❤ ตอนพิเศษวันลอยกะเธอ เอ้ย! ลอยกระทงค่ะ : )
- - -
18.5 ในแต่ละปีจะมีอยู่ไม่กี่วันหรอกครับ ที่มหาลัยเราจะมีคนนอกเข้ามาเยอะมากกว่าปกติ
นอกจากวันรับปริญญากับโอเพ่นเฮ้าส์แล้ว อีกวันนึงที่ติดอันดับก็คือ
วันลอยกระทงถึงแม้จะเป็นวันสำคัญแต่ผมยังคงมีเรียนตามปกติไม่ต่างไปจากวันอื่นๆ นับว่ายังโชคดีอยู่บ้างที่อาจารย์ยอมเลิกคลาสตรงเวลาเพราะกลัวจะกลับบ้านลำบากกัน พวกผมก็เลยได้ออกจากห้องเรียนกันมาตั้งแต่ 4 โมงตรง
จนกระทั่งเกือบหกโมง
ผมนั่งอยู่ที่ซุ้มตักลูกปิงปองของคณะแพทย์ศาสตร์ ที่ตอนนี้เตรียมทุกอย่างใกล้เสร็จเต็มที พอมั่นใจได้ว่าจะไม่น่าจะมีเหตุขัดข้องอะไรแล้ว ผมก็ลุกขึ้นตบบ่าไอ้เดือนคณะที่นั่งอยู่ข้างๆกัน แล้วบอกมันสั้นๆ
"เดี๋ยวกูมา"
ก่อนจะเดินห่างออกมาจากงาน จนกระทั่งไม่มีเสียงเพลงดังตามมารบกวน
ผมนั่งลง แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกเบอร์ที่เพิ่งโทรเข้ามาล่าสุด เรียกสายอยู่สักพัก อีกฝ่ายก็กดรับและเอ่ยทักมาก่อน
"ไงคุณ..."
ผมหลุดยิ้มออกมาทันที่ได้ยิน ก่อนจะตอบกลับไป
"ไม่ไงครับคุณ...จะออกมาลอยกระทงปะเนี่ย?"
วันนี้ยิ้มหวานไม่มีเรียน และขังตัวเองเอาไว้ในคอนโดตั้งแต่เมื่อวานซืน
เพราะวันศุกร์มีโปรเจ็คที่ต้องส่ง และยังทำไม่เสร็จ
"ไม่ออกอ่ะ งานยังไม่เสร็จเลย เบียดกับคนที่ม.ไม่ไหวด้วย"
"งั้นเราอยู่ช่วยงานที่ซุ้มแป้บนึง เดี๋ยวค่ำๆแวะไปหานะ"
"อืม...ได้ข่าวปีนี้ม.เรามีหนุ่มน้อยตกน้ำเหรอ?"
"ใช่ คนโคตรเยอะอ่ะ รอกันตั้งแต่บ่ายๆ"
เหมือนอีกฝ่ายจะฟังแล้วนึกสนุกขึ้นมา ถึงได้หลุดขำ แล้วถามต่อ
"แล้วหมอไม่ไปตกน้ำกับเค้าเหรอ?"
"พี่เค้าอยากให้ปีหนึ่งกับคนโสดไป เราไปได้ปะล่ะ?"
"อ้าว นี่ไม่โสดเหรอเนี่ย?"
"แฟนครับ อย่ากวนตีนครับ เดี๋ยวจะโดน"
พอผมพูดอย่างนั้นออกไป อีกฝ่ายก็หัวเราะถูกใจกลับมาทันที
สนุกเค้าล่ะ กวนผมได้เนี่ย -_-
"อยากได้อะไรที่นี่ปะ เดี๋ยวซื้อไปให้"
"อืม... อยากกินบาร์บีคิวนิเทศอ่ะ เพื่อนบอกว่าอร่อย"
"โอเค เดี๋ยวซื้อเข้าไปให้ ไม่ต้องรอนะหาอะไรกินรองท้องไปก่อนเลย เดี๋ยวเป็นโรคกระเพาะ"
"ครับคุณหมอ"
"อืม เดี๋ยวเจอกัน บ๊ายบายครับ"
วางสายเสร็จผมก็กลับไปที่ซุ้มของคณะ แล้วก็ช่วยงานอยู่ในนั้น จนกระทั่ง 2 ทุ่ม พอเห็นว่ามีคนมาช่วยเยอะแล้ว พวกผมกับเพื่อนๆก็แอบโดดงานไปเดินเล่นกันทั้ง 4 คน
งานลอยกระทงปีนี้ยังคงครึกครื้นไม่ต่างจากปีที่ผ่านมา
ถึงแม้ว่าอากาศจะร้อนจนไม่น่าเชื่อว่านี่คือช่วงสิ้นปีแล้วก็ตาม
เดินดูโน่นดูนี่อยู่สักพัก ในที่สุดสายตาของผมก็สะดุดเข้ากับซุ้มนึงที่มีคนมุงอยู่เยอะกว่าที่อื่น
ป้ายหน้าร้านสีสันสดใสเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่าตรงนี้คือ
บาร์บีคิวนิเทศนี่แหละร้านที่ยิ้มหวานอยากกิน
คนแม่งเยอะยังกะแจกฟรี -_-
"มึง ยิ้มอยากกินร้านเนี้ย กูว่ากูต้องต่อแถวซื้อไปให้เค้าว่ะ"
คำพูดของผมทำให้พวกมันทั้งสามคนหันมามอง ก่อนจะทำหน้าหมั่นไส้ใส่พร้อมๆกันโดยมิได้นัดหมาย
ดีใจนะ เพื่อนมีความสามัคคี -_-
"เหอะน่า มึงเห็นใจเค้าเหอะ ปั่นโปรเจ็คไม่ยอมออกจากห้องมาสามวันละเนี่ย"
ได้ยินอย่างนั้นไอ้เบอร์ 1 ก็ตอบกลับมาทันที
"โห...แฟนมึงเป็นเอล์ฟประจำบ้านเหรอ?"
"เดี๋ยวกูบอกให้ ว่ามึงว่าเค้าเป็นเอล์ฟประจำบ้าน กูไปละ แยกกันตรงนี้เลยนะเว่ย พรุ่งนี้เจอกัน"
“ตามสบายครับเพื่อน วันนี้วันเสียตัว อย่าเสียตัวให้ยิ้มนะเว่ย!”
สัด...ได้ยินที่มันพูดแล้วผมก็ได้แต่ยกมือชูนิ้วกลางไปให้ ก่อนจะเดินแยกออกมา และหยุดลงตรงปลายแถวร้านบาร์บีคิว
ส่งสายตามองแถวยาวๆที่ขดไปขดมาเหมือนงู แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจรอ
และแล้วครึ่งชั่วโมงก็ผ่านไป ไวเหมือนโกหก
โดยที่ผมยังไปได้ไม่ถึงครึ่งทางเลยโว้ย!
พอยืดตัวขึ้นมองก็เห็นเลยครับว่าทำไมอยู่ดีๆแถวมันถึงได้ขยับช้าลงขนาดนี้
เตาย่างที่เคยมี 2 อัน ตอนนี้มันได้ฆ่าตัวตายไปแล้ว 1 ด้วยความท้อแท้
อย่าว่าแต่เตาเลย ผมก็เช่นกัน
ใครก็ได้ไปลากคนอยากกินมายืนให้ผมแกล้งเล่นตรงนี้หน่อยได้มั้ย...เผื่อจะมีกำลังใจจะรอต่อ
ในที่สุด ความอดทนของผมหมดลงใน15 นาทีหลังจากนั้น
สิ่งแรกที่ทำคือการไปสารภาพกับยิ้มหวานครับ
ผมโทรหาเขา รอจนอีกฝ่ายรับสาย และไม่รอให้เขาถามอะไรทั้งสิ้น
"ยิ้ม...แถวบาร์บีคิวยาวมาก กินอย่างอื่นได้ปะ?"
"ห้ะ? ได้ดิ ถ้าแถวมันยาวเกินไป หมอไม่ต้องต่อก็ได้ เหนื่อยแย่เลย"
"งั้นกินไรดี?"
ผมพูดพร้อมกับจะเดินออกจากแถวอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้ยินคำตอบของเขา
"โค้กกับเลย์รสคลาสสิค"
แค่นั้นแหละ...
ผมนี่เบรกหัวทิ่มเลย!
"งั้นก็กินบาร์บีคิวเหอะ"
"อ้าว แต่แถวมันยาวไม่ใช่เหรอ?"
"เปลี่ยนใจละ มันสั้นแล้วตอนนี้ วางละนะ"
ได้ยินอย่างนั้นอีกฝ่ายก็หัวเราะ แล้วตอบกลับ
“อืมๆ มีอะไรโทรมานะ"
อันนี้คือตัวอย่างของโหมดรับมือยากขั้นที่ 1 ครับ
ยิ้มก็รู้ปะวะ ว่าผมไม่ชอบให้เขากินขนมก็อบแก๊บกับน้ำอัดลม ยังไงผมก็ไม่มีทางซื้อให้เขา
ตัวแสบเอ้ย!
หลังจากถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ผมก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อดังมาจากทางด้านหลัง พอหันไปดูก็เจอรุ่นพี่จากนิเทศศาสตร์ที่รู้จักกันตอนช่วยงานมหาลัย กำลังเดินเข้ามาใกล้ ในมือพี่แกแบกเตาย่างไฟฟ้าอันใหญ่เดินมาด้วย
แว้บแรกที่ผมคิดเลยคือ รอดละกู!
เตามาแล้ว!!
"อ้าวพี่หวัดดี มาขายด้วยเหรอ?"
"อืม นี่มึงมารอซื้อเหรอ?"
"เออ เตาพังใช่ปะพี่ แถวโคตรยาวเลยว่ะ รอมาจะชั่วโมงละเนี่ย ช่วยไรปะ?"
พอเห็นผม ท่าทางพี่แกก็โล่งใจพอกัน แล้วหันหน้าไปอีกทางนึง พร้อมกับพูดออกมา
"ต้องช่วยเลย มานี่มา มึงมองไปทางโน้น เห็นซีวิคสีขาวมั้ย ที่เพื่อนกูยืนอยู่อ่ะ"
ผมมองตามไป พอเห็นอย่างที่อีกฝ่ายนึงพูดออกมาก็พยักหน้ารับ
ก่อนที่พี่แกจะพูดต่อ ด้วยสภาพเหงื่อท่วมตัว เดาไม่ยากว่าไอ้เตาเวรนี่ต้องหนักแน่นอน
"เออ มึงก็รู้จักมันนี่หว่า เดินไปหามันเลย แล้วบอกว่ากูให้มาช่วยยกเตา ส่วนมันอ่ะ ถือกล่องหมูกล่องไก่มาไม่ให้มันหล่นกูก็ขอบคุณละ ฝากหน่อยนะเว่ย"
“ได้พี่ได้ เดี๋ยวตามไป"
ผมยกมือขึ้นตะเบ๊ะรับคำแล้วส่งยิ้มมุมปากไปให้ ก่อนจะเดินไปยกเตาย่างบาร์บีคิวมา
หนักจริงครับ ไม่ล้อเล่นเลย
พอเข้ามาในเต็นท์หาที่วางของได้เรียบร้อยแล้ว พี่แกก็ถามขึ้นทันที
“มึงจะเอากี่ไม้ กูให้ฟรีไม่ได้นะเงินคณะ เดี๋ยวแถมให้แทน"
ได้ยินอย่างนั้นผมก็มองบาร์บีคิวอันยาวเกือบฟุตที่ส่งเสียงร้องฉู่ฉี่อยู่บนเตาแล้วตอบกลับไปอย่างไม่ลังเลเลย
"สิบ!"
- - -
ประเทศเราแม่งก็งี้แหละครับ พอมีเส้นมีสายอะไรก็ง่ายขึ้น -_-
เพราะหลังจากนั้นไม่นานผมก็ออกจากมหาลัยพร้อมบาร์บีคิว 10 ไม้ถ้วนในราคา 5 ไม้ และขับรถตรงไปที่คอนโดของยิ้มหวานทันที แถมรถแม่งก็ติดโคตรๆอย่างที่เป็นมาตลอด
นี่คือเหตุผลที่ผมไม่ชอบขับรถไปไหนมาไหน การจราจรบ้านเราเป็นแบบนี้ ขึ้นบีทีเอสเอาดีกว่าจริงๆ
นอกจากจะมีเป้าหมายแอบแฝง เช่น อยากติดอยู่บนรถกับใครนานๆอย่างที่ผมเป็นอ่ะนะ
ระหว่างที่ติดแหง่กอยู่บนถนนนับสิบนาที ผมก็คิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยๆ และพบว่า...
ข้อแรก การจราจรของไทยห่วยแตกขึ้นเป็นเท่าตัวเพราะไม่มียิ้มหวานมาติดแหง่กอยู่ด้วยกัน
ข้อสอง ผมอยากลอยกระทงกับเขาว่ะ!
อ่ะลองคิดตามดู!
ถ้ายิ้มหวานไม่มีผม คืนนี้เขาจะต้องนั่งปั่นงานยันเช้า เป็นวันลอยกระทงเหนื่อยๆไม่ต่างจากทุกวันที่ผ่านมา
แล้วพอมีผมเข้ามา ชีวิตเขามีอะไรเพิ่มขึ้นบ้าง?
คำตอบก็คือ เนื้อย่าง 10 ไม้!
ถามจริงหมอ มึงทำได้แค่นี้อ่ะนะ?
คิดไปคิดมา ในที่สุดก็จบลงด้วยการที่ผมก็หักพวงมาลัยรถเลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมันที่มีซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ ได้ที่จอดปุ๊บผมก็ลงไป และกลับขึ้นมาพร้อมกะละมังใบใหญ่ที่สุดเท่าที่จะหาได้
เอาวะ! พาเจ้าตัวออกมาลอยข้างนอกไม่ได้ ก็ซื้อกะละมังไปลอยด้วยกันที่ห้องนี่แหละ
- - -
ทันทีที่มาถึงคอนโดของเขา ภาพที่เห็นก็บอกกับผมว่า
ซอมบี้สถาปนิกกลับมาอีกแล้ว...คงไม่ต้องอธิบายว่าอีกฝ่ายดูเพลียแถมยังงงขนาดไหนตอนที่เห็นว่าผมถือกะละมังสีชมพูใบใหญ่ลงจากรถมาด้วย
พอผมมาหยุดลงตรงหน้าเขาปุ๊บ เจ้าตัวก็ถามออกมาทันที
"หมอจะซักผ้าเหรอ?"
นี่ก็คิดได้เนอะ -_-
"เปล่า จะเอามาลอยกระทง"
"ฮะ?"
"จริงๆ ลอยกับกะละมังไง เดินดิเดิน อย่ายืนงง"
ก่อนที่เราจะเดินไปหน้าลิฟต์และขึ้นไปชั้นที่ห้องเขาอยู่
ผมบอกให้เจ้าของห้องไปอาบน้ำซะก่อน เพื่อที่จะได้รู้สึกสดชื่นขึ้น
พอออกมาจากห้องนอนปุ๊บ คนตรงหน้าผมเขาก็ตรงไปยังห้องครัว และแกะถุงใส่บาร์บีคิวออก พร้อมกับที่ผมเดินไปหยุดลงข้างๆกัน
"บาร์บีคิวนิเทศนี่"
เขาพูดและทำหน้าตกใจใส่กัน ก่อนที่ผมจะพยักหน้ารับ เห็นท่าทางอีกฝ่ายดูสดใสขึ้นกว่าเดิมค่อยสบายใจขึ้นหน่อย
พอรู้ตัวว่าผมมาอยู่ใกล้ๆ เขาก็หันมาถามกัน
"ถามจริง ซื้อมาเยอะขนาดนี้ ประชดปะเนี่ย?"
ผมยักคิ้วแทนคำตอบ ก่อนจะอธิบายเพิ่ม
"รอนานไง ซื้อน้อยๆมันรู้สึกไม่คุ้ม นี่ถ้าไม่เจอคนรู้จัก เราว่าป่านนี้ก็ยังไม่ได้กิน"
ได้ยินอย่างนั้นอีกฝ่ายก็หน้าหงอยลงไปนิดนึง ก่อนจะเอนหัวพิงลงมาที่ไหล่ผมแล้วพูดต่อ
"ขอบคุณนะ แถวโคตรยาว แต่ก็ยังไปซื้อมาให้เราอ่ะ"
ผมมองท่าทางของคนตรงหน้าแล้วอดไมไ่ด้ที่จะพูดออกมา
"อ้อนว่ะ"
"อะไรใครอ้อน คิดไปเองเปล่า?"
เขาตอบกลับ พร้อมกับเอาบาร์บีคิวส่วนที่แบ่งไว้ไปเก็บใส่ตู้เย็น
ดีแล้วครับ ไม้เบอเริ่ม กินหมด 10 อันในทีเดียวนี่ได้เห็นคนกลิ้งไปเรียนแน่
"ยังไม่อ้อนใช่ปะ? งั้นอ้อนให้ดูแทนรางวัลค่าเหนื่อยที่ไปต่อแถวหน่อยดิ"
ได้ยินอย่างนั้นเขาก็เบะปากใส่กัน ก่อนจะหันหน้าหนีจนผมต้องหลุดขำ แล้วเอาจานในมือใส่เข้าไปในไมโครเวฟพร้อมกับกดอุ่น
รออยู่ไม่นานบาร์บีคิวทั้งหมดก็กลับมาร้อนเหมือนเดิมอีกครั้ง
คนข้างๆผมใส่ถุงมือกันร้อนหยิบจานออกมา พร้อมกับที่ผมหันไปอีกทางเพื่อจะหยิบแก้วน้ำ ก่อนจะได้ยินอีกฝ่ายส่งเสียงเรียกกันเหมือนมีอะไร พร้อมกับวางมือลงบนไหล่ของผม
"หมอ!"
"ฮะ?!"
พอหันกลับมาปุ๊บสิ่งที่รอผมอยู่กลับเป็นปลายจมูกของเขา ซึ่งกดลงที่แก้มของผมเต็มๆเพราะอีกฝ่ายเขย่งเท้าขึ้นให้เราสูงเท่ากัน และเอามือมาเกาะไหล่ผมไว้เป็นหลักยึด
ระหว่างที่ผมกำลังทำอะไรไม่ถูก นอกจากยิ้มออกมา และส่งสายตามองไปยังคนที่มาขโมยหอมแก้มคนอื่นแล้วเขินซะเอง
พอตั้งตัวได้อีกฝ่ายก็มองมาทางนี้ ยักคิ้วให้ผมสองที แล้วเดินหนีกลับไปหน้าทีวีซะอย่างนั้น
ยิ้มหวานวางจานในมือลงบนโต๊ะหน้าโซฟา ส่วนตัวเองนั้นนั่งยองๆอยู่ข้างกะละมังที่ผมซื้อมา และวางมันเอาไว้หน้าทีวี เพราะไม่รู้จะเอาไปไว้ตรงไหน
พอเห็นว่าผมเดินตามมา เขาก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับแยกเขี้ยวขู่ให้ผมหยุดรอยยิ้มและสายตาที่ส่งไปให้
จนกระทั่งเจ้าตัวพบว่ามันไม่เป็นผล บทสนทนาระหว่างเราเลยเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่น
"จะลอยกระทงกับอันนี้เหรอ?"
"อืม..."
ผมตอบแล้วนั่งลงบนโซฟา ในขณะที่เจ้าของห้องยังคงนั่งอยู่บนพื้น
"แล้วกระทงอ่ะ?"
ชิบ......!!!
เชี่ย!!! ลืมได้ไงวะ!
ยังไม่ได้ซื้อกระทง -_-พอเรามองสบตากัน อีกฝ่ายก็มองมาทางนี้เหมือนจะจับผิดผมอยู่สักพัก ก่อนจะหลุดขำออกมา แล้วนั่งทิ้งตัวลงบนพื้น
"อย่าบอกนะว่าไม่มีกระทงอ่ะ?"
ผมไม่พูดอะไร แต่ใช้การพยักหน้ารับตอบแทนทุกๆอย่าง แล้วพูดต่อ
"ไปเอาถ้วยมาลอยแทนได้มั้ย?"
"ตลกละ"
"เอาบาร์บีคิวลอย"
"มันจม! ของกินเราด้วย!"
"งั้นยืมโมมาลอยก่อนห้องนึงดิ"
"เราถีบหมอคว่ำแน่"
โห...โหดว่ะ!
สุดท้ายผมก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างหมดหวัง
เท่สัดผัดผักบุ้งเลยกูเนี่ย
ซื้อกะละมังมาให้เค้าลอยกระทง แต่ไม่มีกระทงให้ลอย
พอมองไปยังคนตรงหน้าก็เห็นว่ายิ้มหวานกำลัง.... กินบาร์บีคิวอย่างไม่ทุกข์ร้อนใดๆทั้งสิ้น -_-
เขาเคี้ยวเนื้อย่างไปด้วย ทำหน้าครุ่นคิดไปด้วย ก่อนที่จะลุกขึ้นยืน แล้วเดินหายเข้าไปในห้อง
เดินเข้าๆออกๆหยิบโน่นนี่อยู่สักพัก ในที่สุดเขาก็กลับมานั่งลงบนพื้นหน้าโซฟาที่ผมนั่งอยู่
ในอีกฝ่ายมีข้าวของเยอะแยะมากมาย ทั้งกระดาษแข็ง ดินสอ กาว กรรไกร และหนึ่งในนั้นคือกระดาษทิชชู่
"จะเอาทิชชู่ลอยเหรอ?"
คำถามของผมทำให้อีกฝ่ายมองกลับมาด้วยสายตาเหมือนจะพุ่งมางับหัวกัน แล้วบ่นต่อ
"เคยเรียนศิลปะมั้ยเนี่ย?"
"เรียนดิ แต่ไม่เคยทำ"
"เออลืมไป หมอจ้างเพื่อนทำการบ้านศิลปะนี่หว่า"
พูดจบคนตรงหน้าผมก็กันกลับไปดึงแกนกระดาษทิชชู่ออกมาสองสามอัน และเริ่มกรีดกระดาษแข็งเป็นรูปวงกลม ก่อนจะหันมาตัดแกนทิชชู่เป็นรูปกลีบดอกไม้ ตัดๆปะๆ อยู่ไม่นาน เพราะความคล่องจากการทำโมเดลบ่อยๆของเจ้าตัว ในที่สุดกระทงอันแรกก็เสร็จ
"นี่ไง กระทง~"
โคตรเจ๋ง
งานประเภทนี้เป็นอะไรที่ผมเห็นแล้วตื่นเต้นตลอดอ่ะ เพราะรู้ว่าตัวเองไม่มีทางทำได้
“อันนี้ของหมอนะ"
“ขอบคุณครับ"
ผมยื่นมือไปรับกระทงจากของที่มีในบ้านมาถือเอาไว้แล้วมองอย่างพิจารณา
ก่อนที่คนตรงหน้าจะพูดออกมา แล้วหันกลับไป
"เราทำของเราแป้บนึง"
ผมนั่งมองเขาไปเงียบๆอยู่สักพัก จนรู้สึกอยากช่วยอะไรสักอย่าง
มองไปมองมาเห็นกะละมังวางอยู่ ผมก็เลยลุกขึ้นไปหยิบมันขึ้นมา แล้วบอกกับคนที่ยั่งคงนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่กับกระดาษแข็ง
"เราไปตักน้ำนะ"
"อีกฝ่ายรับคำโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมามองกัน"
สนุกดีนะ ตักน้ำเสร็จผมก็ช่วยเขาหาเทียนวันเกิดอันเก่า กับธูปอโรม่าที่ซุกอยู่ในลิ้นชัก
ในที่สุดเราสองคนก็ได้มานั่งกันอยู่ที่ระเบียง ตรงหน้ามีกะละมังสีชมพูใบใหญ่ ถัดไปมีกระทงจากกระดาษที่พอหาได้ ส่วนในกระทงมีธูปอโรม่าทรงกรวยและเทียนวันเกิดที่ไม่ได้จุดไฟเพราะที่ห้องไม่มีไฟแช็ค
เป็นการลอยกระทงที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา
"หมอเอามือมาเร็ว"
คนข้างๆผมพูดพลางยื่นมือมาให้ก่อน โดยที่มืออีกข้างของเขาถือกรรไกรตัดเล็บเอาไว้ พอผมวางมือลงไป เขาก็ก้มหน้าลงตัดเล็บให้กัน
น่ารักดีว่ะ
รู้สึกเหมือนมีคนคอยดูแล
ยิ่งเห็นกำไลข้อมือสีดำที่เจ้าตัวใส่ไว้ ผมก็ยิ่งรู้สึกดี
“ตอนแรกเราคิดว่าจะต้องนั่งปั่นงานข้ามวันคนเดียวซะแล้ว พอหมอมา งานเราก็ไม่เดินอีกเลย"
เขาพูดแล้วส่งยิ้มมาให้กันก่อนจะปล่อยมือผม แล้วยื่นปลายเล็บที่เขาตัดออกไปมาให้
"แต่มันก็ดีนะ วันนี้เราอาจจะต้องนอนดีกกว่าเดิมสักชั่วโมงสองชั่วโมงเพราะมัวแต่มาเล่นทำกระทง แต่เราก็ชอบที่มันเป็นแบบนี้นะ ขอบคุณที่ทำให้มันพิเศษ"
คำพูดของเขาทำให้ผมยิ้มออกมาบ้าง และตอบกลับไป
“อืม เต็มใจ ไม่ใช่แค่วันนี้หรอก เดี๋ยววันหลังเราก็จะหาอะไรมาชวนเล่นอีก"
"ถ้าเจอวันที่เราขี้เกียจขึ้นมา ไม่รู้ด้วยนะ...ก้มนิดนึงดิ ตัดผมด้วยๆ"
เขาพูดพลางยกมือขึ้นมาใช้กรรไกรอันเล็กๆอีกอันตัดผมให้กัน เสร็จแล้วก็กลับไปจัดการกับตัวเองบ้าง
เท่าที่รู้มา การลอยกระทงคือการขอขมาพระแม่คงคาสำหรับน้ำที่เรานำมากินและใช้ อีกอย่างคือการลอยสิ่งไม่ดีให้ออกไปจากตัว
ผมหลับตาลงและอธิษฐานในใจไปตามความเชื่อ พอลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่าอีกฝ่ายยังคงหลับตาอยู่อย่างนั้น
ผมเองก็ไม่อาจจะเดาได้ว่าเขาขออะไรบ้าง
สำหรับผม นอกจากขอให้สิ่งเลวร้ายต่างที่อาจจะมาระรานตัวเองและครอบครัวจงลอยไปกับน้ำแล้วนั้น 1 ในคำขอไม่กี่ข้อที่อธิษฐานไป
... คือการขอให้เขาได้พบเจอแต่สิ่งดีๆ
tbc.
- - -
เรามีตอนพิเศษของวันเปเปโระเดย์อยู่อีกตอนนึงด้วยค่ะ
แอบลงไว้ในทวิต เดี๋ยวจะแว้บมาแปะให้อ่านกัน
ขอติดไว้ก่อน ตอนนี้ง่วงมากโลย U_U zzz