โอ๊ะโอ หวัดดีครับ ช่วงนี้ช่วงหาเสียงอย่าลืมไปเลือกผมเป็นผู้ว่ากรุงเทพฯด้วยนะครับ
อ้อ ได้ยินว่าลูกชายดร.เกรียงศักดิ์หล่อขาวตี๋มาก ใส่แว่นอีก หึหึหึ น่ากิน ๆๆ
เสียดาย ภูมิลำเนาผมไม่ได้อยู่กทม ไม่งั้น จะไปลูบ ๆ คลำ ๆ ลูกชาย ดร.แก แทนค่าลงคะแนนให้ กั่กๆๆๆ
เฮ้อ ผมยิ่งแก่ก็ยิ่งไร้สาระ มาอ่านต่อเถ๊อะ
น้องกายลากลับห้องไปก่อน ขณะที่ไอ้ทีมยังนั่งใจลอยอยู่ที่โต๊ะ ผมตบบ่ามันเบา ๆ เรียกสติของมันให้กลับมา
“เป็นอะไรวะ”
เจ้าตัวสั่นหัว “เปล่าพี่”
“งั้นก็อย่าทำหน้าเซ็งอย่างนี้สิ กูไม่ชอบ”
“พี่จะมาสนอะไรกับหน้าตาทีมล่ะ ไปที่ชอบที่ชอบของพี่เหอะน่ะ”
ผมกระตุกยิ้มนิดหนึ่ง “หลังมอน่ะเหรอ”
“วันไหนไม่มีเรียนเช้าพี่ไม่เคยพลาดนิ”
“วันนี้สงสัยจะไม่ว่ะไอ้เสือ ง่วง..ว่าจะนอนเอาแรงสักหน่อย”
ไอ้ทีมยิ้มหัว “ฮั่นแน่ะ จะเก็บแรงไว้ทำอะไรรู้นะพี่..”
“เสือกนะมึง เรื่องในมุ้งชาวบ้านนี่รู้ดีไปหมด” ผมว่ามันอย่างไม่จริงจังนัก
“ก็ได้ ๆ งั้นพี่ก็ไปนอนเถอะ จะได้หายโทรมสักที”
“หึหึ” ผมหัวเราะแล้วลุกไปจากโต๊ะ
ทางเดินจากโรงอาหารไปยังหอพักทั้งมืดและเงียบ เมื่อเทียบกับสองสถานที่ที่เป็นจุดหมายทั้งสองด้าน ตรงเก้าอี้ริมน้ำข้างหอพัก แสงไฟแดงวาบ ๆ ของคนที่จุดบุหรี่สูบปล่อยอารมณ์อยู่ริมน้ำทำเอาผมเบือนหน้าหนี หนึ่งก็เพราะไม่ชอบกลิ่น และอีกหนึ่งก็เพราะเตือนให้ผมนึกถึงใครบางคนในวันที่ไม่น่าจดจำ
ใครบางคนเกากีตาร์พลางฮัมเพลงเบา ๆ แข่งกับสายน้ำ ผมหัวเราะอย่างรื่นรมย์ปนขมขื่นเมื่ออะไร ๆ ก็ดูเหมือนจะจงใจสะกิดความทรงจำเก่า ๆ
ผมขึ้นถึงห้องด้วยอาการเมามาย เมาอารมณ์ที่เอ่อท้นจนถึงคอหอย หน้าผากของผมกดซบกับประตูด้านหนาระหว่างที่มือก็ค่อย ๆ คลำหาลูกกุญแจดอกที่ถูกต้องเพื่อไขเปิดประตูห้อง ประตูเปิดต้อนรับอย่างรวดเร็วและร้อนรุ่มดั่งหญิงร่านสวาทอ้าขาให้ชายเชยชม กลิ่นของห้อง กลิ่นของผมที่กรุ่นอยู่ในนั้น ทำให้ผมลุ่มหลงทั้งเบื่อจนแทบบ้าในเวลาเดียวกัน
ในเวลานั้นผมทำอะไรไม่ถูก นอกจากทิ้งตัวนอนลงบนเตียงพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะพบว่าไม่สามารถข่มตาหลับลงได้
กระไอของยามราตรีโชยซู่ ๆ จากนอกหน้าต่าง ระคนกลิ่นเค็มของดินที่มักจะมาพร้อมกับละอองฝน ผมลุกขึ้นจากเตียงอย่างไม่เต็มใจ เปิดประตูระเบียงต้อนรับลมวูบใหญ่อันพัดประตูมุ้งลวดชั้นในจนหอบตัวโยนอยู่ข้างกำแพง
ฝนกำลังจะตก ลมก็พัดอยู่อู้ ๆ ผมรีบเก็บผ้าที่ตากไว้บนราวระเบียงเข้ามาในห้อง แต่ก่อนที่ผมจะหมุนตัวกลับเข้าไป ในวูบหนึ่งที่ฟ้าเปลี่ยนสีจากประกายวาบระหว่างหมู่เมฆ ผมเห็นเงาที่ทำให้ผมแทบผวาเข้าไปร้องเรียก เหมือนเขายืนทะมึนอยู่บนขอบระเบียงและจ้องมองผมอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่แรก
“แบ..”
ประกายฟ้าดับไป และลมก็พัดคว้างอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีเงาใดสามารถดำรงอยู่ใต้แสงวิทยาศาสตร์ของหลอดไส้สีส้มก่ำบนฝาผนังระเบียงห้อง ผมเบิ่งตามองความว่างเปล่าอย่างมึนชา ก่อนจะโยนผ้าในอ้อมแขนไปที่เตียงโดยอัตโนมัติ
ฝนโปรยตัวลงมา เม็ดมันใหญ่ส่งเสียงหนาหนักยามกระทบหลังคาสังกะสีของโรงอาหาร เสียงฝนครวญครางฝากรักกับเนื้อเหล็กปนเปกับเสียงผู้คนพูดพึมด้วยความสับสนและหัวเสีย พวกเขาติดแหง็กอยู่ในโรงอาหาร เว้นแต่ว่าในมือจะมีร่มที่เตรียมพร้อมรับมือกับฝนหลงฤดูเช่นนี้
ผมเดินมาจนชิดขอบระเบียง ฝ่าเท้าข้างหนึ่งเหยียบกับขอบตึก หยาดฝนไหลผ่านระหว่างเนื้อเท้ากับเนื้อคอนกรีต เป็นสถานการณ์ที่เหมาะแก่การแสร้งว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่จะไม่มีอุบัติเหตุในวันนี้ ผมมั่นใจเช่นนั้น
ผมเหวี่ยงตัวข้ามไปยังอีกระเบียงอย่างชำนาญ ข้างในห้องปิดไฟเงียบ เว้นแต่หัวมุมโต๊ะตัวหนึ่งที่มีไฟสำหรับอ่านหนังสือเปิดทิ้งไว้ ผมเคาะบานเกล็ดหน้าต่างด้วยข้อนิ้ว และประตูก็เปิดรับในเวลาไม่นานนัก
“เฮ้ย มาทำไมเนี่ย”
ผมไม่สนใจคำอุทานของผู้ที่หยิบผ้าเช็ดตัวมาโปะไว้กับหน้าของผม เอ่ยปากถามทันใด
“แบดล่ะ”
“มันกลับบ้านไปแล้ว ที่บ้านมันให้คนมาขนของกลับไปตั้งแต่เมื่อบ่าย”
ต้าร์ตอบพร้อมเสยผมอย่างหงุดหงิด อันที่จริงเขาดูกลัดกลุ้มยิ่งกว่าผมเสียด้วยซ้ำ
“งั้นโทษทีที่รบกวน” ผมพูดพร้อมกับหันกลับไปทางระเบียง แต่อีกฝ่ายคว้าคอเสื้อด้านหลังของผมไว้ทันที
“จะบ้าหรือเปล่า ปีนไปปีนมาอันตรายจะตายชัก ไปเข้าทางประตูดี ๆ โน่นไป”
ผมหันมาส่ายหน้า “คงไม่ได้ว่ะ พอดีไม่ได้เอากุญแจห้องออกมาด้วย”
ไอ้ต้าร์ฟังแล้วหัวฟูกว่าสิงโต มันผลักผมให้ถอยห่างประตูแล้วดึงประตูระเบียงปิดกั้นเสียงฝนฟ้าจากภายนอก
“งั้นนอนที่นี่ พรุ่งนี้ค่อยหาวิธีเข้าห้องที่มันดีกว่านี้”
“แต่เตียงพวกนาย..”
“เตียงไอ้แบดว่างแล้ว มันฝากบอกว่าถ้านายปีนเข้ามาให้กักตัวนายไว้อย่าให้ไปไหนโดยเฉพาะห้องของไอ้น้องกาย”
“โฮะ รู้จักน้องกายด้วยเหรอ”
ต้าร์ยักไหล่ในความมืด “ทำไมจะไม่รู้จัก มันเป็นขวัญใจนางฟ้านี่”
“นางฟ้า? คืออะไร”
“ไม่รู้จักนางฟ้าเรอะ หึหึ”
ผมส่ายหน้า ผมไม่อยากรู้และผมรู้สึกเหนื่อย กลิ่นของห้องนี้ทำให้ผมง่วง ตาของผมปรือกว่าเมื่อครู่ มันคืออะไรบรรยากาศที่ทำให้วางใจและอยากซุกตัวลงในผ้านวมนุ่ม ๆ สักผืน ดูเหมือนเพื่อนรักของไอ้แบดจะรู้ใจ เขาหยิบหมอนกับผ้าห่มมาให้ผม
“ของไอ้แบด มันให้เราเก็บไว้..ให้นาย”
ผมรับมากอด และถอยไปนอนที่เตียงอย่างง่วงงุน ไม่นานผมก็หลับไปพร้อมกับความรู้สึกอุ่นลึก ๆ
ไม่มีใครบอกผมว่าควรจะตื่นเวลาเท่าไหร่ แต่เมื่อผมลืมตาขึ้นผมก็เห็นฝ้ากระจกสว่างจ้าจากแสงภายนอก ผมลุกขึ้นแล้วมองไปรอบ ๆ เพื่อทำความเข้าใจว่าทำไมผมถึงมาอยู่ในสถานที่ที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ผมหันไปทางด้านขวาเห็นหนึ่งในรูมเมทของไอ้แบดกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ ผมส่งยิ้มทื่อ ๆ ให้แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
“ไอ้ต้าร์ฝากนี่ไว้ให้นาย”
รูมเมตคนที่ว่าซึ่งแต่งตัวเรียบร้อยแล้วเดินมาที่ข้างเตียง และวางฝ่ามือที่ถือชิ้นส่วนโลหะหลายชิ้นร้อยเป็นพวงวางลงบนโต๊ะ มันเผยตัวอยู่บนพื้นโต๊ะสีขาวเรียบเป็นพวงกุญแจเปิดเข้าห้องผม ไม่ใช่กุญแจที่สามารถยืมมาจากยามหอชั้นล่าง แต่เป็นกุญแจของผม
ผมยิ้มอย่างดุดันเมื่อนึกรู้ว่าคนที่ห้ามไม่ให้ผมทำเรื่องเสี่ยงอันตรายดันผ่าปีนตึกไปซะเอง ถ้าไอ้แบดพบว่าเพื่อนรักของมันตกหอมาขาหักเพราะผมมันจะโกรธผมมั้ยนะ
แต่แน่นอนว่าผมไม่กลัวเขาโกรธแล้ว มันดูเหมือนจะเป็นการจากไปของฝันร้าย เป็นการรับทราบว่าศัตรูของคุณได้จากไปในสถานที่ที่ห่างไกล และไม่สามารถทำให้คุณประหวั่นพรั่นพรึงอีกต่อไป แต่ในขณะเดียวกันมันก็พรากความหมายของการมีชีวิตอยู่ของคุณไปด้วย
ผมนึกถึงภาพของอิโซล ผู้ทั้งรักทั้งชังทริสแทรมแห่งคอร์นวอลล์ นางอาจจะฉีกทึ้งผ้าห่มที่คนรักทิ้งไว้และชโลมมันด้วยไวน์พิษ แต่ผมไม่..ผมแค่หยิบพวงกุญแจของตนมากำไว้ในมือและเดินออกไปจากห้องนั้น
ไม่มีข่าวอะไรมาจากแบดในช่วงสองสามวันหลังจากนั้น เหมือนเขาหายไปในอากาศธาตุ และเจสซี่ก็เช่นกัน ผมคิดว่าดีแล้วที่เป็นเช่นนั้น เพราะผมรู้สึกจิตใจแน่วแน่ขึ้นและจดจ่อที่จะทำในสิ่งที่ผมต้องทำ ผมจะต้องสู่จุดยอด จะไม่มีอารมณ์อะไรมาขัดขวางระหว่างผมกับเป้าหมายอีก ทั้งหมดเป็นแค่การเคลิ้มไปเพียงวูบเดียว..มันเป็นเช่นนั้น
แต่มนตราที่ยังหลงเหลืออยู่คือน้องกาย ผมไม่แน่ใจว่าผมลุ่มหลงเขามากขึ้นทุกที หรือว่าเขาน่าลุ่มหลงขึ้นทุกที แต่ผมแน่ใจว่าผมชอบเขาที่เป็นมนุษย์มากกว่าเป็นเทพเจ้า และมนุษย์ทุกคนล้วนมีข้อบกพร่องที่น่ารักและน่ารังเกียจอยู่พอ ๆ กัน
น้องทีมดูเหมือนจะสำเหนียกถึงอารมณ์นี้และเขาก็พูดกับผมด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้
“พี่แทนรู้มั้ยว่าที่รักของพี่วันนี้เป็นยังไง”
“ที่รักของใครนะ”
“ก็ไอ้กายนั่นแหละ”
“ทำไมวะ”
ทีมทำสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ช่วงนี้มันไม่ค่อยแคร์เพื่อนเท่าไหร่ นึกอยากทำอะไรก็ทำ ไปไหนก็ไป นิสัยลูกคุณหนูน่ะ”
“เอาแต่ใจเหรอ”
“ใช่พี่ มันน่ะชอบให้คนมาเอาใจ แต่ไม่เคยเอาใจใคร คนเค้าชอบมันก็เพราะเปลือก แต่ถ้าวันไหนเขาเห็นตัวจริงมันขึ้นมา...”
“แล้วไอ้กายตัวจริงเป็นยังไง”
ดูเหมือนทีมจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าพูดมากไป ไหล่ของเขาห่อลง และเสียงของเขาก็เบา
“เปล่าพี่ ไม่มีอะไรหรอก ทีมแค่หงุดหงิด”
ผมมองตามเงาหลังของเขา ผมรู้ว่าเขาเป็นคนโง่และคิดโง่ ๆ แต่ผมเองก็ไม่แตกต่างกัน มิใช่หรือ
เวลาของความชาญฉลาดมักจะกระชั้นสั้น ยางสิเน่หาที่ผมเชื่อว่ามันเหือดแห้งไปแล้วกลับกลั่นตัวหนืดข้นในยามที่มือขวาของผมรูดขึ้นรูดลงเพื่อช่วยเหลือตนเอง ความเปล่าเปลี่ยวและไฟปรารถนาที่ร้อนแรงทำให้ผมคิดถึงเขาอย่างช่วยไม่ได้ ผมครางชื่อของเขา จินตนาการภาพใบหน้าของเขา และอวัยวะของเขา มันช่าง...เหมือนกับน้ำหวานที่หยดลงมาบนลิ้นแห้งผาก หรือน้ำพุประสุทธิ์อันพุ่งซ่านชำแรกเนื้อหินขึ้นมาบนผิวโลก เมื่อนึกถึงช่วงวินาทีอันก้ำกึ่งระหว่างความรวดร้าวเจียนตายและความสุขสมจากการหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
ยางนั้นทะลักออกมาเปรอะเต็มง่ามมือ ตามด้วยความรู้สึกผิดอย่างเปี่ยมล้น ผมนอนคอพับลงกับเตียงทั้งที่หน้าท้องยังเปรอะเปื้อน ตะโกนถามตนเองในใจว่าทำไมยังลืมไม่ได้สักที คำตอบที่สะท้อนกลับมาคือความรวดร้าวในก้อนเนื้อหัวใจแผ่ซ่านมาทั้งทรวงอกจนผมตัวงอคู้คว่ำลงกับเตียง ผมกัดฟันและบอกกับตนเองอีกครั้ง พรุ่งนี้ผมจะตื่นขึ้นมา เป็นคนละคนกับคนที่กำลังบิดเบี้ยวอยู่อย่างทรมานนี้
ปล. วันนี้ผมมีเรียน 10 โมงเช้านะเออ แถมบ่ายนี้มีประชุมโปรเจคท์อีก โอ้..ชีวิต
