ความรู้สึกตื่นเต้นจู่โจมผมทันทีที่ก้าวเท้าไปตามทางเดินยาวๆของคอนโด ที่ได้ขับรถมาอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่เคยจะได้เดินผ่านประตูด้านหน้าเข้ามาสักที
จากวันที่ผมขับรถมาส่งยิ้มหวานที่นี่เป็นครั้งแรกหลังอ่านหนังสือที่ร้านกาแฟเสร็จ เวลาก็ผ่านไปประมาณสี่เดือนกว่าๆแล้วครับ - เพิ่งจะได้เดินเข้ามาเห็นบรรยากาศข้างในนี้เป็นครั้งแรก ก็วันนี้นี่แหละ
ผมหันไปมองคนที่พยายามจะหยิบคีย์การ์ดออกจากกระเป๋าผ้าที่สะพายอยู่บนไหล่ ท่าทางลำบากน่าดูจนต้องยื่นมือไปช่วยดึงถุงก๊อบแก๊บที่เขาถืออยู่มาถือเอาไว้เอง เขาดึงสายตาขึ้นมามองผม ส่งยิ้มให้กันนิดๆก่อนตอบ
“ขอบใจ"
ผมพยักหน้ารับ ไม่ตอบอะไรกลับไป แล้วก็ปล่อยให้เจ้าของห้องเดินผ่านทุกคนไปรูดคีย์การ์ดปลดล็อคประตู
คอนโดยิ้มหวานเป็นห้องกว้าง เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งส่วนใหญ่เป็นโทนสีขาวดำเทา เข้ามาข้างในแล้วจะเจอห้องนั่งเล่นก่อนเป็นอันดับแรก ทุกอย่างดูเป็นระเบียบและถูกจัดเอาไว้อย่างเรียบร้อย ยกเว้นมุมหน้าโทรทัศน์
นอกจากโซฟากับโทรทัศน์เครื่องใหญ่ที่ห้องทั่วๆไปมีกัน ที่พรมหน้าทีวียังมีสิ่งของกองอยู่อย่างระเกะระกะ เดาได้ไม่ยากว่าตรงนั้นน่าจะเป็นมุมที่ทุกคนรวมตัวกันทำงาน
ผมเดินตามเพื่อนๆของเขา เลี้ยวไปยังโซนของห้องครัว ก่อนจะวางของที่ซื้อมาไว้บนโต๊ะกลางห้อง พอหมดหน้าที่แล้ว ผู้ชายสามคนก็ถูกไล่ให้ออกมานั่งรอที่ห้องนั่งเล่น
ตอนที่ผมกำลังจะนั่งลงไปบนโซฟา สายตาก็เพิ่งสังเกตว่าตอนนี้เจ้าของห้องกำลังเดินเลยไปยังอีกมุมหนึ่ง ยิ้มหวานเปิดประตูสีดำแล้วเข้าไปในห้องที่ผมเดาเอาว่าน่าจะเป็นห้องนอน
หันมาหาคนที่นั่งอยู่ข้างกันอีกทีก็เห็นว่าฝ่ายนั้นยื่นรีโมทมาให้ผมแล้วบอกกันสั้นๆ
“อยากดูทีวีก็เปิดนะหมอ กูนอนแป้บ"
ทันทีที่ผมรับรีโมทมา ฝ่ายนั้นก็ไม่รอฟังคำตอบ แต่ฟุบตัวลงไปบนพนักโซฟาแล้วก็ดูเหมือนจะตัดตัวเองออกจากทุกอย่าง ก่อนจะหลับไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งผมไว้กับห้องโล่งๆและความเงียบ
จริงๆมันก็ไม่ได้เงียบอะไรขนาดนั้นหรอกครับ เพราะเสียงพูดของสี่สาวในห้องครัวก็ดังลอดมาถึงตรงนี้แบบเบาๆ แต่ในความรู้สึกของผม ยังไงมันก็เงียบจริงๆ
จะเปิดทีวีดูแก้เก้อก็ดันเกรงใจไอ้คนที่หลับไปอย่างกับถูกปิดสวิตซ์....
รู้ตัวอีกทีผมก็พบว่าตัวเองกำลังนั่งหลังตรงอยู่บนโซฟา มือทั้ง 2 ข้างวางอยู่บนหัวเขาที่หุบชิดกัน ส่วนเท้าก็วางราบไปกับพื้นจนน่าขำ
มาประกวดมารยาทเหรอกูเนี่ย? พอรู้สึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้กำลังนั่งอยู่ในท่าไหน ผมถึงกับตกใจตัวเอง ก่อนจะถอนหายใจออกมาหนักๆ แล้วเปลี่ยนไปเอนตัวพิงเบาะด้วยท่าทีที่ผ่อนคลายมากขึ้น ถึงแม้ว่าในหัวใจจะยังคงไม่สงบเป็นปกติ
จะหาว่าผมป็อดก็ยอมแล้วครับนาทีนี้ - ใครจะไม่ประหม่ามั่งวะ? ถ้าได้เข้ามาในบ้านคนที่ตัวเองชอบเป็นครั้งแรก
นี่ขนาดมากันหลายคนผมยังตื่นเต้นโคตรๆ ไม่อยากจะนึกเลยว่าถ้าไม่มีคนอื่นมาด้วยผมจะทำตัวไม่ถูกขนาดไหน เริ่มเข้าใจพวกฉากเดินชนประตูชนหน้าต่างในละครขึ้นมาก็ตอนนี้แหละวะ
“อ้าวหมอ! ดูทีวีดิ เสียบปลั๊กยัง"
เสียงพูดของเพื่อนยิ้มหวานที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องครัวทำเอาผมหลุดจากห้วงความคิดของตัวเอง ก่อนจะรีบเอ่ยปากห้ามตอนที่ฝ่ายนั้นจะกดเปิดโทรทัศน์ให้
“ไม่เป็นไร เราไม่ดู"
“ไม่ดูเหรอ? ไม่ต้องเกรงใจ ดูได้นะ เสียงดังยังไงเราก็หลับได้อยู่แล้ว"
พูดจบเขาก็หาวออกมา 1 ชุดใหญ่ ระหว่างที่ผมเอ่ยคำถามออกไป
“แล้วในครัวเป็นไงบ้าง"
“ปล่อยพวกมันไปเหอะ กู๊ดเดย์กู๊ดไนท์นะหมอ อีกชั่วโมงเจอกัน"
คนตรงหน้าผมหาวยาวๆก่อนจะทรุดตัวนั่งลงบนเบาะที่วางอยู่ที่พื้ นก่อนจะคว้าหมอนอิงที่วางอยู่ใกล้ๆกันมาใช้แทนหมอนหนุน แล้วทิ้งตัวนอนลงไปอย่างรวดเร็ว – แล้วก็เหมือนเดิมครับ หลับเหมือนโดนกดสวิตซ์ไปอีกคน
ระหว่างที่ผมกำลังพยายามทำความเข้าในวิถีชีวิตของชาวถาปัตย์อยู่นั้น อยู่ๆก็รู้สึกขึ้นมาได้ว่าโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงกำลังสั่น พอหยิบขึ้นมาดูเลยเห็นว่ามีคนส่งข้อความเข้ามาในไลน์กรุ๊ป 'หล่อสัดรัสเซีย'
พวกมันจะนัดกันออกไปนั่งอ่านหนังสือโต้รุ่งกันที่ร้านกาแฟอีกแล้วครับ
เห็นอย่างนั้นผมก็ตอบตกลงไป ก่อนจะบอกไอ้โคนันว่าวันนี้คงไม่ได้ไปแวะรับมันเหมือนทุกทีเพราะไม่มีรถ
เล่นมือถืออยู่ไม่นาน เจ้าของห้องที่หายไปก็กลับออกมาในชุดอยู่บ้าน ยิ้มหวานใส่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นประมาณเข่า เดินออกมาจากห้องพร้อมหมอน 1 ใบ ก่อนจะมาหยุดลงตรงหน้าบีนแบ๊กอันใหญ่ที่วางอยู่เยื้องๆกับโซฟา แล้วทิ้งตัวนอนลงบนนั้น
ผมละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือแล้วมองไปที่ยิ้มหวาน ก่อนที่เจ้าตัวเขาจะก็มองกลับมาแล้วบอกกันเบาๆ
“นอนนะ"
นอนอีกแล้ว....
ผมพยักหน้ารับสองสามที ก่อนที่เขาจะพลิกตัวหันหลังให้ และคงนอนหลับไปหลังจากนั้นไม่นาน
ว้าเหว่โคตรเลยครับนาทีนี้ แถมยังรู้สึกแปลกๆที่กำลังนั่งตาสว่างอยู่กลางห้องโดยมีคนนอนหลับล้อมรอบจากสามมุม
ก่อนผมจะพบทางรอด เมื่ออยู่ๆก็นึกขึ้นมาได้ว่านอกจากชีทที่ผมหยิบติดมาแล้วนั้น ในกระเป๋าของผมยังมีการ์ตูนที่ซื้อมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วยังไม่ได้อ่านอยู่
คิดได้อย่างนั้นผมก็ลุกขึ้นเดินไปหยิบโคนันเล่มล่าสุดออกมา ก่อนจะกลับมาทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นข้างๆบีนแบ๊กที่ยิ้มหวานนอนหลับอยู่
พอได้มองคนที่หลับเป็นเด็กๆแล้วผมก็หลุดยิ้ม อยากแกล้งเอามือไปเขี่ยแก้มเล่ม แต่ติดที่ว่ามันจะทำให้คนที่กำลังหลับสบายตื่นขึ้นมาซะก่อน นั่งมองอยู่ไม่นานก็ได้ยินเสียงเพื่อนของเขาลอยมาจากโซฟา
“อย่าแอบจูบเพื่อนกูนะ"
เสียงที่ดังขึ้นมาทำลายความเงียบทำให้ผมต้องเงยหน้าไปมองคนบนโซฟาที่ตื่นยังไม่เต็มที่ และกำลังพยายามลืมตามองมาทางนี้ ท่าทางจะเพิ่งตื่นแล้วดันมาเห็นผมนั่งมองหน้ายิ้มหวานเพลินๆอยู่พอดี
ถ้าคิดว่าแซวนิดแซวหน่อยแล้วจะทำให้ผมมีอาการได้เหมือนอีกคนแล้วล่ะก็
ไม่ใช่แน่นอน....
“กูไม่ทำหรอก คนเยอะ"
ผมยิ้มมุมปากแล้วเงยหน้าขึ้นไปตอบ พร้อมกับที่ฝ่ายนั้นยังคงถามกลับมา
“ถ้าคนน้อย...”
ผมยกไหล่แทนคำตอบ ก่อนจะเอนหลังพิงพื้นที่ว่างที่เหลือของบีนแบ๊กอันใหญ่ แล้วยกหนังสือการ์ตูนขึ้นมาเตรียมจะอ่าน...ถ้าไม่ได้ยินคำพูดเจือเสียงหัวเราะที่ดังตามมา
“พวกสาวๆแม่งบอกว่ามึงไว้ใจได้ --
ได้ตรงไหนวะ"
ผมยิ้มนิดๆรับคำพูดของอีกคน โดยใช้ความเงียบเป็นคำตอบอยู่เหมือนเดิม แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่หยุด
“เออ วันนี้มันไปฟ้องอะไรปะ?”
ถามจบเขาก็หาวออกมาเต็มที่ แต่ไม่มีทีท่าว่าจะหลับต่อง่ายๆ
เหมือนกำลังตั้งหลักจะคุยกับผมแบบจริงจังทั้งที่ยังตาปรือ
การได้มาอยู่กับยิ้มหวานแหละเพื่อนๆทำเอาผมรู้สึกเหมือนอยู่ในโลกอีกใบ โลกที่ใครๆก็ง่วงนอนกันทั้งนั้น
ที่นี่เค้าสะลืมสะลือกันจนเป็นแฟชั่น...
ผมนิ่งไปสักพัก ก่อนจะนึกถึงตอนที่ยิ้มหวานบอกผมว่า
'โดนกวนตีน' ขึ้นมาได้ แล้วตอบกลับไป
“อืมๆ มาฟ้องอยู่ว่าโดนกวนตีน ใครทำอะไรวะ?”
“กูนี่แหละกวนตีนมัน ก็วันงานขายของที่หน้าคณะ กูเห็นว่าหมอกับมันเดินจับมือกัน กูเลยถามว่าเป็นแฟนกันแล้วเหรอ ถึงได้เดินจูงมือกันเดินแบบนั้น แต่มันบอกว่าเปล่า ไม่ได้จับ...”
"อ๋อ...”
"แต่กูเห็นจริงๆไง เลยแกล้งเถียงต่อปากต่อคำกับมันเล่นแก้ง่วงตอนรอกลุ่มอื่นพรีเซนต์งาน"
“...” พอเห็นว่าผมยังไม่ตอบอะไรกลับไป เขาเลยถามต่อ
“เออ ไหนๆมึงก็นั่งอยู่นี่ละ ตกลงจับไม่จับ กูจะเอาคำพูดจากเจ้าตัวนี่แหละไปเถียงมัน"
“ไม่ได้จับว่ะ"
พอผมตอบไปปุ๊บอีกฝ่ายก็เถียงกลับมาทันที
“ไม่จับเหี้ยไร กูเห็นกับตา"
“ไม่ได้จับจริงๆ...กูสาบานก็ได้อ่ะ!"
พูดแล้วยกสามนิ้วขึ้นมาสาบานด้วยครับ
“แล้วที่กูเห็นคืออะไร ?"
“ไม่บอกว่ะ –
บางเรื่องอ่ะ รู้กันแค่สองคนก็พอ"
พูดจบปุ๊บผมรู้สึกว่ามีอะไรลอยข้ามหัวไป ก่อนจะเห็นว่าคนที่นอนอยู่ลุกขึ้นมาด้วยท่าทางงัวเงีย เขาเพิ่งคว้าหมอนอีกใบที่วางอยู่ไม่ไกลมาเขวี้ยงใส่เพื่อนไปเต็มๆ แล้วบ่นออกมา
“พูดมาก! กูจะนอน!"
เพื่อนเขาไม่ตอบอะไร แต่หยิบหมอนใบเดิมเขวี้ยงกลับมา แต่ผมที่นั่งอยู่ระหว่าง 2 คนนั้นดันเอื้อมมือไปคว้าเอาไว้ได้ ก่อนจะวางหมอนลงข้างๆตัว
พอหันกลับไปทางด้านหลังก็เห็นว่าเขากำลังมองมา...
ยิ้มหวานหรี่ตามองหน้าผมด้วยสายตาแบบที่ไม่รู้ว่าเป็นอย่างนั้นเพราะเพิ่งตื่นหรือว่ากำลังหาเรื่องผมอยู่กันแน่ เห็นอย่างนั้นผมก็ยิ้มมุมปาก ยักคิ้วให้เขาไป 2 ที ก่อนที่เจ้าตัวจะทิ้งตัวลงบนบีนแบ๊คนุ่มๆ แล้วก็หลับไปอีกรอบ
ผมอ่านโคนันจบได้ไม่นาน สามสาวในครัวเขาก็ออกมาเรียกทุกคนแล้วบอกว่ามาม่าเสร็จแล้ว
มาม่าเจ๊โอวที่เพื่อนยิ้มหวานโฆษณาไว้อลังการสมคำร่ำลือจริงๆครับ กุ้งหอยปูปลาที่ใส่มาในหม้อนี่ยิ่งกว่าต้มยำน้ำข้นบางร้านซะอีก พอเอาเครื่องปรุงมาม่าไปใส่กับเครื่องเทศต้มยำ แล้วเติมนมข้นจืดเข้าไปก็อร่อยเข้มข้นดีไปอีกแบบ
1 นักศึกษาแพทย์กับอีก 6 เด็กถาปัตย์นั่งล้อมวงกันกินมาม่าไฮโซอยู่ไม่นาน ก่อนที่ทุกคนจะต้องรีบแยกย้ายกลับบ้านตัวเอง ตอนที่มองออกไปนอกหน้าต่างแล้วเห็นก้อนเมฆที่รวมตัวกันจนครึ้ม เดาได้ไม่ยากเลยว่าหลังจากนี้ไม่นานฝนคงจะตกหนักแน่ๆ
ฝนตก รถติด ต้องนั่งกร่อยอยู่บนถนนเป็นชั่วโมงแทนที่จะได้เอาเวลาไปปั่นงาน งานไม่เสร็จ ไม่ได้นอน นั่งทำงานโต้รุ่ง นรกอยู่ตรงหน้าจริงๆ -- ทันทีที่มีคนพูดเรื่องนี้ขึ้นมา มาม่าทะเลเดือดตรงหน้าก็ไม่น่าอร่อยอีกต่อไป...
ผมสะพายกระเป๋าฟิตเนสใบใหญ่ไว้บนบ่าก่อนจะลงมาพร้อมกับทุกคนที่คิดขึ้นมาได้ว่าต้องรีบกลับบ้าน
รอจนเพื่อนๆของเขาแยกย้ายกลับบ้านกันไปตามทางของตัวเอง พอหันมาหายิ้มหวาน ก็เห็นว่าอีกฝ่ายยืนจ้องหน้าอยู่ก่อนแล้ว
เขาเลิกคิ้วมองหน้าผมเหมือนจะถามว่า รออะไรอยู่?
เห็นอย่างนั้นผมยกยิ้มมุมปากมองสบตากลับไป ...ก่อนจะร้องเพลงออกมา
“มองไปก็มีแต่ฝนโปรยปราย ในหัวใจก็มีแต่ความเหน็บหนาว"วินาทีแรกคนฟังขมวดคิ้ว ทำหน้าเหมือนเห็นตัวประหลาดมายืนแปลงร่างให้ดู
แต่พอเข้าใจทุกอย่าง เขาก็พูดออกมาช้าๆ
“อยู่ต่อเลยได้ไหม?”
“อือฮึ -
เธอก็รู้ทั้งหัวใจฉันอยู่ที่เธอหมดแล้วตอนนี้"
ได้ยินปุ๊บ คนตรงหน้าผมก็กลอกตา ก่อนจะถอนหายใจออกมา ผมเลยพูดต่อ
“จานยังไม่ได้ล้างเลย มีคนช่วยล้างจานไม่ดีรึไง?”
เหตุผลคงฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่ เขาถึงได้ทำหน้าเพลียอยู่ไม่เลิก จนผมต้องอธิบายเพิ่ม
“เดี๋ยวเราต้องออกไปอ่านหนังสือกับพวกนั้นตอนค่ำๆ ไม่อยากนั่งรถไปๆมาๆ นะ...
นะครับ...”
ยิ้มหวานมองหน้าผม สีหน้าของเขายังคงเป็นเหมือนเดิม แต่แววตาคู่นั้นมีสัญญาณบอกว่าผมกำลังจะได้ยินอะไรดีๆ
“'งั้นก็ เดี๋ยวเดินไปซื้อกาแฟเป็นเพื่อนเราก่อนดิ"
ผมรู้ว่านัยนะของคำพูดนั้นคือการตอบตกลง ถึงได้ยิ้มรับ แล้วก็เดินไปข้างๆเขา แล้วก็หลุดหัวเราะเพราะคำพูดต่อมา
“แล้วหมอจะมาทำเป็นหิ้วกระเป๋าลงมาด้วยทำไมเนี่ย? ใบเบ้อเริ่ม"
“ก็เผื่อเจ้าของห้องเค้าไม่ให้อยู่ เราจะได้เดินคอตกไปขึ้นแทกซี่กลับบ้าน"
“เชื่อเลย...”
เขาทำหน้าอึ้งรับคำตอบที่ได้รับ ก่อนจะพูดต่อ...
“ตอนแรกเราคิดว่าหมอจะเล่นมุกลืมของ แต่พอเห็นว่าหยิบของลงมาครบทุกอย่างเลยนึกว่าจะรอดแล้วเชียว"
“เล่นมุกเดิมซ้ำๆมันไม่เท่...”
“เราว่าร้องเพลงแบบเมื่อกี้มันก็ไม่ได้เท่เลยนะ"
เขาเงยหน้าขึ้นมามองผม น้ำเสียงที่พูดเจือเสียงหัวเราะจนผมต้องขำตามไปด้วย
“ไม่เท่ แต่ก็สำเร็จ เราถือว่าโอเค"
“ถามเรายังว่าโอเคปะ?”
“แล้วโอเคมั้ย?”
“ไม่ค่อยอ่ะ – ห่วงคนไข้ในอนาคต กลัวหมอเอาไอดีไลน์ไปทิ้งไว้ในกระเพาะเค้า"
ผมหัวเราะรับ แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อเพราะเดินเข้ามาในร้านกาแฟพอดี
หลังจากได้อเมริกาโน่เย็นติดมือกันมาคนละแก้ว ผมกับเขาก็เดินกลับมาที่คอนโด แล้วขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นบนสุด
ผมเดินตามยิ้มหวานเข้าไปในห้อง ก่อนจะต้องไปยืนหมุนซ้ายหมุนขวาทำตัวไม่ถูกอยู่ในห้องครัวเพราะอยากช่วยเขาล้างจาน แต่ซิงค์ที่มีดันเป็นซิงค์เดี่ยว แน่นอนว่ายิ้มหวานยืนอยู่ตรงนั้นคนเดียวก็ไม่มีที่ให้ผมแล้ว
พอรู้ว่าอยู่ตรงนั้นผมก็ไม่มีประโยชน์อะไร คนที่ใส่ถุงมือยางสองข้างเตรียมพร้อมจะล้างจานเต็มที่เลยหันมาบอกให้ผมไปนั่งรอที่โซฟา
ได้ยินอย่างนั้นผมก็พยักหน้ารับอย่างไม่มีทางเลือก ก่อนเดินไปรื้อชีทในกระเป๋าขึ้นมาอ่านไปพลาง
นั่งอยู่ไม่นานยิ้มหวานก็เดินออกมาจากห้องครัว เขามาหยุดลงตรงหน้าผม ยืนจ้องกันแบบไม่พูดไม่จา ก่อนจะยกมือขึ้นแล้วสะบัดน้ำที่เปียกอยู่บนฝ่ามือให้กระเด็นมาใส่ผมเป็นละออง
โดนเข้าไปอย่างนั้นผมเลยเงยหน้าจากชีทที่อ่านอยู่ ยกมือขึ้นชี้นิ้วขู่ ก่อนจะเห็นอีกฝ่ายหัวเราะคิกไม่ใส่ใจ แล้วผละเดินไปยังอีกมุมหนึ่งของห้อง
ยิ้มหวานหายไปไม่นานแล้วกลับออกมาพร้อมกับแมคแอร์เครื่องเก่งพร้อมอแดปเตอร์ เขาวางมันเอาไว้บนโต๊ะเตี้ยๆกลางห้อง แล้วเดินหายไปอีกครั้งที่มุมเดิม คราวนี้กลับออกมากับโมเดลบ้านที่เพิ่งทำไปได้เพียงเล็กน้อย ผมมองเขาเดินเข้าเดินออกอยู่อย่างนั้นสี่ห้ารอบ ก่อนเจ้าตัวจะนั่งลงบนเบาะนุ่มที่วางอยู่บนพื้นในที่สุด
“ทำงานเหรอ?”
ผมเอ่ยปากถามเบาๆ ก่อนจะได้ยินฝ่ายนั้นตอบกลับมา
“อืม..."
แล้วทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ ผมอ่านหนังสือของผมไปเรื่อยๆ และพยายามไม่เงยหน้าขึ้นไปสนใจคนที่นั่งทำงานอยู่เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอะไรที่ทำให้สมาธิของผมไขว้เขวเอาง่ายๆ จนกระทั่งเนื้อหาในส่วนที่ผมกำลังอ่านอยู่จบลง เมื่อเงยหน้าขึ้นไปอีกครั้ง ภาพที่เห็นก็ทำให้ผมรู้สึกแปลกตา พร้อมกับความคิดที่ปรากฎขึ้นมาในชั่ววินาที
ยิ้มหวานหล่อ...โดยปกติแล้วเขาจะเป็นคนที่ชอบแสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้า....
ถ้าไม่ยิ้มหวานๆจนตาโค้งเป็นสระอิ ก็เลิกคิ้วทำตาโต พอโดนแกล้งหรือว่าบ่นเรื่องที่ไม่ชอบใจเข้าหน่อย เขาก็จะย่นจมูกทำหน้ามุ่ยอย่างน่ารัก
แต่ในช่วงเวลาที่เขาไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมา และกำลังจดจ่อสมาธิอยู่กับการทำงานอย่างตอนนี้ จุดเด่นบนใบหน้าของเขามันเปลี่ยนจากริมฝีปากที่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอยู่เสมอ ไปเป็นคิ้วเข้มๆที่พาดอยู่เหนือดวงตา นั่นทำให้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสดใสของเจ้าตัวดูหล่อแบบขรึมๆขึ้นมาในทันที
ผมมองเขาอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเจ้าตัวเขาละสายตาออกมาจากหน้าจอที่ส่องสว่าง ปลายจมูกโด่งที่โค้งมนได้รูปยกขึ้นเป็นรอยย่นน้อยๆพร้อมกับส่งสายตามาทางผม
“มองหน้าเราขนาดนี้เดินเข้ามาต่อยกันเลยไหมล่ะ?”
ผมหัวเราะรับ แล้วลุกขึ้นเดินตรงเข้าไปหา ใช้นิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือบีบปลายจมูกของเขาแล้วโยกไปมา จนเจ้าตัวต้องยกมือขึ้นมาตีกลับเข้าให้ที่แขน ผมถึงยอมปล่อย
“เจ็บ...”
เขาบ่นเบาๆ พร้อมยกนิ้วขึ้นมาถูที่ปลายจมูก ท่าทางแบบนั้นทำเอาผมหลุดยิ้ม
“หมั่นเขี้ยว ชอบทำหน้าดื้อๆใส่กันดีนัก"
“ก็มองหน้าเราอยู่ได้อ่ะ"
“หล่อไง เลยมอง"
ได้ยินผมพูดปุ๊บเจ้าตัวก็ตกใจ ทำหน้างงๆตาโตๆแล้วถามกลับมาทันที
“ไม่สบายป่ะเนี่ย? แพ้กุ้งเหรอ?”
เขาพูดอย่างนั้นแล้วยื่นมือมาเหมือนจะแตะหน้าผากผม แต่ก็ยังเว้นระยะเอาไว้ กลายเป็นผมเองที่ก้มหน้าลงไปเอาหน้าผากแตะกับหลังมือของเขา ก่อนเจ้าตัวจะเก็บมือกลับไป
“หล่อก็ชมอ่ะ ชมไม่ได้เหรอ?”
“ชมก็ดี เราหล่ออยู่แล้ว หมอเพิ่งรู้รึไง"
เขาพูดออกมาทั้งๆที่ยังมีท่าทีเขินๆอยู่นิดหน่อย แล้วหันกลับไปสนใจหน้าจอแม๊คบุ๊คของเขาต่อ บุคลิกความสดใสของที่เจ้าตัวแสดงออกกลบท่าทีเคร่งขรึมเมื่อครู่ไปจนหมด
ยิ้มหวานคนหล่อหายไปแล้ว... ผมปล่อยให้ความเงียบโรยตัวอยู่สักพัก ก่อนจะถามออกมาเบาๆ
“หล่อแล้วทำไมถึงยังไม่มีใครสักที?”
คนที่เพิ่งดึงสายตากลับไปยังหน้าจอมองกลับมาที่ผม สีหน้าเขามีแววความสงสัยเจืออยู่นิดหน่อย แล้วถามออกมา
“นี่ถามจริงจังหรือแค่กวนเราเล่นๆ"
ได้ยินอย่างนั้นผมก็ยกแขนขึ้นวางข้อศอกลงกับโต๊ะตัวเตี้ยที่เขาใช้วางของ แล้วใช้มือเท้าคางก่อนตอบ
“จริงๆ"
"อืม...." เขารับคำถามของผมไปด้วยท่าที่ครุ่นคิด แล้วก็ค่อยๆตอบออกมา "ที่ยังไม่อยากคบใครเพราะยังไม่รู้สึกว่าจำเป็นด้วยมั้ง เราอยู่กับเพื่อนก็สนุกดี ยังไม่เหงา แล้วก็ยังไม่เจอใครที่ชอบมากจนรู้สึกอยากจะเริ่มด้วย"
ผมพยักหน้ารับระหว่างที่ฟังเขาพูด แล้วถามต่อ
"ตอนนี้ก็ยังรู้สึกอย่างนั้นอยู่?"
"อะฮะ"
"เห็นแววอกหักมาแต่ไกลเลยว่ะ"
ได้ยินอย่างนั้นยิ้มหวานก็หัวเราะรับ แต่ไม่ตอบอะไร จนผมต้องพูดเองเออเองอยู่ฝ่ายเดียว
"ก็ยังดี ที่ตอนนี้ยังไม่มีแววว่าจะอยากไปคบใครที่ไม่ใช่เรา"
"หมอรู้ได้ไง?"
"หา? ยังมีคนอื่นอีกเหรอ"
คนฟังยิ้มรับ เลียนแบบท่าทางที่ผมชอบทำ ยิ้มมุมปากยักคิ้วแต่ไม่ตอบ
"ตอบกันก่อนเลย นอกจากเราแล้วยังคุยกับใครแบบนี้อีกมั้ย"
"คุยดิ!"
เหมือนหัวใจของผมหล่นวูบ แล้วหายไปในหลุมมืดๆเลยครับ....
ผมหันไปมองคนที่ยังคงส่งสายตามาที่ผม ริมฝีปากของเขายกยิ้มขึ้นบางๆ เหมือนกับตัวเองไม่ได้ทำอะไรลงไป
ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว...ที่พูดเรื่องทำร้ายจิตใจผมออกมาด้วยสีหน้ายิ้มๆสบายๆ –
ใจร้ายโคตร"โห.... หน้าจ๋อยไปเลยอ่ะ"
ยิ้มหวานพูดพลางทำตาโตแล้วขยับตัวมามองผมใกล้ๆ แววความสนุกสนานยังมีอยู่บนใบหน้าของเขา
ส่วนผมนี่เซไปแล้วอ่ะ ถ้ายืนอยู่คงแทบทรุด
มันไม่ได้ทรุดเพราะรู้ว่าเขาคุยกับคนอื่น แต่มันก็เจ็บหนึบๆอยู่ในใจ เพราะเขาพูดเรื่องที่ทำร้ายจิตใจผมได้ด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน
เอาเหอะ – อย่างน้อยก็ยังดีที่เค้าพูดออกมาตรงๆ
เอาจริงๆผมไม่สามารถรู้ได้เลยครับว่าวันนึงยิ้มหวานคุยกับใครบ้าง เราอาจจะดูเหมือนคุยกันบ่อย แต่มันไม่ใช่ตลอดเวลา เขาอาจจะตอบไลน์คนอื่นจนครบแล้วค่อยมาตอบผม หรือจะตอบผมก่อนแล้วค่อยไปตอบคนอื่นก็ได้
... มันไม่ผิด ในเมื่อระหว่างเรายังไม่มีสถานะที่จะหึงหวงกัน
ใครๆก็ต้องเลือกสิ่งที่เหมาะสมที่สุดให้ตัวเองทั้งนั้น
จะซื้อรถยังมีให้ทดลองขับเลย จะคบใครยังไงก็ต้องทดลองคุยจริงมั้ย?
ระหว่างที่ความคิดของผมกำลังฟุ้งซ่านไปถึงไหนต่อไหนอยู่นั้น เสียงหัวเราะเบาๆที่ดังมาจากคนข้างตัวก็ทำเอาผมต้องดึงความคิดตัวเองให้กลับมา
ยิ้มหวานมองหน้าผมแล้วก็ยิ้มอยู่อย่างนั้น ยิ่งเห็นผมทำหน้างงเขาก็ยิ่งอารมณ์ดี
“หมั่นไส้หมอว่ะ" คนใจร้ายพูดออกมาแล้วหลุดหัวเราะ เว้นวรรคไปนิดหน่อย แล้วก็พูดต่อ
"เลยแกล้งเล่น...”“หา? แกล้งอะไร?”
เอาจริงๆ ผมอึนจนตามไม่ทันแล้วตอนนี้ อะไรวะ งง...
“เราไม่คุยกับใครทีละหลายๆคนหรอก – ขี้เกียจ"
คำตอบของเขาทำเอาผมหลุดอุทานในใจ พร้อมกับการผ่อนลมหายใจออกมายาวๆอย่างโล่งใจ
ผมไม่ได้คิดไปเอง... ตอนนี้รู้สึกเหมือนที่หน้ามันตึงๆครับ ต้องแก้ด้วยการยิ้มออกมากว้างๆ แต่ยิ้มเท่าไหร่ก็ไม่พอ ในใจมันยังอยากยิ้มมากกว่านี้ จนต้องยื่นมือทั้ง 2 ข้างไปจับแก้มคนตรงหน้าแล้วดึงให้อีกฝ่ายช่วยกันยิ้ม
โดนดึงแก้มปุ้บเขาก็โวยวาย ยกมือขึ้นมาตีแขนผมแรงๆ จนต้องยอมปล่อยมือ
“เนี่ย! ก็หมอชอบจีบกันหน้าตาเฉย แถมยังรุกเราแบบไม่ทันตั้งตัวอีก เราก็หมั่นไส้ดิ!"
เขาพูดออกมาเหมือนกับบ่นคนเดียว จนผมได้ยินแล้วขำไม่หยุด
พอเห็นว่าคนตรงหน้ากำลังหันกลับไปทำงานของตัวเองต่อ ผมก็ยื่นมือไปคว้าต้นแขนของเขาไว้ แล้วดึงให้อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้จนไหล่ของเขามาพิงอยู่กับช่วงอกของผม ก่อนจะก้มหน้าลงไปใกล้จนปลายจมูกเฉียดผ่านผิวแก้มนุ่มๆ แล้วกระซิบเบาๆ
“เราไม่เห็นรู้ตัวเลย ว่าเคยทำอย่างนั้น” TBC.
- - - - - - - -
ยังคงจีบกันต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ~
อยากจะบอกว่าขอโทษ เราไม่อยากดองนิยายเลยค่ะ
แต่ก่อนหน้านี้ยุ่งๆ พอจะเริ่มเขียนก็ตัน
พอได้ดองเท่านั้นแหละ ก็ดองเลย ถถถถถถถถถ.
มีของมาฝากด้วย เรียกว่าอะไรดีอ่ะ?
ตอนพิเศษเล็กๆมั้งคะ : ) เราดูเทรลเลอร์ "ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ" แล้วอินไปหน่อย
เลยทำออกมาเล่นๆ แทนคำขอโทษละกันเนอะ
ดูตัวอย่าง ฟรีแลนซ์..ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ (Official Trailer)ก่อนนะคะ อันนี้คือลิ้งที่เค้าแชร์ให้กัน
จิ้ม <❤>
ถ้ารูปเล็กไป จิ้มอีก >> <❤>
: 3
ขอบคุณนะคะ