▓ ▒ ░ ต้น-สน∞ปาฏิหาริย์รักที่รอคอย ░ ▒ ▓CHAPTER 32: คำว่ารักที่รอคอย
ท้องฟ้าสีครามสดใสที่เห็นได้จากสองข้างทาง ตัดสลับกับทิวเขาและหมู่แมกไม้ สร้างความตื่นตาตื่นใจและตื่นเต้นให้แก่ผู้เดินทางที่อยู่ในรถตู้ไม่น้อย ผู้ร่วมเดินทางในครั้งนี้ประกอบด้วย ต้น สน นิก พริมแฟนของนิกที่อุตส่าห์เดินทางมาจากกรุงเทพเพื่อมาร่วมทริปนี้โดยเฉพาะ ปั้นจั่น เนสหรือแฟนของปั้นจั่นจากคณะวิจิตรศิลป์ เต้และเต้ยก็ขอมาร่วมด้วย ส่วนอีกคนที่ไม่ได้รับเชิญก็คือ นินา เธออยากไปด้วยจนต้องโทรไปหาพ่อของสน สุดท้ายพ่อก็กดดันให้สนพานินามาด้วยจนได้
รถออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ตอนเจ็ดโมงครึ่งที่บ้านพักของสี่หนุ่ม ป้าของนิกใจดีให้รถตู้พร้อมคนขับมาด้วยหนึ่งคนชื่อพี่อนุชาที่จะคอยเป็นสารถีให้ตลอดทั้งทริปนี้ ผู้ร่วมทริปเพียงแต่ช่วยกันออกค่าน้ำมัน ค่ากิน ค่าที่พักและค่าคนขับ ไม่ต้องจ่ายค่าเช่ารถ รวมๆ กันแล้วก็ประมาณคนละสองพันบาท
ที่นั่งในรถแถวแรกมีนิก พริมและนินา ที่นั่งแถวสองมีปั้นจั่น เนส เต้ย ส่วนแถวหลังสุดมีต้น สนและเต้ ดูเหมือนนินาไม่ค่อยพอใจนักที่สนเลือกไปนั่งกับต้นทั้งที่เธออุตส่าห์แนะนำตัวกับคนอื่นๆ ว่าเป็นคู่หมั้นของสน เธอจึงได้แต่เก็บความขุ่นเคืองไว้ในใจ แต่เอาเถอะ เดี๋ยวก็รู้กัน
"พี่นิก สองคนนั้นเขาดูเคมีเข้ากันจังเลยนะคะ" พรีมหันไปพูดกับแฟนหนุ่ม คอยชำเลืองดูต้นกับสนที่นั่งคุยกันแล้วก็ยิ้ม เธอเป็นสาววายตัวฉกาจคนหนึ่ง ได้ยินนิกเล่าถึงต้นกับสนให้ฟังบ่อยๆ เธอก็อยากมาเห็นตัวจริง
นิกยิ้มกับแฟนสาวแล้วก็ทำท่าจุ๊ปากเพราะกลัวนินาที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้ยิน พรีมจึงต้องคอยระวังมากขึ้น
ที่แรกที่จะไปก็คือ พระมหาธาตุนภเมทนีดล ตามด้วยอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จากนั้นในช่วงขากลับจะแวะชมวิวทิวทัศน์ที่กิ่วแม่ปาน ก่อนที่จะมาพักที่ที่พักบนดอยชัวญ่าร์หนึ่งคืน รุ่งเช้าวันถัดไปก็จะใช้เวลาอยู่ที่ดอยชัวร์ญ่าจนถึงเที่ยง กินข้าวกลางวันแล้วก็จะเดินทางกลับ นอกนั้นก็อาจมีแวะจอดชมวิวหรือถ่ายรูปเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ในจุดอื่นๆ บ้าง
รถมาถึงพระมหาธาตุนภเมทนีดลประมาณเก้าโมงครึ่ง หนุ่มๆ สาวๆ ตื่นเต้นกันใหญ่กับความสวยงามของสถานที่แรกที่มาถึง ดอกไม้เมืองหนาวหลายสีและชนิดจัดไว้อย่างสวยงามอยู่ทั่วบริเวณ อากาศหนาวเย็นมากทีเดียวแต่ชุดกันหนาวที่แต่ละคนเตรียมมาก็ช่วยคลายหนาวได้ดี บรรยากาศโรแมนติกอย่างนี้ช่างเหมาะที่หนุ่มๆ สาวๆ หรือคู่รักจะมาถ่ายรูปด้วยกัน
หลังจากที่่ถ่ายรูปหมู่กันแล้ว แต่ละคนก็เริ่มแยกย้ายกันไปเป็นคู่ๆ คู่ใครคู่มัน ในช่วงนี้นี้เอง นินาได้ใช้สิทธิพิเศษในฐานะคู่หมั้นชิงตัวสนไปเสียก่อน
"พี่สนคะ นินาอยากถ่ายรูปกับดอกไม้ตรงนี้ พี่สนถ่ายรูปให้นินาหน่อยสิคะ"
สนจำใจต้องถ่ายรูปให้เธอ ไม่ใช่แค่จุดเดียวแต่มีหลายจุด ต้นรอไม่ไหวก็เลยไปกับเต้และเต้ยก่อน ทำให้สนกับนินาต้องแยกกับเพื่อนๆ ไปโดยปริยาย
พอนินากับสนเดินไปเจอกลุ่มของต้น เต้และเต้ยอีกครั้ง เธอก็เรียกต้นให้มาช่วยถ่ายรูปคู่ของเธอกับสนให้
"พี่ต้นคะ ช่วยถ่ายรูปพี่สนกับนินาให้หน่อยค่ะ นินาจะอัปขึ้นเฟส"
ต้นจำใจถ่ายรูปนั้นให้แล้วก็ขอตัวไปกับเต้และเต้ยต่อ สนทำท่าจะวิ่งตามไปนินาก็เกาะแขนสนแจ
"พี่สนจะไปไหนล่ะคะ เดี๋ยวนินาหลง"
สนทำเสียงจิ๊จ๊ะด้วยความหงุดหงิด ดูท่าการมาเที่ยวดอยอินทนนท์คราวนี้จะไม่สนุกเสียแล้ว
"พี่สนอัปรูปของเราลงเฟสด้วยสิคะ เดี๋ยวนินาจะส่งรูปไปให้ทางไลน์นะคะ"
"ไม่เอา พี่ไม่ชอบอัปรูปขึ้นเฟส" สนปฏิเสธเสียงห้วน
นินาชักสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยแต่ก็รีบยิ้มกลบเกลื่อน "ไม่ชอบก็ไม่เป็นไรค่ะ" แต่ก็แอบหมั่นใส้ในใจว่า ทีถ่ายรูปกับอีนังตุ๊ดต้นขึ้นเฟสทำไมทำได้
ต้นเดินออกมาไกลพอสมควรแล้วก็แอบหันไปมองสนกับนินาด้วยสายตาเศร้าๆ ต้นอยากมาแทบตายแต่สุดท้ายบรรยากาศกลับกร่อยเพราะนินาแท้ๆ ทีเดียว
"กลัวเขาไม่รู้หรือไงว่ามีคู่หมั้นแล้ว คนอะไร" เต้ยแอบว่านินาอย่างไม่พอใจ ตั้งแต่ที่มีเรื่องกันคราวนั้น เต้ยก็เลิกมาหาสนโดยปริยาย แม้จะเจอกันบ้างในมหาวิทยาลัยเธอก็เพียงทักทายกันตามปกติเท่านั้น ส่วนนินา เต้ยแค่เดินผ่านไปเวลาเจอกัน ไม่มองและไม่ทักทายใดๆ ราวกับว่าเห็นเธอเป็นอากาศธาตุ
จุดที่สองของทริปก็คืออุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ไฮไลท์ของที่นี่ก็คือการเดินขึ้นไปถ่ายรูปตรงจุดที่เรียกได้ว่าเป็นจุดสูงสุดของดินแดนสยาม จะเรียกว่าสูงที่สุดก็ไม่เชิง เพราะจุดที่สูงสุดจริงๆ นั้นเป็นจุดที่ค่อนข้างอันตราย ไม่สามารถให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปได้ จึงใช้จุดสูงสุดที่ขึ้นมาถึงได้ง่ายกว่าแทน
ถึงตอนนี้ต้นกับสนก็แยกกันไปอย่างช่วยไม่ได้ ตอนเดินขึ้นบันไดไปยังจุดสูงสุด นินาเกาะแขนสนแจเพราะกลัวตก บางคราวเธอก็แอบหันมายิ้มเยาะใส่ต้นหรือไม่ก็เต้ยโดยไม่ให้สนรู้
ตามประสาคนที่ยังไม่มีคู่ก็ทำให้ต้น เต้และเต้ยเกาะกลุ่มกันเองไปตลอดทั้งวัน ส่วนคนที่มีคู่อยู่แล้วก็อยู่กับคู่ใครคู่มัน คู่อื่นๆ ดูมีความสุขกันดี มีแต่คู่ของนินากับสนเท่านั้นที่ดูเหมือนฝ่ายชายจะทำหน้านิ่งจนดูออกว่าเบื่อ ส่วนฝ่ายหญิงทำเป็นไม่รับรู้แถมยังทำหน้าระรื่นมีความสุข
หลังจากที่ถ่ายรูปตามจุดสำคัญๆ ต่างๆ ในอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์หมดแล้ว หนุ่มๆ สาวๆ ก็เดินทางมากินอาหารกลางวันกันที่ร้านอาหารในสถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ ความสวยงามของสถานที่นั้นสร้างความตื่นตาตื่นใจจนหนุ่มๆ สาวๆ ที่มาถึงต้องรีบไปถ่ายรูปเก็บบรรยากาศกันก่อน ลืมความหิวกันไปชั่วครู่เลยทีเดียว
"เดี๋ยวพี่ไปถ่ายรูปกับต้นหน่อยนะ" คราวนี้สนต้องใช้วิธีเดินหนีออกมาดื้อๆ นินาเดินตามมาด้วยเพราะเธอไม่อยากอยู่คนเดียว จึงจำใจต้องมาอยู่รวมกลุ่มที่มีอริของเธออยู่ถึงสองคนด้วยกัน
"เต้ย ถ่ายรูปพี่กับต้นให้หน่อยนะครับ" สนว่าพลางส่งโทรศัพท์มือถือของตัวเองให้เต้ย แล้วก็พาต้นเดินมายังจุดที่ต้องการถ่ายรูป เปลี่ยนไปตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง นินายืนมองอย่างไม่สบอารมณ์นัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าสนอัปโหลดรูปที่ถ่ายกับต้นขึ้นเฟสบุ๊คทันทีให้เธอเห็นต่อหน้าต่อตา
หลังจากถ่ายรูปกันหนำใจแล้วหนุ่มๆ สาวๆ จึงกลับขึ้นมากินอาหารกลางวันด้วยกัน พี่อนุชาก็มาร่วมวงด้วย
นินาคอยจ้องหาจังหวะอยู่แล้วจึงเดินมานั่งลงข้างๆ สนอย่างแนบเนียน จากนั้นก็คอยอ้อนให้สนตักนั่นตักนี่ให้เธอกิน บางคราวเธอก็ตักให้สนกินบ้าง
"แหม สองคนนี้ดูแลกันดีจังเลยนะคะ" เนสแซวหลังจากที่สังเกตเห็นมาระยะหนึ่ง
นินายิ้มอย่างพอใจ ส่วนสนทำสีหน้าเรียบๆ คอยแอบชำเลืองดูว่าต้นมีอาการเป็นยังไงบ้าง
"ไม่ได้หรอกเนส เนสก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าคนสมัยนี้น่ะไว้ใจไม่ค่อยได้หรอก เห็นทำเป็นเงียบๆ แต่แอบคิดไม่ซื่อมีเยอะแยะ เราสองคนก็เลยต้องคอยดูแลกันแบบนี้แหละ คนที่คิดไม่ซื่อจะได้รู้ตัว" นินาพูดพลางหัวเราะ ไม่มีใครเข้าใจนักหรอกว่าที่เธอพูดหมายถึงอะไร มีแต่ต้นคนเดียวเท่านั้นที่รู้
"ก็พี่สนเขาหล่อขนาดนี้ ก็ต้องมีคนมาชอบบ้างเป็นธรรมดาแหละ ไม่เห็นแปลกเลย" เนสพูดต่อ
"อ้าว แล้วพี่ไม่หล่อเหรอ" ปั้นจั่นทำน้ำเสียงงอนๆ
"หล่อมากค่า" เนสลากเสียงล้อเลียน เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆ ได้ดีทีเดียว
"แล้วเมื่อไหร่นินากับสนจะแต่งงานกันล่ะ" พริมถามขึ้นมาบ้าง ดูเหมือนว่าตอนนี้ใครๆ ก็หันมาสนใจสนกับนินาเป็นพิเศษ
"คงอีกปีนึงค่ะ ให้นินาเรียนจบก่อน แต่ก็ไม่แน่นะคะ บางทีพี่สนอาจจะอยากให้เราสองคนแต่งงานกันเร็วขึ้นก็ได้ จริงไหมคะพี่สน"
สนทำหน้ายิ้มยาก แต่ก็ยิ้มๆ ไปอย่างนั้นเพื่อไม่ให้เสียบรรยากาศของเพื่อนคนอื่นๆ คงมีแต่นิกกับปั้นจั่นที่รู้ว่าตอนนี้ต้นกับสนกำลังอยู่ในสถานการณ์ลำบาก อุตส่าห์วางแผนกันมาอย่างดี เจอนินาคนเดียวทุกอย่างก็พังไม่เป็นท่า
"ทำไมถึงจะรีบแต่งล่ะ" พริมถามต่ออย่างสงสัย
"แหม...ก็เผื่อว่าจะเกิดแอ๊คซิเดนท์ อย่างเช่น มีลูก...อะไรอย่างเงี้ยไงคะ เพราะว่าพ่อกับแม่พี่สนอยากอุ้มหลานมาก นินาเห็นแล้วก็สงสาร อยากให้พ่อกับแม่พี่สนได้อุ้มหลานไวๆ น่ะค่ะ แต่ก็คงไม่หรอกมั้งคะ ปีเดียวก็ไม่นานหรอก พ่อกับแม่พี่สนน่าจะรอได้"
เห็นนินาทำหน้าระรื่นอย่างนั้นเต้ยก็อดเบ้ปากด้วยความหมั่นใส้ไม่ได้ แต่เธอก็ไม่อยากไปยุ่งกับผู้หญิงคนนี้อีก
ดูเหมือนว่าตลอดช่วงเวลาที่กินข้าวด้วยกัน นินาพูดเหน็บต้นไปหลายเรื่องโดยที่คนอื่นๆ ไม่รู้เรื่องด้วย ยิ่งทำให้ต้นหมดสนุก ความน้อยใจทำให้ต้นคอยอยู่ห่างจากสน แม้ว่าจะมีโอกาสอยู่ใกล้กันต้นก็เดินหนีเพราะไม่อยากให้นินาตามมาคอยระราน ยังนึกขยาดไม่หายที่นินามาว่าถึงที่บ้านวันนั้น ต้นไม่อยากได้ยินคำพูดพวกนั้นอีกแล้ว
พอมาถึงกิ่วแม่ปาน มีไกด์ท้องถิ่นที่ปั้นจั่นติดต่อไว้ช่วยพาเดินชมตลอดเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่ยาวถึงสามกิโลเมตร ผ่านทั้งในส่วนที่เป็นป่าดิบภูเขาและส่วนที่เป็นทุ่งโล่งกว้าง จุดไฮไลท์ก็คือบริเวณหน้าผาที่สามารถมองเห็น "กิ่ว" หรือส่วนของภูเขาที่แคบๆ ที่เป็นที่มาของคำว่ากิ่วแม่ปาน บริเวณนี้มีชานยื่นออกไปยังหน้าผาเล็กน้อย มีเมฆหมอกสีขาวลอยล่องอยู่ใกล้จนแทบจะสัมผัสได้ ทำให้หนุ่มๆ สาวๆ ตื่นเต้นกันมากทีเดียว แย่งกันถ่ายรูปใหญ่ โชคดีที่ช่วงนี้คนเริ่มซาไปแล้วเพราะเริ่มเข้าใกล้ช่วงหน้าร้อนจึงไม่ต้องรอคิวนาน
นินาตามสนแจเช่นเคย โดยเฉพาะทางเดินตรงไหนที่มีบันไดสูงชัน เธอก็จะยิ่งแสดงอาการกลัวเพื่อให้สนมาคอยดูแลเสมอ คนอื่นๆ ที่ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางก็อาจไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ เพราะคนเป็นคู่หมั้นกันก็ควรต้องดูแลกันอยู่แล้ว แต่คนที่รู้เรื่องราวทั้งหมดมาตลอดต่างก็มองหน้ากันอย่างกังวลใจ ทริปนี้ทุกคนจัดเวลาให้เพราะอยากให้ต้นได้มาเที่ยวที่ดอยอินทนนท์กับสนอย่างมีความสุขก่อนที่ต้นไปจะเมืองนอก ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น หวังว่าตอนเย็นนี้ ต้นกับสนคงไม่เจอเหตุการณ์ไม่คาดคิดให้ต้องแยกกันอีกละกัน

ประมาณห้าโมงเย็นหน่อยๆ รถตู้ก็พาหนุ่มๆ สาวๆ มาถึงที่พักที่ดอยชัวร์ญ่า ปั้นจั่น ในฐานะที่ถูกยกให้เป็นหัวหน้าทริปคราวนี้ได้จองบ้านพักไว้ทั้งหมดสามหลังด้วยกัน หลังแรกพักได้สี่คนให้สาวๆ พักด้วยกัน มีสองห้องนอน เต้ยพักกับพริมและนินาพักกับเนส หลังที่สองพักได้สี่คนให้นิก ปั้นจั่น เต้ยและพี่อนุชาที่มาช่วยขับรถ ส่วนหลังสุดท้ายพักได้สองคนให้ต้นกับสนโดยเฉพาะตามที่สนขอร้องมา จะว่าไปเรื่องนี้นี่แหละที่ทำให้นินาไม่พอใจอย่างมาก แต่ก็พูดไม่ได้ เธอจึงทำได้เพียงคอยแยกสนออกจากต้น คอยพูดจากระแนะกระแหนต้นจนไม่อยากอยู่ใกล้สนอีกเลย
เมื่อทุกคนเอาของไปเก็บในห้องตัวเองเรียบร้อยแล้ว หลายคนก็เดินลงมาเที่ยวชมบรรยากาศที่สวยงามของที่พัก มองไกลๆ จะเห็นแปลงปลูกผักและดอกไม้ที่มีพลาสติกสีขาวใสทรงโค้งคลุมไว้อยู่ ใต้ผืนพลาสติกมีหลอดไฟห้อยไว้อยู่หลายดวงเพื่อให้แสงสว่างแก่พืชในตอนกลางคืน ช่วยให้พืชและดอกไม้เติบโตได้ดีขึ้น เพราะฉะนั้น บริเวณแปลงปลูกพืชก็จะดูสว่างไสวในตอนกลางคืน ดูสวยและแปลกตาไปอีกแบบ
"เดี๋ยวเราลงไปเดินเล่นกับเต้กับเต้ยนะ" ต้นบอกสนเมื่อเอากระเป๋าเสื้อผ้ามาเก็บไว้ในห้องด้วยกันเรียบร้อยแล้ว
"อ้าว แล้วเราล่ะ" สนวางกระเป๋าลงแล้วหันมามองอย่างงงๆ
"นายก็ไปกับนินาสิ เขาเป็นคู่หมั้นนายนะ" ต้นบอกแล้วก็ทำท่าจะเดินออกไป
"ต้น ก็ไหนว่าเราสัญญากันแล้วไงว่าเราจะเชื่อใจกันโดยไม่มีเงื่อนไข"
ต้นหยุดชะงักที่หน้าประตูห้องแล้วหันมามองสน รู้สึกผิดอยู่เหมือนกันที่เริ่มจะปล่อยให้อารมณ์ควบคุมจิตใจอีกแล้ว "ไม่ใช่อย่างงั้นหรอกสน แต่นายก็เห็นนี่ นินาเขาตามนายแจเลย เรา...ไม่อยากอยู่ใกล้กับเขาเท่าไหร่ เราขอโทษนะ สงสัยทริปนี้มันคงจะ...กร่อยไปแล้วล่ะ คงต้องมาใหม่กันสองคนทีหลัง"
ต้นบอกแล้วก็เดินลงไปจากบ้านพัก สนได้แต่ยืนหน้าเศร้าอยู่ในบ้าน แล้วก็นอนเล่นอยู่ในห้อง ไม่ได้ออกไปไหนเพราะกลัวนินาตามแจอีก เขารู้สึกรำคาญเธอมากขึ้นทุกทีๆ
ปั้นจั่นแอบมาบอกสนว่านินามาหาต้นที่บ้าน ไม่รู้ว่าคุยอะไรกัน พอนินากลับไปต้นก็ร้องไห้เสียใจใหญ่ แต่ต้นไม่ยอมเล่าให้ฟัง ถ้าสนรู้ว่านินาพูดอะไรกับต้น จากที่แค่ไม่ชอบ สนอาจจะเกลียดผู้หญิงคนนี้เข้าใส้ไปเลยก็ได้
ประมาณหกโมงครึ่ง หนุ่มๆ สาวๆ ก็สั่งหมูกระทะมากินด้วยกันที่บ้านพักของสาวๆ เพราะมีโต๊ะและชานหน้าบ้านให้พอนั่งคุยกันได้ จากนั้นต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปอาบน้ำอาบท่า แล้วก็กลับมาเจอกันอีกรอบตอนประมาณสามทุ่มเพื่อนั่งคุยกันตามประสาเพื่อน ยิ่งรู้ว่าจะไม่ได้เจอกันบ่อยๆ เหมือนเดิมแล้ว การคุยกันครั้งนี้ก็ยิ่งมีความหมาย
นินานั่งเกาะแขนอยู่ข้างๆ สนเช่นเดิม ส่วนคนอื่นๆ ก็นั่งเป็นคู่ๆ ส่วนคนที่ไม่มีคู่ก็นั่งอยู่ด้วยกันตามประสาคนไม่มีคู่ การสนทนาออกรสออกชาติมากทีเดียว เมื่อมีมีขนมขบเคี้ยวและน้ำอัดลมให้กินไปด้วยก็ยิ่งเพลิน แต่แล้วการสนทนาก็เริ่มกร่อยจนนำไปสู่การสลายตัวเมื่อปั้นจั่นชงเรื่องนี้ขึ้นมากลางวง
"มีใครอ่านข่าวนี้ไหม ที่คู่เกย์ชาวอเมริกันสองคนมาขอให้ผู้หญิงไทยช่วยอุ้มบุญ พอคลอดแล้วก็ไม่ยอมเซ็นออกให้ทั้งๆ ที่ตกลงก่อนหน้านี้แล้ว"
"จริงเหรอคะ แล้วทำไมเขาไม่ยอมเซ็นออกให้ล่ะ แล้วตอนนี้ลูกที่คลอดแล้วอยู่ไหนคะ" เนสถามอย่างสงสัย เธอยังไม่ได้อ่านข่าวนี้เลยไม่รู้ความเป็นมาเป็นไป
"ก็ผู้หญิงคนนั้นเขาหาว่ามาพรากลูกไปจากอกเขาค่ะ ตอนนี้ลูกที่คลอดอยู่กับคู่เกย์นี่แหละ เห็นว่าอยู่เมืองไทยมาหกเดือนได้แล้วมั้งเพราะว่ายังพาลูกไปเมกาไม่ได้ เต้ยว่านะ สงสัยต้องเป็นเพราะผู้หญิงเขาไม่อยากให้ลูกถูกเลี้ยงดูโดยคู่เกย์แน่ๆ เลย สงสัยจะกลัวลูกชายเป็นเกย์เหมือนพ่อ" เต้ยตอบอย่างฉาดฉาน เธอให้ความสนใจกับข่าวนี้มากทีเดียว
"อ้าว แล้วคู่เกย์เขาจ่ายเงินยัง เขาทำสัญญากับผู้หญิงที่อุ้มบุญให้หรือเปล่า" เนสถามอีก ดูเธอสนใจไม่น้อย
"จ่ายแล้ว แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคิดอะไรถึงไม่ยอมเซ็นอนุญาตให้ลูกกับคู่เกย์เขาไป" นิกตอบบ้าง
"ฮึ ถ้านินาเป็นผู้หญิงคนนั้น นินาก็ไม่ให้เหมือนกันแหละค่ะ มีอย่างที่ไหน ตอนมาทำสัญญาก็ไม่ยอมบอกว่าตัวเองเป็นเกย์ เพิ่งมาบอกทีหลัง แม่คนไหนจะรับได้ล่ะคะที่จะให้เกย์เลี้ยงลูกของตัวเอง เกิดเป็นตุ๊ดเป็นแต๋วขึ้นมาเหมือนคนเลี้ยงก็แย่เลย ถ้าเป็นนินานะ นินาจะฟ้องกลับเลยแหละ โทษฐานที่ปิดบังความจริง"
ต้นเหตุที่ทำให้การสนทนาเริ่มกร่อยก็คือคนนี้แหละ จะว่าไปทุกคนต่างก็เริ่มตะหงิดๆ แล้วว่าผู้หญิงคนนี้คอยทำลายบรรยากาศที่ดีๆ อยู่บ่อยๆ ดูเหมือนเธอเข้ากับใครในกลุ่มไม่ได้เลย
"ทำไมนินาคิดอย่างนั้นล่ะ ก็เขาจ่ายเงินแล้ว ทำสัญญากันแล้ว ส่วนเรื่องจะเป็นเกย์หรือไม่เป็นก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา เขาไม่จำเป็นต้องบอกก็ได้ไม่ใช่เหรอ คนที่จะให้บริการอุ้มบุญก็มีหน้าที่แค่ช่วยอุ้มท้องให้เท่านั้นเอง ก็ทำตามหน้าที่ไป" พริมแย้งขึ้นมาบ้างหลังจากที่ฟังอยู่สักพัก น้ำเสียงฟังดูคล้ายตำหนิอยู่ในทีเพราะเธอไม่ชอบคนเหยียดเพศเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
สนหันไปมองหน้าต้นที่ดูเศร้าอย่างเห็นได้ชัด การสนทนาครั้งนี้ช่วยทำให้สนพอเข้าใจบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาบ้างแล้ว
"ก็จริงนี่คะ เป็นเกย์ก็รู้อยู่แล้วว่ามีลูกไม่ได้ แล้วจะอยากมีไปทำไมล่ะ จะไปทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนทำไมล่ะคะ ไม่กลัวเด็กมันสับสนบ้างเหรอ คงงงว่าใครเป็นพ่อเป็นแม่ เดี๋ยวก็เป็นเด็กมีปัญหา ไม่งั้นก็คงเป็นตุ๊ดแต๋วเหมือนพ่อกับแม่ ถ้าให้นินาเป็นลูกเกย์นะ นินายอมตายดีกว่า เกย์ก็ควรจะอยู่ส่วนเกย์ ไม่ควรจะมาทำให้โลกของชายจริงหญิงแท้เขาเดือดร้อน"
ทุกคนหันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก พอจะรู้ตัวกันแล้วว่าการสนทนาคืนนี้ควรจะต้องจบลงโดยเร็วที่สุด ไม่งั้นก็ต้องเลิกต่อล้อต่อเถียงกับผู้หญิงคนนี้หรือไม่ก็หาเรื่องอื่นมาคุยแทน
"ขอตัวไปนอนก่อนนะ"
จู่ๆ ต้นก็โพล่งขึ้นมาแล้วก็เดินเบี่ยงตัวลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว สนทำท่าจะตามไปนินาก็รีบดึงแขนไว้ มีคนอยู่หลายคนอย่างนี้ก็เลยทำให้สนต้องเกรงใจในฐานะคู่หมั้นของผู้หญิงคนนี้อยู่บ้าง แม้ว่าสนแทบจะไม่เหลือความรู้สึกดีๆ ให้กับผู้หญิงคนนี้อีกเลยก็ตาม
การสนทนาคืนนี้ก็จบลงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ต้นเดินออกไปได้ไม่นานนัก ต่างคนจึงต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อนตามอัธยาศัย หมดวันที่สนุกและมีความสุขไปอีกวัน ยกเว้นต้นกับสนเท่านั้นที่ไม่สนุกและมีความสุขเหมือนคนอื่นๆ
สนกลับมาถึงห้องของตัวเองก็พบว่าต้นไม่อยู่ในห้องเสียแล้ว พอเดินเข้าไปดูในห้องน้ำ ห้องน้ำก็ไม่ได้ล็อกและไม่มีใครอยู่ข้างใน สนขมวดคิ้วแปลกใจ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วก็โทรหาต้นทันที แต่ดูเหมือนว่าต้นจะปิดเครื่องไปแล้วเพราะไม่มีสัญญาณตอบรับ
"ต้นไปไหนนะ" สนพึมพำกับตัวเอง แล้วก็โทรไปหานิก แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าต้นไปไหนเช่นเดียวกัน หรือว่าต้นจะน้อยใจแล้วหลบไปนั่งทำใจที่ไหนสักแห่ง
คิดได้อย่างนั้นแล้วสนก็เดินออกไปจากห้อง ล็อกห้องแล้วก็ออกไปเดินตามหาต้น สนเดินไปที่บ้านพักของสาวๆ สี่คนก่อนเผื่อว่าต้นจะมาแถวๆ นี้ ก็พอดีเห็นนินายืนคุยโทรศัพท์หันหลังให้สนอยู่ ไม่รู้ว่าคุยกับใครหรือเรื่องอะไร ได้ยินแต่เสียงหัวเราะคิกคักเป็นระยะๆ พอสนเดินเข้าไปใกล้ๆ เขาก็ได้ยินประโยคนี้ที่ทำให้สนหัวใจแทบสลาย
"นังตุ๊ดต้นน่ะเหรอ ป่านนี้นอนร้องไห้ขี้มูกโป่งไปแล้วมั้ง" แล้วก็หัวเราะชอบใจ
ถ้าไม่ติดว่าสนกำลังตามหาและเป็นห่วงต้นอยู่ เขาอาจจะเผลอทำร้ายผู้หญิงคนนี้เป็นแน่ ผู้หญิงคนนี้ทำร้ายจิตใจของคนที่สนแสนรัก ก็เท่ากับทำร้ายหัวใจของสนไปด้วย เขาจะไม่มีวันให้อภัยผู้หญิงคนนี้อย่างเด็ดขาด
"นินา"
สนเรียกเสียงดุ ทำให้เจ้าของร่างบางรีบหันมามองอย่างตกใจ
"พี่สน" นินาทำหน้าเลิ่กลั่กเพราะไม่รู้ว่าสนได้ยินอะไรบ้าง
"เห็นต้นหรือเปล่า" ความจริงสนโกรธจนมือไม้สั่นแต่ก็ต้องระงับอารมณ์เอาไว้ เอาไว้ก่อนเถอะ เดี๋ยวสนจะกลับมาเล่นงานเธอแน่นอน
"อ๋อ...เอ่อ...ไม่เห็นค่ะ พี่ต้นไปไหนเหรอคะ"
สนจ้องหน้านินาด้วยสายตาที่เกือบจะดูเหมือนอาฆาต แต่ก่อนที่สนจะได้พูดอะไรออกไป นิก ปั้นจั่น เต้และพี่อนุชาก็เดินมาสมทบ
"เจอต้นไหมสน" นิกถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง
สนหันไปมองเพื่อนๆ แล้วก็ส่ายหน้า
"เพิ่งออกมาตามหา ยังไม่เจอเลย"
สาวๆ ที่กำลังจะนอนได้ยินเสียงคนคุยกันหน้าบ้านพักก็เดินออกมาดูด้วย พอรู้ว่าต้นหายไปก็ตกใจและตามลงมาสมทบด้วย
"งั้นพวกเราลองแยกย้ายกันตามหาก่อนนะ แล้วกลับมาเจอกันตรงนี้" นิกเสนอ
ต่างคนจึงต่างแยกย้ายกันตามหาต้น หาอยู่นานทีเดียวทั้งในบริเวณบ้านพัก บริเวณที่กางเต๊นท์ สวนหรือแม้กระทั่งแปลงปลูกพืชที่ตอนนี้เปิดไฟสว่างไสว ไม่ว่าจะที่ไหนๆ ก็ไม่มีใครเห็นต้นเลยแม้แต่คนเดียว
"เอาไงดี ต้องแจ้งความไหม" ปั้นจั่นถามขึ้นเมื่อทุกคนมารวมกันที่จุดนัดพบหน้าบ้านของสาวๆ อีกครั้ง มองเห็นสนที่สีหน้ไม่ค่อยดีแล้วก็อดสงสารไม่ได้ สนคงเป็นห่วงต้นมากทีเดียว
"เฮ้ยสน มึงลองไปดูที่ห้องมึงอีกทีดีไหม เผื่อต้นกลับมาแล้ว" นิกเสนอ
สนพยักหน้าเห็นด้วย ในใจก็เฝ้าคอยภาวนาให้ต้นอยู่รอดปลอดภัย อย่าเผลอคิดสั้นหรือทำอะไรไม่คิดไปเสียก่อน
สนกับเพื่อนๆ เดินมาจนถึงหน้าบ้านพัก จากนั้นสนจึงเดินขึ้นไปบนบ้าน พอเห็นรองเท้าของต้นถอดวางไว้แล้วก็เริ่มอุ่นใจ สนรีบใช้กุญแจไขประตูห้อง แง้มประตูออกเบาๆ พอเห็นใครบางคนนอนหันหลังให้อยู่บนเตียงก็โล่งใจ สนหันไปหาเพื่อนๆ พลางใช้นิ้วมือทำสัญลักษณ์โอเคเพื่อบอกว่าเขาเจอต้นแล้ว ทุกคนยิ้มอย่างดีใจด้วยความโล่งอก
"ดูแลต้นดีๆ นะเว้ยสน" นิกบอกพลางยิ้ม ดีใจไปกับสนด้วย หวังว่าคืนนี้ต้นกับสนจะได้ทำสิ่งที่ควรทำเสียที
สนพยักหน้ารับคำ เพื่อนๆ ที่ยืนรออยู่จึงค่อยๆ เดินกลับไปที่ห้องพักของตัวเอง
สนปิดประตูแล้วก็ถอดเสื้อกันหนาวออกแขวนไว้ เหลือแต่เสื้อยืดสีขาวที่สนตั้งใจจะใส่นอนกับกางเกงวอร์มผ้ายืดสีเทาเข้ม ในห้องมีฮีตเตอร์ด้วยจึงช่วยให้อากาศอุ่นสบาย ไม่หนาวจนเกินไป
สนเดินไปหาต้นที่เตียงนอนอย่างช้าๆ ต้นคงจะรู้แล้วล่ะว่าสนเข้ามาในห้องแต่ไม่ยอมหันมาดู ยังคงนอนตะแคงหันหน้าหนีเช่นเดิม สนขึ้นไปนั่งบนเตียงนอนของต้น แม้จะเป็นเตียงเดี่ยวแต่ก็พอมีที่ให้สนพอขึ้นไปนั่งด้วยได้ สนโน้มตัวไปหาคนที่นอนตะแคงอยู่พร้อมกับแตะไหล่เบาๆ รู้สึกสงสารต้นจับใจที่การมาเที่ยวดอยอินทนนท์ของต้นคราวนี้ไม่มีความสุขอย่างที่คิดไว้
"ต้น...นายหายไปไหนมา รู้ไหมว่าพวกเราตามหานายแทบแย่ เราเป็นห่วงนายมากเลยรู้ไหม"
น้ำเสียงที่ถามฟังดูอ่อนโยน บ่งบอกถึงความเป็นห่วง แต่ต้นยังคงนอนนิ่ง ไม่ตอบคำถามใดๆ
"ต้น...หันหน้ามาคุยกับเราหน่อยสิ"
สนโน้มตัวเข้าไปใกล้ พยายามจะดึงไหล่ต้นเพื่อพลิกตัวให้หันหน้ามาแต่ต้นก็ขืนตัวไว้
"ต้น...หันมาคุยกับเราหน่อย คืนนี้...เราสองคนต้องคุยกันให้เข้าใจนะต้น เราสัญญากันแล้วไม่ใช่เหรอต้น มีอะไรเราต้องคุยกัน ต้องบอกกัน"
"พรุ่งนี้ได้ไหม ตอนนี้เราไม่อยากคุย" ต้นตอบมาหลังจากที่เงียบอยู่นาน น้ำเสียงเหมือนคนที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มา
"ไม่ได้ต้น เราขอคุยกับนายคืนนี้เลย หันมาคุยกับเราหน่อยนะต้น"
สนตัดสินใจออกแรงดึงเพิ่มขึ้น จนในที่สุดก็พลิกตัวของต้นให้นอนหงายได้ เห็นต้นเหมือนเพิ่งร้องไห้มาสนก็ได้แต่สะท้อนใจ ผู้หญิงคนนั้นพูดจาเสียดสีต้นมาทั้งวัน แถมยังคอยตามสนแจ จะไม่ให้ต้นรู้สึกน้อยใจก็กระไรอยู่
สนเคลื่อนตัวเข้าไปชิดต้นมากขึ้น ใช้ข้อศอกข้างซ้ายค้ำตัวไว้ ส่วนมือขวากอดพาดอยู่บริเวณหน้าอกของต้น จากนั้นก็ใช้มือซ้ายเกลี่ยผมที่ปรกหน้าผากต้นออกเบาๆ
"ต้น...อย่าร้องไห้ เรามาหานายแล้ว เรามาอยู่กับนายแล้ว เราจะไม่ไปไหนอีกแล้วนะต้น"
สิ่งที่สนพูดมีความหมายที่ลึกซึ้ง แต่ดูเหมือนต้นจะยังไม่เข้าใจได้เต็มที่ตอนนี้
"ต้น...นายจำได้หรือเปล่า วันแรกที่เราเจอนายตอนอยู่ปอห้า นายเป็นคนแรกที่เข้ามาเป็นเพื่อนเรา คอยช่วยเหลือเราเรื่องการเรียน นายรู้ไหมต้น นายทำให้เรารู้สึกอุ่นใจเพราะเราไม่มีใครเลย ถ้าวันนั้น...นายไม่เข้ามาเป็นเพื่อนกับเรา บางที...เราก็อาจจะไม่ใช่สนอย่างที่นายเห็นในวันนี้ก็ได้"
สนหยุดเว้นจังหวะ มองหน้าต้นไม่วางตา
"ตอนอยู่มัธยม นายก็คงรู้ว่าเรา...จีบผู้หญิงไปหลายคน แต่นายรู้ไหมต้น...ต่อให้เรามีแฟนเป็นร้อยคน ถ้าขาดนายไปคนเดียว เราก็อยู่ไม่ได้แล้ว นายรู้ไหมต้นว่าทำไม...เราถึงขาดนายไม่ได้ นายรู้ไหม...ว่าทำไมไม่มีใครทดแทนนายได้เลย รู้ไหมต้น นายรู้หรือเปล่า"
น้ำตาสนเริ่มไหลมาบ้าง ต้นมองสนนิ่งพร้อมกับครุ่นคิดแต่ก็ยังไม่ตอบคำถามใดๆ
"นายรู้ไหมต้น ตอนที่เราจะตัดสินใจเลือกมหาลัย เรากังวลมาก เรากลัวมากว่าเรากับนาย...จะไม่ได้เรียนที่เดียวกันอีกแล้ว เราสวดมนต์ภาวนาทุกคืนขอให้นาย...ตัดสินใจเลือก มช. เหมือนเรา นายรู้ไหมต้น...ว่าทำไมเราถึงอยากให้นายมาเรียนด้วย รู้หรือเปล่า"
ต้นยังคงไม่ตอบคำถามเช่นเดิม แต่พอจะรู้แล้วว่าสนถามอย่างนี้ทำไม
"แล้วนายรู้ไหมต้น ทำไมเราถึงไม่เคยคิดจะมีแฟนหรือจีบผู้หญิงคนไหน ทั้งๆ ที่มีคนมาชอบเราเยอะไปหมด ผู้ชายธรรมดาๆ อย่างเรายอมทนเหงาไม่มีใครมาได้ตั้งหลายปี นายรู้ไหมต้นว่าเป็นเพราะอะไร รู้หรือเปล่า นายรู้ใช่ไหมต้น"
คราวนี้ต้นพยักหน้า ทำให้สนถึงกับยิ้มทั้งน้ำตา
"ก็เพราะว่าเรารักนาย เรารักนายนะต้น รักมาตั้งนานแล้ว รักมากที่สุดในชีวิต นายรู้ใช่ไหมต้น นายรู้ใช่ไหม"
ต้นพยักหน้า ประสานสายตากับสน ในที่สุดต้นก็ได้ฟังคำนั้นจากปากของสนเสียที คำว่ารักที่ต้นรอคอยมาถึงสิบปี การบอกรักครั้งนี้เหมือนเป็นปาฏิหาริย์ แม้จะรู้ว่ารัก แม้จะมีโอกาสบอกหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยสำเร็จเลย จนกระทั่งวันนี้ ต้นดีใจเหลือเกินที่ได้ยินคำว่ารักที่รอคอยแล้ว
"เราก็รักนายนะสน รักมากที่สุดในชีวิต นายก็รู้ใช่ไหม"
สนพยักหน้า ยิ้มทั้งน้ำตา รู้สึกดีใจไม่น้อยไปกว่าต้นที่สนได้พูดคำนี้ออกไปเสียที
TBC