❤กรี้ดกร้าดในทวิตฝากติดแทค #ยิ้มหวานของหมอ นะคะ
17 ผมตื่นนอนแต่เช้า ออกไปเดินเล่นรับอากาศบริสุทธิ์อยู่พักใหญ่ ก่อนจะกลับเข้ามาในห้องและพบว่าคนที่นอนอยู่อีกเตียงนึงยังคงหลับสนิทอย่างไม่มีท่าทีว่าจะตื่น
ระหว่างที่กำลังคิดอยู่ว่าจะปลุกเขาเลยหรือไปอาบน้ำให้เสร็จแล้วค่อยมาเรียกกัน ก็มีเสียงแจ้งเตือนดังมาจากโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเล็กที่มุมห้อง มันเป็นเสียงที่ดังเตือนว่าแบตเตอรี่ของมือถือกำลังจะหมด
เห็นอย่างนั้นผมเลยเดินไปหยิบไอโฟนของเขามาเสียบชาร์ตแบตให้จนหน้าจอมืดๆสว่างวาบขึ้นมา และถือโทรศัพท์อยู่ในมืออย่างนั้นเพื่อรอดูจนแน่ใจว่าไฟฟ้าถูกชาร์ตเข้าเครื่องเป็นที่เรียบร้อย
แต่ว่าทันทีที่รูปแบตเตอรี่ที่ปรากฎขึ้นมาบนหน้าจอหายไป ผมก็ดันบังเอิญไปเห็นการแจ้งเตือนจากไลน์ว่ามีคนส่งข้อความมาให้เขา ...และพบว่าข้อความพวกนั้นมันเป็นเรื่องของผม!
'มึงก็เลยคิดว่าหมอมันอาจจะไม่ได้ชอบมึงจริงๆก็ได้ งี้เหรอ?'เชี่ยขอเวลาตั้งหลักห้าวิ... รู้สึกได้เลยว่าเหงื่อหยดทั้งๆที่อยู่ในห้องแอร์ -_-
เขาพูดเรื่องของผมว่ะ!
เอาเรื่องของผมไปพูดกับเพื่อนด้วยว่ะ!
เกือบละ...อีกนิดนึงจะฟินแล้ว ถ้าเขาจะไม่ได้เอาไปพูดกับเพื่อนว่าผมไม่ได้ชอบเขาจริงๆ -_-
ทำไมเขาถึงได้คิดอย่างนั้น?
ตอนนี้ผมแม่งโคตรจะไม่ดื้อ ไม่ซน เลยนะ แล้วอะไรที่ทำให้เขาคิดแบบนั้น?
...แอบอ่านได้ไหมวะ?
ก็รู้อยู่นะเว่ย ว่าการแอบอ่านข้อความของคนอื่นมันเป็นมารยาทที่แย่เหี้ยๆ
แต่ข้อความพวกนั้นมันกำลังพูดถึงผมนะโว้ย! เสือกเรื่องตัวเองนี่ขอลดโทษลงครึ่งนึงได้ปะล่ะ?
ผมยืนกำไอโฟนของเขาแน่น ระหว่างนั้นก็ถามตัวเองซ้ำๆว่า อ่าน ไม่อ่าน อ่าน ไม่อ่าน อ่าน ไม่อ่าน ซ้ำไปซ้ำมาจนเริ่มรำคาญตัวเอง
วินาทีที่ตัดสินทุกอย่าง คือตอนที่อีกคนในห้องขยับพลิกตัวนิดหน่อยเพื่อเปลี่ยนท่านอน ผมตกใจไปนิดนึง ก่อนจะรีบปัดปลายนิ้วผ่านหน้าจอโทรศัพท์ของเขาแล้วไล่อ่าน ทั้ง 7 ข้อความที่ถูกส่งมาทันที -_-
*กูจะบอกว่า
* 50 กว่าข้อความที่มึงส่งมา แม่งโคตรจะวกวนเลย
*สรุปก็คือ
*มึงเกือบโดนหมอจูบ
*แต่ไอ้หมอมันดันไม่ยอมจูบมึง
*แถมยังอึนใส่ จนมึงต้องตามไปง้ออีก
*มึงก็เลยคิดว่าหมอมันอาจจะไม่ได้ชอบมึงจริงๆก็ได้ งี้เหรอ?แย่ละ...คิดถูกหรือคิดผิดวะที่อ่านเนี่ย
สิ่งแรกที่ผมทำเลยคือการตั้งสติ เพราะไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตอนนี้ควรจะรู้สึกยังไง?
ส่วนนึงในใจมันก็รู้สึกผิดนะที่ทำให้เขาไม่สบายใจ แต่พอรู้ว่าอีกฝ่ายกังวลเรื่องของผมเยอะขนาดนี้ พูดตรงๆมันก็โคตรจะดีใจเลยว่ะ
ผมเองยังไม่รู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังแสดงสีหน้าแบบไหน แต่สิ่งแรกที่เลือกจะทำคือการวางไอโฟนในมือลงอย่างทะนุถนอม แล้วเดินไปหยุดอยู่ข้างๆเตียงของเขา ยืนมองคนที่นอนได้นอนดีแล้วก็มีความสุขขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ แต่ก็ยังคงรู้สึกเหมือนมีสิ่งที่ค้างคาใจ อยากถามเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงคิดว่าผมไม่จริงจังกับความรู้สึกนี้
ในขณะที่ผมห้ามตัวเองไม่ให้จูบเขา
เขากลับคิดว่า ผมไม่ยอมจูบเขาเพราะลังเลกับความรู้สึกของตัวเอง
คิดแบบนี้นี้ถูกไหม? สับสนชิบหาย ขอไวท์บอร์ดครับ...
แล้วผมควรจะทำยังไง?
เดินไปหาเขาแล้วพูดด้วยหน้านิ่งๆว่า
'เราขอโทษที่เมื่อวานไม่ยอมจูบ ถ้ารู้ว่าจูบได้ก็จูบไปนานแล้ว' งี้เหรอ?
ผมว่าผมโดนตีนแน่อ่ะ เขาต้องซัดผมร่วงแน่ๆ
สุดท้ายผมก็ได้แต่ยืนกอดอกมองคนที่ยังคงหลับสนิทไม่รู้เรื่องด้วยสีหน้าที่กำลังกัดปากกลั้นยิ้ม จนเวลาผ่านไปสักพัก สติในส่วนที่ยังคงสมบูรณ์ดีของผมก็บอกกันว่า
...ถ้ามึงไม่ปลุกยิ้ม มึงก็ยืนทำหน้ากลั้นฟินอยู่ตรงนี้ไปทั้งวันแล้วกันนะไอ้หมอตอนนั้นเองที่ผมรู้ตัวว่าควรทำอะไร และยื่นมือออกไปจับไหล่เขาเอาไว้แล้วเขย่าเบาๆ
คนที่ยังคงนอนหลับสนิททำหน้ามุ่ยตอนถูกกวน ก่อนจะพลิกตัวหลบจนผมต้องวางมือลงไปบนเส้นผมของเขา แล้วขยี้แรง
“ตื่นได้แล้ว~”
พอโดนกวนหนักขึ้นอีกฝ่ายก็หันกลับมาพร้อมกับลืมตาแค่ครึ่งนึง แล้วพยักหน้ารับสองสามที
“ไปอาบน้ำก่อนนะ ออกมาถ้าเจอว่ามีคนนอนต่อจะอุ้มไปโยนทะเล โอเคนะครับ"
“นิสัยไม่ดี"
เป็นอันเข้าใจ...
ได้ยินอย่างนั้นผมก็เดินไปหยิบข้าวของทั้งหมดของตัวเองแล้วห้องน้ำไป
การมีความรักนี่มันก็แปลกๆเนอะ
เดี๋ยวก็เศร้า เดี๋ยวก็กังวล รู้ตัวอีกทีก็มีความสุขอีกแล้ว
เกิดมา20 ปี ผมเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าอารมณ์ความรู้สึกคนเรามันสามารถแบ่งได้หลากหลายขนาดนี้ แถมทุกๆความรู้สึกยังเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันอีกต่างหาก แต่หรับผม...รวมๆแล้วมันก็มีความสุขดี
ออกจากห้องน้ำมาผมก็เห็นว่าอีกคนกำลังนั่งอยู่บนโซฟาและกำลังจัดชุดที่จะใส่วันนี้ พอเขาหันมาแล้วเห็นผมใส่แค่กางเกงขายาวสีดำกับผ้าขนหนูที่พาดเอาไว้บนไหล่ ริมฝีปากคู่นั้นก็เบะคว่ำลงทันที
“มีซิกแพคแล้วไง ต้องอวดเหรอ?”
ผมกลั้นยิ้ม มองคนที่หอบข้าวของเดินเฉียดไหล่กันเขาห้องน้ำไปแล้วก็ได้แต่แอบขำ
กี่ขวบเนี่ย? ทำไมขี้อิจฉา?
แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ผมก็นอนเล่นมือถืออยู่บนเตียงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งอีกคนออกมาจากห้องน้ำ
สถานการณ์ทุกอย่างดูปกติดี จนกระทั่งตอนที่เขาเดินตรงไปหยิบโทรศัพท์ที่กำลังชาร์ตแบตอยู่ตรงมุมห้อง ผมขมวดคิ้วเข้า และเหลือบตามองเขาอยู่เงียบๆ แล้วก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องตกในนิดนึงตอนที่ได้ยินอีกฝ่ายถามออกมา
"หมอเอามือถือเรามาชาร์ตแบตให้เหรอ?"
“อือ ได้ยินมันร้องเตือนว่าแบตจะหมด"
“อ๋อ...ขอบคุณนะ” ^ ^
คนฟังรับคำแล้วเงยหน้ามาส่งยิ้มให้ผม ก่อนจะก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความอยู่สักพัก แล้วโยนโทรศัพท์ลงไปบนเตียง แถมยังดึงปลั๊กออกแล้วเอาสายชาร์ตมาคืนให้กันถึงที่
ทิ้งให้ผมเอาแต่ส่งสายตาจับจ้องไปยังโทรศัพท์มือถือของเขากับสีหน้าเคร่งเครียด
อีกฝ่ายจะรู้ไหมว่าผมแอบอ่านไลน์ แล้วเขาจะตอบข้อความพวกนั้นกลับไปว่าอะไร
คิดไปคิดมา ทุกอย่างก็จบลงด้วยการที่ผมสั่งตัวเองให้หยุดคิดเรื่องพวกนี้สักพัก จำคาถาเด็กดีได้ไหมครับ?
'พูดจาปกติ ทำตัวตามธรรมชาติ อย่าทำให้เขาไม่สบายใจ' ท่องไว้มึงท่องไว้
สักพักยิ้มหวานก็เก็บของและเตรียมอุปกรณ์เพื่อออกไปเที่ยวเสร็จเรียบร้อย คนตรงหน้าผมใส่เสื้อยืดสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงขาสั้นสีครีม นอกจากนี้ยังมีทั้งแว่นกันแดด หมวก กล้องถ่ายรูป อยู่ในโหมดนักท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ
แต่งตัวเรียบร้อย เขาก็เดินมาหยิบกระเป๋าตังค์กับโทรศัพท์มาใส่ลงไปในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะหันมาพูดกับผมด้วยรอยยิ้ม
“เราขับรถนะ!”
ผมพยักหน้ารับแล้วลุกขึ้นเดินตามอีกคนไปยังประตูห้องพัก ตอนนั้นเองที่เพิ่งสังเกตเห็นว่าเขาใส่รองเท้าอะไรมา
ยิ้มหวานใส่ไนกี้มาทะเลครับ...สีขาวซะด้วย -_-
ยืนมองอีกคนใส่รองเท้าอยู่สักพัก ในที่สุดผมก็ถามออกมา ตอนที่เราเดินออกจากห้องไปยังมินิคันจิ๋วที่จอดอยู่ไม่ไกล
“จะใส่ไนกี้เที่ยวทะเลเลยเหรอ แตะดีกว่ามั้ง?”
เขาหันมามองผม ทำท่าเหมือนคิดอะไรอยู่สักพัก ก่อนจะยกมือขึ้นมาจับต้นแขนกัน สัมผัสเบาๆทำให้ผมหันไปมองแล้วเลิกคิ้วพร้อมกับถาม
“มีอะไร?”
“แตะไง...”
“ห๊ะ?”
“ก็หมอบอกว่า
แตะดีกว่ามั้ง เราแตะหมอแล้วนี่ไง"
ให้เวลา 10 วิในการประมวลผลครับ -_-
ผมหันไปทำหน้านิ่งใส่ ยกมือขึ้นมาดีดหน้าผากเขาทีนึงแล้วถอนหายใจ ก่อนจะขึ้นรถไปนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับ ปล่อยให้อีกฝ่ายขึ้นมานั่งอีกฝั่งและหันมามองหน้าผมพร้อมกับกระพริบตาปริบๆ
“ไม่ตลกเลยเหรอ?”
เขาถามแล้วเอื้อมไปหยิบอะไรบางอย่างมาจากเบาะหลัง ตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายมีรองเท้าแตะอีกคู่นึงใส่เอาไว้ที่หลังรถ
“ไม่เลย"
“ถามจริง?”
"อืม...ถ้าไม่จีบอยู่จะให้ 10 บาทแล้วไล่ให้ไปเล่นตรงโน้นไป"
คนข้างๆหันมาฟังคำตอบของผม พร้อมกับทำหน้าเหมือนมีอะไรอยากจะถามแล้วไม่ยอมพูด แต่กลับก้มลงไปเปลี่ยนไนกี้สีขาวเป็นรองเท้าแตะสีเดียวกันก่อนจะถอยรถออก
...คิดไปเองปะวะ?
ผมว่าบรรยากาศมันขมุกขมัวยังไงก็ไม่รู้
,
พวกผมเริ่มต้นการพักผ่อนด้วยร้านอาหารทะเล
หลังจากยืนมองปูปลาหมึกกุ้งที่นอนตาใสแจ๋วในน้ำแข็งอยู่พักใหญ่ คนข้างๆผมก็ถามขึ้นมาโดยที่ไม่สามารถละสายตาจากกุ้งตัวใหญ่ที่นอนนิ่งอยู่ตรงหน้าได้เลย
“หมอแกะกุ้งเป็นปะ?”
“หึ...” ผมตอบกลับไปแค่นั้นพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ
“เราก็ไม่ค่อยได้แกะว่ะ แต่อยากกินกุ้งเผาอ่ะ"
ได้ยินอย่างนั้นผมก็ขยับไปยืนหน้าถาดใส่อาหารทะเล แล้วยื่นมือไปเขี่ยกุ้งดิบในน้ำแข็งให้พลิกไปพลิกมา ก่อนจะต้องรีบหยุดเพราะโดนแม่ครัวส่งสายขู่มาแต่ไกล
“มันก็ดูไม่น่าจะแกะยากปะ"
“ลองดูมั้ย?”
เขาถามออกมาพร้อมกับยิ้มกริ่มเหมือนกำลังจะได้เล่นสนุก เห็นอย่างนั้นผมจะทำอะไรได้นอกจากพยักหน้ารับตามใจอีกตามเคย
หลังจากสั่งอาหารเรียบร้อย และรอให้พนักงานยกมาเสิร์ฟคนตรงหน้าผมก็เริ่มหาข้อมูลว่าเราจะไปเที่ยวไหนต่อกันดี ผมว่าที่เที่ยวในหัวหินส่วนใหญ่จะเน้นถ่ายรูปนะ ถามว่ามีอะไรที่น่าสนใจไหม สำหรับผมก็คือไม่...
“หมออยากไปที่ไหนมั้ย?”
“คิดว่าไม่"
“อะฮะ งั้นก็ทำตามแผนที่เราวางไว้เลยแล้วกัน"
"วางแผนไว้แล้วด้วย?”
“อืม... แผนก็คือ กิน นอน กิน นอน กิน กิน นอน แล้วก็กลับบ้าน"
พูดจบเขาก็ยิ้มถูกใจ แล้วยักคิ้วอวดกันสองที
ซับซ้อนโคตรนะ คนธรรมดามาฟังอาจไม่เข้าใจ -_-
“คิดนานปะ?”
“สามปี~”
พูดจบคนตรงหน้าผมก็กลับมุ่งมั่นกับการหาที่เที่ยวต่อ ปล่อยให้ผมได้นั่งมองหน้าเขาไปเงียบๆ แล้วในใจก็นึกอยากจะถามเรื่องที่เจ้าตัวคุยกับเพื่อนในไลน์ขึ้นมา...แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นยังไง
เปิดประเด็นด้วยการบอกว่าผมแอบอ่านไลน์เขาก็ดูจะเป็นอะไรที่ไม่ค่อยจะเข้าท่าสักเท่าไหร่ แต่ถ้าอยากจะถามเรื่องนี้ ยังไงก็ต้องเล่าให้เขาฟังอยู่ดี
ไม่ทันที่ผมจะได้คำตอบ อีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมา พร้อมกับยกหน้าจอโทรศัพท์ให้ผมดู
“เราว่านี่น่าสน"
ผมอ่านตัวหนังสือในนั้น แล้วพูดออกมา
“คาเฟ่หมาชิบะ...”
“อือ อ่านรีวิวดูดิ"
เขาพูดพลางยื่นมือถือมาให้ผมอ่านรายละเอียด สรุปรวมๆได้ว่า ที่นี่เป็นคาเฟ่หมา ซึ่งพิเศษตรงที่มีแต่หมาพันธุ์ชิบะ สายพันธุ์ชื่อดังจากญี่ปุ่น
ไปพูดให้ใครฟังเขาก็คงไม่เชื่อหรอกครับมาทะเล มาทำอะไร?
...มาดูหมา -_-
แต่พอเงยหน้าขึ้นไปแล้วเห็นว่าอีกคนส่งสายตาเป็นประกายมองตรงมา ก็เดาได้เลยว่าเขาคงอยากไปมากๆ
ถ้าไม่มาเจอเองกับตัวเองไม่มีทางรู้หรอกครับ ว่าสายตาคู่นี้มันปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ผมยกยิ้มให้คนตรงหน้านิดหน่อยแล้วพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนตอบ
“ไปมั้ยล่ะ?”
“ไป!”
เขารับคำพร้อมกับส่งยิ้มกว้างๆมาให้กัน ได้คำตอบที่ต้องการ คนตรงหน้าผมเขาก็จัดการหาเบอร์โทรของร้านและจองโต๊ะเอาไว้เรียบร้อยตามคำแนะนำที่อ่านมา
สักพักอาหารที่เราสั่งไว้ก็มาเสิร์ฟครับ ผมมองกุ้งเผาครึ่งกิโลที่นอนเรียงรายกันในจานแล้วรู้สึกหนักใจกับมันนิดหน่อย ยืดอกรับอย่างลูกผู้ชายคนนึงเลย... ทุกครั้งที่กินอะไรแบบนี้ ผมให้แม่แกะให้ตลอด -_-
เคยนึกสงสัยกันบ้างไหมครับว่ามนุษย์คนแรกที่เอากุ้งมากินนี่คิดอะไรอยู่ ถ้าเป็นผมนะ เห็นตัวอะไรก็ไม่รู้หน้าตาประหลาดขนาดนี้ ยังไงก็คงไม่มีความคิดจะเอามันมากินเป็นอาหารอยู่แล้ว
ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าเนื้อนุ่มๆที่ซ่อนอยู่ในรูปร่างประหลาดของมันเป็นอะไรที่อร่อยสุดๆ
นี่ยังไม่พูดถึงปูที่แกะยากกว่า หน้าตาประหลาดกว่า แถมเนื้อก็อร่อยกว่า
ระหว่างที่ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะจัดการไอ้ตัวประหลาดสีส้มในจานยังไงดี คนตรงหน้าก็เร็วกว่าผมไปแล้วหนึ่งขั้น เขาหยิบกุ้งขึ้นมาโดยจับตรงส่วนหัวแล้วปล่อยให้ตัวมันห้อยอยู่ตรงหน้าตัวเอง พร้อมกับกวาดสายตามองกุ้งตั้งแต่หัวจรดหาง ก่อนจะเลื่อนสายตามามองสบเข้ากับผม...
“ทำไงก่อนดีอ่ะ?”
“นั่นดิ วางก่อนๆ"
ผมพูดพลางขยับเก้าอี้เขาไปใกล้โต๊ะมากขึ้น ใช้มือถลกแขนเสื้อ แล้วมองกุ้งส้มๆที่นอนอยู่ในจานพร้อมกับขมวดคิ้ว ...นั่นดิ เอาไงก่อนดีวะ?
“หักคอแม่งเลย"
พูดจบผมก็หยิบกุ้งขึ้นมาแล้วหักคอมันอย่างที่พูดครับ คนตรงหน้าผมดูเหมือนจะตกใจไปนิดหน่อย แต่พอหัวกับตัวกุ้งมันแยกออกจากกัน อะไรก็ดูเหมือนจะง่ายขึ้น
เราสุมหัวกันแกะเปลือกอกจนหมด และพบว่า ไอ้กุ้งนี่มันมีขาเยอะมาก ซึ้งใจก็วันนี้ว่ากว่าจะได้กินกุ้งสักตัวมันต้องใช้ความพยายามขนาดไหน
ในที่สุด พอได้เห็นกุ้งโป๊ๆที่อยู่ในมือ ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนกำลังมองสิ่งล้ำค่าขึ้นมาซะได้
กว่าจะได้แกมานี่ไม่ง่ายเลย...
ผมมองคนตรงหน้าที่นั่งกางมือเหมือนเด็กๆ เพราะทั้งสิบนิ้วเลอะเทอะไปหมดตอนแกะกุ้งแล้วหลุดขำ ก่อนจะยื่นกุ้งตัวแรกที่แกะเสร็จเรียบร้อยแล้วไปให้เขาตรงหน้า อีกฝ่ายมองกลับมาแล้วขมวดคิ้วพร้อมกับส่ายหน้า
“แบ่งกันคนละครึ่งดิ"
“ไม่เอา ยกให้"
คนฟังทำหน้ามุ่ย ส่ายหน้าแต่ไม่ยอมตอบกลับมา ท่าทางเขาเหมือนจะคิดอะไรอยู่ในใจเป็นพักๆ แต่ก็ไม่ยอมพูดจนในที่สุดผมก็ตัดสินใจถามออกไป
“ไม่สบายใจอะไรรึเปล่า ท่าทางไม่ค่อยดีตั้งแต่ออกมาละ"
เขาทำหน้าครุ่นคิดอยู่สักพัก แล้วก็ตอบกลับมา
“ก็นิดนึงแหละ"
“เล่าให้ฟังหน่อยดิ”
“ไม่บอก~”
“อ้าว...”
“อือ! เดี๋ยวค่อยบอกแล้วกัน"
คนตรงหน้าพูดพลางส่งยิ้มมาให้กัน พอเห็นว่าผมยังไม่ยอมละสายตาจากเขาง่ายๆ อีกฝ่ายเลยพูดต่อ
“โอเค เราจะไม่อึนใส่หมอละสัญญา เมื่อวานหมออึนวันนี้เราอึน เที่ยวไม่สนุกกันพอดี”
พูดจบเขาก็ฉีกยิ้มกว้างๆจนตาหยีมาให้ผม แถมยังยื่นมือมาหยิบกุ้งไปใส่ปากทั้งตัว แล้วเคี้ยวตุ้ยๆจนแก้มป่อง เห็นท่าทางอย่างนั้นผมก็หลุดขำ
ยื่นมือไปตั้งใจจะขยี้ผมเขาเล่นแบบทุกที แต่ก็โดนส่งสายตาขู่มาให้ พร้อมกับที่อีกฝ่ายโยกหัวหลบ
อ๋อ ลืมไปว่ามือเลอะ -_-
หลังจากจัดการมื้อแรกของวันเสร็จเรียบร้อยเราก็ออกเดินทางไปหาหมาญี่ปุ่นกันต่อ
เขาให้ผมขับรถ ส่วนเจ้าตัวก็คอยบอกทาง เพราะเท่าที่อ่านมารีวิวมา คนเขียนบอกว่าทางเข้ามันค่อนข้างจะซับซ้อนนิดนึง
หลังจากงงกับเส้นทางอยู่สักพัก ในที่สุดเราก็มาถึงคาเฟ่หมาชิบะจนได้
จริงๆแล้วจะเรียกที่นี่ว่าคาเฟ่ก็ไม่ถูกนัก เท่าที่ผมดู เจ้าของร้านเหมือนจะจัดร้านด้วยการตกแต่งบ้านที่อยู่อาศัยจริงให้มีบรรยากาศแบบคาเฟ่ที่มีหมาตัวเตี้ยๆอยู่ตามมุมต่างๆเต็มไปหมด
ได้โต๊ะนั่งปุ๊บพวกผมก็สั่งเครื่องดื่มกันคนละแก้วกับของกินเล่นอีกจาน ทันทีที่คนรับออเดอร์เดินผละไป ยิ้มหวานก็หยิบกล้องแล้วลุกขึ้นเดินตรงไปหาเจ้าหมาตัวสีน้ำตาลที่นอนฟุบอยู่ทันที
ผมเดินไปซื้อขนมสำหรับสัตว์ที่วางขายอยู่ ก่อนจะเดิมตามเขาไป เห็นหน้าตาคนที่กำลังเอามือลูบขนสั้นๆของไอ้หมาหน้าตาอยากรู้อยากเห็นแล้วผมก็ยังต้องยิ้มตามไปด้วย ท่าทางเขาจะชอบมากจริงๆ
ผมย่อตัวลงนั่งข้างๆเขาแล้วยื่นมือไปลูบขนหมาดูบ้างพร้อมกับทำหน้าครุ่นคิด จนอีกฝ่ายต้องหันมาถาม
“หมอทำอะไรอ่ะ?”
“ก็...ตอนเห็นรูป เราสงสัยว่าหมาญี่ปุ่นนี่มันต่างจากหมาวัดที่ไทยตรงไหนวะ"
พูดออกมาได้แค่นั้นคนตรงหน้าผมก็ขมวดคิ้วเข้าจนหน้ายุ่ง เหมือนจะบ่นกันด้วยท่าทางว่า อย่าได้มีข้อกังขากับน้องหมาสุดที่รักของเขาเชียว
“ฟังก่อนดิ แต่พอมาจับดู ขนมันก็หนาๆนุ่มๆดี ท่าทางจะฉลาดด้วย"
ผมพูดพลางแกะถุงใบเล็กๆที่อยู่ในมือออก ก่อนจะหยิบขนมชิ้นเล็กๆสีน้ำตาลออกมาแล้วยื่นไปให้เขาตรงหน้า
“อ่ะ กินขนม"
ได้ยินปุ๊บยิ้มหวานก็หันมามองผมด้วยหางตา แล้วตอบกลับ
“ของหมาเว่ย"
“อ้าวเหรอ?”
ผมตอบแล้วลูบผมเขาเบาๆเหมือนตอนที่ลูบขนหมาเล่น จนกระทั่งอีกฝ่ายหันมาแยกเขี้ยวใส่กันถึงได้หยุด แล้วยื่นถุงขนมให้เขาไป
พอได้ยินเสียงก็อบแก็บของถุงเท่านั้นแหละครับ แก๊งหมาเตี้ยก็มารวมตัวกันตรงหน้าเขาทันที
ผมมองพวกหูแหลมห้าหกตัวนั่งเรียงกันส่งสายตาออดอ้อนมาให้ยิ้มหวานแล้วอดไม่ได้ที่จะบ่นในใจ
...เห็นคนหน้าตาดีหน่อยไม่ได้เลยนะพวกเอ็ง
เล่นอยู่สักพักทั้งผมและเขาก็เดินกลับมานั่งที่โต๊ะ กินขนมที่สั่งมาบ้างคุยกันบ้าง หันไปถ่ายรูปหมาบ้าง ผมว่าก็เพลินดีนะ รู้ตัวอีกทีเวลาก็ผ่านไปเป็นชั่วโมงแล้วเหมือนกัน
ตอนกินข้าว ผมกับเขานั่งคุยกันคร่าวๆแล้วว่า เราตั้งใจจะอยู่ที่นี่ตลอดช่วงบ่าย แล้วค่อยออกไปซื้อของฝากนิดหน่อย ถ้าไม่ขี้เกียจก็คงไปแวะชายหาดหัวหินรอเวลาจนถึงตอนเย็น และปิดทริปวันนี้ด้วยตลาดโต้รุ่ง
นั่งเล่นไปสักพัก ผมก็รู้สึกเหมือนกำลังโดนสะกิดที่หัวเข่าครับ พอก้มหน้าลงไปมองก็เห็นไอ้ตัวหูแหลมขนสีดำมาเกาะขาทักทายเหมือนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียน เพราะถุงขนมหมาวางอยู่ใกล้ๆมือผมนี่เอง เห็นอย่างนั้นผมก้มหน้าลงไปมองมัน แล้วยักคิ้วให้
“ไง...สนิทกันเหรอ?”
คำทักทายหมาของผมทำเอาคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันถึงกับหลุดขำ ก่อนจะยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมาจับภาพผมกับหมาเอาไว้แล้วยิ้มขำอย่างอารมณ์ดี
หมาพวกนี้ก็อัธยาศัยดีโคตรๆอ่ะครับ แค่ลูบหัวนิดนึงก็ทำหน้ายิ้มใส่กันแล้ว เห็นอย่างนั้นผมก็ยื่นมือไปหยิบถุงขนมมาเปิด แล้วป้อนให้มันไปชิ้นนึงเป็นรางวัลที่อยู่ดีๆก็มายิ้มให้กัน
พอคนข้างๆเห็นผมทำอย่างนั้นเขาก็ย้ายเก้าอี้ขยับเข้ามาใกล้ มองจนเจ้าหมากินขนมชิ้นแรกหมดแล้วถึงได้หยิบออกมาถือไว้อีกชิ้น คราวนี้ไอ้หมาอัธยาศัยดีก็หันหน้าหนีผมแล้วไปนั่งตัวตรงอยู่ตรงหน้าเขาอย่างง่ายดาย
จริงๆแล้วมันอาจจะไม่ได้อัธยาศัยดีหรอก
มันก็แค่เห็นแก่กิน -_-
ผมเห็นยิ้มหวานถือขนมหมาเอาไว้มือนึง ส่วนมืออีกข้างก็ยื่นออกไปข้างหน้าแล้วพูดออกมา
“ขอมือหน่อย"
ไม่เกินสามวินาที อุ้งเท้าปุยๆของไอ้หมาก็ยกขึ้นมาวางอยู่บนมือเขาอย่างแสนรู้ พอเห็นอย่างนั้นคนตรงหน้าผมก็หันมาส่งมือถือให้กันแล้วบอกสั้นๆ
“ถ่ายคลิปให้หน่อยดิ"
ผมพยักหน้ารับ กดเปิดกล้องไอโฟนแล้วเลือกโหมดถ่ายวีดีโอก่อนจะกดบันทึกภาพคนตรงหน้าหลอกจับมือหมาเอาไว้ ก่อนที่ผมจะยื่นโทรศัพท์คืนให้เขา อีกฝ่ายรับมือถือไปวางเอาไว้อย่างไม่ใส่ใจ และยื่นมือกลับมาตรงหน้าผมอีกครั้ง แล้วพูดสั้นๆ
“ขอมือหน่อย~”
เห็นอย่างนั้นผมก็ทำหน้านิ่งมองคนที่เอาแต่ยิ้มถูกใจมาให้กัน ก่อนจะตัดสินใจกำมือหลวมๆ แต่ไม่ยื่นไปให้อีกฝ่ายอย่างที่เจ้าตัวต้องการ
“รางวัลอ่ะ?”
คนฟังขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินสิ่งที่ผมพูด เขามองหาอะไรบนโต๊ะอยู่สักพัก ก่อนจะหยิบเฟรนฟรายด์ในจานตรงหน้าขึ้นมาแล้วพูดต่อ
“อ่ะ ขอมือหน่อย...”
เห็นท่าทางของเขาแล้วผมก็ได้แต่ถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้าหน่อยๆ แต่ก็ยอมวางมือลงไปบนฝ่ามือเขาในที่สุด
“โอ้โห ฉลาดจังเลยย พันธุ์อะไรครับเนี่ย"
เขาพูดพลางยื่นมือมาลูบหัวผมเล่นแล้วหัวเราะสนุก ก่อนจะพูดต่อ
“หน้าเหมือนกันแล้วยังฉลาดเหมือนกันอีกเนอะ"
หน้าเหมือนกัน?
ใครหน้าเหมือนใครวะ?
“เหมือนใคร?”
“นี่ไง"
เขาพูดแล้วชี้ไปยังไอ้หมาหน้าแหลมตัวที่มายิ้มให้ผมดูเมื่อกี้ แล้วพูดต่อ
“หน้าเหมือนหมอมาก ดูดิ แต่งตัวยังเหมือนกัน"
ผมหันไปมองหน้าไอ้หมาหูแหลมสีดำที่ทรุดตัวลงไปนอนกับพื้นอย่างเกียจคร้านแล้วขมวดคิ้ว
นี่หมอมั้ย ไม่ใช่หมา? โอเค วันนี้ผมอาจจะใส่เสื้อดำกางเกงดำ ซึ่งบังเอิญเป็นสีเดียวกับขนหมาพอดี
นอกจากนี้ ผมยังเคยโดนเพื่อนด่าว่าไอ้หน้าหมา ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องหน้าเหมือนหมาจริงๆปะวะ?
คนตรงหน้ายังคงส่งยิ้มถูกใจมาให้ผม จนกระทั่งหันไปเห็นว่ามีไอ้หูแหลมตัวสีน้ำตาลเดินผ่านมาทางนี้พอดี นั่นทำให้เขาละความสนใจจากผมแล้วผละไปหาหมาอย่างง่ายดาย -_-
ผมมองภาพตรงหน้าแล้วก็ได้แต่กลั้นยิ้ม อีกฝ่ายดูมีความสุขกับสัตว์เลี้ยงมากจนในใจผมรู้สึกขึ้นมาว่า ถ้าความสัมพันธ์ของเรามันมีโอกาสจะได้พัฒนาไปจนถึงจุดหนึ่ง
คงจะมีสักวันที่ผมอุ้มลูกหมาตัวเล็กๆมาให้เขา แล้วบอกว่ามันคือของขวัญจากผม
- - -
[มีต่อนะคะ
❤]