อ่ะ มาแระ ๆ ไปอ่านตอนที่ระทึกใจกันต่อเลยน๊า...
ริมถนนใหญ่ เตชสิทธิ์ยังไม่ขับรถเข้าบ้าน หลังออกมาส่งคนที่ทำตนสับสนในความรู้สึก ฝ่ายนั้นกำลังยืนรอเรียกรถอยู่ เด็กหนุ่มนั่งอยู่บนเบาะรถตัวเองกอดอกมองยิ้มๆ ไม่รู้ทำไม
“มาจ้องทำไมยิ้มๆ”คนถูกมองหันมาต่อว่าหน่อยๆ เพราะรู้สึกเขินขึ้นมาบ้างแล้ว
“มองคนน่ารักไง”คนถูกว่าหยอดกลับ ก่อนจะร้องโอ้ย เมื่อโดนคนที่ตนหยอดเดินมาเอาสมุดเล่มบางในมือฟาดเข้าให้
“ตีผมทำไมเนี่ย เจ็บนะ”เด็กหนุ่มเอ่ยบอก
“หมั่นไส้ไง จะรู้สึกอะไรกับฉันก็เอาซักอย่างสิ เดี๋ยวร้ายเดี๋ยวดี ฉันไม่ใช่กิ้งก่านะที่จะต้องคอยตามปรับสีหน้าตามอารมณ์นายน่ะ”คนตีเอ่ยบอก นี่ถ้าแสงสว่างมันมากกว่านี้ คนโดนตีคงจะมองเห็นสีหน้าที่เริ่มแดงเพราะความเขินอายของเจ้าตัวเป็นแน่ ที่โดนหยอดคำหวานซึ่งๆหน้าแบบนี้
“แล้วชอบซาดิสต์หรือนุ่มนวลดีล่ะครับที่รัก”เตชสิทิ์แซวอีก นาทีนี้เขาไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่จะแค้นเคืองการกระทำของกัณตินันท์ได้อีกแล้ว จะทุบจะตี ต่อดุด่าต่อว่าเขายังไง เขาก็มองเป็นเรื่องขำๆไปซะหมด นี่หรือเปล่านะที่เขาเรียกว่าการพังทลายกำแพงทิฐิภายในใจของกันและกัน
“ยังจะพูดดีอีก กลับเข้าบ้านไปเลยไป มันดึกแล้ว”กัณตินันท์ต่อว่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง แก้ความเขินอาย
“ผมจะกล้าทิ้งพี่ให้รอรถคนเดียวได้ไง คนเขาห่วงจะตายยังไม่รู้ตัวอีก”เตชสิทธิ์ยังไม่หยุดหยอดคำหวาน ก็รู้อยู่หรอกว่าฝ่ายนั้นคงจะเขินจนวางตัวไม่ถูก แต่ทุกๆสิ่งที่พูด เขาก็ไม่ได้พุดลอยๆนี่ ถ้าเขาไม่ได้รู้สึกดีที่จะอยู่รอจนเจ้าตัวได้ขึ้นรถแล้วแบบนี้เขาจะทนอยู่ทำไมกัน
“ฉันกลับแท็กซี่ก็ได้”กัณตินันท์เอ่ยบอก
“จะรีบหนีหน้าผมไปไหนกัน กลับรถเมล์แหละดีแล้ว ช้านัก แต่ก็ได้อยู่คุยกับผมนานๆไม่ชอบเหรอ”เตชสิทธิ์บอกอีกยิ้มๆ นึกชอบจังเวลาที่เห็นคนตรงหน้ามีท่าทีขัดเขินจนทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ล่ะ ตั้งแต่ที่รู้จักกันมากับคนๆนี้ เท่าที่จำได้ เจ้าตัวยังไม่เคยเปิดยิ้มให้เขาอย่างจริงจังซักที คืนนี้แหละเขาจะต้องเห็นรอยยิ้มฝ่ายนั้นให้ได้
“พี่ตฤณ”เด็กหนุ่มเอ่ยเรียกคนไม่เคยยิ้มให้ตนอย่างเปิดใจเมื่อคิดจะขอให้เจ้าตัวยิ้มให้ซะดื้อๆ
“เรียกทำไม”กัณตินันท์ถามกลับเสียงห้วนตามนิสัย
“ยิ้มทีสิ ผมอยากเห็นพี่ยิ้มบ้าง”เตสิทธิ์บอกตรงๆ
“นายจะบ้าเหรอ อยู่ๆจะให้ฉันมายิ้มให้ลมฟ้าอากาศ”
“ใครให้พี่ยิ้มให้ของเหล่านั้นเล่า ผมนั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคน ก็ยิ้มให้ผมสิครับ นะ นะ”
“ทำไม จะเอารอยยิ้มฉันไปขายหรือไง”
“ก็น่าจะขายได้ราคาอยู่นะ คนอะไรตั้งแต่รู้จักกันมาไม่เคยเห็นเห็นยิ้มจนฟันโผล่ซักที ฝันหลอหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ทะลึ่ง แล้วที่ผ่านมา มันมีเหตุการณ์ไหนที่พอจะทำให้ฉันยิ้มได้บ้างล่ะ แฟนก็ทิ้ง ลูกศิษย์ก็ดื้อ แถมยังเกือบจะตกงานอีก”
“เฮ้อ ชีวิตน่าสงสารเนาะ เอางี้มั๊ย ให้ผมเป็นทั้งลูกศิษย์และก็แฟนพี่ไปเลยมั๊ย รับรองพี่ยิ้มได้แน่นอน”
“นี่อย่ามาล้อเล่นกับฉันนะ”
“ล้อเล่นอะไรล่ะ นี่เคยเชื่อะไรที่ผมพูดมั๊ยเนี่ย”
“ก็จะให้เชื่ออะไรได้ล่ะ มันไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้วที่นายกับฉันจะเป็นอย่างอื่นกันไปได้นอกเหนือจากอาจารย์กับลูกศิษย์น่ะ”
“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”
“ตลกล่ะ จะเป็นไปได้ยังไง”
“พี่ก็ไปแปลงเพศสิ ทำศัลยกรรมมาใหม่ แล้วผมจะบอกแม่ว่านี่น่ะแฟนผม พี่ต้องทำให้เนียนด้วยนะ เอาให้เป็นเด็กญี่ปุ่นเลย ผมชอบขาวๆ หมวยๆ แต่เอ มันคงยากอ่ะ ถ้าพี่ทำออกมาคงพิลึกพิลั่นน่าดู”พูดเสร็จ คนพูดก็หัวเราะลั่นใหญ่คล้ายๆจินตนาการออกมาแล้วว่าถ้าคนตรงหน้าไปทำอย่างที่ตนพูดแล้วมันจะเป็นยังไง คนถูกจินตนาการเองตอนแรกก็นึกเคืองที่โดนล้อเล่นแบบนี้ แต่พอเห็นฝ่ายล้อเล่นเอาแต่หัวเราะไม่หยุด จึงพาลเป็นไปด้วยอีกคน ชายหนุ่มเผลอยิ้มกว้างก่อนจะหัวเราะออกมาบ้างในภาพจินตนาการที่อาจจะเป็นภาพเดียวกับคนหัวเราะก่อน
“เอ้ย หัวเราะเป็นกะเขาด้วยพี่เรา”คนหัวเราะก่อนชี้หน้าเอ่ยอย่างล้อเลียน ก่อนจะหัวเราะต่อไปอีกไม่มี่ที่สิ้นสุด เมื่อคนที่ตนชี้คล้ายๆจะปลดปล่อยอารมณ์ขันออกมาเต็มที่ และเมื่อหยุดไม่ได้จึงได้ไล่ทุบตีคนที่พังทลายต่อมอารมณ์เศร้าเหงาๆที่เคยแบกเอาไว้มานาน
เตชสิทธิ์กระโจนลงจากรถ แล้วใช้พาหนะคันนั้นเป็นที่หลบหลีกการโดนไล่จากคนที่เพิ่งจะหัวเราะได้
“เอาสิ ถ้าจับตัวผมได้นะ ให้หอมแก้มทีนึงเลยอ่ะ”เด็กหนุ่มเอ่ยท้ายิ้มๆให้กับคนที่ปลดพันธนาการความเศร้าให้ตัวเอง แต่ยังไม่ทันที่สองคนจะได้เล่นเกมอะไรกัน แสงไฟจากหน้ารถคันหนึ่งก็ส่องวาบเข้ามายังร่าง จนต้องหยุดการหยอกล้อกันหันไปมอง
รถคันนั้นเป็นของคนเคยเป็นรุ่นพี่ เตชสิทธิ์จำมันได้ดี เด็กหนุ่มหยุดอาการหยอกล้อกับคนตรงหน้าไปชั่วขณะ ก่อนจะเดินไปยืนคู่กับเจ้าตัวอย่างอัตโนมัติ เมื่อเห็นคนในรถที่เพิ่งจอดเทียบฟุตบาทก้าวเดินออกมาปรากฏตัว
คล้อยหลังเจ้าของรถที่เดินลงมายืนเด่นอยู่เบื้องหน้า สองคนที่ยืนคู่กันอยู่ต่างก็หันมามองหน้ากันอย่างวิตกอยู่ลึกๆว่าวินาทีต่อจากนี้ต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ เมื่อสายตาทั้งสองคนเห็นแล้วว่า มีบุคคลที่ต่างต่างก็ไม่รู้จักอีกหลายร่างต่างโผล่อออกมาจากรถคันหรูนั่นที่จอดอยู่ ซึ่งแต่ละคนที่ประเมินมองด้วยสายตาแล้วต่างก็มีบุคลิกแรงๆกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะกายแต่งกาย หรือการโพสท่ายืนจิกสายตามาทางฝั่งที่กำลังยืนกันอยู่
“เหมือเขาจะหาเรื่องเราเลยอ่ะไต๋”กัณตินันท์เอ่ยขึ้นกระซิบเบาๆข้างหูลูกศิษย์ ภาพนั้นมันบังเอิญทิ่มตำสายตากฤตภาษอย่างแรงจนหล่อน เอ้ย เขาต้องเอ่ย
“กระซิบกระซาบอะไรกันไม่ทราบ”
“เปล่า”กัณตินันท์จำใจตอบ ก่อนจะรู้สึกว่ามือของตนกำลังถูกกุมไว้อยู่จากคนยืนข้างๆ
“ต๊าย! อีเอส พวกมันจับมือกันด้วยอ่ะ แรงอ่ะ เป็นฉันฉันไม่ยอมนะ น้องชายแกนี่มันหล่อลากอย่างที่แกบอกจริงๆด้วยไหนบอกมันไม่ได้เป็นเกย์ไง แล้วนั่นอะไรยะ อยู่ดีๆก็จับมือถือแขนผู้ชายนุ่มนิ่มนั่น”หนึ่งเสียงจากกลุ่มคนที่ยืนด้านหลังดังเอ็ดตะโรขึ้น กัณตินันท์พยายามจะแกะมือคนที่ตนไม่อยากให้คนกลุ่มนั้นต่อว่าออก แต่ไม่เป็นผล หนำซ้ำฝ่ายนั้นยังหันมาเอ็ดให้อีก
“เฉยๆเหอะน่าพี่ตฤณ”
“แต่เดี๋ยวนายจะโดนล้อนะ”ชายหนุ่มเอ่ยบอก
“ช่างพวกมันเถอะ”เด็กหนุ่มบอกอีกอย่างไม่นึกแคร์
“ดูจะสนิทสนมกันเหลือเกินนะ ไหนบอกว่าเกลียดเกย์ไงนายไต๋”กฤตภาษเป็นฝ่ายออกโรงบ้าง คราวนี้ชายหนุ่มตั้งใจส่งสายตาชิงชังไปยังคนที่เป็นอริหัวใจอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ
“คนเราไม่ว่าจะเพศไหนมันก็มีสองจำพวกทั้งนั้นแหละ และที่ผมบอกว่าเกลียดเกย์ ผมก็หมายถึงเกย์จำพวกนิสัยไม่ดี เข้าใจซะใหม่นะครับ”
“ว้าย อีเอส แกโดนหลอกด่า รู้ตัวมั๊ยนั่น”เสียงเพื่อนในกลุ่มดังมาให้ได้ยินอีก คนโดนหลอกด่าจึงหันไปตวาดอย่างอารมณ์เสีย
“หูกูไม่ได้หนวก มึงเงียบไปก่อนเถอะ”
“อ้าวเหรอ แล้วมึงจะจัดการยังไง ให้พวกกูลุยเลยมั๊ย”เสียงเพื่อนตอบกลับมา กัณตินันท์รู้สึกวูบวาบขึ้นมาหน่อยๆ ท่าทางเรื่องมันจะบานปลายไปกันใหญ่แน่ๆ มันอะไรกันนักกันหนานะ
“ไต๋ นายกลับเข้าบ้านไปเถอะไป เดี๋ยวพี่จะเรียกแท็กซีกลับเอง”ชายหนุ่มหันไปบอกคนข้างกาย ที่ตอนนี้ยังไม่ยอมปล่อยมือจากเขา
“พี่กลัวเหรอ”ฝ่ายนั้นตอบกลับมา
“พี่ไม่อยากให้มีเรื่องใหญ่โตกัน”คนเป็นครูบอก
“มันไม่มีอะไรหรอก พี่อย่ากลัวเลย พวกเขาก็แค่เห่าเท่านั้นแหละ”ลูกศิษย์เอ่ยปลอบใจ แต่ด้วยคำพูดกระทบกระทั่งที่แฝงออกไปด้วย ทำให้ทุกอย่างที่คิดว่าจะไม่เกิดมันทำท่าจะเกิดขึ้น
“ปากดีนักนะนายไต๋ ฉันเคยบอกแล้วใช่มั๊ยว่ามีโอกาสเมื่อไหร่ ฉันจะยกพวกมาถล่มนายแน่”เป็นกฤตภาษที่จุดชนวนขึ้น
“ถ้าคิดว่าแน่ก็เข้ามาเลย พ่อจะอัดให้น่วม”เตชสิทธิ์เอ่ยท้า แค่พวกเกิดผิดเพศไม่กี่ตัวเขาไม่ระคายหรอก เคยทะเลาะชกต่อยกับผู้ชายด้วยกันมาแล้วก็นับครั้งไม่ถ้วน
กะอีแค่คำขู่ของคนพวกนี้มีเหรอเขาจะกลัว ห่วงก็แต่คนข้างๆนี่แหละ เพราะดูท่าว่าจะร้ายใส่ใครเขาไม่เป็นเอาเสียเลย
“เออ แล้วจะได้รู้กันว่าคืนนี้ใครจะอยู่ใครจะไป”กฤตภาษเอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็น ก่อนจะหันไปสั่งพรรคพวก ให้แยกไปจับตัวกัณตินันท์ไปจิกตบที่ไหนก็เอา ส่วนเขาและผู้ช่วยอีกสองคนจะช่วยกันจับเด็กปากดีนี่ไปขึ้นเขียงรอที่จะขย่มเจ้าตัวที่ไหนซักแห่ง
“โอ้ย!!”กันตินันท์ร้องลั่น เมื่อยังไม่ทันได้ตั้งตัวร่างทั้งร่างก็โดนพุ่งมากระชากให้หลุดออกไปจากการเกาะกุมมือจากคนเป็นลูกศิษย์
“เฮ้ย อย่าทำอะไรพี่กูนะมึง”เตชสิทธิ์เอ่ยตะคอก ก่อนจะเดินไปผลักอกคนที่ลงมือกระชากตัวกัณตินันท์เมื่อครู่ แต่ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะลงมือทำอะไรมากไปกว่านั้น ก็ต้องตกใจเมื่อรู้สึกว่าร่างตัวเองโดนล็อคจับจากคนสองคนทางด้านหลัง
“ลากมันขึ้นรถไปเลยพวกเรา ส่วนพวกแก จัดการกับอีนี่ไปละกันแล้วค่อยตามพวกกูไป”กฤตภาษเป็นคนเอ่ยออกคำสั่ง ก่อนจะเดินไปผลักอกกัณตินันท์รอบนึงแล้วเดินนำพวกที่จับร่างเตชสิทธิ์ไว้นำไปที่รถตัวเอง
“ปล่อยกูนะโว้ย”เตสิทธิ์ร้องบอก พลางดิ้นอย่างเดือดดาล สาบานได้ว่าถ้าหลุดไปได้เขาจัดการกับคนพวกนี้ขั้นเด็ดขาดแน่ เป็นไงก้เป็นกัน
“ไต๋ นั่นพวกนั้นจะเอาเขาไปไหนน่ะ”กัณตินันท์หายเคืองจากการโดนผลักอก เมื่อเห็นร่างลูกศิษย์โดนล็อคตัวแล้วลากไปด้วยคนสองคน ชายหนุ่มหันมาเอ่ยถามคนอีกกลุ่มที่ยืนคุมเชิงตนอยู่ แต่แทนคำตอบที่คิดว่าน่าจะได้ ชายหนุ่มกลับหน้าหันสะบัดแทนไปด้วยแรงตบสวนในจังหวะที่หันหน้าไปถาม
.
.
.
.
.
.
.
.
โอ๊ะ!! เริ่มลงไม้ลงมือกันแล้ว ใครจะอยู่ใครจะไป เบรกโฆษณากันชั่วครู่นะครับ อิอิ
โปรดติดตามตอนต่อไป
ขอบคุณครับ
Boy
ปล. ใครมีเพลง ฉันก็สู้คน ของ นิโคลบ้างอ่ะ มาแปะให้หน่อยจิ