ตอนที่ 28
เพราะว่าพี่ตุลย์ไปตกลงกับคุณป้าฮาร์ดคอร์เอาไว้ วันนี้ห้องคอนโดขนาด 30 ตารางเมตรที่อัดแน่นไปด้วยผู้ชายวัยสมบูรณ์สองคน เด็กวัยกำลังโตหนึ่งคน และหมูที่สมบูรณ์เกินไปอีกหนึ่งตัว (?) จึงมีผู้หญิงสูงวัยอีกหนึ่งคนมานอนด้วยในวันนี้ แต่ห้องนอนมีเพียงแค่สองห้อง ซึ่งห้องนึงเป็นของที่หนึ่ง และอีกห้องเป็นของพี่ตุลย์ ที่มีตอนต้นและผมร่วมห้องอยู่ด้วย
ลองทายสิครับคุณป้าฮาร์ดคอร์จะไปนอนห้องใคร
...
นอนห้องพี่ตุลย์ไง ทาด๊าาา~
อันกันเข้าไปเลย ผู้ใหญ่สามคนกับหมูอีกหนึ่งตัว ดี๊ดี (ประชด)
คือคุณป้าฮาร์ดคอร์เขาเป็นห่วงตอนต้นมากกว่าครับ เพราะเด็กวัยนี้ชอบตื่นมาดึกๆ เขาก็เป็นห่วงลูกชายของเขาต้องสะดุ้งตื่นมาดูลูก ก็เลยมานอนด้วยจะได้ช่วยดูแลหลานครับ และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเตียงใหญ่ของพี่ตุลย์ตอนนี้ถึงมีร่างของคุณป้าฮาร์ดคอร์นอนแผ่หลาอยู่
อะ! อันนี้เก็ท คุณเก็ท ผมเก็ท
แต่ที่ไม่เก็ท...
“ที่นี่แคบเหมือนกันนะ นายนอนลงไปได้ไงเนี่ย”
“ตอนแรกก็ไม่แคบหรอก แต่พอพี่ลงมานอนเบียดมันก็แคบสิเฮ้ย!” ผมพูดเสียงเหี้ยมลอดไรฟัน แต่ก็ต้องปรับวอลุ่มให้เบาเพื่อป้องกันแม่และลูกของพี่ตุลย์ตื่น
ใช่ครับ บนเตียงมีคุณป้าฮาร์ดคอร์อยู่ แล้วแทนที่แม่ลูกจะนอนกอดกันย้อนวัยไปตอนสิบห้า แต่ไอ้พี่ตุลย์กลับลงมาเบียดผมซะงั้น แล้วที่นอนผมบนพื้นอะ ความกว้างแค่ 3.5 ฟุต! ชิดกำแพงและชิดเตียง แล้วผมกับพี่ตุลย์ตัวขนาด 180 ทั้งคู่ แล้วอีกคนแม่งตัวหนากว่าอีก สรุป โคตรเบียด โคตรแน่น!
แล้วก่อนหน้านี้ผมจะไปนอนโซฟาก็ไม่ยอม บอกว่าโซฟามันยุบอยู่ที่นึงนอนไปเดี๋ยวปวดหลัง พอบอกว่าไม่เป็นไรนอนพื้นหน้าทีวีก็ได้ก็บอกว่าแข็งไม่มีผ้าปูนอนรองแล้ว เอาจริงๆ คือผมไม่ซีเรียสซักอย่าง แต่นั่นแหละครับปัญหาของผมมันไม่หนักที่ผมครับ มันไปหนักที่ไหล่ไอ้พี่ตุลย์มัน ก็เลยฮึดฮัดยังกับเดือดร้อนไปด้วย
“อย่าบ่นหน่า ฉันไม่อยากจะไปนอนเบียดแม่ อยากให้นอนสบายๆ”
“คนบ่นมันก็พี่นั่นแหละ” ผมพ่นลมหายใจออกมาทางจมูกอย่างหงุดหงิด ตั้งแต่เกิดมาครั้งนี้แหละที่ผมนอนประหยัดพื้นที่มากที่สุด ตะแคงข้างแขนขาเหยียดตรง หน้าชิดกำแพงประหนึ่งแพลงกิ้งสไตล์ใหม่ “ให้มันได้อย่างนี้สิ วันนี้”
“...หงุดหงิดหรอไง? ถ้างั้นเดี๋ยวฉันไปนอนที่หน้าทีวีก็ได้” พี่ตุลย์ว่า ตั้งท่าจะเหมือนจะลุกไปจริงๆ ผมเลยรีบพลิกตัวกลับมาแล้วคว้าอีกฝ่ายไว้เสียก่อน
“ไม่ต้องอะ ถ้าพี่ไม่ให้ผมนอน แล้วผมจะให้พี่ไปนอนได้ไง แล้วอีกอย่างพี่ก็เป็นเจ้าของห้องด้วย”
“...”
“....นอนเนี่ยแหละ ทำตัวเล็กๆ หน่อยก็พอ”
“มันทำได้ที่ไหนกันเล่า” เสียงทุ้มพูดเสียงอ่อน รอยยิ้มเล็กน้อยที่ประดับขึ้นบนใบหน้านั้นทำให้ผมรู้สึกเขินขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก พลิกตัวไปอีกด้านหันหลังให้อีกฝ่ายแสร้งหงุดหงิดตามเดิม
“นอนได้แล้ว พรุ่งนี้ผมมีเรียนเช้า พี่เองก็ต้องไปทำงานเหมือนกัน”
“อื้อ” พี่ตุลย์ขานตอบ ผมค่อยๆ หลับตาหลงเตรียมตัวจะเข้าสู่ห้วงนิทราบ้าง แต่ก็ต้องเบิกจาโพล่งขึ้นมาอีกเมื่อรู้สึกถึงแรงสะกิดที่ไหล่
“อะไร?” ผมหันไปเฮ้ว
“ไม่บอกฝันดีหรอ?”
“หะ? ทำไมต้องบอก? ผมกับพี่ไม่เคยบอกฝันดีกันเลยนะ”
“งั้นวันนี้ก็เริ่มบอกได้แล้ว”
“แล้วทำไมผมต้องบอกด้วยอะ ถ้าไม่บอกแล้วจะฝันร้ายหรอไง?” ผมว่า ขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด พลิกตัวกลับมาประจันหน้ากับพี่ตุลย์ ก่อนจะชะงักกับความใกล้และลมหายใจร้อนๆ ของอีกฝ่ายรดลงบนใบหน้า อึ่ย! ดีนะที่ปิดไฟ เพราะไม่งั้นหน้าผมอาจจะแดงทะเลอทะล่าออกมาก็ได้
“บอกฝันดีฉันมาเดี๋ยวนี้”
“เอออออ โอเคๆ ฝันดีครับ พอใจยัง? นอนได้แล้ว” ผมพูดเสียงห้วนพลิกตัวกลับ หันหลังให้อีกฝ่ายตามเดิม
“...” พอเห็นว่าพี่ตุลย์ไม่พูดเอออออะไรอีก ผมก็ค่อยๆ หลับตาลงเตรียมจะเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง...
“นี่ เอส”
“อะไร!” ผมหันไปตะคอกเสียงเบาใส่ทันที คราวนี้ผมพลิกไปประจันหน้าเลย ไม่ขงไม่เขินแม่งแล้ว ไม่รู้หรอว่าคนเราจะยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นท่าถูกปลุกตอนที่กำลังจะนอน!
“ฉันขอโทษเรื่องแม่ด้วยนะ ที่ว่านาย แล้วนายยังต้องแบ่งที่นอนให้ฉันอีก”
“!” ผมอึกอักไปกับน้ำเสียงจริงจังของอีกฝ่าย ใช้เล็บขูดหมอนจนเกิดเสียงเบาๆ แก้อาการทำตัวไม่ถูก “ก็...ไม่เป็นไรหรอก เรื่องที่ด่าผม ผมคุยกับแม่พี่แล้ว เขาบอกว่าห่วงพี่มากเกินไป ผมก็เข้าใจ ไม่ได้ติดใจอะไร”
“ห่วงฉัน?”
“ใช่สิ”
“ห่วงอะไร?”
“ผมจะไปรู้กับแม่พี่หรอ? พี่เคยแหลกเหลวเรื่องครอบครัวหรือเรื่องความรักให้แม่กับพ่อของพี่เห็นหรือเปล่าละ ถ้าเห็นแม่พี่เขาก็คงห่วงเรื่องนั้น ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก”
“อ๋อ...” พี่ตุลย์ลากเสียงในลำคอ ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียง ‘หึ’ ออกมาเบาๆ “เรื่องไร้สาระ ห่วงไม่เข้าเรื่องจริงนะ”
ผมเงียบ กรอกตาไปมาในความมืดอย่างลังเลก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถามในที่สุด “แม่พี่ห่วงเรื่องอะไรอยู่หรอ? เล่าให้ฟังหน่อยดิ”
“เรื่องไร้สาระหน่า อย่าไปสนใจเลย แค่อาการวิตกของคนมีอายุแหละ”
“...” ผมเงียบ ถ้าไฟเปิดไอ้พี่ตุลย์คงเห็นแล้วว่าผมจ้องเขม็งและกำลังไม่พอใจ พอเป็นเรื่องของตัวเองทีไรแม่งไม่เคยเล่า ให้รู้อะไรแบบครึ่งๆ กลางๆ งี้ตลอด ชักจะขึ้นแล้วว่ะ ขึ้น! “ไม่ต้องอ้อมเลย พูดตรงๆ เลยว่าไม่อยากเล่า แค่นั้น!”
พรึ่บ!
ผมพลิกตัวหันหลังให้ ขยับตัวชิดกำแพงมากขึ้นสะบัดผ้าห่มที่คลุมตัวอยู่ออกแล้วยัดเอาไว้ในช่องว่างระหว่างผมกับไอ้พี่ตุลย์ ให้รู้ชัดไปเลยว่า หงุดหงิด! ช่างแม่ง ไม่เล่าก็ไม่ต้องเล่า นี่ไม่ได้งอนนะ อ่านปากณัชชา นี่-ไม่-ใช่-อาการ-งอน!
“เดี๋ยว...อะไร? โกรธหรอ?”
“...”
“มันแค่เรื่องเล็กน้อยหน่า ไม่น่าสนใจหรอก แม่ก็ห่วงมากเกินไปก็แค่นั้น”
“...”
ถ้ามันเล็กจริง พูดออกมามันจะตายไงวะ?
“เอาจริงดิ?”
“...”
“นี่หลับหรือเปล่า?”
“...”
“เฮ้อ...” มีการถอนหายใจใส่ด้วย! ผมหลับตาเตรียมตัวนอนเลยครับ ช่างมันเลยยยย ไม่อยากให้รู้ก็ไม่รู้ก็ได้ ปิดบังผมแม่งให้หมดทุกเรื่องนั่นแหละ! “อยากรู้ความผิดพลาดในชีวิตของฉันขนาดนั้นเลยหรอไง? หื้ม เอส ก็บอกอยู่ว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรก็แค่...ฉันเป็นผู้ชายที่โดนทิ้งจากผู้หญิงคนเดิม 'สาม' ครั้ง”
“...จากใครอะ?”
“นึกว่าหลับไปซะแล้ว”
“ถ้าหลับ แล้วจะคุยแบบนี้กับพี่ได้หรอไงละ เอาๆ อย่าเบี่ยงประเด็น ตอบมา ใครหรอผู้หญิงคนนั้นน่ะ?”
“ต้องเล่าอีกหรอ?”
“ก็พูดขึ้นมาแล้ว มันก็ต้องเอาให้สุดสิ!”
“ฉันง่วงแล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไปทำงานอีก นอนๆ”
“พี่ตุลย์!” ผมพลิกตัวกลับมาประจันหน้า เขย่าตัวคนที่หลับตาไปแล้ว และถ้ายังไม่ตื่นนะจะเรียกไอ้แล้วอะจริงๆ! “โอเคๆ ไม่ต้องเล่าก็ได้ แต่บอกหน่อยดิ ว่าคนที่อกหักพี่ทั้งหมดสามครั้งนั่นอะ ใช่...แม่ที่หนึ่งกับตอนต้นปะ”
อีกฝ่ายลืมตาขึ้นหนึ่งข้าง “ทำไมคิดงั้นอะ?”
“ง่ายมาก เพราะในชีวิตพี่น่าจะไม่มีผู้หญิงในชีวิตเยอะอะดิ อิอิ โอ๊ย!” ผมร้องลั่นเมื่อไอ้พี่ตุลย์ดึงหูอย่างแรง ไม่พอแม่งเอามือมาตะปบหน้าผมอีก! เข้าใจว่าต้องการปิดปากไม่อยากให้แม่กับลูกตื่น แต่ช่วยทำแบบถนอมหน่อยได้ไหม!
“ดูถูกฉันมากไปหรือเปล่า?”
“เอ้า ถ้ามันไม่ใช่ก็บอกมาดิว่าใคร แต่แป๊บนะ! เดี๋ยวไปหยิบของก่อน” ผมลุกพรวดพราดหยิบสมุดจดและดินสอก่อนจะเดินกลับมานั่งขัดสมาธิพร้อมฟังและจดเล็คเชอร์ตั้งใจสุดอะไรสุด “พร้อมละ เล่ามาได้”
“...”
“เล่าๆ” ผมใช้นิ้วโป้งเท้าสะกิดคนที่ยังนอนอยู่ยิกๆ แต่ไอ้พี่ตุลย์พลิกตัวหันหลังให้ผมเฉย ตัดจบบทสนทนาไปเสียดื้อๆ จนผมเผลอเรียกเสียงหลง “ไม่ทำงี้ดิ”
“...”
ผมเกาหัวแกร๊กๆ พอเห็นว่าพี่ตุลย์ไม่ตอบสนองเลยสักนิด จะตื้อต่อก็ดันรู้สึกกังวลใจขึ้นมาว่าพี่ตุลย์โกรธไปแล้วหรือเปล่าที่ผมทำท่ากระตือรือร้นอยากรู้เรื่องที่เขาโดนหักอกมากเกินไป เออว่ะ...ถ้าตอนนั้นทำให้พี่เขาย้ำแย่จนแม่ต้องเป็นห่วงขนาดนี้ มันก็คงไม่ใช่เรื่องที่ผมจะเอามาทำเล่นๆ ได้สินะ
“...ขอโทษนะ”
“...”
ผมเม้มปากแน่นเมื่อเห็นว่าพี่ตุลย์ไม่ตอบรับคำขอโทษผมด้วยซ้ำ จะบอกว่าหลับไปแล้วก็ไม่ใช่เพราะผมรู้สึกอยู่ว่าเมื่อกี้พี่เขาขยับตัว ผมส่งเสียงอื้อในลำคอเบาๆ รู้สึกอึกอักขึ้นมาจนรู้สึกทำตัวไม่ถูก อยากจะขอโทษอีกรอบก็กลัวพี่ตุลย์ยิ่งหงุดหงิด จึงตัดสินใจวางสมุดไว้ข้างหมอนก่อนจะล้มตัวลงนอนหันหลังให้กับอีกฝ่ายเช่นกัน
หมับ...
ผมเหลือบมองแขนและขาที่พาดเกยมาบ่นตัว ไม่รู้จะยิ้มหรือจะถอนหายใจก่อนดี แต่ในใจกับรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก
“สรุปไม่ได้โกรธอยู่หรอไง?”
“ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าโกรธ”
“ก็เห็นหันหลังให้ พูดขอโทษแล้วก็ไม่หือไม่อือ”
“ก็บอกอยู่ว่าง่วง”
"หรออออ” ผมลากเสียงยาวกวนประสาท แต่ไอ้พี่ตุลย์ก็มีเพียงเสียงหัวเราะหึในลำคอตอบกลับมาเท่านั้นกลับแขนที่กระชับผมให้เข้าไปใกล้มากขึ้น จนหลังแทบจะแนบชิดอยู่กับบางอย่างที่ร้อนผะแผ่ว ความรู้สึกของอะไรบางอย่างที่เต้บตุ๊บอยู่ด้านหลัง ทำให้หัวใจของผมที่สงบนิ่งก็เริ่มบ้าคลั่งขึ้นมาเช่นกัน “ปล่อยหน่า อึดอัด”
“ก็มันไม่มีหมอนข้างนี่หน่า แม่เอาไปแล้ว” เสียงนั่นอยู่ใกล้หูมากกว่าที่เคย ลมร้อนที่รู้สึกจากอีกฝ่ายค่อยๆ แผ่กระจายไปทั่วร่าง
ฉิบ..หายแล้ว
กะ ใกล้ไป
“พี่ก็เอาผ้าห่มไปกอดก่อนไป! ปล่อยผม อึดอัด มันร้อนนอนไม่หลับ”
“อดทน เป็นผู้ชายก็อดทน หลับตาไปเดี๋ยวก็หลับเองแหละ”
“ก็บอกอยู่ว่านอนไม่หลับ ปล่อยดิ!” ผมกดเสียงเข้ม ขยับตัวดีดดิ้นพอเป็นพิธี (?) แต่ไอ้พี่ตุลย์ก็ทำหูทวนลมไม่รับรู้ไม่พอยังแสร้งทำเสียงกรนใส่อีก จนผมต้องจิ๊ปากอย่างขัดใจ “นี่ก็ลวนลามจัง เป็นอะไรกันยังถามจริง?”
“ต้องเป็นอะไรกันเท่านั้นหรอไงถึงจะแตะได้”
“ก็เอออะดิ มันควรจะเป็นเรื่องปกติดิครับ ผมไม่ใช่รูปปั้นนะที่ไม่ว่าใครก็จะมาแตะตัวได้หมดอะ” ผมพลิกตัวไปหาอีกฝ่าย และเป็นระยะที่ใกล้มากจนมองเห็นแววตาของพี่ตุลย์ได้ในความมืด และบางอย่างก็ทำให้ผมรู้สึกตัวว่านานแล้วที่ผมกับเขาไม่เคยได้คุยเรื่องของ ‘เรา’ กันบ้างเลย “นี่ พี่ลืมไปยังว่าผมบอกชอบพี่ไปแล้ว?”
พี่ตุลย์สบตาผมนิ่ง ราวกับทดสอบความจริงจังที่ผมมีอยู่ และตอนนี้เขารู้แล้วว่าผมไม่ได้กำลังล้อเล่น เขาถอนหายใจ แขนอีกข้างที่ไม่ได้พาดอยู่บนเอวผมถูกสอดไว้ใต้หัวของเขา ขยับท่าทางให้พร้อมคุยมากขึ้น
“พรุ่งนี้ทั้งฉันทั้งนายต้องตื่นเช้าแท้ๆ แต่วันนี้เราคงจะไม่ได้นอนแล้วแหละ”
“...”
“...ฉันยังไม่ลืม”
“แล้วพี่มีคำตอบให้ผมยัง? จริงอยู่ที่ตั้งแต่วันนี้ผมไม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก แต่ไม่ใช่เพราะผมไม่ใส่ใจหรอก แต่ผมไม่อยากจะเร่งเร้า..ทั้งพี่และตัวของผมเอง ผมอาจจะเล่นไปเรื่อย ดูไม่จริงจังกับเรื่องไรเลย แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ ผมรอ...ผมรอคำตอบของพี่อยู่นะ” เสียงผมสั่นราวกับนั่นไม่ใช่เสียงของตัวเอง
ทั้งๆ ที่ควารจะเขินอายเพราะกำลังพูดในเรื่องที่ตัวผมไม่ชิน แต่ความรู้สึกกดดัน อึดอัดกลับอัดแน่นอยู่ในอกของผมมากกว่า
“คนที่รอมันไม่ใช่นาย แต่เป็นฉันต่างหาก”
“หะ?”
พี่ตุลย์ดึงแขนที่พาดอยู่บนเอวผมกลับ พลิกตัวนอนหงายประสานมือไว้หลังศีรษะมองฝ้าเพดานสีขาวอย่างใช้ความคิด
“ฉันรอให้นาย ‘รัก’ ไม่ใช่ ‘ชอบ’ ฉันต่างหาก”
“!”
อะ ไอ้พี่ตุลย์กำลังพูดอะไร...
“ฉันไม่มีอนาคต ไม่มีความรู้สึกอะไรให้กับคนที่เพียง ‘ชอบ’ ฉันหรอก แต่ฉันมีให้กับคนที่ ‘รัก’ ฉัน และ
นี่ฉันก็กำลังรอให้นายเป็นคนนั้นอยู่ เป็นคนที่รักฉัน”
“!”
“ขนาดห้องมืดขนาดนี้ แต่ฉันคิดว่านายต้องหน้าแดงอยู่แน่ๆ”
“มะ มันก็ต้องแดงสิ! ก็พี่พูดอะไรของพี่เนี่ยเป็นผู้ชายหน้าไม่อายหรอไง” ผมเผลอพูดเสียงดัง ก่อนจะหลบตาวูบพูดเสียงอุบอิบด้วยความขวยเขินในตอนท้าย ความร้อนวูบวาบไปทั่วใบหน้าจนปวดหัวจี๊ด วินาทีนี้เนี่ยแหละที่ผมเพิ่งเข้าใจว่า เขินจนควันออกหูมันเป็นยังไง
ทั้งๆ ที่ผมก็เป็นผู้ชาย และพี่ตุลย์ก็เป็นผู้ชาย แล้วทำไมถึงต้องเป็นผมที่มีความรู้สึกเหมือนสาวน้อยแบบนี้ด้วยวะเนี่ย
“หน้าไม่อายอะไร? ก็นายเป็นคนเริ่มก่อนเอง”
“นอนไปเลยไป ไม่คุยด้วยแล้ว!”
“เอาแต่ใจชะมัด นึกอยากคุยก็ชวนคุยไม่สนใจ อยากถามอะไรก็ถาม อยากรู้อะไรก็เค้นมาให้ได้ แต่พอไม่อยากคุย ก็ไล่กันเฉยๆ คุยกันไม่จบก็ตัดบท แล้วมันคุยได้เรื่องบ้างไหม”
“พี่ก็ลองรู้สึกแบบผมบ้างดิ แบบที่เขิน แบบที่อายจนทำอะไรไม่ถูกอะ!”
“แล้วนายรู้ได้ไงว่าฉันไม่รู้สึกเหมือนกัน ถ้านายคิดว่าฉันไม่ตื่นเต้นก็ลองจับหัวใจฉันดู”
“...” ผมสบตากับพี่ตุลย์ปล่อยให้ความเงียบเป็นตัวสื่อระหว่างเรา ก่อนที่ผมจะเลื่อนสายตามองอกด้านซ้ายและวางมือลงบนหัวใจดวงนั้น...หัวใจที่กำลังเต้นแรงอย่างเดียวกับกับที่หัวใจของผมกำลังเป็น “เต้นแรงจัง...ไม่ใช่แค่หัวใจพี่นะ หัวใจผมก็ด้วย”
“ทีนี้รู้ยังว่าฉันเองก็ไม่ได้ไม่รู้สึกอะไร เวลาคุยเรื่องนี้ฉันก็เป็นเหมือนๆ นายนั่นแหละ”
“มันแปลว่าตอนนี้พี่ก็ชอบผมใช่เปล่า?”
“...คงงั้น”
“แม้ผมจะเป็นผู้ชายอะหรอ?”
“ฉันเป็นผู้ชายนายยังชอบฉันเลย แล้วอีกอย่างจะให้ทำยังไงได้ ก็มันดันเผลอกลายเป็นแบบนี้ซะแล้ว”
“งี้ก็แปลว่า ผมไม่ได้อกหักใช่เปล่า!?”
“ก็ใช่สิ” พี่ตุลย์ขมวดคิ้วใส่ผมมึนงงกับรอยยิ้มกว้างๆ ที่ผมก็ไม่รู้ว่ามันขึ้นมาประดับอยู่บนใบหน้าของผมตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี่เคยคิดด้วยซ้ำว่าถ้าพี่ตุลย์ตอบรับก็เท่ากับผมเป็นเกย์แล้วคงรู้สึกแย่มากแท้ๆ แต่พอพี่เขาตอบรับผมจริงๆ ผมกลับไม่รู้สึกกังวลเรื่องนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว มีแต่คำว่าดีใจ ดีใจ และดีใจอยู่ในหัวแค่นั้นเอง!
นึกออกไหมอะ นึกออกไหม การที่ชอบคนๆ นึง และคนๆ นั้นก็ชอบกลับมันให้ความรู้สึกที่วิเศษยังไง!
“นี่ พี่บอกว่ารอให้ผมเป็นคนที่รักพี่อยู่ใช่ไหม ขอบอกตรงนี้เลยนะ ว่าผมจะไม่เป็นคนที่รักพี่ก่อน! ไหนๆ ตอนนี้เราอยู่ในขั้น ‘ชอบ’ เหมือนกันแล้ว ถ้าจะ ‘รัก’ ก็ต้องพร้อมกันเท่านั้น เข้าใจเปล่า? ฮี่ๆ” ผมยิ้มแฉ่ง
พี่ตุลย์เบิกตากว้างก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงเบาๆ คลอเคล้ากับท่าทางอารมณ์ดีของผม เขาไม่พูดอะไรแต่ตวัดแขนดึงผมเข้าสู่อ้อมกอด แถมกดหัวจมกับอกแกร่งนั่นเป็นการตอบรับคำพูดที่ผมลั่นไว้ ด้วยความตกใจผมขืนตัวสุดแรงก่อนจะต้องยิ้มและหัวเราะออกมาอีกชุดใหญ่เมื่อรู้ว่าทำไมพี่ตุลย์ถึงต้องกดหัวเอาไว้ให้ผมไม่เห็นใบหน้าของเขา
“ขนาดห้องมืดขนาดนี้ แต่ฉันคิดว่านายต้องหน้าแดงอยู่แน่ๆ” ขอคืนให้แล้วกัน ขนาดห้องมืดขนาดนี้ ผมยังรู้เลยว่าหน้าพี่ตุลย์ก็ต้องกำลังแดงอยู่แน่ๆ เหมือนกันแหละ~
TBCชอบม๊าาาา ชอบม๊าาาา ตอบบบบบบ
หวานมากมั้งง แต่งไปก็ฟินไป ฮืออออ (/-\) เป็นความรู้สึกเรื่อยๆ แบบ หวานๆ เรื่อยๆ กันไป
ขอโทษที่หายไป 2 วันนะคะ เพราะว่าคอเคล็ด เดี้ยงเลยพิมพ์คอมไม่ได้เลย พอไปนวดจนหายก็เอาเอสน้อยมาเสริฟเลยน๊าาา ~