ตอนที่ 20ไม่รู้ว่าวันนี้น้องเดียร์หายไปไหน แต่พี่กิ๊ฟนั้นโทรมาบอกผมว่าเธอจะกลับกรุงเทพแล้ว ดูท่าทางรีบร้อนมากเหมือนมีเรื่องด่วน แต่น้ำเสียงของเธอไม่ดีเลย ผมบอกขอโทษที่ไม่ได้ไปส่งเธอ เพราะตอนนั้นกำลังทำ...กิจกรรมรอบเช้ากับพี่พ่าย เราคงเหมือนคู่แต่งงานใหม่จริงๆ ที่ไม่เคยรู้จักพอในความต้องการอยากสัมผัสอีกฝ่าย ห้องสวีทของรีสอร์ทกลายเป็นสมรภูมิรักของผมกับเขา ทั้งในห้องน้ำ บนเตียง โซฟา หรือแม้แต่ที่ระเบียง...ผมแทบขาดใจตายและละลายอยู่ในอ้อมแขนของเขา จนตอนนี้ก็อยากจะละลายรวมไปกับน้ำทะเล
พี่พ่ายอยู่ในกางเกงว่ายน้ำแค่ตัวเดียว เผยแผ่นอกกำยำและกล้ามท้องสวยๆ เขาพาผมนั่งเรือมาในจุดที่สามารถดำน้ำตื้นดูปะการังได้ สอนวิธีเสร็จสรรพว่าต้องทำยังไง แถมยังจับมือผมพาดำลงมาใต้ทะเลเพื่อดูปลาและปะการังสวยๆ ด้วยกัน ผมจับมือเขาไว้แน่น ทั้งภูมิใจที่อยากอวดใครต่อใครว่ามีแฟนที่หล่อ หุ่นดีและเซ็กซี่มากๆ อย่างนี้ แต่ก็หวงไม่อยากให้ใครมองเขา แม้ในจุดที่พวกผมอยู่จะไม่ค่อยมีคน แต่ก็ยังมีสาวๆ กลุ่มหนึ่งในชุดบิกินนี่อยู่ไม่ไกล
“พี่พ่าย” ผมนั่งอยู่บนห่วงยาง แถมใส่ชูชีพลอยตัวอย่างสบายอารมณ์ มีมือของพี่พ่ายรั้งห่วงยางไว้ไม่ให้มันลอยไปไกลจากตัวเขา น้ำไม่ลึกและใสมากทำให้คนที่ว่ายน้ำเป็นแค่ท่าลูกหมาตกน้ำอย่างผมไม่ต้องกังวลอะไร แถมพี่พ่ายยังอยู่ข้างๆ อีก ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมก็ไม่ค่อยชอบใจเพราะสายตาพวกผู้หญิงที่มองมา พวกเธอไม่เห็นรึไงว่าแผ่นหลังของพี่พ่ายมีรอยข่วนที่เป็นฝีมือของผมเต็มไปหมด แถมรอยดูดที่ผมทำไว้ก็มีให้เห็นชัดเจนด้วย ยังจะมองมาอยู่ได้
“เป็นอะไร”
“หวงอ่ะ ทำไมพวกนั้นต้องมองพี่ด้วย” ผมทำปากยื่น เลยโดนพี่พ่ายดึงเล่นแล้วดีดเบาๆ
“แค่มอง ไม่เห็นเป็นไร เอาไปไม่ได้อยู่แล้ว” พี่พ่ายยิ้ม ก้มลงมากระซิบข้างหูผมด้วยว่า “มีแต่มึงที่เอาได้”
“ฮื่อออ ผมเขินนะ” ผมทุบไหล่พี่พ่ายเบาๆ กอดตัวเขาไว้พลางแลบลิ้นให้กับผู้หญิงพวกนั้นที่รีบเบือนหน้ามองไปทางอื่นทันที
“หึ ไปดูตรงนั้นไหม”
“อือ” ผมพยักหน้าแล้วยอมให้พี่พ่ายลากห่วงยางที่ผมนั่งอยู่ไป มีเสื้อชูชีพนี่ก็ดีไปอย่าง แถมห่วงยางนี่ก็ไม่ต้องทำให้ผมว่ายท่าที่น่าอายให้พี่พ่ายเห็นด้วย
“ว่าแต่น้องเดียร์ไปไหนอ่ะ พี่ไม่ชวนมาด้วยกันล่ะ” ถามไปตามมารยาท เอาเข้าจริงผมก็ไม่ได้อยากให้พี่พ่ายชวนมาหรอก
“กลับไปแล้ว”
“อ้าว...ทำไม” ผมควรทำหน้าตกอกตกใจถามเขา ไม่ใช่ยิ้มชั่วร้ายแบบนี้ พี่พ่ายจะคิดว่าผมเป็นคนยังไงกันละเนี่ย
“กูอยากอยู่กับมึงสองคน”
หัวใจผมเต้นรัวแรง อยากโดดเข้าไปกอดเขาเดี๋ยวนี้ แต่ก็ต้องห้ามใจไว้ เพราะถ้าหล่นจากห่วงยางไปคงจบไม่สวย
“อื้ม ผมก็อยากอยู่กับพี่สองคนเหมือนกัน” ผมตอบกลับไปเบาๆ กระชับมือที่จับกันอยู่ให้แน่นขึ้น “ซารางเฮอปป้า”
“รู้ครับ”
ยิ่งได้ยินคำว่าครับจากเขา หัวใจผมยิ่งดิ้นพล่าน ผมลืมไปหมดแล้วล่ะกับความกลัวในการกระทำที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของเขา ซึ่งเป็นเหมือนบททดสอบในความอดทนของผม และเพราะผมอดทนไหว ตอนนี้เราเลยมีความสุขด้วยกัน
ผมลงจากห่วงยางแล้วดำลงไปดูใต้ทะเลกับพี่พ่ายอีกครั้ง แนวปะการังสวยมีปลาบางตัวแอบซ่อนอยู่ในนั้นด้วย แถมสีของมันก็เหมือนกันจนแยกไม่ออก แต่จู่ๆ พี่พ่ายก็ดึงผมเข้าไปใกล้ ตกใจจนปากเกือบจะปล่อยท่อหายใจออกแล้ว ผมมองเขาอย่างงงๆ ในขณะที่เขาจับมือผมแล้วดึงไปทางอื่น
พี่พ่ายคงมาที่นี่บ่อย ถึงได้รู้จุดว่าตรงไหนจะได้เห็นปลาเยอะๆ และปะการังตรงไหนสวยจนยากจะละสายตา ผมจับมือของเขาแน่น ไม่มีความกังวลใดๆ ในขณะที่เรากำลังดูภาพที่สวยที่สุดด้วยกันในเวลานี้
ผมกับพี่พ่ายดำน้ำกันจนพอใจแล้วก็กลับขึ้นฝั่ง ทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย จนตอนนี้นอนเกลือกกลิ้งอยู่บนผืนทรายก็ไม่ได้สนใจแล้วว่ามันจะสกปรก พี่พ่ายนั่งชันขาขึ้นข้างหนึ่ง แล้วมองไปยังทะเลเบื้องหน้า
“พระอาทิตย์จะตกแล้ว ลุกขึ้นมาดูเร็ว” เขาบอกพลางหันมายิ้มให้ ผมเลยรีบลุกขึ้นนั่งแล้วเอนหัวไปซบไหล่ของเขาที่ไม่ได้บ่นว่าอะไรแม้ว่าเนื้อตัวของผมจะเต็มไปด้วยเม็ดทราย
“มีความสุขจัง”
“ก็ดีแล้ว”
“พี่ล่ะมีความสุขไหม”
“อืม”
“อยากอยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไปเลย”
“หึ โลภมาก” เขาหัวเราะแล้วยกแขนขึ้นโอบไหล่ผมไว้พลางลูบหัวผมเบาๆ
“ไม่ได้โลภมากนะ รู้สึกแบบนี้จริงๆ นี่นา”
“ครับ”
“งื้อออ พี่พ่าย พูดเพราะแล้วผมจะละลายทุกทีเลย”
“แล้วชอบไหม...”
“ชอบมาก”
“กับจูบล่ะ?”
“เลือกยากอ่า อื้ออออ อืมมมม” แค่บอกว่าเลือกยาก เขาก็ทำให้ผมไม่ไขว้เขวอีกว่าผมควรเลือกอะไร
การได้จูบกับพี่พ่ายท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่กำลังอ่อนแรงนั้นเป็นอะไรที่ฟินสุดจะบรรยาย ชอนซงอีต้องอิจฉาในความโชคดีของผมแน่ๆ เพราะโทเมเนเจ้อจูบไม่ได้อย่างพี่พ่ายเลยสักนิด หึหึหึ
“เลือก” น้ำเสียงทุ้มแหบพร่าของพี่พ่ายทำให้ตัวผมอ่อนยวบอยู่ในอ้อมแขนของเขา
“จูบ...ผมชอบจูบของพี่”
“อืม เอาอีกไหม”
ผมจะปฏิเสธอะไรได้ ...ไม่มีวันที่ผมจะปฏิเสธพี่พ่ายได้อยู่แล้ว
หลังจากการจูบใต้แสงอาทิตย์อัสดงที่ทำผมฟินจนหุบยิ้มไม่ได้แล้ว พี่พ่ายก็พากลับห้องพัก เราสานต่อความต้องการกันที่นั่นหลายต่อหลายครั้ง ก่อนเขาจะทำให้ผมยิ้มกว้างขึ้นไปอีก เพราะเมื่ออิ่มจากรสสวาทของเขาแล้ว เขาก็พามาดินเนอร์ใต้แสงเทียน ตอนนี้ผมเลยกำลังนั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศของทะเลยามค่ำคืนและไวน์รสเยี่ยม มีลมทะเลพัดมาเบาๆ เสียงคลื่นก็ฟังรื่นหู แถมคนตรงหน้ายังมองมาด้วยแววตาที่ทำให้ผมไม่กล้าสบ
“พี่พ่าย...”
“หืม”
“มองอะไรนักหนา”
“มองแฟนตัวเองไม่ได้หรือไง”
ผมแทบอยากจะโขกหัวลงกับโต๊ะ ประโยคที่ได้ยินนั้นแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง แต่ก็ต้องเชื่อเพราะว่านี่ไม่ใช่ความฝัน...มันเป็นเรื่องจริง เขานั่งอยู่ตรงหน้าผม และเราก็คบกันแล้วจริงๆ
“มันก็ได้อยู่หรอก แต่ผมก็เขินเหมือนกันนะ รู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องจริงยังไงไม่รู้”
พี่พ่ายคลี่ยิ้ม ยื่นมือมาสัมผัสหลังมือของผม แล้วเกลี่ยไปมาเบาๆ
“รู้สึกไหม”
“อื้ม โอ้ยย พ่าย!” ผมเอ็ดเขาเบาๆ เพราะอยู่ๆ เขาก็ยกมือผมขึ้นกัดซะงั้น กัดแรงด้วยนะ เห็นรอยฟันเลย
“รู้หรือยังว่าเป็นเรื่องจริง”
“อื้มมม รู้แล้ว แค่หยิกก็ได้นี่นา ไม่เห็นต้องกัดเลย”
“หึ ชอบเจ็บๆ ไม่ใช่เหรอ”
“ไม่จริงซะหน่อย ที่ผมชอบ...เพราะเป็นสิ่งที่พี่ทำต่างหาก”
“หึ เด็กบ้า”
เขาขยี้หัวผม ผมจึงจับมือเขาไว้แล้วเอามาแนบที่แก้ม
“วันนี้พี่พ่ายใจดีจัง” ผมยอมรับว่าผมชอบพี่พ่ายเวอร์ชั่นนี้มาก แต่ผมจะไม่บอกหรอกว่าชอบแบบไหน เพราะไม่ว่าพี่พ่ายจะเป็นยังไง ผมก็รับได้ พี่พ่ายแค่เป็นผู้ชายที่ทำให้ผมหัวใจเต้นแรงก็พอแล้ว จะดีจะร้าย...ไม่ได้สำคัญอะไรเลย
“ไม่ดี?”
ผมส่ายหน้า แล้วจูบลงบนฝ่ามือของเขา “พี่พ่ายจะเป็นแบบไหนก็ดีทั้งนั้นแหละครับ แค่เป็นพี่ในแบบที่พี่ต้องการก็พอแล้ว”
“แม้บางทีความต้องการของกูจะไม่ได้มีแค่มึงคนเดียวน่ะเหรอ”
“ถ้าเป็นความสุขของพี่ ก็ทำเถอะครับ แค่ยังกลับมาหาผมก็พอแล้ว”
มันไม่ได้ทำใจง่ายๆ ได้อย่างที่พูด ผมยอมรับว่าความเจ็บปวดมันเกิดขึ้นทุกครั้ง...ทุกลมหายใจเข้าออก แต่การจะรั้งให้ใครอยู่กับเรา...รั้งได้แค่กาย...ไม่นานก็คงต้องปล่อยไป จะรั้งหัวใจก็เป็นเรื่องยาก
“อืม”
ผมปล่อยให้บทสนทนานั้นจบลงแค่คำตอบรับสั้นๆ ของพี่พ่าย ปล่อยให้ความจริงที่ว่าผมไม่อาจเป็นที่สุดสำหรับเขาได้เกาะกินใจทีละเล็กละน้อย
“เพี้ยน”
“ครับ”
“ถ้าวันหนึ่ง...กูตาบอดขึ้นมา มึงจะทำยังไง”
คำถามของพี่พ่ายทำให้ผมต้องละสายตาจากท้องทะเลที่ดำมืดตรงหน้า ผมมองเขา จ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่ทำให้ผมหลงใหลจนต้องวิ่งตามเขามาจนถึงจุดนี้
“ผมจะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ เพื่อให้พี่ได้ใช้ชีวิตอย่างปกติต่อไป”
“อะไรคือสิ่งที่มึงจะทำ”
ผมยิ้มเล็กน้อยกับคำถามของเขา เหมือนบททดสอบอะไรสักอย่างที่เขาอยากจะได้คำตอบเพื่อนำไปประเมิน
“ผมก็ตอบไม่ได้ว่าอะไร มันขึ้นอยู่กับความต้องการของพี่ ถ้าต้องการกำลังใจ ผมจะเป็นกำลังใจให้ ถ้าต้องการคนดูแล ผมจะเป็นคนดูแลให้...ผมจะพาพี่ไปในทุกๆ ที่ที่พี่อยากไป สิ่งที่พี่ไม่สามารถทำได้ ผมก็จะทำแทนให้”
“แล้วถ้ากูต้องการดวงตาคู่ใหม่...เพื่อหนีออกจากโลกมืดมิดที่กูอยู่ มึงจะมอบดวงตาของมึงให้กูไหม”
เป็นคำถามที่ผมไม่ได้คาดคิด คำตอบของผมที่มอบให้กับเขาจึงมีเพียงความเงียบ ...ผมไม่รู้ว่าผมจะสามารถทำได้ไหม เพราะในสถานการณ์ที่แค่ใช้ความคิดมากกว่าความรู้สึกแบบนี้ ไม่สามารถตัดสินใจได้จริงๆ ว่าควรทำสิ่งไหนถึงจะดี
ดวงตาของผม...ถ้ามอบมันให้ก็เหมือนยอมรับความพิการไปตลอดชีวิตเพื่อมอบโลกใหม่ให้กับคนที่ตัวเองรัก...นั่นเป็นโจทย์ที่ยากยิ่งกว่าการยอมตายแทนได้ ความรักของผมยังคงมีความลังเล...เพราะมันไม่ใช่ความรักที่อยากจะเห็นคนที่ตัวเองรักมีความสุข มีชีวิตที่ดี แต่ความรักของผม...ก็คือการอยากจะมีความสุขไปกับคนที่ตัวเองรัก อยากอยู่ข้างๆ และยิ้มไปกับเขาในทุกๆ วัน ...อีกทั้งคนที่ผมรักนั้น...ก็ไม่ได้ทำให้แน่ใจเลยว่า หากผมพิการและกลายเป็นภาระให้กับเขา เขาจะยังอยากมีความสุขกับคนตาบอดอย่างผมไหม นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำให้คำตอบของผม...ไม่ชัดเจน
“ว่ายังไง”
“พี่ไม่มีทางตาบอดหรอก อย่าคุยเรื่องซีเรียสแบบนี้เลยน้า บรรยากาศกำลังดีเลย”
“อืม” พี่พ่ายรับคำสั้นๆ แล้วยกไวน์ขึ้นดื่มจนหมดแก้ว ความเย็นชาที่ฉาบไปบนผิวหน้าของเขานั้นทำให้ผมต้องยื่นมือไปลูบหลังมือเขา
“ทำให้โกรธเหรอ ขอโทษนะครับ”
“กูไม่ชอบเวลาที่ถามแล้วไม่ได้คำตอบ”
“ก็ผมไม่รู้จะตอบยังไงนี่นา มันเป็นเรื่องยากนะครับ”
“มึงยังรักกูไม่มากพอ”
“เป็นงั้นไป ผมรักพี่จนจะบ้าตายอยู่แล้ว อีกอย่าง...นี่มันก็แค่สมมติเองนะพี่พ่าย ถ้าเกิดว่าพี่ตาบอดจริงๆ ใครจะรู้ว่าผมจะทำอะไร จริงไหมล่ะ”
“งั้นกูเปลี่ยนคำถาม” พี่พ่ายมองสบตากับผม ความตึงเครียดที่อยู่ๆ ก็เกิดขึ้นทำให้ผมรู้สึกอึดอัดอยู่ไม่น้อย “ถ้าคนที่มึงรัก เป็นคนมอบดวงตาให้กู มึงจะว่ายังไง”
ผมขมวดคิ้วมองพี่พ่าย คำถามที่มาเหนือความคาดหมายสะกดความสับสนที่เกิดจากคำถามก่อนหน้า แต่จุดความสงสัยขึ้นมาทันที
“พี่หมายความว่ายังไง ใครคือคนที่ผมรัก...แล้วควรมอบดวงตาให้พี่”
ถ้าพี่พ่ายเคยตาบอดจริงๆ ผมคงจะคิดมากกว่านี้...แต่เพราะผมนึกไม่ออกเลยกับภาพของผู้ชายที่สมบูรณ์แบบอย่างไร้พ่ายต้องใช้ชีวิตอย่างคนที่พิการคนหนึ่ง
“แค่สมมติ” พี่พ่ายพูดช้าๆ ชัดเจนทุกคำ แต่ในใจของผมกลับกำลังมีเมฆหมอกลงปกคลุม ผมไม่เคยสะกิดใจในเรื่องนี้ แม้ไอ้มาวินจะเป็นคนสนิทของพี่พ่าย แต่ผมก็ไม่เคยคิดถึงว่าพี่พ่ายกับพี่สาวของผมจะรู้จักกัน ผมไม่ได้คิดถึงขั้นนั้น แต่ถ้า...
ไม่หรอก...มันไม่มีความเป็นไปได้เลยสักนิด แม้คำถามของเขาจะทำให้รู้สึกทะแม่งๆ มากแค่ไหนก็ตาม
“ผมบอกตามตรง...แค่คิด...ก็รู้สึกแย่มากๆ แล้ว ถ้าคนที่ผมรัก หมายรวมถึงพ่อแม่ญาติพี่น้องทุกคน หรือแม้กระทั่งเพื่อน มอบดวงตาให้พี่ ผมคงได้แต่คิดว่า...เขาคงรักพี่มากๆ และการที่คิดว่าต้องมารักคนๆ เดียวกันมันรู้สึกไม่ดีเอาซะเลย อีกอย่าง...ไม่ใช่เรื่องสนุกถ้ามันเกิดขึ้นมาจริงๆ ผมไม่ชอบการสูญเสีย การเสียคนที่รักไป ไม่ว่าจะเป็นคนไหนผมก็ไม่ต้องการทั้งนั้น”
มันเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าผมควรรู้สึกยังไง แต่มันคงไม่ใช่ความรู้สึกดีแน่นอน ผมคิดภาพไม่ออกด้วยซ้ำถ้าหากต้องเสียใครไป เพราะไม่ว่าจะคนไหนก็เจ็บปวด ผมให้ความสำคัญกับทุกคนที่รักผม แม้จะไม่ได้อยู่ในฐานะเดียวกัน แต่ทุกคนก็สำคัญกับผมมาก ถ้ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับพี่กิ๊ฟหรือไอ้ยิวผมก็คงเสียใจไม่ต่างกัน มากน้อยแค่ไหนนั้น...ก็ไม่อาจบอกได้ และถึงพี่พ่ายจะสำคัญมากที่สุด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะยอมให้คนสำคัญคนอื่นๆ ของผมต้องมาเสียสละหรือเจ็บเพราะเขา...เพราะถ้าต้องเป็นอย่างนั้น ผมจะเป็นฝ่ายที่เสียสละและเจ็บแทนเอง
“มันเป็นสิทธิ์ของแต่ละคนที่คิดจะทำหรือไม่ทำอะไร ถ้าเขาเต็มใจที่จะมอบมันให้...มึงก็ไม่มีสิทธิ์ห้ามใช่ไหมล่ะ”
“อืม มันก็ถูกนะพี่ คงแล้วแต่กรณีล่ะมั้ง ถ้าสมมติว่าไอ้ยิวมันยอมตาบอดแทนพี่ ผมก็คงจะทำอะไรไม่ได้ และถึงวันนั้นผมควรจะเป็นฝ่ายไปเอง”
“ทำไม...”
“เข้าใจง่ายๆ ก็แค่เพราะไอ้ยิวที่เป็นเพื่อนผม มันรักพี่มากจนยอมพิการเพื่อคนที่มันรัก และผมซึ่งเป็นเพื่อนมันก็ต้องหลีกทางให้กับความรักโง่งมของมัน และพี่ก็ต้องรับผิดชอบด้วย จะรักหรือไม่รักยังไง พี่ก็ควรจะอยู่ดูแลคนที่ให้ชีวิตใหม่กับพี่อีกครั้งไงล่ะ มันเป็นเรื่องของการตอบแทนกับสิ่งที่เราได้รับมันมา ไม่เกี่ยวว่าพี่จะอยากทำหรือไม่ก็ตามที เพราะโลกนี้มันไม่มีคำว่าฟรีหรอก ทุกอย่างมีข้อแลกเปลี่ยนเสมอ”
“บางทีมึงก็พูดจาเหมือนไม่ใช่คนโง่”
“แล้วพี่จะรู้ว่าแฟนพี่ฉลาดแค่ไหน อิอิ”
พี่พ่ายกระตุกยิ้มนิดๆ ยกแก้วไวน์ขึ้นจิบเล็กน้อย “เล่าเรื่องของมึงให้กูฟังบ้างสิ”
“ดีใจจัง พี่พ่ายอยากรู้จักผมด้วยเหรอ” ผมตื่นเต้นนะ เพราะที่ผ่านมา ชีวิตของผม เรื่องราวที่ผ่านมา พี่พ่ายไม่เคยถามเลย ตอนนี้เขาอยากจะรู้จักผมมากขึ้นแล้ว!!! ผมเริ่มจะมีตัวตนสำหรับเขา!!
“อืม เล่ามา”
ผมยิ้มกว้าง ก่อนจะย้ายไปนั่งฝั่งเดียวกับพี่พ่าย เพราะจะได้เล่าไปด้วย กอดแขนเขาและสูดดมความหอมจากร่างกายของเขาไปด้วย
“ชีวิตของผมก็ไม่มีอะไรพิเศษหรอก แต่น่าตื่นเต้นมากเลยนะ ผมเป็นคนเชียงใหม่ เกิดและโตที่นั่นแม่บอกว่าตอนที่ผมเด็กๆ ผมพัฒนาการช้ากว่าคนอื่น แม่เลยตั้งชื่อให้ว่าเพี้ยน เหมือนเป็นการแก้เคล็ด แล้วหลวงพ่อที่วัดก็ให้ชื่อจริงว่า มีสติ เพราะผมซุ่มซ่ามมากๆ ตอนเด็กๆ เดินไม่กี่ก้าวก็ล้มแล้ว ผมไม่แข็งแรงเหมือนเด็กคนอื่น แม่ก็เลยตามใจมากๆ พ่อผมก็ด้วย แต่ผมก็จำอะไรเกี่ยวกับพ่อได้ไม่มาก เพราะพ่อตายไปตั้งแต่ผมยังเด็ก จากนั้นแม่ผมก็แต่งงานใหม่ กับพ่อคนปัจจุบัน”
“มึงเป็นลูกคนเดียว?”
“อื้ม คนเดียว ถ้าไม่นับลูกติดของพ่อคนปัจจุบันน่ะนะ” เอาเข้าจริงแล้ว...ผมอยากจะย้อนเวลาไปในวันที่แม่บอกว่าแม่จะแต่งงานใหม่ ผมอยากจะคัดค้านการแต่งงานนั้น เพื่อที่ว่าในวันนี้...ชีวิตของผมอาจจะยังปกติสุข ไม่เหมือนวัวสันหลังหวะที่เคยทำร้ายผู้หญิงคนหนึ่งมา
“แล้วพี่สาวไปไหน? เอาจริงๆ กูไม่เคยเห็นครอบครัวมึงมาเยี่ยมทั้งๆ ที่เชียงใหม่กับเชียงรายก็ไม่ไกลกันมาก”
“ก็นะ...หลายๆ อย่างแหละ ไม่ใช่เรื่องที่พี่ต้องสนใจหรอก”
พี่พ่ายยกมือขึ้นลูบหัวผมที่ซบอยู่บนไหล่ของเขา “พร้อมเมื่อไหร่ค่อยเล่าให้กูฟังก็ได้”
“ครับ”
ผมคงบอกพี่พ่ายไม่ได้ว่าผมเคยข่มขืนผู้หญิงคนหนึ่งมา ทำให้เธอท้องและเสียใจจนคิดสั้นฆ่าตัวตาย ผมคงจะให้คนที่ผมรัก...มองผมด้วยสายตาราวกับมองฆาตกรไม่ได้...
“พี่พ่าย...”
“ครับ”
“ต่อให้ผมจะเคยทำเรื่องเลวร้าย...พี่ก็อย่าบอกเลิกผมนะ เพราะตอนนี้ผมจะปรับปรุงตัว ผมจะเป็นคนดีเพื่อพี่ จะไม่พูดโกหก และจะไม่ทำร้ายความรู้สึกใครอีกแล้ว ผมจะรักพี่ มองแค่พี่คนเดียว”
พี่พ่ายหันมาจูบหน้าผากผม ก่อนจะเลื่อนลงมาจูบที่ริมฝีปากเบาๆ “อืม จะรอดู”
ถ้ารอดูจนได้เห็นความจริงใจและความทุ่มเทที่ผมมีให้กับพี่แล้ว...ก็ช่วยรับมันไว้ด้วยนะครับ
“อ้อ! คุณนี่เองที่เป็นคนปิดข่าว และยัดเงินให้ตำรวจ ผมก็มัวแต่ไปพลิกแผ่นดินหาไอ้สารเลวที่ขับรถเก๋งสีดำป้ายทะเบียน XXXX อยู่ตั้งนาน ไม่คิดว่าจะเป็นคนใกล้ตัว”
มาวินแสยะยิ้มร้าย มองบอดี้การ์ดที่รายล้อมผู้หญิงตรงหน้าอย่างนึกขบขัน แต่สถานที่นัดพบของเขาและเธอเป็นตึกที่ถูกทิ้งร้าง ก็ไม่น่าแปลกใจที่เธอจะพาผู้ติดตามมาป้องกันตัวมากขนาดนี้ล่ะนะ
“ฉันไม่รู้ว่าคุณพูดถึงเรื่องอะไรหรอกนะคะคุณมาวิน แต่การกล่าวหาที่ไม่มีหลักฐานของคุณ และการข่มขู่ทนายประจำตระกูลของฉันเป็นการกระทำที่แย่มากทีเดียวค่ะ”
“คุณกิ๊ฟครับ ผมยังไม่ได้ทำการข่มขู่อะไรเลยนะ และฝ่ายที่ถูกกระทำมันเป็นฝ่ายของผมต่างหาก! คำสารภาพของคุณเมื่อคืนน่ะ ผมได้ยินมันชัดเต็มสองหู! ว่าคุณกับไอ้เด็กเวรของคุณทำอะไรกับน้องสาวของผม!”
“มันเป็นอุบัติเหตุ” เธอตอบด้วยสีหน้าสงบ ความเยือกเย็นเท่านั้นที่จะพาให้เธอก้าวผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ ถ้าไม่ใช่เพราะความเลินเล่อของเธอ เรื่องที่ควรจบไปแล้วก็คงไม่ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาแบบนี้
มันเป็นเรื่องเมื่อสองปีก่อน คืนหนึ่งหลังกลับจากผับที่เธอกับเพี้ยนมักจะไปเที่ยวเป็นประจำนั้น ได้มีอุบัติเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น เพราะความเมาขาดสติ เด็กน้อยที่ดื้อรั้นของเธอได้ขับรถไปชนผู้หญิงคนหนึ่งเข้า แต่ด้วยอำนาจเงินและเส้นสายจากคุณพ่อของเธอ เรื่องถึงได้จบลงด้วยการหาแพะรับบาป สำนวนคดีของตำรวจนั้น คนขับถูกเปลี่ยนเป็นชายวัยกลางคนที่อยู่ในสภาพมึนเมาแทนนักศึกษาชายปีสามที่เมาไม่ได้สติ เพี้ยนนั้นจำเหตุการณ์อะไรไม่ได้เพราะพอรถเกิดอุบัติเหตุก็สลบไป เธอก็ไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรมากนัก เพราะเด็กน้อยของเธอเจอเรื่องเลวร้ายมามากแล้วสำหรับชีวิตของเขา เธอที่สัญญาไว้แล้วว่าจะทำให้เขามีความสุขก็จะไม่ยอมทำผิดสัญญาที่ให้ไว้ เด็กน้อยของเธอจะต้องมีชีวิตที่สดใสนับจากนี้ แต่เพราะเมื่อคืนที่ผ่านมา ความเสียใจและความมึนเมา...ทำให้เธอตัดพ้อถึงความรักที่ไม่สมหวัง ระบายสิ่งที่เธอได้ทำเพื่อเด็กน้อยของเธอให้กับมาวินที่เจอกันโดยบังเอิญฟัง และนั่น...จึงเป็นสิ่งที่ผิดพลาด
ใครจะคิดว่าผู้หญิงคนนั้น...จะเป็นคนๆ เดียวกันกับน้องสาวของมาวินที่เธอไม่เคยเห็นหน้าค่าตา แม้ท่านประธานจะเคยบอกกับพ่อของเธอว่าลูกสาวบุญธรรมของท่านไปเรียนต่อต่างประเทศหลายต่อหลายปีและขาดการติดต่อไปนานแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้จักมากขึ้น แล้วทำไมคนที่ไปเรียนต่อต่างประเทศถึงมาโผล่ที่ประเทศไทยได้ แถมยังเป็นเหยื่อของอุบัติเหตุในครั้งนั้นอีก
นี่มัน...ผิดเพี้ยนไปกันใหญ่แล้ว
เธอเกือบถูกฆ่าตายเพราะโทสะของมาวิน ถูกทรมานและถูกย่ำยีร่างกายจนไม่สามารถอยู่สู้หน้าเด็กน้อยที่เธอแสนรักแสนหวงได้อีกจึงต้องหนีกลับกรุงเทพ แต่มาวินก็ยังตามเธอกลับมาด้วย
“คิดจะลองดีกับผมเหรอครับคุณกิ๊ฟ”
“ฉันก็ไม่ได้อ่อนอย่างที่คุณคิดค่ะมาวิน อยากจะลองไหมล่ะคะ”
“งั้นผมคงต้องส่งคุณไปลงนรกก่อน แล้วค่อยให้ไอ้เด็กเวรนั่นตามคุณไปทีหลัง เพราะขืนให้คุณอยู่ต่อ ก็มีแต่จะสร้างปัญหาให้กับผม”
“คิดว่าทำได้ก็เชิญค่ะ แต่อย่าหวังว่าจะได้ในสิ่งที่คุณต้องการ ถ้ามายุ่งกับเด็กของฉัน ฉันจะพาคุณลงนรกไปกับฉันด้วย”
“อดชื่นชมไม่ได้กับความเข้มแข็งของคุณนะครับ ไม่แปลกใจที่พ่อบุญธรรมของผมอยากจะได้คุณมาเป็นลูกสะใภ้ หึหึหึ มาวัดกันดูก็ได้ครับ ว่าผมหรือคุณ ใครจะเหนี่ยวไกได้เร็วกว่ากัน”
“ไม่จำเป็นที่ฉันจะต้องกลัวในเรื่องนี้หรอกค่ะ ความเร็วอาจจะลดความแม่นยำ บางครั้งก็ไม่โดนจุดตาย”
“พูดได้ดีนี่ครับ พูดได้ดีจนผมอยากจะเอาคลิปหวานของเราเมื่อคืนร่อนให้ทั่วในโลกอินเตอร์เน็ต”
เธอยังคงยิ้ม แม้ร่างกายจะแทบหมดเรี่ยวแรงเมื่อได้ยิน แต่ก็ยังทำใจแข็งเผชิญหน้ากับเขา
“เชิญค่ะ ฉันยินดีด้วยซ้ำไป ที่จะให้คนทั้งโลกได้เห็นการกระทำที่ต่ำยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานของคุณ มันเห็นหน้าคุณชัดเลยนะคะ เพราะฉันเป็นคนปรับมุมกล้องเอง”
ถึงคราวมาวินเป็นฝ่ายเงียบไปบ้าง แต่ก็เพียงชั่วอึดใจเท่านั้น
“ทำได้ดีนี่ครับ ยังไงก็เถอะ...ผมก็ยังขอยืนยันว่าคุณกับไอ้เด็กเวรนั่นจะต้องชดใช้ในสิ่งที่ได้ทำลงไปกับน้องสาวของผม!”
“แต่ฉันกลับคิดว่า...ควรจะเป็นโมฆะ ในเมื่อคุณก็ทำเรื่องเลวร้ายกับพี่สาวของเพี้ยนเหมือนกัน ถือว่าใช้กรรมกันไปสิคะ อย่าใจแคบนักเลยค่ะมาวิน ไอ้ตรรกะที่ทำคนอื่นได้แต่ตัวเองถูกกระทำไม่ได้นี่มันเห็นแก่ตัวมากๆ เลยนะคะ ไม่รู้ว่าต้องเลวขนาดไหนกันถึงจะคิดได้อย่างคุณ”
“มึงรู้ได้ยังไง! นัง...”
มาวินสบถอย่างหยาบคาย พร้อมกับชักปืนออกมาเล็งยิง แต่เพราะมีปืนอีกหกกระบอกที่เล็งมาทางเขาเช่นกัน
“ไม่ได้ตายดีแน่ นังสารเลว!”
“คุณหนูครับ ให้ผมจัดการมันตรงนี้เลยไหมครับ มันบังอาจ...”
“อย่าเลยค่ะ...อย่าลดตัวไปตอบโต้หมาที่กำลังเห่า แต่ถ้ามันจะกัดเมื่อไหร่ ฉันอนุญาตให้กำจัดทิ้งค่ะ เพราะมันเป็นมลพิษ...ทางสังคม”
มาวินกำปืนในมือแน่น เขาขบฟันแน่น ดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยโทสะและความอาฆาตแค้น พร้อมทั้งสาบานอยู่ในใจว่าต่อให้ต้องแลกกับอะไรเขาจะส่งนังตัวดีตรงหน้ากับไอ้เด็กเจ้าปัญหานั่นไปลงนรกให้ได้
ขอสาบาน!!
.....................................................................TBC......................................................................
บาปกรรมตามทันได้ตลอด
ปล. เราหายไปไม่กี่วัน คิดถึงกันแล้วเหรอออออออออ หืออออออออออ
มีคนที่เดาถูกเรื่องน้องสาวของพี่วินนะคะ ว่าจริงๆ แล้วก็คือเพี้ยนนั่นแหละที่ขับรถไปชน

แต่พี่กิ๊ฟแกเป็นคนจัดการปิดทุกอย่างให้เฉยๆ อ่านในมุมของเพี้ยนที่ไม่ได้รู้อะไรเลยนั้นก็จะไม่รู้อะไรไปตามเพี้ยนนั่นแหละค่ะ
