- รักพัดหวน-
ลมพัดครั้งที่14
กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อลอยอวล แม้ผู้คนในบริเวณห้องฉุกเฉินจะบางตาหากคีตกาลก็ต้องกวาดสายตาโดยรอบเพื่อหาร่างสูงใหญ่ของคนที่เป็นห่วง ครั้นเห็นอีกฝ่ายนั่งอยู่บนเตียงโดยมีบุรุษพยาบาลกำลังใช้บางอย่างรองแขนตั้งแต่ใต้ข้อศอกจนถึงข้อมือเขาก็ขมวดคิ้ว ร่างสูงหันมามองเขาครู่เดียวแล้วหันหนี
“เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ?” บุรุษพยาบาลเงยหน้าขึ้นมองแล้วยิ้มให้
“เป็นญาติคนไข้หรือเปล่าครับ?”
“ใช่ครับ” คิ้วเข้มขมวดฉับเมื่อได้ยินคำตอบของคีตกาล
“กระดูกร้าวแต่ไม่ถึงหักครับจึงใส่แค่เฝือกอ่อน” คีตกาลถอนหายใจโล่งอก “อีกอาทิตย์ให้มาตรวจซ้ำนะครับ ช่วงนี้คงมีอาการปวดมากอยู่ เดี๋ยวให้ญาติไปรับยาที่ห้องยาด้วยนะครับ” คีตกาลพยักหน้าแล้วให้นายเขียวเป็นคนไปรับยา ส่วนตัวเองพยายามจะช่วยพยุงร่างสูงลงจากเตียงหากสีหราชกลับดึงแขนหนี
หลังนายเขียวรับยาและจัดการเรื่องค่ารักษาเรียบร้อยแล้วจึงพากันออกจากโรงพยาบาล คีตกาลถือวิสาสะกระโดดขึ้นไปนั่งข้างสีหราชแม้อีกฝ่ายจะทำท่าทีเฉยชาไม่สนใจเขาก็ตาม
“ปวดมากหรือเปล่า กินยาแก้ปวดหน่อยไหม?”
“.....”
“เอ นี่แล้วจะอาบน้ำยังไง หรือจะแค่เช็ดตัวดี?”
“.......” ไม่ว่าคีตกาลจะพูดอะไรร่างสูงก็ทำเพียงเหลือบตามองแล้วทำทีไม่สนใจ พอเห็นร่างสูงไม่ตอบคีตกาลจึงสั่งให้สายใจเตรียมน้ำและผ้าเช็ดตัวตามเข้าไปในห้องของสีหราช ร่างสูงแกะกระดุมเสื้อ แม้จะไม่ถนัดหากก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก เพียงขัดตาคนมองเท่านั้น คีตกาลเดินไปหยุดตรงหน้า มือขาวยกขึ้นปลดกระดุมให้อีกฝ่าย สีหราชปัดมือออก แม้จะไม่แรงนักหากก็ทำเอาเจ็บพอควร
“!” คีตกาลเบิกตาจ้องมองอย่างตกใจ ดวงตาคมดุคู่นั้นฉายแววเย็นชาจนคนมองใจหาย
“เล่นสนุกพอหรือยัง?”
“อะไร?”
“ถ้าสนุกพอแล้วต่อไปนี้ก็ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีก” ถ้อยคำตัดเยื่อใยนั้นเยียบเย็นจนคนฟังใจสะท้าน
“สิงห์?”
“ถ้าไม่ได้คิดอะไรก็อย่ามาทำแบบนี้”
“?”
“....ที่ผ่านมายังเล่นกับความรู้สึกฉันไม่พอ? ฉันยังเจ็บน้อยเกินไปหรือ?”
“.......” ประโยคที่ราวกับเอาแส้ฟาดลงกลางใจ คีตกาลนิ่งขึ้งปล่อยให้ร่างสูงชนไหล่แล้วเดินออกไปนอกห้อง
ใบหน้าหล่อเหลาซีดขาวไร้สีเลือด ความเจ็บแล่นขึ้นกลางอกให้ต้องทรุดตัวลงนั่ง มือขาวยกขึ้นกุมอกซ้าย ...เจ็บจนเหมือนจะหายใจไม่ออก ขอบตาร้อนผ่าว
สีหราชกำลังเจ็บปวดอย่างนั้นหรือ?
สีหราชคิดว่าเขาหยอกล้อกับหัวใจ ล้อเล่นกับความรู้สึกอีกฝ่ายอย่างนั้นหรือ?
....สีหราชยังรักเขา?
หยาดน้ำตาไหลผ่าน... นึกถึงสาเหตุที่สีหราชโกรธเคืองแล้วให้เจ็บขึ้นกลางใจอีกหน เพราะเขาหึงหวงจนลืมทุกอย่างจึงแกล้งจูบสีหราชต่อหน้าแพรวพรรณ ยามนั้นหัวใจของอีกฝ่ายจะพองโตแค่ไหนกับสิ่งที่เขาทำ หากแล้วเขาเองกลับทำให้หัวใจดวงนั้นร่วงหล่นเพียงเพราะเขาแค่ต้องการแกล้งแพรวพรรณ!
ตอนนี้สีหราชจะปัดมือเขาทิ้ง ผลักไสเขาออกห่าง นั่นก็เป็นเพราะเขาทำตัวเอง ร่างโปร่งลุกขึ้นเต็มความสูงเตรียมจะเดินออกไปตามหาอีกฝ่าย หากอิ่มเอมที่ยืนพิงกรอบประตูอยู่ขวางเอาไว้
“ยังไม่ใช่ตอนนี้”
“ทำไม? ฉันต้องไปหาสิงห์”
“แล้วยังไง? มึงไปหาสิงห์แล้วจะพูดอะไร?”
“ฉัน...”
“ถ้ามึงยังจัดการความรู้สึกตัวเองไม่ได้ก็ไม่ควรเข้าใกล้มันตอนนี้”
“.......”
“พวกมึงห่างกันสักพักเหอะ ไปจัดการความรู้สึกของตัวเองให้แน่ชัดแล้วค่อยเดินกลับมา”
“ฉันระ..!” อิ่มเอมยกมือห้าม
“กูไม่ใช่คนที่มึงจะพูดให้ฟัง และ..ไอ้สิงห์ก็อยู่กับความเจ็บปวดมานาน หากมันต้องเจ็บอีกครั้ง...มึงคิดว่ามันจะเป็นยังไง?”
“..........”
“ถ้าแน่ใจเมื่อไหร่ก็ค่อยกลับมา”
.
.
.
คุณยุวดีเหลือบสายตามองสามีเมื่อบุตรชายตรงหน้าถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อย เมื่อวานคีตกาลขับรถกลับมาบ้านตั้งแต่เช้าตรู่พร้อมสีหน้าหมองเศร้าทำเอาเธอกับคุณพีรพลแปลกใจกับท่าทางนั้น วันนี้ทั้งคู่จึงพร้อมใจกันไม่ไปทำงานเพื่อพูดคุยกับลูกชาย หากดูเหมือนอีกฝ่ายจะเอาแต่คิดอะไรอยู่ในใจคนเดียวจนไม่สนพวกเขาเลย
“ลูกถอนหายใจหมดปอดหรือยัง?”
“?”
“ไหนดูซิ” มือขาวของคุณยุวดีเชยคางลูกชายแล้วบิดซ้ายบิดขวา “อืม ดูแก่ขึ้นจม”
“แม่!”
“อ้าว ก็ได้ยินเขาว่าถอนหายใจหนึ่งครั้งแก่ขึ้นหนึ่งปี ดูซิ ลูกหายใจมาตั้งแต่เช้าตอนนี้รอยตีนกาขึ้นแล้ว” คุณยุวดีเย้าบุตรด้วยสีหน้าจริงจังจนคุณพีรพลหัวเราะพรืด ส่วนคนโดนแซวนั่นทำหน้างอเป็นม้าหมากรุก
“มีเรื่องกลุ้มใจอะไรหนักหนาตาเพลง?” คุณพีพลยกชาขึ้นจิบเอ่ยถามบ้าง
“ก็...”
“เรื่องงาน?” มารดาเอ่ย
“เปล่า”
“เรื่องเงิน?” บิดากล่าว
“ไม่ใช่”
“งั้น...เรื่องหัวใจ?”
“.....”
“เงียบแบบนี้แปลว่าแม่เขาทายถูก?” คุณพีรพลเลิกคิ้ว
“ทะเลาะกับสิงห์มาหรือไง?” คุณยุวดีถอนหายใจบ้าง เธอเหลือบตามองสามีขณะเอ่ยถามบุตรชาย
“เพลง... อันที่จริงหลังกลับจากเมืองนอก...เพลงไม่เคยคิดว่าจะกลับมาเจอเขาอีกครั้ง”
“เพลงต้องเจอนะ ก็แม่ตั้งใจให้เป็นแบบนั้นนี่”
“แม่....ว่าอะไรนะ?” คีตกาลเงยหน้าขึ้นมองมารดาคล้ายไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ก็...แม่อยากให้เพลงเจอสิงห์เขาอีกครั้ง” คุณยุวดียักไหล่อย่างที่วัยรุ่นชอบทำ
“แม่วางแผนไว้?” ไม่รู้ว่าความรู้สึกที่แล่นริ้วขึ้นกลางอกตอนนี้ของคีตกาลคืออะไร หากหัวใจที่เต้นแรงเร็วขึ้นทำให้ชายหนุ่มละแผ่นหลังออกจากโซฟา
“ก็ไม่เชิงนะ”
“แม่! ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะแม่วางแผนงั้นหรือ?”
“เพลง.....” คุณพีรพลปรามบุตรชายเมื่อเห็นสีหน้าเขาเริ่มเปลี่ยน น้ำเสียงแข็งกระด้างนั้นบ่งบอกถึงความโกรธ
“พ่อเองก็รู้ หมอนั่นด้วยใช่ไหม?” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดดังขึ้น ในหูอื้ออึง เขาโกรธ! ทุกคนตรงหน้าเขารวมหัวกัน! เห็นเขาเป็นตัวตลกหรืออย่างไร อยากจับให้หัวหมุนไปทางก็จับ ไม่สนว่าใจเขาจะรู้สึกอย่างไร!
“เพลง...” คุณพีรพลขมวดคิ้ว ร้องเรียกรั้งสติบุตรชายอีกครั้ง ต่างกับคุณยุวดีที่หยิบแก้วชาขึ้นจิบคล้ายไม่สนใจท่าทางนั้นของคีตกาล
“ทุกคนรวมหัวกันแกล้งผม!” สรรพนามที่เปลี่ยนไปทำเอาคุณยุวดีขมวดคิ้วขึ้นมาบ้างแล้ว
“ไม่ได้แกล้งเสียหน่อย” มารดากล่าวเสียงเรียบ
“สมรู้ร่วมคิด!”
“เปล่านะ”
“แม่ยังจะโกหกอีกเหรอ? แม่จับผมโยนไปที่นั่น ให้เจอกับหมอนั่น แล้วก็จงใจเล่นกับความรู้สึกของผม!”
“..........” คุณยุวดีวางแก้วชาลงแล้วไม่ตอบโต้
“เห็นผมเป็นไอ้งั่งใช่ไหม!” เธอรอจนบุตรชายโวยวายอยู่ครู่ใหญ่จนเมื่อฝ่ายนั้นหมดแรงจึงค่อยยืดตัวนั่งตรง จ้องมองใบหน้าหล่อเหลาของคนตรงหน้าพลางถอนหายใจ
“โมโหพอหรือยัง?”
“!” ประโยคคำถามนั้นทำให้คีตกาลอยากจะโกรธขึ้นมาอีกรอบ เขาหอบหายใจแรง
“ที่โกรธอยู่ตอนนี้เพราะอะไร?”
“เพราะทุกคนล้อเล่นกับความรู้สึกเพลงไง!”
“อ้าว ไม่ใช่เพราะว่าลูกรักตาสิงห์หรอกหรือ?”
“?”
“ลูกโกรธเพราะเข้าใจว่าพ่อแม่หลอกเพลงให้ไปที่นั่น แต่ลูกเสียใจเพราะคิดว่าตาสิงห์เองก็ร่วมมือกับพ่อและแม่ด้วย”
“.....”
“ฟังนะ ตั้งแต่ตอนที่ลูกอยู่ที่นู่น ตอนที่ลูกตัดสินใจทิ้งคนทางนี้ไป...เขาก็ตามลูกไปตั้งนานแล้ว”
“?”
“ลูกคิดอะไร ทำอะไรเขารู้หมด”
“แต่ก็ยังแกล้งโง่ ปล่อยให้เพลงเต้นไปบนฝ่ามือ!”
“เงียบ! แล้วสูดหายใจลึกๆ”
“?”
“เอ้า บอกว่าให้สูดหายใจเข้าลึกๆไง!” คุณยุวดีสั่งอีกครั้งพลางทำท่าให้ดู คีตกาลเผลอทำตามอย่างงงๆ
“ใจเย็นขึ้นหรือยัง?”
“ครับ....” คนเป็นลูกตอบรับเสียงอ่อย
“เขารู้ พ่อแม่ก็รู้พร้อมกันกับเขานั่นแหละ แต่ไม่ได้หมายความว่าพ่อแม่ร่วมมืออะไรกับเขามากมายหรอกนะ”
“.....” เมื่อเห็นว่ามือที่กำแน่นของคีตกาลคลายลงเธอจึงเล่าต่อ
“เขารู้ว่าลูกตัดสินใจอย่างนั้นเพราะอะไร เลิกกันทั้งๆที่ยังรักเนี่ย เล่นเอาพ่อกับแม่เจ็บปวดตามลูกนะ รู้บ้างไหม?”
“แม่...”
“การที่แม่ตัดสินใจทำรีสอร์ทร่วมกันกับตาสิงห์มันเป็นเรื่องของความประจวบเหมาะจริงๆ ร่วมลงทุนด้วยเพราะเอ็นดูผูกพันส่วนหนึ่งแต่ไม่เกี่ยวกับการที่ลูกตัดสินใจไปอยู่ที่นั่นจริงๆ”
“.....”
“ตั้งแต่แรกแม่เคยบังคับให้เพลงไปทำงานที่รีสอร์ทหรือเปล่า? อ้อ มีเล่นบทโศกนิดหน่อยอ่ะนะ” คุณยุวดียิ้มเมื่อเห็นสายตาไม่เชื่อถือของบุตรชาย “แต่เพลงก็รู้ว่าแม่ไม่เคยบังคับลูก ถ้าเพลงไม่ไปแม่ก็ไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว”
ใช่ ถึงมารดาเขาจะทำท่าอยากให้เขาไปทำงานที่นั่น หากเขายืนยันว่าจะไม่ไปแม่ก็คงไม่บังคับ
“แต่ตอนนั้นแม่ไม่บอกว่าร่วมหุ้นกับหมอนั่น! เท่ากับแม่วางแผนนั่นแหละ!”
“....แล้วหลังจากรู้ล่ะ? หลังจากเพลงรู้ว่าตาสิงห์คือหุ้นส่วนของแม่ทำไมเพลงถึงไม่ยืนกรานถอนตัวจากงานนี้?”
“........”
“นั่นเพราะใจลูกเองต่างหากที่อยากยืนอยู่ตรงนั้น”
“........”
“พ่อกับแม่ติดต่อกับสิงห์ตลอดมาถ้าลูกอยากรู้ แต่...เรื่องของหัวใจของลูกทั้งสองคนพ่อกับแม่ทำเพียงเฝ้าดูเท่านั้นหากเพลงเห็น....”
“.........”
“พ่อกับแม่เพียงเปิดโอกาสให้ลูกก็แค่นั้น ส่วนว่าจะสานต่อไปหรือเปล่ามันก็เป็นเรื่องของคนสองคน คนที่มองอยู่ข้างๆอย่างพ่อกับแม่ไม่สามารถตัดสินใจแทนได้”
“........”
“พ่อกับแม่มีบทเรียนมาแล้วนะเพลง การที่ต้องเห็นลูกเจ็บปวดมันไม่ใช่เรื่องดีเลย”
“พ่อ...แม่....”
“พ่อกับแม่ไม่ได้ชักใย ไม่ได้เล่นกับความรู้สึกของลูก ถึงจะรู้ว่าทั้งเพลงทั้งสิงห์รู้สึกต่อกันอย่างไรพ่อกับแม่ก็ทำเพียง ...ให้ลูกทั้งสองได้เจอหน้ากันอีกครั้ง”
“ถ้าตอนนี้ลูกจะเดินออกมาพ่อกับแม่ยอมรับการตัดสินใจนี้”
“..........”
“พรุ่งนี้แม่จะส่งคนใหม่เข้าไปดูแลที่รีสอร์ท”
“.......”
นั่นซินะ แม่ก็แค่เปรยด้วยท่าทางเศร้าสร้อยให้เขาตกปากรับคำไปทำงานที่รีสอร์ท หากเขายืนยันไม่ไปทำหลังจากรู้ว่าใครคือหุ้นส่วนเขาก็ทำได้แต่ไม่ทำ คนที่ไม่น่าให้อภัยคือหมอนั่นต่างหาก!
หมอนั่นวางแผนมาตลอด! ทำให้เขาไปอยู่ที่นั่น ให้เขาทำตัวโง่ๆ โง่ที่แสดงท่าทีห่วงใย โง่แสดงความรู้สึกหึงหวงยามมีใครเข้าใกล้หมอนั่น โง่ที่คิดอยากให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม เหมือนตัวตลกให้เขาหัวเราะ
ดี! เขาจะไม่กลับไปอีกแล้ว!
**********
โธ่โว้ย! เคยคิดว่าตัวเองผิดบ้างไหม!
ห้าวันแล้วนะ! ห้าวันเข้าไปแล้วหมอนั่นเงียบหายเข้ากลีบเมฆไปเลย!
คีตกาลเดินกลับไปกลับมาในห้องด้วยความรู้สึกหงุดหงิด ตอนนี้ถือว่าแต้มเสมอกันนะ และเขาจะไม่เป็นคนง้อก่อนแน่ๆ!
Rrrrr
ไร่สีหกาล
แค่เห็นชื่อที่โชว์บนหน้าจอมือถือชายหนุ่มก็รีบกดรับอย่างรวดเร็วอย่างลืมตัว ครั้นพอนึกได้จึงกระแอมแก้เก้อเสียทีหนึ่ง หากเสียงร้องไห้จากปลายสายทำเอาคิ้วเรียวขมวดมุ่น
“สายใจ?”
“ฮึก คุณคีย์ขา”
“สายใจเป็นอะไร ร้องไห้ทำไมหรือ?” คีตกาลถาม “หรือมีใครเป็นอะไร?” ใจกระหวัดคิดถึง
สีหราชขึ้นมา พลันอกซ้ายเจ็บแปลบเพราะความเป็นห่วง หรือแขนจะแย่ลง?
“คุณคีย์จะไม่กลับมาที่ไร่แล้วหรือคะ?”
“ห้ะ?”
“ก็คนที่มาทำงานแทนคุณคีย์บอกว่าคุณคีย์จะไม่มาที่ไร่อีกแล้ว ฮือ~”
“คือ...อันที่จริง...”
“คุณคีย์ขากลับมาเถอะนะ คุณคีย์ไม่อยู่ที่นี่ยังกับพายุถล่มแน่ะค่ะ”
“หืม?”
“ไม่มีใครเข้าหน้าคุณสิงห์ติดสักคน วันๆเอาแต่ทำงานแล้วก็หงุดหงิดตลอดเวลา ข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน”
“ก็เจ้านายของสายใจนั่นแหละที่ไล่ฉันมา”
“ไม่จริงหรอกค่ะ! คุณสิงห์น่ะ...”
“ทำไม หมอนั่นทำไม?”
“คุณสิงห์....ฮึก คุณคีย์จะไม่กลับมาแล้วจริงๆหรือคะ?” แล้วเด็กสายใจก็เปลี่ยนเรื่องพลางร้องไห้เสียงดังจนคีตกาลปวดหัว
“นี่ สายใจฉันไม่กลับ...”
“คุณเอม คุณเอมจะพาคุณสิงห์ไปโรงพยาบาลหรือคะ?” เด็กสาวตะโกนเสียงดัง เจ้าหล่อนไม่ได้คุยกับคีตกาลหากเอ่ยถามกับใครอีกคนที่อยู่ฝั่งนั้น สีหราชไปโรงพยาบาล? หรือว่าอาการจะแย่ลงจริงๆ?
“นี่ สายใจ! สายใจ! เจ้านายของสายใจเป็นอะไรทำไมต้องไปโรงพยาบาลอีก?”
“.......” มีแต่เสียงตะโกนถามของเด็กสาวกับอิ่มเอมลอดสายเข้ามาให้ได้ยิน
“สายใจ!”
“คุณคีย์แค่นี้ก่อนนะคะ คุณสิงห์แย่แล้ว!” กริ๊ก!
“...........” คีตกาลขมวดคิ้ว เหลือบมองจอโทรศัพท์ซึ่งมืดลงด้วยใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ ก่อนจะกดโทร.ออกไปหาอิ่มเอมด้วยร้อนใจหากฝ่ายนั้นกลับไม่รับสาย ร่างโปร่งหันคว้าเสื้อคลุม กระเป๋าสตางค์และกุญแจรถออกจากห้องรวดเร็ว
“อ้าว เพลง นั่นลูกจะไปไหน?” คุณยุวดีถามบุตรชายที่กำลังวิ่งลงจากบันไดอย่างเร่งรีบ
“ไร่สีหกาล!”
“...........” คุณยุวดีจ้องแผ่นหลังของบุตรหายลับไปจากสายตาพลางส่ายหน้า
ใจโลดแล่นไปทางโน่นก่อนหน้าตั้งหลายวันแล้วตัวเพิ่งจะตามไปหรืออย่างไร?
.
.
.
“เอม! อยู่ที่ไหน?”
“กำลังจะกลับไร่ มีอะไรหรือเปล่า?” ปลายสายถามเหมือนไม่มีเรื่องอะไรร้ายแรง หากคีตกาลตระหนกไปแล้วเพราะไม่รู้เรื่องราวเอ่ยถามรัวเร็ว
“ใครเป็นอะไร ทำไมไปโรงพยาบาล?”
“นายรู้ได้ไงมาว่าฉันมาโรงพยาบาล?”
“เอาน่า ตอบมาก่อนว่าใครเป็นอะไร!” เขาร้อนใจจะแย่ยังจะมามัวถามไป-มาอยู่นั่น!
“ไอ้สิงห์น่ะ”
“สิงห์เป็นอะไร?”
“...ก็”
“ก็อะไรเล่า พูดมาเร็วๆซิ!”
“เฮ้ย ไอ้เพลง! มึงก็เงียบแล้วฟังกูซิวะ ไอ้นี่!”
“.......”
“ไอ้สิงห์มันกระดูกร้าวเพิ่ม ตอนนี้ต้องมาใส่เฝือกอ่ะ มือมันบวมมา x-ray ถึงเห็นว่ากระดูกมันแตก”
“กระดูกแตก!”
“เออ แม่งมันแค่ร้าวแล้วเสือกไม่พักผ่อน ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ระเบิดลงใส่คนงานทุกวัน รับม้า-ส่งม้าไม่ว่างสักวัน งานอะไรแม่งก็แย่งเขามาทำหมด แล้วไอ้ที่ร้าวๆมันจะหายไหม? แตกเพิ่มนี่ก็สมควร สมน้ำหน้ามัน!”
“เอม!”
“เออ! แตะไม่ได้! ถ้าไม่อยากให้แตะมึงก็กลับมาดูแลมันซิ ไอ้นี่ก็ยังกับช้างตกมัน!”
“ก็นายนั่นแหละที่บอกให้ฉันห่างออกมา แถมหมอนั่นยังไล่ฉันอีก!”
“แล้วจะมาไม่มา?”
“อะไรเล่า?”
“ก็แม่งรำคาญมันแล้ว! เอะอะก็วิ่งพล่านไปทั่วไร่ แม่ง! กูหนีไปอยู่กับชาญดีกว่า!”
“นี่! เดี๋ยว! เอม? เฮ้!” ปลายสายตัดไปแล้ว คีตกาลหงุดหงิดเป็นเท่าตัวก่อนจะเร่งความเร็วตรงไปยังไร่สีหกาล
กว่าคีตกาลจะมาถึงก็ค่ำแล้ว เขาไม่เห็นรถของอิ่มเอมจอดอยู่ก็ให้นึกโมโหขึ้นมาครามครัน หมอนั่นทิ้งเพื่อนไปจริงๆหรือเนี่ย? เขาเหลือบมองชายเรือนที่เงียบเชียบ ครู่ใหญ่สายใจก็ชะโงกหน้ามามองก่อนจะยิ้มแฉ่งวิ่งลงมาหา
“คุณคีย์!”
“ชู่ว!”
“คุณคีย์มาแล้ว หนูดีใจจัง!” สายใจกระซิบด้วยความตื่นเต้นตามท่าทางของคีตกาลแม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเบาเสียงก็ตาม
“เจ้านายของสายใจล่ะ?”
“อยู่ในห้องแน่ะค่ะ” เด็กสาวทำสายตาวิบวับเมื่อคีตกาลถามหาสีหราช
“แล้ว....แขนเป็นไงบ้าง?”
“เข้าเฝือกแล้วค่ะ” สายใจทำหน้าแหยแล้วฟ้องต่อ “เพราะไม่ยอมพักผ่อนดีๆถึงได้เป็นแบบนี้ไงคะ คุณคีย์กลับมาก็ดีแล้วค่ะ จัดการคุณสิงห์เลย!”
“ฮื่อ?”
“คุณสิงห์น่ะดื้อ”
“ใช่ เจ้านายของสายใจน่ะดื้อมาก”
“แต่คุณคีย์ดื้อกว่า แฮ่~”
“ไฮ้ อะไรกันเนี่ยสายใจ?” คีตกาลชักจะไม่พอใจกับคำพูดของเด็กสาว ตอนแรกเข้าข้างกันอยู่ดีๆไหงมาว่าเขาไปด้วยอีกคนล่ะนี่
“ก็คุณคีย์ดื้อกว่าคุณสิงห์เพราะฉะนั้นคุณสิงห์แพ้คุณคีย์แน่ๆ คุณคีย์จัดการสั่งสอนเลยค่ะว่าใครดื้อกว่ากัน!”
“นี่มันคำชมหรือเปล่า?” คีตกาลชักสงสัยเพราะสายใจทำท่ากำหมัดแน่นพร้อมรอยยิ้มมั่นใจ
“ชมซิคะ! คุณสิงห์ดื้อทำงานจนเจ็บเพิ่ม คุณคีย์ก็ดื้อใส่บ้าง ดื้อบังคับให้คุณสิงห์ดูแลตัวเองดีๆ”
“........”
“ถ้าคุณคีย์ดื้อจะดูแลคุณสิงห์สายใจก็ไม่ว่านะคะ”
“นี่ สายใจ คือว่า...ฉัน...กับเจ้านายของสายใจ...”
“คุณคีย์ไม่กลับไร่มาหลายวันเพราะทะเลาะกับคุณสิงห์กันหรือ?”
“ก็...ไม่เชิงหรอก”
“แล้วใครผิดหรือคะ?”
“เอ๊ะ?”
“ที่คุณคีย์กับคุณสิงห์ทะเลาะกันคราวนี้ใครผิดหรือคะ?”
“....อาจจะผิดด้วยกันทั้งสองคน”
“ถ้าแบบนั้นใครจะง้อก่อน?”
“....ไม่รู้ซิ?”
“แต่หนูคิดว่าใครจะง้อก่อนก็ไม่สำคัญหรอกค่ะ”
“ทำไม?”
“ถ้าเรารักใครสักคนก็ไม่จำเป็นต้องมานั่งคิดให้เสียเวลาหรอกค่ะว่าใครจะง้อก่อนง้อหลัง สู้รีบปรับความเข้าใจกันเร็วๆไม่ดีกว่าหรือคะ? อีกอย่างตอนที่คุณคีย์ไม่อยู่ ...ไม่คิดถึงที่นี่หรือคะ?” สายใจเกือบจะพูดว่า ไม่คิดถึงคนที่นี่หรอกหรือ หากเปลี่ยนคำได้ทันเพราะไม่อยากให้คนตรงหน้ากระดากอาย
“ก็คิดถึง...”
“ถ้างั้นก็ไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ คุณคีย์เดินหน้าง้อเลย! ดื้อให้ถึงที่สุด ดูซิว่าคุณสิงห์จะทนโกรธคุณคีย์ได้นานแค่ไหนกันเชียว!”
คีตกาลหัวเราะกับท่าทางของเด็กสาวที่ดูเหมือนจะเปลี่ยนฝ่ายมาถือหางเขาเสียแล้ว แบบนี้ไม่รู้ว่าเจ้านายตัวจริงรู้เข้าจะโดนตัดเงินเดือนไหม
บานหน้าต่างห้องนอนยังคงเปิดรับลมอย่างเช่นทุกคืนผ่านมา เขาเหลือบมองแสงไฟที่ลอดออกมาแสดงว่าเจ้าของห้องยังคงไม่นอน ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกกระชับกีต้าร์โปร่งสีน้ำตาลในอ้อมแขน ก้มลงมองลูกน้องที่กำลังกระดิกหางอยู่ข้างเขาด้วยความดีใจไม่ห่าง
ติ๊ง!ปลายนิ้วขาวกรีดสายเป็นท่วงทำนอง แผ่วเบาคลอเคล้า ดวงตาคู่สวยยังคงจับจ้องบานหน้าต่างซึ่งยังคงไม่มีแม้เงาของใครบางคนโผล่ออกมาให้เห็น
อย่าบอกฉันว่าให้ไป อย่าผลักไสได้หรือเปล่า
บรู๊วววววว
ความรักระหว่างเรานั้น ยังไม่ถึงคราวต้องเดินจากกัน
โบร๋วววววววววว “เฮ้ย lion ! หยุดเห่านะเอ็ง” คีตกาลชะงักมือร้องเพลงต่อไม่ออกเมื่อเจ้าลูกน้องตัวดีมาช่วยส่งเสียงอีกแรง พอเริ่มร้องใหม่มันก็ช่วยร้องอีก ทำเอาเขาปวดหัวทั้งยังรู้สึกขายหน้าคนบนห้องอย่างไรก็ไม่รู้
ให้ตัวฉันได้พิสูจน์ ให้เข้าใจว่าฉันนั้นรักเธอเท่าไหร่
อย่าใจร้ายเกินไปนะเธอ ยังไม่พร้อมทำใจ อย่าใจร้ายเกินไปนะเธอ
หงิงงงงงงงงง“.............” วุ้ย! อยากเอากีต้าร์ทุ่มใส่หัวเจ้าหมาบื่อนี่จริงๆ!