~~เออกูผิด 2...ตอนที่ 13~~“ เฮ็ดอีหยางกันสู ”
“ เล่นไพ่ ”
“ กวนติงเดะนี่ๆ ”
“ เอ๊า ก็เห็นอยู่ยังเจือกถาม ”
ไม่มีอะไรครับเช้านี้ผมกับโมเราทำความสะอาดบ้านกันเนื่องจากวันนี้ที่บ้านเราจะมีแขกมาเยือนครับ
“ ให้กูช่วยไหม ”
“ งั้นมึงขนเอาหนังสือพวกนี้ออกไปมัดรวมๆ กันไว้ ”
“ จะเอาขายเหรอ เสียดายวะซื้อมาเล่นแม่งต้องร้อยครึ่งร้อยแต่ขายทีได้สิบกว่าบาทเอง ”
“ งั้นมึงก็คัดเอาเล่มที่มึงเสียดายออกมา ส่วนที่เหลือมึงก็เอาไปมัดรวมๆ กันไว้แล้วก็เอาไปตั้งให้ปลวกกัดกินเล่นเลยไปทีนี้แม้แต่ตังค์บาทเดียวมึงก็ไม่ได้ ”
“ โธ่มึง ก็กูเสียดายนี่หน่า แล้วนั่นอะไรจะทิ้งเหรอ นั่นอีก ”
แล้วก็กลายเป็นว่าผมกับโมเก็บทิ้งแต่ไอ้ปลาบึกกับเก็บเอาออกมาเหมือนเดิม แล้วเหตุการณ์ทะเลาะเล็กๆ ก็เกิดขึ้นมาให้ได้ฮากัน
“ พี่ปลาบึกเก็บออกมาทำไมอีกอ่ะ ” เสียงปรี๊ดแตกแปดหลอดจากไอ้น้องโมครับ
“ อ้าวก็อันนี้ยังใช้ได้อยู่นี่โม ”
“ แล้วนี่อีก โอ๊ยยังงี้เมื่อไหร่จะเก็บเสร็จล่ะพี่ ”
“ ก็อันนั้นก็ยังใช้ได้อยู่นี่ ” เหอะๆ ผมทำได้แค่ยืนแสยะยิ้มเป็นกำลังใจให้ทั้งฝ่ายรัฐและฝ่ายค้าน
“ โหหหหหหหหห อันนั้นก็ใช้ได้อันนี้ก็ใช้ได้ แล้วงี้ผมจะมาเสียเวลาเก็บทำไม พี่โจ๊กงั้นผมไม่ช่วยแล้วนะ ” ไอ้โมเริ่มมีน้ำโหครับ
“ ไอ้บึกมึงเห็นไหมเนี๊ยว่าคนเค้าทำงานกัน มึงไม่เก็บของช่วยมึงก็ไปไกลๆ ติงพวกกูเลย ” ผมทำตัวเป็นกลางดีไหมครับ ^0^
“ แหม๋ก็มันยังใช้ได้อยู่นี่หน่า เนี้ยหนังสือดีๆ มีรูปสวยๆ เพียบเลย แล้วไอ้นั่นก็ยังใช้ได้อยู่ไม่ใช่เหรอ ” ไอ้ปลาบึกยื่นมือออกไปเก็บเอาพัดลมตัวเน่าๆ สมัยพระเจ้าสามเหาออกมาจากกองขยะ
“ วางเลยๆ พี่ปลาบึก ตัวนั้นผมจะเอาไปบริจาคให้คนที่เค้าต้องการใช้จริงๆ ” ไอ้น้องโมเริ่มออกอาการขู่ฟ่อๆ
“ แต่ว่า ” ไอ้ปลาบึกยอมวางพัดลมตัวเน่าลงกับที่แต่ก็ยังคงถอดสายตามองมันอย่างอาลัยอาวร
“ ทำไม นอนห้องแอร์แถมแอร์เป่าดากออกขนาดนั้นมึงยังจะเอาพัดลมไปเป่าน้องชายมึงเพิ่มอีกเหรอไงสาดดดด (ดากภาษาคุณสานแปลว่าตูดครับ) ” อันนี้ผมเห็นด้วยกับโมครับเราสามคนได้นอนในที่สบายแล้ว แต่บางคนที่เค้าไม่มีจริงๆ และเดือดร้อนอาจจะต้องการพัดลมตัวนี้มากกว่าเรา
“ เออๆ ก็ได้ๆ แต่ห้ามเอาไปทิ้งนะ โมต้องเอามันไปบริจาคจริงๆ นะ ตัวนี้มีค่ากับพี่ทางใจจริงๆ ตัวนี้พี่จำได้ว่าสมัยที่เข้ามาอยู่ กทม. ใหม่ๆ พี่ซื้อให้เป็นของขวัญตัวเองชิ้นแรกเลยนะเนี้ย ”
“ โหไอ้บ้านนอกดูมันใช้คำ ”
“ เออกูบ้านนอก ส่วนมึงนะไอ้ตะเขบชายแดนพม่า ”
“ พอแระๆ อย่าทะเลาะกัน เอางี้เดี๋ยวโมจะเอาไปให้พี่คนสวนที่บ้านโมใช้ แล้วถ้าเกิดวันไหนพี่ปลาบึกเกิดคิดถึงมันพี่ก็ไปเยี่ยมมันดีไหม ”
“ ดีๆ ^0^” แล้วรอยยิ้มพิมพ์ใจชนก็ ปรากฏบนหน้าของไอ้ปลาบึกอีกครั้ง
“ เอ่อ แล้วมึงสองตัวก็อย่าลืมซื้ออาหารเม็ดไปให้พี่คนเลี้ยงเค้าด้วยละ เพื่อดึกๆ พัดลมแม่งลุกขึ้นมาหิวพี่เค้าจะได้หาอะไรให้มันกินได้ทัน ”
“ ครับ / ครับ ”
“ เฮ้ยยยยยยยย พัดลมนะไม่ใช่แมวสาดดดด พูดซะกูเคลิ้มเลย ” แล้วไอ้ปลาบึกก็ออกกำลังกายโดยการวิ่งไล่เตะผมรอบบ้านครับ
โมตกลงพ่อกับแม่โมจะพาใครมาบ้านเราเหรอ
“ อาของโมเองพี่ ”
“ อาของโม ญาติฝ่ายไหนอ่ะโม ” เฮ้อออออ เมียกูถามไม่คิดเอาซะเลย
“ ฝ่ายแม่มั้งมึง สาดถามไม่คิดเลยนะ นี่ตกลงมึงจบอะไรมาวะ ”
“ เออออ 5555+ เออวะๆ กูลืม 555+ ” ครับ...เมียผม หน้านี้....แม่ง....ด้านนนนนนน
“ เฮ้ยแล้วน้านี่ฝ่ายแม่ใช่ปะวะ ”
“ เฮ้ยยยย นี่มึงยังไม่จบอีกเหรอวะ มึงมาถามกูนี่ไอ้ปึก (ปึกภาษาคุณสานแปลว่า โง่ ประมาณนั้นอะครับ) เดี๋ยวกูตอบให้ ”
“ บึกโว๊ยยย ไม่ใช่ปึก บักปอบมึงแอบด่ากูตัวนิ ”
“ ไผด่ามึงสาด ” ขืนอยู่กับมันนานกว่านี้ผมคงเปิดโรงเรียนสอนภาษาบ้านมันได้สบาย
“ ห้วย หมามั่งจั๊บได้กูจะเตะแม่งจักบาท ”
“ เหอะๆ ”
“ โมแล้วอาของโมจะมาทำไมอ่ะ ”
“ เออนั่นดิ ” ผมก็ลืมถามไปเลย
“ เค้าจะพาลูกชายมาสัมภาษณ์งานที่กรุงเทพครับ ”
“ พามาสัมภาษณ์งาน ” อา....เด็กจบใหม่สินะ อิอิอิ
“ เฮ้ยเด็กจบใหม่เหรอไง พ่อแม่ถึงต้องพามาสมัครงานด้วยตัวเอง ” เป็นคำถามที่โดนใจกูมากไอ้บึก
“ เปล่าหรอกพี่ปลาบึก ลูกชายของอาเค้าอายุเท่าโมนี่แหละ แต่ว่าเค้าเป็นคนหัวอ่อนนะพ่อแม่ไม่ค่อยปล่อยให้ไปไหนมาไหน อีกอย่างเค้าก็ไม่เคยเข้ากรุงเทพฯ เลย นี่เป็นครั้งแรกหนะพ่อกับแม่เค้าก็เลยเป็นห่วงเลยตามมาส่งกัน ”
“ แล้วทำไมต้องมาอยู่กับเราด้วยอ่ะ บ้านโมก็ออกจะใหญ่โตทำไมไม่ให้ไปพักที่โน่นอ่ะ แล้วอีกอย่างเค้ารู้ไหมว่าพวกเราเป็นอะไรกัน ”
“ นี่แหละปัญหาใหญ่เลยพี่ปลาบึก โมเองก็ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่คิดอะไรกันแน่ถึงส่งให้ครอบครัวอามาพักอยู่กับเรา ”
“ ว่าแต่ ลูกชายเค้าหน้าตาดีไหม ” ^0^
“ ไอ้โจ๊ก / ไอ้พี่โจ๊ก ”
และแล้วช่วงเวลาแห่งความอึดอัดใจก็มาเยี่ยมเยือน
“ อาโมอา ลื้อนี่โตวายมั๊กๆ อา ไหนๆ มาลูโหน่วย ผ่านไปม่ายกี่ปีนี่หลานอั๊วโตขึ้นเปงหนุ่มหญ่ายยยเชียวว ”
“ พม่า กูว่าพม่าแน่ๆ ” ไอ้ปลาบึกเขยิบตัวมากระซิบข้างๆ หูผม
“ สาดพม่าบ้านพ่อมึงมาจากเมืองจีนกันเหรอไง ” เฮ้อออออ นี่กูได้มึงตอนเมาเหรอเปล่าเนี้ย
“ 555+ อะกูล้อเล่งน่า ” ไอ้ปลาบึกดัดสำเนียงจีนล้อแขกผู้มาเยือน
ครับแขกผู้มาเยือนของเราครั้งนี้ไม่ใช่ใครอื่นเลย ก็อย่างที่บอกนะครับว่าไม่รู้ว่าพ่อกับแม่ของไอ้น้องโมคิดอะไรอยู่ถึงได้ส่งญาติตัวเองให้มาพักที่บ้านสามหนุ่มสามมุมของเรา และในการมาของอาไอ้น้องโมครั้งนี้ก็ไม่ใช่มาแค่คนสองคนครับ...เพราะพวกเค้า...มากันเป็นหมู่คณะกันเลยทีเดียว
“ โห แม่งขนมากันทั้งตระกูลเลยหรือเปล่าวะเนี้ย ”
“ ไอ้เชี้ยบึก พูดเบาๆ สิมึงเดี๋ยวเค้าก็หันมาจับมึงยัดกระสอบส่งออกนอกประเทศแทนข้าวสารอาหารแห้งหรอกมึง ”
“ เบาก็กลัวอะดิ ” มันยังไม่วายครับ
“ อ้าว แล้วไอ้สองโตวที่ยืนเกาะกันเปงลูกลิงนั่นคายอ่ะ โคนงานบ้านลื้ออ่ะเปล่าอาโม ทามมายอีม่ายปายขนของขนกาเป๋าให้อั๋วอ่ะ ” นั่นกูว่าและ
“ เวงและกู เห็นกูเป็นคนงานซะแระ ”
“ ไอ้โจ๊กไหนมึงว่าอย่าเสียงดังไงสาด แม่งพูดเสียงดังกว่ากูอีก ”
“ อ๋อนั่นพี่โจ๊กครับ แล้วอีกคนก็พี่ปลาบึก (ผมกับไอ้บึกยกมือไหว้บรรดาขบวนญาติๆ ไอ้น้องโม) ”
“ อา..สวัสลีๆ ว่าแต่คายกันอ่ะ ” เหอะๆ
เย็นวันนั้นพ่อไอ้น้องโมก็พาเหล่าบรรดาลูกเล็กเด็กแดงญาติๆ หลานๆ ไปกินอาหารจีนกันนอกบ้านครับ และช่วงนี้เองก็เป็นช่วงที่ผมกับไอ้ปลาบึกต้องนั่งลุ้นระทึกกันชนิดที่ว่าตูดแทบไม่อยากจะติดเก้าอี้เลย พ่อไอ้น้องโมเริ่มแนะนำตัวพวกผมอย่างเป็นทางการกับญาติของตนเองครับ ซึ่งก็แน่นอนผมรับบทผู้ร้ายในสายตาญาติๆ ของไอ้น้องโมไปเต็มๆ ส่วนไอ้ปลาบึกนะเหรอครับ...มันยังคงความเป็นลูกชายคนโตของไอ้น้องโมเช่นเดิม พ่อตาผมช่างลำเอียงยิ่งนัก หึหึหึหึ
“ นี่แฟนหลานชายลื้อ ชื่อไอ้โจ๊ก ” สิ้นคำพ่อตาแนะนำผมลุกขึ้นยืนไหว้ปรกๆ อีกครั้ง
“ หาแฟงอาโมเหรอ ” อาของไอ้น้องโมอาปากค้าง...แน่นอนครับเดี๋ยวคงมีอ้าปากค้างกว้างกว่าเดิมอีกครั้ง
“ ส่วนนั่นลูกปลาบึกแฟนของไอ้โจ๊กอีกคน ” เป็นธรรมมากครับพ่อตาผมเรียกไอ้บึกลูกทู๊กกกกคำ
“ หา เมียอีกโคนนน ” นั่นไง
ครอบครัวนี้มาด้วยกันทั้งหมด 5 คนครับนี่ไม่รวมคนขับรถนะ 5 คนนี้ก็ประกอบไปด้วย 1 อาผู้ชาย 2 อาผู้หญิงเมียอาผู้ชาย (งงไหม) 3 ลูกชายคนโต (ลูกบุญธรรม) 4 ลูกชายคนรอง 5 ลูกชายคนสุดท้อง โมเล่าให้ฟังว่าจริงๆ แล้วครอบครัวของอาเป็นญาติห่างๆ ประมาณว่าเป็นแค่พี่น้องบุญธรรมกับครอบครัวโมนะครับ สองครอบครัวนี้เค้าเกื้อหนุนจุนเจือกันมานานมากแล้ว
“ ลื้อจาบ้าเหรอที่ยุให้ลูกชายโตวเองเปงแต๋วเปงตุ๊ดอ่ะ ”
“ โม เราพาพวกพี่ๆ ออกไปก่อน พ่อจะคุยธุระกับอาเดี๋ยวคุยเสร็จแล้วพ่อจะโทรตาม ”
“ ครับพ่อ ”
ผมไม่เคยคิดเลยครับว่าพ่อของโมจะกล้าเปิดเผยเรื่องราวของลูกชายตัวเองได้อย่างโจ่งแจ้งซะขนาดนี้ (พ่อของโมเป็นคนพูดอะไรแบบขวานผ่าซากนะครับ เรียกว่าปากตรงกับใจมากๆ เลยครับ แต่ก็เป็นคนที่ปากร้ายใจดีมากเลยทีเดียวถึงแม้บางทีจะดุเป็น บรู๊วววววว ไปหน่อย เหอะๆ ) แต่จริงๆ แล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีครับเพราะอย่างน้อยผมก็ไม่ต้องมานั่งระแวงโน่นนี่ให้เป็นประสาทไปซะเปล่าๆ
“ จำเราได้ไหม เราโมไง ” ทันทีที่พวกเด็กๆ อย่างเราออกมาจากโต๊ะอาหารไอ้น้องโมก็เริ่มชวนคุยทันที
“ จำได้สิ ” เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงไอ้น้องชายคนเล็กของตระกูลอาไอ้น้องโมพูดครับ
น้องเค้าชื่อกิม กิมเป็นเด็กเรียบร้อยไหม...ผมว่าไม่เลยครับ ในสายตาของผมกิมเป็นคนที่ตรงข้ามกับที่โมเล่ามาทั้งหมด กิมคุยเก่งมากถึงมากที่สุด ตัวโตเกินกว่าอายุร่างกายดูสมสวนซึ่งถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเกิดจากการเล่นกีฬาบาสแน่ๆ ซึ่งตรงข้ามกับไอ้น้องโมที่ออกจะผอมและตัวเล็ก กิมเป็นคนยิ้มง่ายครับดูเป็นมิตรมากๆ ซึ่งคนแบบนี้ผมว่าเพื่อนต้องเพียบแน่ๆ ครับ
“ นี่พี่โจ๊ก ” ไอ้น้องเริ่มจะแนะนำผมให้กิมได้รู้จัก
“ อืมรู้แล้ว เค้าเป็นแฟนนาย...นี่นายเป็นเกย์เหรอ ” ตระกูลนี้คำว่าขวานผ่าซากคงเป็นโรคติดต่อประจำตระกูลมั้งครับ
“ อืม ”
“ เป็นรุกหรือรับล่ะ ” โหมันรู้ละเอียดแฮะ
“ รับ ”
“ เก่งนี่ ไม่เจ็บตูดเหรอ ”
ผมยืนฟังบทสนทนาที่เต็มไปด้วยคำถามอยากรู้และต้องการคำตอบจากปากของเด็กที่ใครๆ ก็บอกว่าเป็นเด็กที่เรียบร้อยไม่ประสีประสา ซึ่งแน่นอนเมื่อมันกล้าถามมาตรงๆ ก็ยอมมีคนที่กล้าจะตอบอะไรตรงๆ อย่างไอ้น้องโม
“ แรกๆ ก็มีเจ็บบ้างแต่พอทุกอย่างเริ่มๆ เข้าที่อะไรมันก็ดีไปหมด ” แรงไหมครับเมียผม
“ ปลาบึกมึงไปคุยกับสองหนุ่มนั่นไป ”
“ ทำไมอ่ะ ”
“ กูไม่อยากให้เค้ามาได้ยินที่ไอ้สองตัวนี่คุยกัน กูคนฟังยังรับไม่ได้เลย ”
“ แล้วจะให้พาไปไหนอ่ะร้านก็มีพื้นที่แค่นี้เอง ”
“ มึงพาเค้าไปดูรถแท๊กซีวิ่งไปวิ่งมาก็ได้สาด เดี๋ยวทางนี้กูจัดการเอง ”
“ เออๆ เสร็จแล้วโทรบอกกูด้วยอ่ะ ”
“ อืมๆ ”
เฮ้ออออ ผมจะรับมือกับคนตระกูลนี้ไหวไหมนะ แต่ทุกอย่างมันต้องมีทางออกแน่ๆ ครับเพียงแต่ตอนนี้ผมยังไม่รู้ว่าประตูทางออกมันอยู่ตรงส่วนไหน
“ หา จริงดิ ” เสียงตกใจของไอ้น้องโมทำเอาผมสะดุ้งตื่นจากอาการจิตล่องลอย
“ จริงๆ นายไม่เชื่อเราเหรอ ” แล้วสองหนุ่มน้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็พากันหันมาจ้องหาผมอย่างมีเลศนัย
“ ทำไมเหรอโม กิม ”
“…………” ไม่มีใครเอ่ยปากตอบอะไรกลับมาให้ผมได้ยินจะมีก็เพียงแต่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของไอ้ตัวดีของผมที่ส่งมาให้ชื่นหัวใจ
“ ว่าไง อะไร นี่ถ้าไม่มีใครบอกพี่...พี่คงต้องคิดได้แค่ว่าพวกเราสองคนกำลังนินทาพี่อยู่แน่ๆ ใช่ไหม ”
“ ไม่หรอกครับพี่โจ๊ก กิมก็แค่ชมว่าพี่โจ๊กดูดีกับโมเค้าไปก็แค่นั้นเอง ” พูดจบมันก็ส่งยิ้มมาให้ผมอีกครั้ง
“ จริงเหรอโม ”
“ ครับ ^^”
“ นี่พี่โจ๊กไม่เชื่อที่กิมพูดเหรอครับ ”
ตรู๊ดดดด ตรู๊ดดดด ตรู๊ดดดด
“ กิม พี่โจ๊ก โมขอตัวไปคุยงานทางโน้นแปปนะครับเดี๋ยวมา ฝากดูกิมแทนโมด้วยนะครับ ”
“ อืม แน่ใจนะว่าไปคุยเรื่องงาน ” ผมแกล้งแซวไอ้น้องโมไปอย่างไม่ได้คิดอะไร
“ พี่โจ๊กเป็นพวกหวงของเหรอครับ ” ไอ้น้องกิมขยับเดินเข้ามาใกล้ผมขึ้นหนึ่งก้าว
“ ก็ไม่เชิงหรอกครับ ขึ้นอยู่กับว่าของที่เรามีนะดีพอที่เราจะหวงเหรอเปล่า ”
“ งั้นอย่างโมก็ถือว่าใช้ได้เลยสินะครับ ไม่น่าถึงได้ดูหวงกันจังแล้วพี่อีกคนละครับ ” ไอ้น้องกิมชะโงกหน้าข้ามหลังผมไปมองไอ้ปลาบึกที่ตอนนี้พากันไปเปิดโต๊ะใหม่นั่งกินเบียร์กันอย่างสำราญใจ
“ แล้วน้องกิมคิดว่าอย่างไงล่ะครับ ”
“ ก็คงจะหวงเหมือนกันสินะครับ ”
“ ครับ แล้วน้องกิมล่ะครับมีคนที่หวงเป็นของตัวเองแล้วเหรอยัง ” เอาสิมึงของกูรุกคืนบ้าง
“ ก็ กำลังมองหาอยู่นะครับ ก็ไม่รู้ว่าจะมีคนมาสนใจบ้างเหรอเปล่า ”
“ อืมมมม น่ารักๆ อย่างน้องพี่ว่าคงหาได้ไม่ยากหรอกครับรับรอง ”
“ งั้นพอจะแนะนำให้ผมบ้างได้ไหมครับว่าควรจะไปเริ่มมองหาจากแถวไหนก่อนดี ” ไอ้น้องกิมเริ่มขยับเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น
“ ก็ไม่รู้สิครับ ”
“ งั้นถ้าผมจะเริ่มต้นจากคนแถวนี้ (มันส่งสายตากรุ่มกริ่มมาให้ผม) พี่ว่า...พอจะมีใครที่จะเริ่มๆ สนใจผมบ้างไหมครับ ” น่านงานเข้ากูแระ
บอกร้านก๋วยเตี๋ยวเปิดร้านด้วยนะเบื่ออาหารตามสั่งแระ