ผมไม่ใช่พ่อเด็ก
ตอนที่๒๕ เหนื่อยไหมหัวใจ
-มาวิน-วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมต้องอยู่ร่วมห้องใช้ชีวิตใช้อากาศหายใจร่วมกับปรสิตที่เกาะติดไม่คิดจะย้ายสาระร่างไปไหนสักที ผมเลิกล้มความคิดที่จะไล่มันแล้วครับไม่ใช่ว่ามันจ่ายค่าเช่าห้อง หรือซื้อของกินของใช้ให้ผมหรอกนะครับ ของพวกนั้นผมมีปัญญาซื้อเองจ่ายเองได้ แต่ที่ผมไม่ไล่มันก็เพราะว่าผมไล่มันทีไรมันก็จะทำหน้ามึนๆใส่และวันรุ่งขึ้นมันก็จะหอบเอาเสื้อผ้าข้าวของของมันมาสุ่มที่ห้องผม(ยิ่งไล่มันยิ่งขนมา)และห้องผมก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมายนักพอมีเสื้อผ้าข้าวของของมันมาเพิ่มมันก็ยิ่งเล็กและแคบเข้าไปอีก จะหาพื้นที่ว่างๆให้เดินแต่ละก้าวนี่แทบจะไม่มี ไม่ต้องพูดถึงตู้เสื้อผ้าของผมที่โดนมันยึดไปกว่าครึ่ง โต๊ะเครื่องแป้งที่มีแต่ครีมทาผิวและน้ำหอมของมันเยอะแยะจนผมยังงงว่ามันใช้หมดทุกอันรึเปล่า
"หิว" มาอีกแล้วคำนี้ มึงไม่คิดจะเดินไปหาอะไรใส่ปากใส่ท้องเองบ้างเลยรึไงวะ
ผมนั่งมึนทำงานของตัวเองไปโดยไม่สนใจเรียกหมาเห่าหมาหอน เพราะยังไงมันก็ตามมาหลอกหลอนผมอยู่ดี
"กูหิว" ไอ้แมนเมืองมันเดินมาสะกดผมพร้อมบอกความต้องการของมัน
เอาเวลาที่เดินมาบอกผมไปหาอะไรแดกเองง่ายกว่าไหม
ผมเงยหน้ามองมันก่อนจะหันกลับมาสนใจงานที่อยู่ตรงหน้าผมดั่งเดิม พอผมไม่สนใจมันไอ้แมนเมืองก็เริ่มหยิบยื่นความน่ารำคาญให้ผมทันที
"หิวๆๆๆๆๆๆๆ" มันย่อตัวนั่งยองๆลงข้างผมก่อนจะแหกปากใส่หูผมและพูดเสียงดัง
"เป็นเหี้ยไร" ผมหันไปแวดใส่มันทันทีด้วยความโมโห
"กูหิว" มันย้ำ
"แล้ว"
"ไปกินข้าวกัน" ไม่พูดเปล่ามันลุกขึ้นฉุดมือผมให้ลุกตามไปด้วย
ผมพยายามขืนตัวแต่ก็เท่านั้นแหละครับเพราะมันไม่สนใจหรอกว่าผมจะอยากไปหรือไม่เพราะถ้ามันต้องการให้ผมไปมันก็จะทำทุกอย่างเพื่อให้ความต้องการของมันเป็นผลโดยไม่ถามความสมัครใจของผมสักนิด
ถ้าเป็นธูปมันจะตามใจไม่กล้าขัดหรือถ้าขัด ธูปต้องได้ประโยชน์จากสิ่งนั้นที่ผมรู้เพราะมันเมาแล้วเล่าให้ฟัง อธิบายง่ายๆคือถ้ามันอยากกินข้าวแต่ธูปอยากกินก๋วยเตี๋ยวมันก็จะจูงใจธูปด้วยการเอ่ยปากบอกว่ามันจะเลี้ยงและอาจจะแถมด้วยการพาไปดูหนังเรื่องที่ธูปกำลังอยากดู หรืออาจะเป็นอะไรอย่างอื่นก็แล้วแต่ว่ามันจะหามาเอาใจธูป ที่ผมพูดให้คุณฟังไม่ใช่ว่าผมอิจฉาหรืออะไรนะครับอย่างเข้าใจผิด แต่ผมจะบอกว่าผมเองก็เป็นเหมือนกันผมตามใจเทียนมันทุกอย่างตามใจมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ สำหรับผมเทียนคือที่หนึ่งไม่ว่ามันจะอยากได้อะไรอยากกินอะไรผมต้องพาไปต้องหามาให้มัน
ผมก็แค่จะบอกว่าเวลาคนเรารักใครสักคนนึงเราสามารถจะทำทุกอย่างได้เพื่อเขาคนนั้น แต่ในทางกลับกันถ้าเราไม่ได้รักไม่ได้รู้สึกพิเศษเราก็ไม่จำเป็นต้องทำตามใจผมพูดถูกไหม แต่ตอนนี้ผมไม่เข้าใจว่าทำไมผมต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยวะ ชุดที่ผมใส่อยู่มันก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไรนะ กางเกงบอลเสื้อยืดก็แค่ไปกินข้าวไม่ใช่หรอวะแล้วทำไมต้องเปลี่ยนองค์ทรงเครื่องใหม่ด้วย ผมมองชุดที่อยู่ในมือไอ้แมนเมืองที่มันยื่นมาให้ผมตรงหน้าด้วยความสงสัย
"อะไร" ผมถาม
"สูทไง เปลี่ยนซะเดี๋ยวกูไปรอข้างนอก" มันพูดจบก็เอาสูทยัดใส่มือผมทันทีส่วนตัวมันก็หมุนตัวสามร้อยหกสิบองศาเดินชิวๆออกจากห้องไป ทิ้งให้ผมงงสงสัยว่าแค่ไปกินข้าวถึงกับต้องใส่สูทกันเลยหรอวะ
.
.
.
.
.
.
.
.
ผมมองโรงแรมหรูตรงหน้าก่อนจะหันมามองคนที่ยืนอยู่ข้างกายด้วยความสงสัย คือวันนี้ผมสงสัยหลายๆอย่างและไม่มีทีท่าว่าจะได้รับคำตอบอะไรสักอย่างเพราะไอ้คนที่ยืนอยู่ข้างๆกันนั้นมันทำเพียงแค่พยักหน้าและเตะข้อศอกผมเพื่อให้เดินตามมันเข้าไปในโรงแรมหรูนั้น
นานแล้วนะที่ผมไม่ได้ก้าวเท้าเข้ามาในที่หรูหราแบบนี้ นานแล้วนะที่ผมไม่ได้ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนชนชั้นสูงในสังคม นานแล้วนะที่ไม่มีใครให้เกียรติก้มหัวทำความเคารพเมื่อผมเดินผ่านและเปิดประตูให้เพื่อให้ผมก้าวเข้าสู่โลกแห่งการใส่หน้ากากเข้าหากัน
นานแล้วนะ........ตั้งแต่วันที่ครอบครัวของผมไม่ใช่ครอบครัว
"พามาที่นี่ทำไมวะ" ผมถามไอ้แมนเมืองแต่มันก็ทำแค่เพียงยกคิ้วทำหน้าส้นตีนใส่ผม
ไอ้แมนเมืองมันเดินนำหน้าผมเข้าไปในงานอะไรสักอย่างที่ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินกันไปมาให้วุ่นวาย แสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปสาดใส่เซเลป ไฮโซ คนดังที่ยืนอวดเครื่องเพชร เครื่องประดับที่ขนกันมาเพื่อใส่อวดประชันกันว่าใครเหนือกว่ากัน เห็นแล้วน่าสมเพสสิ้นดี สุดท้ายก็แค่เปลือกนอกที่เราอยากให้คนอื่นเห็นว่าสวยหรู ภายในจิตใจเน่าเฟะขนาดไหนใครจะรู้
ผมถอนหายใจให้กับความน่าเบื่อหน่ายกับภาพที่เห็นก้าวเท้าเดินตามไอ้แมนเมืองไปอย่างเงียบๆพยายามไม่เงยหน้าสบตากับใครๆเพราะผมไม่ได้ตระเตรียมหน้ากากทางสัมคมมาด้วยเกรงว่าอาจจะทำเรื่องให้อีกฝ่ายขายหน้าได้ง่าย
"กว่าจะมานะลูกคนนี้" ผมเงยหน้าทันทีที่ได้ยินเสียงตำหนิแบบไม่จริงจังนัก
คุณหญิงอุไรวรรณ พิสุทธิรักษณ์ผมหันไปมองหน้าไอ้แมนเมืองด้วยความสงสัย มันยืนยิ้มตาหยีก่อนจะเดินเข้าไปโอบเอวคุณหญิงท่านและทำท่าทางออดอ้อน
"ก็มาแล้วไงครับแม่"
แม่เหรอ.....
"แม่ครับนี่มาวินเพื่อนผม" ผมรีบยกมือไหว้คุณหญิงแม่ของไอ้แมนเมืองแทบไม่ทัน คุณหญิงท่านยิ้มหวานยกมือรับไหว้ผมก่อนจะที่ขมวดคิ้วเพ่งพินิจใบหน้าของผมอย่างไม่วางตา
"หนูวินลูกคุณอำภาใช่ไหมลูก" ผมแทบกลั้นหายใจที่คุณหญิงท่านพูดจบ จริงอยู่ที่สังคมชนชั้นสูงมันแคบใครต่อใครก็รู้จักกันหมด และอาจจะรู้ดีเกินไปเสียด้วยซ้ำ
"ครับ" ผมตอบรับเพียงแค่นั้น
"น้าเสียใจด้วยนะคะเรื่องคุณแม่ของหนู" คุณหญิงแสดงท่าทีเศร้าเสียใจท่านลูบหลังผมอย่างต้องการปลอบประโลม
ผมยกมือไหว้ขอบคุณในความสงสารนั้น คุณหญิงกุมมือผมเอาไว้ท่านมองหน้าผมแววตาแสดงออกว่าท่านยินดีที่ผมยืนอยู่ตรงนี้ ดีใจที่เจอผม
"น้าดีใจที่เจอหนู ดีใจจริงๆ" ท่านพูดเพียงแค่นั้นก่อนที่เจ้าหน้าที่ในงานจะเชิญท่านไปถ่ายรูป ก่อนไปท่านยังยิ้มให้ผมและบอกผมว่าให้ทำตัวตามสบาย
มันไม่ใช่ที่ของผมจะให้ทำตัวตามสบายก็คงไม่ใช่
ผมตวัดสายตามองหน้าไอ้คนที่พาผมมา มันแค่เพียงยิ้มแหยะๆแล้วบอกกับผมว่ามันไม่มีเพื่อนมางานนี้ มันเองก็โดนแม่มันบังคับให้มาเหมือนกัน
แล้วทำไมต้องเป็นผมวะที่มากับมันอ่ะ
"เพื่อนกูไม่มีใครว่างถึงว่างมันก็ไม่มา ขนาดแม่ไอ้เหนือบังคับไอ้เหนือมันยังไม่มาเลย" มันพูดแค่นั้นแล้วเดินไปคว้าเอาแชมเปญมาสองแก้วก่อนจะส่งให้ผมแก้วนึง
"ธูปไงไม่ชวนมาอ่ะ" เพื่อนมันผมจำหน้าได้หมดแต่ลืมๆชื่อไปบ้างจำได้ก็แค่ธูปคนเดียว
"แฟนมันคงให้มากับกูอ่ะนะมึงก็พูดไป" เออจริง
"เลยซวยกู"
"หึ"
ผมกับไอ้แมนเมืองยืนเป็นหุ่นอยู่ในมุมอับเพราะไม่อยากแสดงตัวและไม่อยากให้ใครมาวุ่นวายมากนักมันมางานนี้เพราะถูกบังคับและมันก็ลากผมมาด้วยเหตุเพราะมันไม่มีเพื่อน
"แล้วมึงรู้ไซส์เสื้อผ้ากูได้ไง" มันพอดีจนผมตกใจ
"ไม่ยากก็กูลองใส่เสื้อผ้ามึงแล้วกูก็เอาไปให้ร้านเค้าวัดตัวกะขนาดเอาแค่นั้น"
ผมสูงกว่ามันนิดหน่อยแต่ไหล่มันหนากว่าผม ตัวมันก็หนากว่าผม แล้วมันลองใส่เสื้อผ้าผมซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นอาจจะวัดขนาดได้ ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ถือว่าช่างเขาเก่งนะครับตัดออกมาพอดีเลย
"มึงเตรียมการมาอย่างดีเลยนะ" ผมกัดมันไปอีดอก
"ก็เป็นเดือนเพื่องานนี้"
ผมไม่พูดอะไรต่อเราสองคนยืนมึนๆอยู่ในงาน มีสาวๆแวะเวียนเข้ามาทำความรู้จักบ้างประปรายผมก็แค่ยิ้มไปตามมารยาท งานนี้เป็นงานเปิดตัวผู้บริหารหนุ่มไฟแรงที่เพิ่งกลับมาจากอังกฤษมารับตำแหน่งที่พ่อของเขาปูทางเอาไว้ให้ คนที่เกิดมาเพียบพร้อมทุกอย่างมันก็ดีแบบนี้ล่ะครับแค่เดินตามเส้นทางที่พ่อแม่ขีดไว้ให้ คำว่าประสบความสำเร็จก็อยู่ตรงหน้าแล้ว เปรียบกับคนที่พ่อแม่ไม่มีหลักฐานมั่นคงก็คงต้องดิ้นรนกันเอง
แล้วอย่างผมล่ะจัดอยู่ในประเภทไหน
ผมมองขึ้นไปบนเวทีเมื่อเสียงประกาศของพิธีกรบนเวทีพูดจบแสงไฟสาดส่องไปยังผู้ชายที่ใส่สูทสีดำราคาแพงยืนปรากฎกายเป็นจุดเด่นอยู่กลางเวที ผมละความสนใจเมื่อเจ้าของงานกล่าวขอบคุณแขกเหรื่อที่ให้เกียรติมาร่วมงาน ผมตัดสินใจเดินออกมาจากงานตรงไปยังระเบียงด้านนอกยืนเงยหน้ามองฟ้าที่มีดาวประดับอยู่บนนั้น แม่คงจะอยู่บนดาวดวงไหนสักดวง แม่คงเฝ้ามองดูผมจากบนนั้น ผมได้แต่ยิ้มขื่นให้กับตัวเอง
"วิน" ผมตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินเสียงที่เรียกชื่อผม
"......"
"วินลูก" มือใหญ่ที่ไร้ความอบอุ่นสำหรับผมเอื้อมมาแตะที่ไหล่ผมด้วยอาการกล้าๆกลัวๆ
ผมเบี่ยงตัวหลบฝ่ามือใหญ่นั้นก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายจ้องตาเขม็งให้รู้ไปเลยว่าผมไม่ยินดียินร้ายกับการที่ต้องมาเจอกับอีกฝ่าย
"พ่อคิดถึงลูกมากนะ" อีกฝ่ายพูดบอกพยายามจะเดินมาหาผม
"ผมไม่รู้จักคุณ" ผมพูดออกไปพร้อมกับเดินผ่านอีกฝ่ายเพื่อจะเดินกลับเข้าไปในงานไปบอกไอ้แมนเมืองว่าผมต้องการจะกลับหอแล้ว
"วิน" แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมให้ผมจากไปง่ายๆเขาเอื้อมมือมาจับข้อศอกผมเอาไว้
"......."
"ฟังพ่อพูดก่อนได้ไหม"
"ฟังอะไร" ผมสะบัดแขนตัวเองเพื่อให้อีกฝ่ายปล่อยมือ "ฟังว่าคุณพาผู้หญิงคนนั้นเข้ามาในบ้านทำให้แม่เสียใจ ตรอมใจและตายต่อหน้าผมอย่างนั้นหรอ"
"......" อีกฝ่ายเงียบผมจึงพูดต่อ
"หรือจะให้ฟังว่าคุณเอาผู้หญิงคนนั้นออกงานเชิดหน้าชูตาในสังคมว่าเป็นเมียทั้งๆที่คนที่คุณควรจะให้เกียรติกลับนอนร้องไห้อยู่ที่บ้าน"
"......."
"จะให้ผมฟังคำโกหกอะไรของคุณอีก ผมฟัง ผมเห็นมาหมดแล้ว พอแล้วอย่ามายุ่งกับผมอีกเลย คุณมีครอบครัวของคุณ ผมมีชีวิตของผม อย่ายุ่งกับผมอีก!!"
ผมรู้ว่ามันบาปแต่ผมไม่อาจลืมเรื่องที่เขาทำกับแม่และผมได้ ผมเกลียดความไม่รู้จักพอผมเกลียดคนที่เห็นแก่ตัว
ผมเกลียด........"วินกำลังเข้าใจพ่อผิดนะ" ผมเกลียดคำแก้ตัวของเขา
"เข้าใจผิด ตรงไหนที่ผมเข้าใจผิด"
"เรื่องพ่อกับแม่หน่ะมันไม่ใช่อย่างที่วินคิดนะ บางเรื่องมันก็ยากที่จะอธิบาย แต่ถ้าวินจะให้โอกาสพ่อได้พูด......."
"ผมไม่อยากฟังคำแก้ตัวของคุณ"
ผมหันหลังกลับเพื่อจะเดินเข้าไปในงานโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายพูดจบรึยัง แต่แล้วคำพูดของคนที่ผมทิ้งเอาไว้เบื้องหลังก็หยุดสองเท้าของผมเอาไว้ เพียงเพราะเขาพูดออกมาว่า
"พ่อกับแม่ เราไม่เคยรักกัน" ผมหันควับกลับไปมองคนเห็นแก่ตัวที่ยืนอยู่ด้านหลัง อยากเดินเข้าไปทำให้อีกฝ่ายเจ็บเหมือนที่แม่ผมเจ็บ อยากทำให้อีกฝ่ายกระอักเลือด ทุกข์ใจ เหมือนที่แม่ผมต้องเคยเป็นเมื่อครั้งอดีต แต่เพราะคำว่าผู้ให้กำเนิดมันค้ำคอผม ทำให้ผมได้แต่คิดแต่ไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้เลย
"คุณมันเห็นแก่ตัว คุณพูดแบบนี้ได้ยังไง ถ้าคุณกับแม่ไม่ได้รักกันแล้วแต่งงานกันทำไม มีผมทำไม ให้ผมเกิดมาเพื่อรับรู้เรื่องแบบนี้ทำไม!!"
ผมเงยหน้ามองท้องฟ้ากระพริบตาเร็วๆเพื่อไม่ให้น้ำตามันไหลออกมา เพราะผมไม่อยากให้คนตรงหน้าเห็นว่าผมอ่อนแอ
"พ่อกับแม่แต่งกันเพราะผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบมันเป็นเรื่องของธุรกิจ พ่อกับแม่ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะตอนนั้นเรายังเด็กทั้งคู่"
"......."
"แม่ของลูกมีคนที่รักอยู่แล้ว พ่อเองก็มีเหมือนกัน เราทั้งคู่ต่างก็รู้ดีว่าเราทั้งสองคนรักใคร"
"คุณหมายความว่ายังไง" ถ้าแม่ไม่ได้รักคนๆนี้แล้วแม่รักใคร แล้วทำไมแม่ต้องเสียใจที่ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาในบ้าน
"แม่ของลูกรักพี่ชายของพ่อ ก็ลุงของลูกนั้นแหละ แต่เพราะท่านเป็นคนเจ้าชู้ทำให้แม่ของลูกเสียใจหลายต่อหลายครั้ง"
"คุณโกหก" ผมเถียงออกไปเพราะรู้สึกค้านในคำพูดของอีกฝ่าย ลุงผมถึงท่านจะอายุสี่สิบปลายๆแต่ท่านเป็นผู้ชายที่ยังหล่อเหลา และมีเสน่ห์มาก ท่านยังครองตัวเป็นโสดแต่มีข่าวว่าเปลี่ยนคู่ควงไปเรื่อย ผมไม่เคยเห็นแม่และลุงจะมีความสัมพันธ์อย่างที่อีกฝ่ายว่ามาเลย
"พ่อจะโกหกให้ได้อะไรขึ้นมา พ่อยอมเสียทุกอย่างแต่พ่อจะไม่ยอมเสียลูกไปแน่นอน ลูกคือครอบครัวคือทุกอย่างของพ่อ"
"ผู้หญิงคนนั้นต่างหากที่เป็นครอบครัว เป็นทุกอย่างของคุณ"
"ถ้าพ่อบอกว่าเขาเป็นคนของลุง ลูกจะเชื่อพ่อไหม" ผมมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความสงสัย
"หมายความยังไง"
"เขาเป็นคู่ควงของลุงแต่เพราะลุงของลูกกลัวว่าแม่ของลูกจะเสียใจจึงให้พ่อบอกใครต่อใครว่าเขาคือคนของพ่อ...."
"ลุงจะทำแบบนั้นทำไม"
"เพราะลุงของลูกรักแม่ของลูกแต่ก็รักชีวิตอิสระ"
ความรักจะไม่ทำให้เราเสียน้ำตา คนรักกันจะไม่ทำให้เราเสียใจ แต่ถ้าเรารักใครสักคนเราจะยอมอภัยให้เขาไม่ว่าเขาจะทำร้ายเราสักกี่ครั้ง เราก็พร้อมจะอภัยให้ เพราะเรารักเขาคำพูดของแม่ลอยเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง ถ้าทั้งหมดที่คนตรงหน้าผมพูดนั้นเป็นความจริง แม่ผมต้องทุกข์ทรมานเพราะคนรักมานานขนาดไหนต้องทนอยู่กับคนที่ไม่ได้รักนานขนาดไหน ความรักที่ไม่อาจรักได้มันทรมานจนทำให้คนๆนึงต้องตรอมใจตาย แล้วถ้าเรื่องทั้งหมดที่ออกมาจากปากคนตรงหน้าผมนั้นเป็นความจริง ผมควรจะโกรธควรจะเกลียดใคร
ปู่ย่า ตายาย ลุง หรือคนตรงหน้าผม
"ถ้าเรื่องที่คุณพูดมาเป็นความจริง ผมถามสักคำได้ไหมว่าผมเป็นลูกใคร" ถ้าแม่รักลุง ถ้าคนตรงหน้าผมมีคนรักอยู่แล้ว แล้วใครเป็นพ่อของผมกันแน่
เมื่อคำถามออกจากปากของผมไปแล้วนั้นอีกฝ่ายก็ทำสีหน้าลำบากใจ เขาถอนหายใจออกมาก่อนจะเอ่ยปากถามผม
"ลูกแน่ใจนะว่าอยากรู้" ผมพยักหน้าเป็นคำตอบ มาถึงขั้นนี้แล้วอะไรมันจะเกิดผมคงต้องยอม
"ลูกเป็นลูกของพ่อ แต่พ่อกับแม่เราสองคนไม่ได้มีอะไรกัน เราแค่ใช้วิทยาการทางการแพทย์ซึ่งลุงของลูกเป็นคนเสนอทางนี้"
"ทำไม"
"ลุงของลูกเป็นหมัน" คนตรงหน้าผมเว้นระยะลังเลว่าจะพูดต่อดีไหม "และพ่อก็ไม่ได้ชอบผู้หญิง"
ผมตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน เรื่องบัดสีแบบนี้ทำไมต้องมาเกิดกับผมด้วย ผมไม่ได้เกิดมาจากความรัก แต่เกิดมาเพราะครอบครังต้องการทายาทอย่างนั้นหรอ
"แล้วคนรักของคุณเป็นใคร"
"น......."
"วิน" ผมหันไปมองด้านหลังเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย
"น้าพี" น้าพีหน้าตาตื่นเดินตรงมาหาผม
"ทำไมเรามางานนี้ได้ล่ะ"
"เพื่อนผมพามาอ่ะครับ แล้วน้ามากับเขาหรอ" น้าพีพยักหน้าตอบ
"แล้วทำไมมาอยู่ด้วยกันได้ล่ะ" น้าพีถามพลางมองไปที่อีกคนที่ยืนอยู่เงียบๆมองเราสองคนอยู่
"ไม่มีอะไรหรอกครับ งั้นวินขอตัวก่อนนะน้าพี สวัสดีครับ" ผมยกมือไหว้น้าพีก่อนจะรีบเดินออกมาจากตรงนั้นทันที
ผมก้มหน้าก้มตาเดินลงลิฟท์และรีบออกมาจากโรงแรมนั้นทันทีโดยไม่ได้บอกอะไรกับไอ้แมนเมือง ผมเดินไปเรื่อยเปื่อยเรื่องราวมากมายรุมเร้าอยู่ในหัวของผมแทบจะระเบิด ผมไม่รู้ว่าที่ได้ยินทั้งหมดนั้นมันคือเรื่องจริงหรือเปล่า และถ้ามันคือเรื่องจริงแล้วผมจะทำยังไงต่อไป ผมจะสามารถให้อภัยและกลับไปเป็นครอบครัวกับคนที่ขึ้นชื่อว่าพ่ออีกครั้งได้ไหม และลุงของผมคนที่เป็นสาเหตุให้แม่ต้องตายผมจะมองหน้าเขาติดเหมือนเมื่อก่อนได้ไหม ผมไม่รู้ ตอนนี้ผมเหนื่อยและไม่อยากรับรู้หรือคิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกแล้ว
.
.
.
.
.
.
"กูก็หามึงในงานจนทั่ว โดนแม่ด่าหาว่าทิ้งมึง แล้วนี้อะไรมานั่งแดกเหล้าสบายใจอยู่ในห้องเนี่ยนะ"
ผมไม่ได้สนใจเสียงนกเสียงกาเสียงหมาเห่าหมาหอนของไอ้แมนเมืองที่มันบ่นตั้งแต่เปิดประตูห้องเข้ามาแล้วเห็นผมนั่งซดเหล้าอยู่ ผมเครียดหาทางออกไม่ได้ผมก็กินเหล้าก็แค่นั้น ระหว่างทางกลับมาที่ห้องผมแวะเซเว่นซื้อเหล้า โซดา น้ำแข็ง ขนม มาด้วยเพราะคิดเอาไว้ว่าถ้าไม่เมาคงนอนไม่หลับดีนะที่วันนี้ไม่ได้ไปร้องเพลงที่ผับและพรุ่งนี้ก็ไม่มีเรียน ดังนั้นคืนนั้นผมจึงเมาได้เต็มที่
"เป็นอะไรวะ" ไอ้แมนเมืองถามผมหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว มันนั่งลงข้างๆผมพร้อมกับเนียนๆรินเหล้า(ของผม)ใส่ในแก้วที่มันเตรียมมาเพื่อจะแดกเหล้าฟรี
"เปล่า"
"แดกเหล้ายังกะน้ำเสือกบอกเปล่ากูคงเชื่อ มึงเป็นอะไร แล้วหนีกลับมาก่อนทำไม"
"อย่าเซ้าซี้ได้ป่ะวะ น่ารำคาญ"
ไอ้แมนเมืองหุบปากลงทันทีที่ผมพูดจบ เราทั้งคู่นั่งกินเหล้ากันไปเงียบๆเมื่อเหล้าหมดก็ต่อด้วยเบียร์ที่ไอ้แมนเมืองมันซื้อมาตุนไว้ ตอนนี้สภาพของผมกับมันไม่ต่างกับหมา เมาจนคุมสติตัวเองไม่อยู่ ก็ดีครับจะได้ลืมเรื่องปวดหัวไปได้บ้าง
หลังจากเมากันได้ที่ผมก็เลื้อยขึ้นมาบนเตียงนาทีนี้น้ำท่าไม่อาบกันแล้วล่ะครับ แค่ลุกขึ้นยืนก็จะล้มแล้วให้ไปอาบน้ำคงตายคาห้องน้ำพอดี ผมคลานขึ้นเตียงได้ก็ขยับตัวไปนอนติดผนังห้องเว้นที่ไว้ให้อีกคนขึ้นมานอนข้างๆเหมือนทุกๆคืน
เรื่องราวในอดีตย้อนกลับมาในความทรงจำของผมทันที ไหนใครว่ากินเหล้าแล้วจะลืมไงวะทำไมมันยังจำได้อยู่อีก เรื่องที่พ่อพาผู้หญิงคนนั้นเข้ามาในบ้าน แม่เสียใจย้ายไปอยู่ที่บ้านหลังเล็ก เรื่องที่คนๆนั้นเล่าให้ฟังทำไมผมยังจำได้ทำไมไม่ลืมสักที
"มึงร้องไห้" เสียงกระซิบถามดังข้างหูผมทำให้ผมต้องยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่รู้ตัว
"เสือก"
"มึงทำเป็นเข้มแข็งต่อหน้าคนอื่นตั้งมากมายแล้วมึงต้องกลับมาร้องไห้ทุกครั้งที่อยู่คนเดียวมึงเหนื่อยไหมวิน" เหนื่อยสิ เหนื่อยมากด้วยแต่จะให้ผมไปร้องตะโกนบอกใครต่อใครหรือไงว่าผมผ่านอะไรมาบ้าง ต้องให้ผมทำตัวอ่อนแอให้คนอื่นมาสมเพสเวทนาหรือไง ทำไมผมต้องทำแบบนั้นด้วย
ผมสะดุ้งตกใจเมื่อท่อนแขนของไอ้แมนเมืองพาดอยู่ที่เอวของผมมันขยับตัวมาใกล้จนหลังผมชิดกับอกของมัน ผมแทบกลั้นหายใจเมื่อลมหายใจของมันรินรดอยู่ใกล้ตัวผมมาก
"นอนเถอะมึงอย่าคิดมากเลย" มึงคิดว่ากูจะนอนหลับในอ้อมกอดของมึงรึไง
ผมพยายามดิ้นแต่มันกลับกระชัดอ้อมกอดแน่นกว่าเดิมทำให้ผมไม่กล้าออกแรงดิ้น ผมนอนนิ่งอยู่แบบนั้นผมว่าผมคงเมาแล้วล่ะที่รู้สึกปลอดภัยและอบอุ่น คงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้ความคิดผมผิดเพี้ยนไปแบบนี้
ผมหลับตาลงและเข้าสู่ห้วงนิทราทั้งๆที่อยู่ในอ้อมกอดของคนที่ผมไม่คิดว่าจะมากอดกันและหลับไปพร้อมกันแบบนี้ มันเองอาจจะทำไปเพราะเมาเช่นกันกับผมหรือจะเพราะอะไรก็ช่างเถอะผมไม่อยากจะหาคำตอบให้มันวุ่นวาย
เอาเป็นว่าตอนนี้ผมขอพักเรื่องเครียดๆไว้ก่อนแล้วกัน
ฝันดีนะครับทุกคน
เรื่องของที่บ้านมาวินมันค่อนข้างจะซับซ้อน ที่พ่อมาวินยอมพูดออกมาทั้งหมดเพราะต้องการให้ลูกชายกลับบ้าน ไม่อยากให้ใช้ชีวิตข้างนอกคนเดียว