Chapter : 67 เรียกค่าไถ่
[พี่หมอ...♥]
ผมนั่งคลึงปากกาหมึกซึมไปมา เผลอหัวเราะออกมาเบา ๆ ตอนนึกถึงใบหน้าของฝนเมื่อรู้ว่าผมลบภาพพวกนั้นไปแล้ว ตั้งแต่ผมรู้ว่าผมเริ่มชอบฝน ผมก็ทำลายสิ่งนั้นไปแล้ว เหลือไว้แค่ไม่กี่ภาพที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้มันทีหลัง หากภาพพวกนั้นหลุดออกไป (จงใจเอาไว้ดูต่างหน้าครับ) แต่ก็ยังคงใช้เป็นข้ออ้างในการบังคับฝนได้
ได้ยินเสียงข้อความดังเบา ๆ ผมเหลือบมอง เป็นข้อความไลน์ครับ มีคนส่งข้อความภาพมาให้สองใบ ผมมองด้วยความสงสัย เพราะจำไม่ได้ว่าเคยแจกไลน์ให้ใครนอกจากหมอนนท์กับเพื่อนสนิทบางคนเท่านั้น ผมยังไม่ได้กดรับเป็นเพื่อนแต่จิ้มเปิดภาพนั้นให้ขยายใหญ่ขึ้น สิ่งที่เห็นทำเอาผมรีบเด้งตัวลุกยืนทันที
เป็นภาพของฝนในสภาพที่ถูกมัดมือและปิดตาไว้ ภาพแรกฝนดูเซ็กซี่สุด ๆ กลีบปากแดงฉ่ำ ท่าทางดูยั่วหน่อย ๆ ส่วนภาพที่สอง ฝนกำลังหวาดกลัว
ฝนไปทำแบบนี้ได้ไง หรือใครทำฝน ผมรีบส่งข้อความไปยังบุคคลปริศนานั้นทันที
‘นายเป็นใคร ฝนอยู่ไหน ทำไมสภาพเป็นแบบนั้น’
‘ใจเย็นคุณหมอแซม ไม่ต้องถามว่าเราเป็นใคร แต่ตอนนี้เราจับน้ำฝนไว้เป็นตัวประกัน ถ้าอยากได้ตัว ให้นำเงินจำนวนสองแสนมาเจอกันพิกัดที่…จะเป็นโกดังร้าง พรุ่งนี้เวลาห้าโมงเย็น มาคนเดียว ห้ามแจ้งตำรวจหรือคนอื่นให้รับรู้ เพราะถ้าแจ้ง เราไม่รับรองความปลอดภัยของน้ำฝน’
หัวใจผมร่วงไปอยู่แทบเท้า ใบหน้าที่กำลังหวาดกลัวนั้นไม่ใช่สิ่งเสแสร้ง น้ำฝนถูกจับตัวไว้จริง ๆ แน่
พอผมจะกดเข้าไปเช็กประวัติว่าคนที่ส่งมาเป็นใคร ไอดีนั้นก็ถูกลบไปเรียบร้อยแล้ว ผมรีบโทรเข้าเครื่องน้ำฝนเพื่อเช็ก แต่มีเพียงเสียงฝากข้อความเท่านั้น ผมกระหน่ำไปอีกหลายสิบสายมันยังฝากข้อความเหมือนเดิม ผมเลื่อนหาเบอร์ฟ้า
“คุณฟ้า ฝนกลับถึงบ้านรึยัง”
“ยังเลยค่ะ”
ผมกำลังจะบอกสิ่งที่ผมได้รับจากไลน์ แต่นึกถึงคำเตือนของมันแล้วก็ทำให้ผมต้องเบรกสิ่งที่คิดไว้
“ผมโทรหาฝนไม่ติด”
ฟ้าหัวเราะ
“แบตอาจหมดก็ได้ค่ะคุณหมอ มีธุระอะไรเร่งด่วนหรือเปล่าคะ”
ผมนิ่งคิด บอกไปตอนนี้ฝนอาจไม่ปลอดภัยก็ได้
“นิดหน่อยครับ ถ้าฝนกลับมาแล้ว รบกวนให้เขาโทรหาผมด้วย”
“ได้ค่ะ” พอวางสายจากฟ้า ผมรีบลาด่วนจนถึงพรุ่งนี้ วิ่งลิ่วออกจากโรงพยาบาลไป หยิบมือถือขึ้นมากดโทรหาเพื่อนสนิท แต่นึกถึงคำขู่ของมันแล้วก็ทำให้ผมต้องวางมือถือลง
เรื่องจับผู้ร้าย ผมปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมอนนท์ แต่ตอนนี้ผมเป็นห่วงน้ำฝนมากกว่า ผมขับรถตรงดิ่งกลับคอนโด หยิบบุ๊คแบงค์วิ่งไปธนาคารในห้างเพื่อถอนเงินสดตามที่มันต้องการใส่ซองสีน้ำตาล แล้วนั่งคอยเวลาอย่างร้อนรน กระทั่งผ่านไปถึงสี่ทุ่ม
ฟ้ายังไม่โทรกลับ ไม่มีสัญญาณแจ้งว่าฝนเปิดมือถือ ผมหยิบมือถือมาโทรหาฟ้าอีกที
“ฝนกลับรึยังครับ”
“ยังค่ะ ฟ้าก็โทรไม่ติด ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น”
ผมเม้มปากแน่น ฟ้ามีน้ำเสียงไม่สบายใจไม่ต่าง ผมกลับมานั่งคิด
นี่ผมลืมนึกถึงใครบางคนไปหรือเปล่า ผมรีบล้วงหยิบมือถือมากดโทรหาไผ่ทันที มันทิ้งให้ผมรอสายประมาณห้ารอบถึงได้กดรับ
“…” มันไม่ทักกลับสักคำ แต่ผมรู้ว่ามันรับแล้ว
“ไผ่” ผมเรียก มันไม่ตอบรับเหมือนเดิม
“รู้ไหม ฝนอยู่ไหน”
“อยู่ไหนมันก็เรื่องของฝน” มันตอบกลับกวน ๆ ผมพยายามข่มใจให้เย็น
“ตอนนี้ฝนอยู่กับนายหรือเปล่า”
“เรื่องอะไรกูจะบอก”
“ไผ่ ฉันถามดี ๆ ตอนนี้ฝนอยู่กับนายไหม”
“ไม่อยู่”
ผมใจแป้วไป ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมจะรู้สึกไม่ดีทุกครั้งที่ฝนมันอยู่กับไผ่ แต่วันนี้ผมอยากให้มันบอกว่าฝนอยู่กับมันมากกว่า อย่างน้อยผมก็ยังรู้ว่าฝนจะปลอดภัยเมื่ออยู่กับไผ่
“เจอกันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่” ผมพยายามถามอย่างใจเย็น
“ทำไมกูต้องเล่าให้มึงฟังด้วยวะ”
“ไผ่ ฉันถามดี ๆ บอกมาว่าเจอกันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่”
“ทำไม”
“ฉันติดต่อฝนไม่ได้”
“เหอะ แค่ติดต่อไม่ได้แค่นี้ทำมาเป็นร้อน มันเป็นผู้ชาย นอกจากมึงแล้วคงไม่มีหมาตัวไหนคิดอยากเอามันทำเมียหรอก”
ผมค้านในใจ ถ้าใครได้เห็นรูปที่ถูกส่งมา ต่อให้เป็นไผ่เอง ก็อาจจะอดใจไว้ไม่ไหวก็ได้
“ไผ่ ตอบฉันมาเถอะ เจอฝนครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่”
“ทำไมกูต้องบอก”
“ฉันเป็นห่วงฝนนะไผ่” ผมยอมรับตรง ๆ มันนิ่งไป
“กูแยกกับฝนตั้งแต่เลิกเรียนแล้ว มันอยากกลับบ้านเองวันนี้”
ผมกัดกรามเบา ๆ คิดหาหนทางติดต่อฝนเพิ่ม
“ฉันขอเบอร์เพื่อนแต่ละคนของนายหน่อย”
“กูไม่ให้”
“ไผ่ ฉันขอร้อง” ผมพยายามลดทิฐิตัวเองลงมาอย่างที่ฝนเคยบอก “ฉันแค่จะโทรไปถามพวกนั้นเรื่องฝน”
“ไม่ให้”
“ไผ่!!” ผมปราบเสียงดังอย่างเหลืออด “นี่ไม่ใช่เวลามาตั้งแง่นะ ฉันติดต่อฝนไม่ได้ ฉันเป็นห่วงฝน ถ้าจะทะเลาะหาเรื่อง เอาไว้ทีหลัง แต่ตอนนี้ฉันต้องการติดต่อฝนให้ได้ก่อน ถ้านายมีเบอร์เพื่อน ๆ แต่ละคน ฉันขอ!!” มันเงียบไปกับเสียงตวาดของผม
“มึงจะให้อะไรกูตอบแทน”
“อยากได้อะไร” ผมถามกลับเสียงห้วนไม่ต่าง
“ออกไปจากบ้าน”
ผมนิ่งอึ้ง กำหมัดแน่น แต่การอยู่บ้านหลังนั้นกับความปลอดภัยของฝน ผมขอเลือกอย่างหลังมากกว่า
“ได้” ผมตอบรับง่าย ๆ มันเงียบไปนาน ก่อนไล่บอกเบอร์เพื่อนมันแต่ละคน ผมรีบกดโทรหา สอบถามก็ไม่ได้ความสักคน ไม่มีใครรู้เลยว่าฝนอยู่ไหน บอกแค่ว่าแยกทางกันตอนเลิกเรียนเท่านั้น ผมโทรหาฟ้าอีกรอบ ฝนก็ยังไม่กลับ
นี่แปลว่ามันถูกจับตัวไปจริง ๆ ใช่ไหม
ผมนั่งคอยเวลาแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน อยากติดต่อบอกใครสักคนให้ทราบ แต่ก็กลัวว่าฝนจะไม่ปลอดภัย ผมนั่งคอยต่อจากเช้าไปจนถึงใกล้เวลานัดหมายถึงได้ออกจากคอนโดขับรถตรงดิ่งไปยังที่นัดหมาย พร้อมเงินสองแสนบาทตามที่มันเรียกร้อง
มันส่งข้อความมาอีกรอบ พร้อมภาพถ่ายอีกใบในอีกหนึ่งอิริบถที่น่าสงสารของฝน ผมร้อนใจยิ่งกว่าเดิม ผมมายืนเคว้งหัวใจเต้นแรงอยู่กลางโกดังร้างแห่งหนึ่ง ได้ยินเสียงเตือนข้อความไลน์ ผมหยิบขึ้นมาเปิดอ่านอีกครั้ง
‘วางเงินไว้ตรงนั้น แล้วนอนคว่ำหน้าเอามือประสานไว้ที่หัว’
‘ฉันขอเจอฝนก่อน’ ผมต่อรอง
‘ทำตาม ไม่งั้นเราไม่รับรองความปลอดภัยของฝน’
ผมกัดกรามแน่น วางซองเงินลงบนพื้น ทิ้งตัวลงไปนอนคว่ำหน้า ประสานมือไว้หลังท้ายทอย ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาจากทางด้านหลัง แล้วสองมือผมก็ถูกรวบไปมัดไพล่รวมกันไว้ด้านหลัง
“ฝนอยู่ไหน”
ผมถามมันเสียงเครียด มันไม่ตอบ กระชับข้อมือผมแน่นเพื่อดูว่ามันแน่นแล้วหรือยัง มันจับผมลุกขึ้นยืน ผลักผมออกห่าง ก้มหยิบซองสีน้ำตาลอันนั้น ก้าวถอยไปด้านหลังสองสามก้าวเพื่อรักษาระยะห่าง ผมมองมันตั้งแต่หัวจรดเท้า เป็นผู้ชายครับ รูปร่างสูงใหญ่ไปทางท้วมหน่อย ๆ มันสวมหมวกโม่งคลุมยาวจรดคอ แว่นตาสีดำสนิท เสื้อแจ็คเก็ตสีเดียวกับแว่น
“ฝนอยู่ไหน” ผมถามอีกรอบ “ฉันเอาเงินมาให้แล้ว คืนฝนมา” ผมทวงคนของผมคืน มันไม่ตอบ มองไปอีกทาง ผมมองตามก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมา ตัวใหญ่พอ ๆ กับคนที่จับผมมัดนี่แหละ ท่าทางดูคุ้นมาก มันแต่งตัวคล้ายกัน เดินช้า ๆ มายืนอยู่ห่างจากผมประมาณหนึ่งเมตร หยิบกระดานไวน์บอร์ดสีขาวมาเขียนด้วยเมจิกดำแล้วโชว์ให้ผมดู
‘เด็กนี่เป็นอะไรกับแก’
ผมกัดกราม คิดอยู่ในใจว่าทำไมมันถึงได้จับฝนมาเรียกค่าไถ่กับผมแทนที่จะเรียกกับครอบครัว มันคงรู้อยู่ก่อนแล้วว่าผมกับฝนมีอะไรพิเศษต่อกัน
ถ้าผมยอมรับตรง ๆ ว่าเป็นคนพิเศษ ฝนจะเดือดร้อนหรือเปล่า แต่ถ้าไม่ยอมรับผลมันจะเป็นยังไง ผมขมวดคิ้วชั่งใจ
‘เป็นอะไร’
มันเขียนถามย้ำมาอีกรอบ
“คนพิเศษ”
ผมเลือกใช้คำนี้ เพราะมันเหมาะกับฝนที่สุดแล้ว
‘หมายถึงกิ๊ก คนรัก หรือแค่คู่นอน’
ผมฉุนขึ้นมาทันที ถึงตอนแรกผมจะทำไม่ดีกับฝน แต่ตอนนี้ผมไม่ต้องการให้ใครมาดูถูกฝนทั้งนั้น คนที่จะทำได้มีผมเพียงคนเดียวเท่านั้น
“คนพิเศษ” ผมย้ำมันไปอีกรอบ “ได้เงินแล้วก็ส่งฝนมา ฉันรับปากว่าจะไม่เอาเรื่องพวกแกเด็ดขาด” ผมให้คำมั่นทั้งที่ในใจนึกถึงหน้าหมอนนท์ ผมไม่ปล่อยให้พวกมันลอยนวลแน่ ๆ
‘แกเป็นเกย์?’
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่พวกนายต้องรู้”
ผมตอกกลับ ชักโมโหที่ถูกพวกมันปั่นประสาท ตกลงพวกมันต้องการเงินหรืออะไรกันแน่ จนป่านนี้ก็ผมยังไม่เห็นฝนเลย หรือผมจะโดนหลอกทั้งที่จริง ๆ แล้วฝนไม่ได้ถูกจับมา
แต่ภาพล่ะ
“ฝนอยู่ไหน” ผมกัดกรามกรอดถามกลับ
‘อยู่นี่แหละ ถ้าแกไม่ตอบ ก็อย่าหวังว่าจะได้เจอตัวประกันเลย แกเป็นเกย์’
ผมขมวดคิ้ว
“ถ้าเกย์ในความหมายของแกคือคบกับผู้ชายคนไหนไม่เลือก ฉันคงไมใช่ แต่ถ้าหมายถึงกับฝนคนเดียวก็คงใช่” ผมตอบกลับหนักแน่น “ฝนอยู่ไหน” ผมถามย้ำอีกรอบ
‘คำถามสุดท้าย’
ผมรู้สึกตื่นเต้นเพราะจะได้เจอฝนสักที
‘แกรู้สึกยังไงกับเด็กนี่’
ผมยืนอึ้งกับสิ่งที่มันถาม
“พวกแกไม่จำเป็นต้องรู้ ส่งน้ำฝนคืนมาได้แล้ว” ผมสั่งพวกมันเสียงเข้ม ผมน่าจะโทรบอกหมอนนท์ไว้นะ อย่างน้อยมีอะไร มันจะได้ช่วยผมไว้ได้ทัน
‘แกรักเด็กนี่?’
ผมจ้องหน้าถามคนเขียนคำถามเขม็ง แค่โจรเรียกค่าไถ่ มันจะอยากรู้ความรู้สึกของผมไปทำไมกัน
“ใช่” ผมตอบรับตามตรง “ปล่อยน้ำฝนมา” ผมสั่ง ปล่อยรังสีคุกคามออกมาเต็มที่ ถ้าขืนมันยังไม่หยุดถาม อาจเป็นผมเองที่ทนไม่ไหว
มันไม่ถามอะไรต่อ โบกมือให้สัญญาณ ผมมองตามก็เห็นฝนเดินออกมาในสภาพถูกมัดมือมัดปาก แม้กระทั่งดวงตาก็ถูกมัดไว้ด้วย ด้านหลังมีผู้ชายคนหนึ่งใช้มีดจี้บังคับอยู่ หัวใจผมไหวแรง สำรวจผาด ๆ ก็เบาใจได้ว่าฝนยังปลอดภัย ผมจะขยับเข้าไปหา แต่ไอ้คนที่เขียนโต้ตอบกับผมยกกระดานขึ้นมากั้นเป็นการเบรกทุกการกระทำผมไว้ ผมเบรกกึกมอง
‘ถ้าแกขยับอีกนิด มีดในมืออาจเผลอเฉือนผิวเนื้อขาว ๆ นั้นได้นะ’
ผมกำหมัดกัดกรามกรอด ยอมยืนอยู่นิ่ง ๆ ตามคำสั่ง
‘เอาล่ะ เราได้เงินแล้ว เด็กนี่ก็ไม่มีความจำเป็นสำหรับเราอีก’
มันพยักหน้าไปทางคนที่จี้ฝนอยู่ ไอ้คนนั้นผลักฝนจนล้มลงกับพื้น ผมจะถลาไปหามัน แต่มันใช้กระดานเบรกไว้อีกรอบ เขียนบอกต่อ
‘ให้พวกเราออกไปก่อนแกถึงเข้าใกล้ฝนได้ ไม่งั้นเราจะให้มือปืนที่ซุ่มดูอยู่ยิง’
ผมนิ่งตามคำบอก ไอ้คนที่เคยจับผมมัดเดินเข้ามาใกล้ ผมมองอย่างหวาดระแวง มันล้วงหยิบมีดออกมา หัวใจผมหล่นวูบไปอยู่แทบเท้า รู้สึกเสียดายชีวิตขึ้นมาตงิด ๆ เพราะยังไม่ได้ทำอะไรหลาย ๆ อย่างที่คิดอยากจะทำเลย คนใกล้ตายคงรู้สึกแบบนี้กันทุกคน แต่ผมก็ยังทำใจดีสู้เสือ ยืนนิ่ง ๆ มอง มันขยับไปด้านหลังผม ปาดเชือกให้ขาดออกจากกัน ผมรีบชักมือที่เป็นอิสระกลับ หันไปมองมันดี ๆ
สามต่อหนึ่งสำหรับผมคงไม่ใช่เรื่องยาก แต่สามคนพร้อมอาวุธและมีตัวประกันที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อย่างฝน ผมไม่อยากเสี่ยง
พวกมันค่อย ๆ พากันก้าวถอยออกไปทางประตูโกดังพร้อมเงิน พอเห็นว่าพวกมันออกไปกันหมดแล้วผมถึงได้วิ่งเข้าไปหาคนที่ยังนั่งอยู่ที่พื้น
“ฝน”
มันครางอู้อี้ผ่านผ้าตอบรับ ผมรีบปลดผ้าที่ปิดตามันออกก่อน ตามันแดงก่ำ ไม่รู้แดงเพราะเพิ่งผ่านการร้องไห้มา หรือว่าเพราะพวกนั้นรัดแรงไป มันมองผมด้วยสายตาอึ้ง ๆ ผมรีบแก้ผ้าที่ปากมันออกต่อ ตามด้วยมือ
“บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
ผมถาม จับตัวมันพลิกเพื่อสำรวจ เบื้องต้นไม่มีอะไรเสียหาย มันยังไม่พูดไม่จากับผม
ฝนคงกำลังช็อก ผมไม่ถามอะไรต่ออีก ดึงฝนเข้ามากอดแน่น
“ไม่เป็นไร นายปลอดภัยแล้ว”
ผมลูบหัวมันปลอบประโลม มันค่อย ๆ เลื่อนมือมาจับแขนผม ดันเบา ๆ ให้ผมคลายปล่อย
“ผมไม่เป็นไร”
“พวกมันได้ทำอะไรนายหรือเปล่า”
มันส่ายหัวไปมา ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก หันซ้ายหันขวา ล้วงหยิบมือถือขึ้นมากด ฝนรีบตระครุบมือผมไว้ทันที
“พี่หมอจะทำอะไร”
“แจ้งความ”
ฝนตาโต ส่ายหน้าไปมา
“อย่า”
“ไม่ต้องกลัวหรอก รับรองจับพวกมันได้แน่ ๆ”
“อย่า ผมขอร้อง”
“ทำไม” ผมขมวดคิ้วถามด้วยความงุนงง
“เราออกไปจากที่นี่กันเถอะ” มันร้องขอ
“ขืนเราชักช้า พวกมันอาจจะหนีไปได้ก็ได้ ฉันไม่ได้เสียดายเงินนะฝน แต่ถ้าไม่จับพวกมัน พวกมันอาจทำแบบเดิมอีก ขืนชักช้า พวกมันอาจพากันแยกย้ายไปไกล”
“พวกนั้นไม่หนีหรอก”
ผมทำสีหน้างุนงงกับสิ่งที่ฝนพูด หรือว่าพวกนั้นวางแผนอะไรไว้อีก ผมมองฝนหน้าเครียด
“เราออกไปจากที่นี่กันเถอะ”
มันชวนอีกรอบ ผมจำต้องพยักหน้า หันซ้ายหันขวาอย่างหวาดระแวง พยุงมันลุก ก้าวออกจากโกดังไปด้านนอก ผมพยายามคาดเดาว่าพวกมันคิดวางแผนอะไรไว้กันแน่
พอออกไป หัวใจผมหล่นวูบไปอยู่แทบเท้า
ผมคิดผิดมากที่เหยียบย่างมาที่นี่คนเดียว ผมน่าจะเรียกหมอนนท์มาด้วย ผมไม่รอดจากเหตุการณ์นี้ไม่เป็นไร แต่ผมอยากให้ฝนปลอดภัย
…แต่มันสายไปซะแล้ว
To be Con...
อย่างน้อยสิ่งที่เปลี่ยนไปสำหรับพี่หมอคือ คิดถึงน้ำฝนมากขึ้น แค่นี้ก็ดีถมถืดสำหรับพระร้ายของเราแล้ว(มีคนบอกว่าพี่หมอไม่สมควรเป็นพระเอก เพราะงั้นให้เป็นพระร้ายไปละกัน) - ,. -
ตอนหน้าเผยโฉมหน้าผู้ร้ายค่ะ -,.-
Tag : #พี่หมอน้ำฝน #ทาสแค้น