอีกครั้งก็ตอนวันเกิดไอเมื่อปลายปีที่แล้ว ไอสารภาพรัก... กับพี่เปรม” ริมฝีปากนุ่มนิ่มแตะเบาๆ ตรงต้นคอของผม
ร่างกายของผมแข็งทื่อ สมองประมวลผลด้วยความสับสนกับทุกคำพูดและทุกประโยคที่ได้ยิน เราเจอกันไม่กี่ครั้งในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ครั้งแรกที่ได้ยินอีกฝ่ายเรียกผมว่าพี่เปรม ผมดีใจจนแทบบ้าอยู่คนเดียวที่คิดว่าเด็กหนุ่มจำชื่อของผมได้ ผมอยู่กับความสับสนของตัวเองไม่กล้าแม้แต่จะทำความรู้จักกับอีกฝ่ายให้มากขึ้น จนเมื่อทุกอย่างมันจบลงตอนที่ผมได้กลับไปยังคอนโดและได้เจอกับ
‘พบรัก’ ที่เรียกผมว่า
‘พี่เปรม’ ซ้ำร้ายยังสารภาพรักกับผมที่ไม่ใช่เปรมนทีป์คนนี้ แต่เป็นผมที่เป็นเพียงตัวแทนและเงาของใครอีกคน ซึ่งคนๆ นั้นก็คือปลื้มชลล์ น้องชายฝาแฝดของผมเอง
หัวใจของผมเจ็บปวดมาโดยตลอด แต่ผมก็ไม่เคยโทษว่าเป็นความผิดของไอ้ปลื้มทั้งหมด และแม้จะรู้ว่าเจ็บแค่ไหนแต่ผมก็ไม่สามารถที่จะทนเห็นน้ำตาของเด็กหนุ่มคนนั้นได้ ผมจึงอยู่ในฐานะพี่เปรมแทนไอ้ปลื้มในบางครั้ง จะว่าไปผมเองก็เลวไม่ต่างจากไอ้ปลื้มหรอกครับ และอาจจะเลวกว่าไอ้ปลื้มด้วยซ้ำตรงที่ผมแย่งแฟนของน้องชายตัวเอง
“มึงรู้?” ลำคอของผมแห้งผาก ความกลัวทำให้ผมกระชับมือเล็กที่สอดประสานกันไว้แน่นขึ้น
“ก็ไม่ได้โง่” ตอบกลับมาเสียงแผ่วๆ สบายๆ พร้อมถ่ายน้ำหนักเอียงตัวมาพิงผมไว้ทั้งหมด
“ขอบคุณนะพี่เปรม” ร่างเล็กขยับตัว แนบริมฝีปากลงที่ปลายคางของผม และยังไม่ทันที่ผมจะได้ถามกลับว่าขอบคุณเรื่องอะไร อีกฝ่ายก็ระบายยิ้มเต็มแก้ม
“ขอบคุณที่ตอนนั้นดูแลน้องเปี๊ยกอย่างดี” ทั้งดวงตาและรอยยิ้มเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์จริงใจ
“ไอ...” ปัดเส้นผมที่ปรกปิดหน้าผากออก เจ้าของชื่อก็ยิ้มกว้างมากขึ้นแล้วโผเข้ากอดผมไว้ทั้งตัว
แม้สถานการณ์จะดูผ่อนคลาย แต่ภายในหัวใจของผมยังคงอัดแน่นไปด้วยความสงสัย
“ตั้งแต่เมื่อไหร่?” พบรักรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
พบรักยังคงไม่ตอบ ใบหน้าน่ารักอมยิ้มน้อยๆ ดวงตาคู่สวยมองไปที่ไอ้เปี๊ยกที่กำลังตะกุยหญ้าอยู่ตรงปลายเท้า ทำให้ผมต้องมองตาม ความเงียบดำเนินไปอย่างช้าๆ แต่ทว่าความสงสัยและอึดอัดใจเมื่อครู่ค่อยๆ บางเบาลงด้วยแรงบีบจากฝ่ามือเล็ก
“ตั้งแต่ปาฏิหาริย์ได้เกิดขึ้นมั้ง”
“ปาฏิหาริย์?”
คนในอ้อมแขนเงยหน้าขึ้นมามองผม ดวงตาของเราสบกัน
“อืม.. ผมกับน้องเปี๊ยกเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่งรัก”
จบประโยคไอ้เปี๊ยกก็เห่า
‘บ๊อกๆ’ กระโดดโหยงเหยงจนน่าหมั่นไส้ ในขณะที่เจ้านายของมันหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดี แต่มันก็น่าแปลกที่ไม่ว่าจะกี่ครั้งกี่หน เด็กหนุ่มธรรมดาคนนี้ก็สามารถทำให้ความกลัว ความตึงเครียด และความกังวลมากมายที่อยู่ในจิตใจของผมจางหายไปได้ในพริบตา เด็กคนนี้มีเวทมนต์อะไรกันนะถึงทำให้ผมยิ้มและหัวเราะได้บ่อยขนาดนี้ หรือว่ามันคือ
‘ปาฏิหาริย์แห่งรัก’ อย่างที่ว่าจริงๆ
.
.
.
.
.
.
TBC..
ขอบคุณ ทุกแรงใจและแรงเชียร์เลยนะคะ
รินปริ่มแทนน้องไอจริงๆ ค่ะ ที่ทุกคนร่วมยินดีกับการที่น้องไอสมหวังกับพี่เปรม
รักคนอ่านและทุกคอมเม้นต์มากๆ ค่ะ