งวดที่ 6 (ต่อ)
ดึกมากแล้ว ภูเมศคิดว่าตัวเองจะเหนื่อยจนผล็อยหลับไปง่าย ๆ หลังได้อาบน้ำให้สบายตัว แต่จนบัดนี้กลับยังนอนมองเพดานตาค้าง หลับไม่ลงสักที
พลิกตัวอยู่หลายตลบ จนสุดท้ายลุกขึ้นมานั่งถอนหายใจเฮือก ๆ ยกมือนวดขมับไปด้วยตั้งนานสองนาน
ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป ตีนกาได้พากันถามหาก่อนวัยอันควรพอดี
เขานั่งทำใจอยู่พักใหญ่ จึงกลับไปลองเอนหลังดูอีกครั้ง แต่ครั้นหลับตาลงเท่านั้นเอง ภาพรอยยิ้มละไมของเด็กคนนั้น..ในขณะที่แววตากลับทรยศด้วยการทิ้งร่องรอยสร้อยเศร้าไว้บางเบา..ยิ่งชัดเจนขึ้นในความมืดหลังเปลือกตา
ภูเมศผุดลุกขึ้นอีกครั้งอย่างรำคาญใจ
ใครใช้ให้เจ้าเด็กนั้นยิ้มออกมาด้วยหน้าอย่างกับคนกำลังจะร้องไห้กันเล่า!
ชายหนุ่มยกมือขยี้ผมตัวเอง ทนนอนไม่ไหวอีกต่อไป เดินออกจากห้องตั้งใจไปอุ่นนมร้อน ๆ ดื่ม เผื่อจะช่วยให้หลับสบายขึ้น แต่เมื่อก้าวขาพ้นอาณาเขตประตูห้องนอนในเวลาดึกดื่นเช่นนี้ กลับพบว่ามีแสงไฟลอดออกมาจากชั้นล่าง
เมื่อย่องลงบันได ก็พบว่าที่มาของแสง คือในครัวอีกฝั่งซึ่งเชื่อมกับลานด้านหลังบ้าน
ลืมปิดไฟ?
ภูเมศเลิกคิ้ว หยีตามองตามแสง พลางขยับเท้าก้าวเงียบเชียบไปทางห้องครัว จนมาหยุดอยู่ตรงมุมลับตา กวาดมองยังไม่ทันทั่ว ก็ไปสะดุดเข้ากับแผ่นหลังคุ้น ๆ ของคนที่กำลังนั่งอยู่ตรงขอบประตูซึ่งเปิดออกสู่ลานภายนอก
ธัญญ์นิ่งอยู่ท่าเดิม ดูเหมือนไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกจ้องอยู่จากด้านหลัง
ขณะที่ชายหนุ่มผู้มาใหม่พยายามทำตัวนิ่งที่สุด หายใจให้เบาที่สุด เฝ้ามองแผ่นหลังที่ห่อลงน้อย ๆ ผิดจากปกติซึ่งมักยืดตรงอยู่เสมอ จากตรงนี้มองเห็นแนวกล้ามเนื้อและกระดูกสะบักซึ่งนูนขึ้นมาเล็กน้อยใต้เสื้อนอน
ขนาดเขาเป็นผู้ชาย ยังอดคิดไม่ได้ว่าคนตรงหน้ามีโครงสร้างร่างกายชวนมองทีเดียว รูปร่างสูงโปร่ง ไหล่ผายอย่างคนวัยหนุ่ม กล้ามเนื้อตึงแน่นเห็นเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนใต้ผ้าเนื้อบาง ยังจำได้ถึงความเรียบลื่นใต้ฝ่ามือเมื่อยามสัมผัส หรือกระทั่งเอวสอบซึ่งแอ่นเป็นเส้นโค้งสวยเวลาพวกเขา—
บ้าฉิบ!
หยุดเลย หยุดแค่นั้น...ชายหนุ่มยกมือลูบหน้า ก่นด่าตัวเองในใจว่าคิดไปไกลถึงไหนต่อไหนแล้ว
“มานั่งด้วยกันไหมครับ?”
“แค่ก ๆ ๆ!”
แล้วทำไมแอบมองทีไรต้องถูกจับได้ทุกที!
“แฮ่ม..” ภูเมศกระแอมแก้เก้อ ทำทีเป็นเปรยอย่างไม่จริงจังนัก “ว่าจะมาหาอะไรอุ่น ๆ กิน แล้วดันมาเห็นเธอนั่งทำท่าประหลาดอยู่ตรงนี้เท่านั้นแหละ”
ธัญญ์พยักหน้า แม้ดูเหมือนรู้ทัน..ไม่สิ...รู้ทันแน่ ๆ แต่กลับไม่ถามอะไรอีก มองเขาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เดินไปเปิดตู้เย็น ก้ม ๆ เงย ๆ หยิบนมมาได้ขวดหนึ่งเทใส่แก้วเซรามิค จากนั้นจับส่งเข้าไมโครเวฟ ทั้งหมดนั้นภูเมศพยายามเป็นอย่างยิ่งจะไม่หันไปมองคนที่บานประตู แต่รู้สึกได้ตลอดเวลาว่าตัวเองอยู่ภายใต้การสังเกตทุกอิริยาบถ
ที่สุดแล้วก็ทนไม่ไหวจนต้องออกปาก
“จะมองไปถึงไหนน่ะเรา”
“นั่นสิครับ” ธัญญ์พยักหน้า ยังคงมองมาตาใส “ผมก็ว่าจะถามคุณคำถามนั้นเหมือนกัน”
“ฉันไปจ้องเธอตอนไหน”
“เมื่อกี้”
ภูเมศยักไหล่ แก้ตัวน้ำขุ่น ๆ “เปล่านี่”
“จริงหรือครับ?”
“ใช่สิไอ้หนู” ความดื้อของคนมีอายุมันเป็นอย่างนี้เอง “เธอตาฝาดแล้ว”
ธัญญ์พยักหน้าอีกครั้ง จากนั้นหันไปสนใจอีกทาง จุดเดียวกับตอนแรกก่อนหันมาคุยกับเขา
คราวนี้เมื่อสามารถเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ ได้โดยไม่ต้องระวัง จึงเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังนั่งลูบคางแมวส้มที่กรนครืด ๆ อยู่ในลังกระดาษ
...ศัตรูเก่าหน้าขน แค่เข้ามาใกล้ ๆ ก็เริ่มคิดไปเองว่าคันจมูกขึ้นอีกแล้ว
แต่กระนั้นก็ยังย่อตัวลงด้านข้าง ลอบมองเสี้ยวหน้าด้านหนึ่งของธัญญ์ไปด้วย
“ชอบแมวรึไง”
“ผมไม่ชอบหรอก ภูมิต่างหากที่ชอบ”
“อา..”
เรื่องนั้นทำไมเขาจะไม่รู้ ทว่าบ่ายเบี่ยงจะให้ลูกชายมีสัตว์เลี้ยงมาตลอดเช่นกัน ให้เอาเวลาที่ไหนไปดูแล แล้วยังเรื่องที่เขาแพ้ขนแมวจนต้องจามฟุดฟิดออกมาประจำนี่อีก เพียงแต่ฟังธัญญ์พูดแล้วก็อดบ่นสักหน่อยไม่ได้
“ลืมไปว่าเธอไม่ชอบอะไรสักอย่าง ไม่ชอบเด็ก ไม่ชอบสัตว์ ไม่ชอบเต้าหู้ ไม่ชอบอะไรเลย มีอะไรที่ชอบบ้างไหมเนี่ย”
“นั่นสินะครับ”
ธัญญ์เหลือบมองเขานิ่ง ที่เหนือความคาดหมายคือเจ้าตัวยิ้มออกมาอีกแล้ว...เป็นรอยยิ้มแบบเดียวกับที่ติดตาจนนอนไม่หลับคืนนี้นั่นละ..
ที่เขาตั้งใจออกมาหาอะไรอุ่น ๆ กินก่อนนอนให้หลับสบาย ท่าทางคงยิ่งหลับไม่ลงหนักกว่าเก่าเสียแล้ว
“ถ้าจะยิ้ม ก็อย่าทำหน้าเหมือนอยากร้องไห้ไปด้วยได้ไหมเล่า”
“เอ๋?”
น่าขัดใจจริง ๆ อะไรจะทำให้ใครสักคนในวัยแค่นี้มีแววตาแบบนั้นกัน
“เป็นคนหนุ่มซะเปล่า หน้าตาอมทุกข์อย่างนี้ อีกสักสิบปีค่อยทำเถอะเรา”
“หมายถึงต้องรอผมแก่เท่าคุณ ถึงมีสิทธิ์ทำหน้าอมทุกข์ได้สินะครับ”
กวนประสาทฉิบ!
ภูเมศไม่ต่อความ แต่หันไปจ้องอีกฝ่ายตรง ๆ
ตอนแรกคนตรงหน้าก็มองตอบอยู่ดี ๆ ทว่าเมื่อผ่านไปครู่ใหญ่ ต่อให้ใจเริ่มเต้นหนัก ๆ แต่เขายังไม่มีทีท่าว่าจะเบือนสายตาไปทางอื่น ก็กลับกลายเป็นธัญญ์ที่หลบตาเสียเอง
เด็กอะไรดีแต่ปาก เขานึกกระหยิ่มขึ้นมานิดหน่อย
จะว่าไป ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพี่เลี้ยงลูกชายคนใหม่หลังจากย้ายเข้ามาอยู่ร่วมชายคานั้น ช่างใสสะอาดจนน่าตกใจ
ใช่ว่าเขาจะคาดหวังอะไรลามกจกเปรต เพียงแต่ทำใจเชื่อค่อนข้างลำบาก ว่าจากคนที่ขึ้นเตียงด้วยกันมาแล้วง่าย ๆ แค่มีเงินจ่าย พอย้ายเข้ามาอยู่ใกล้ ๆ นึกว่าจะหาลู่ทางเอาร่างกายแลกเงินหนักกว่าเก่า ที่ไหนได้ ไม่พูดถึงเรื่องนั้นเลยสักแอะ อย่างกับที่แล้วมานั้นไม่ใช่ธัญญ์ แต่เป็นอีกคนที่หน้าตาเหมือนกันมาหลอกขูดรีดอย่างนั้นละ
“ช่วงนี้ไม่ร้อนเงินแล้วหรือ”
จะเรียกพลั้งปากก็อาจว่าได้ แม้อยากถอนคำพูดก่อนอีกฝ่ายทันได้ใคร่ครวญคำถามอย่างไร แต่ดูเหมือนธัญญ์จะเข้าใจความหมายแฝงในเวลาอันรวดเร็ว
“อืม..คุณอยากให้ผมร้อนเงินไหมล่ะ”
ท่าทีรู้ทันอย่างนั้น ส่งผลให้ภาพลักษณ์ตัวเองในหัวเขาพังครืน
“เธอทำฉันเหมือนเป็นตาแก่หื่นกามไปเลย”
อีกฝ่ายหัวเราะเบา ๆ “แล้วปกติไม่ใช่หรอกหรือครับ”
ทำไมรู้สึกเหมือนโดนถอนหงอกอยู่เรื่อย
“ไม่ใช่น่ะสิ”
“ปกติไม่ใช่...แสดงว่าอยู่กับผมแล้วคุณไม่ปกติ” ธัญญ์เอียงคอ ชันขาข้างหนึ่งขึ้นกอด วางแก้มไว้บนหัวเข่าตัวเองขณะมองมา “น่าประทับใจจัง”
ภูเมศมุ่นคิ้ว นั่นต้องจงใจยั่วอยู่แน่ ๆ เขาไม่มีทางติดกับหรอก
“สนใจอยากให้ค่าขนมผมหน่อยไหม ถุงยางกลิ่นช็อคโกแลตของคุณยังอยู่ดีหรือเปล่า”
โดนยั่วแน่แล้ว ช่างกล้าพูดออกมาได้ด้วยหน้านิ่ง ๆ เจ้าเด็กนี่เห็นเขาเป็นตู้เอทีเอ็มเคลื่อนที่หรืออย่างไรกัน
ทว่าหลังจากสงบจิตสงบใจมาได้เป็นเดือน ๆ ดูเหมือนตู้เอทีเอ็มช่วงนี้ก็หวั่นไหวง่ายอย่างไรพิกล
เขามองรอยหยักน้อย ๆ บนริมฝีปากอีกฝ่าย เลยขึ้นไปยังดวงตาสีดำขลับเหนือกว่านั้น แล้วได้แต่คิดว่าไม่น่าเลย หากตั้งใจจะปฏิเสธแต่แรก ก็ไม่ควรเผลอมองตา ไม่อย่างนั้นจะตกที่นั่งลำบากอย่างที่กำลังเป็นอยู่นี้ ชะงักค้างอยู่ในระยะห่างสักหนึ่งข้อนิ้วระหว่างปลายจมูกของคนสองคน..
ธัญญ์เบิกตากว้างแวบหนึ่ง เหลือเชื่อว่าจะทำท่าไม่คาดคิดอย่างนั้นออกมา แต่แล้วหลังจากตั้งตัวได้ในเวลาเพียงไม่นาน อีกฝ่ายกลับหลับตาลง เปลือกตาปิดสนิทจนมองเห็นขนตาเป็นแพอยู่ใต้เงาเขา ผิวแก้มแต้มสีชมพูเรื่อ ความร้อนบางเบาคล้ายว่าส่งผ่านมาถึงตัวเขาที่ตรงนี้ แล่นเหมือนกระแสไฟอ่อน ๆ จนชาวาบไปถึงปลายนิ้ว
คงจะแนบจูบลงไปบนริมฝีปากอิ่มตรงหน้าแล้ว หากไม่สังเกตเห็นเสียก่อน ว่าหัวคิ้วของคนที่หลับตาอยู่นั้นกำลังขมวดอยู่นิด ๆ และหากมองให้ดี ยังเห็นว่ากลีบปากซึ่งมักวาดรอยยิ้มสุขุม หรือไม่ก็เหยียดตรงบนสีหน้านิ่งงันราวกับรูปปั้น ตอนนี้กลับสั่นน้อย ๆ
เขารู้สึกประหนึ่งตัวเองเป็นตาแก่ที่กำลังจะทำมิดีมิร้ายเด็กหนุ่มอ่อนโลกอย่างไรอย่างนั้น
อะไรกัน...ทั้งที่มากกว่านี้ก็เคยทำกันมาแล้ว ตอนมีเซ็กซ์กันบนเตียง ไม่เห็นทำท่าอิดออด ต่อให้จะไม่ได้เริ่มรุกเร้าอะไรเองสักอย่าง เพียงแต่ปล่อยเขาทำโน่นทำนี่ตามใจก็เถอะ กับแค่เหมือนจะจูบ ทำเป็นเกร็งอย่างกับไม่เคยไปได้ ทีจูบกันครั้งก่อนยัง—
ภูเมศเอะใจ ว่าไปนั่นนับเป็นจูบแรกของพวกเขา ตอนนั้นแค่แนบปากลงอย่างเรียบง่าย เด็กนี่ก็หน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศแล้ว
มีอะไรที่เขามองข้ามไปหรือเปล่า
ชายหนุ่มหรี่ตาอย่างครุ่นคิด จากตอนแรกที่เกือบแตะเบา ๆ บนปากด้วยความเผลอไผล ตอนนี้ตั้งสติได้ จึงหยุดการกระทำนั้นเสีย สูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง
..แล้วเปลี่ยนเป็นก้มลง...ดูดเม้มริมฝีปากอีกฝ่าย...อย่าง
ตั้งอกตั้งใจจริงดังคาด ธัญญ์สะดุ้งเฮือก เบิกตาโพลง ศีรษะผงะไปด้านหลังเมื่อพบว่าจูบนั้นรุนแรงกว่าที่คิด เพียงแต่ขยับได้ไม่มากนัก เพราะมีมือข้างหนึ่งของเขาช้อนอยู่ตรงท้ายทอย มืออีกข้างแนบลงบนแก้ม ต่อให้เบือนหน้าหนีหรืออ้าปากทักท้วง มีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้ส่งลิ้นรุกรานเข้าไปได้มากขึ้นเท่านั้น จนผ่านไปเกือบนาทีก็ยังไม่ยอมปล่อย
ควรหยุด..
แต่คนเราช่างน่าขำ สิ่งที่ควรทำ กับสิ่งที่ทำจริง ๆ หลายครั้งเป็นเหมือนเส้นขนาน
เสียงแฉะ ๆ ดังขึ้นทุกครั้งที่ถอนริมฝีปากออกมา เพื่อจะขบขย้ำลงไปใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนช้ำเจ่อ ลิ้นนุ่มนิ่มถูกเขาไล่ต้อนจนมุมในโพรงปากฉ่ำชื้นและร้อนระอุ
จมูกเขากดลงเบา ๆ บนแก้มธัญญ์ ได้กลิ่นสบู่บางเบาจากผิวเนื้ออย่างคนเพิ่งอาบน้ำ อยากจะกลืนกินทั้งหมดนั้นเสียรู้แล้วรู้รอด
อีกฝ่ายเกาะไหล่เขาไว้แน่น เกร็งมือจนข้อนิ้วซีดขาว หลังจากตอนแรกที่พยายามผลักออกทว่าไม่เป็นผล ถัดจากนั้นเหลือแค่เสียงสำลักเบา ๆ ดังขึ้นเป็นระยะ กระตุ้นให้ความคิดนับร้อยพันวิ่งพล่านจนคุมไม่อยู่
หนึ่งในนั้นคล้ายว่าเป็นทฤษฎีต้มกบที่เคยได้ยินเมื่อนานมาแล้ว..
กบเป็น ๆ สองตัวถูกจับโยนลงหม้อ ตัวหนึ่งลงหม้อน้ำเดือด อีกตัวลงหม้อน้ำอุณหภูมิปกติที่ค่อย ๆ เร่งไฟขึ้นจนอุ่นสบาย..จนร้อน...จนเดือดพล่าน..
กบตัวแรกกระโดดหนีทัน แต่กบตัวที่สองกลับเผลอนอนแช่น้ำอุ่นสบายจนน้ำเดือดตายไป
ธัญญ์ส่งเสียงหอบเบา ๆ เมื่อริมฝีปากถูกปล่อยเป็นอิสระ สีแดงช้ำขวนให้นึกอยากก้มลงไปขบกัดอีกรอบ ติดตรงที่คันจมูกยุบยิบขึ้นมาก่อน ทว่ายังไม่ถึงกับจาม จึงไม่ได้ยกนิ้วมือขึ้นถู เพียงแต่ซุกหน้าลง ดุนดันปลายจมูกไปมากับจมูกของอีกฝ่าย..
“..ดะ..เดี๋ยว..”
เพิ่งได้ยินเสียงร้องปรามก็ครั้งนี้ ทันก่อนเขาจะได้โน้มหน้าไปครอบครองสีแดงฉ่ำตรงนั้นอีกครั้ง เสียงแหบพร่าจนผิดปกติทำเขาชะงักค้างไปแวบหนึ่ง และธัญญ์อาศัยชั่ววินาทีนั้นเบี่ยงตัวออกแล้วลุกขึ้นยืน
“เดี๋ยว!” เขาร้องขึ้นด้วยถ้อยคำเดียวกัน คว้าข้อมืออีกฝ่ายไว้ทันก่อนเจ้าตัวจะได้ก้าวขา “จะไปไหน”
ธัญญ์ไม่ตอบ แต่ท่าทางลุกลี้ลุกลนที่พยายามซ่อนไว้ทำได้ไม่ดีนัก ตัวเขาซึ่งนั่งอยู่ตรงขอบประตู ขณะอีกฝ่ายยืนอยู่ตรงหน้าสามารถมองเห็นอะไรได้ชัดเจน จากระดับสายตาตอนนี้ ไม่ยากจะสังเกตว่าสาเหตุมาจากอะไร
คงเพราะกางเกงนอนเนื้อบางเกินไป ส่วนที่ดันนูนขึ้นมาจึงเด่นชัดกว่าปกติ
เกือบยิ้มออกมาแล้ว ได้แต่หวังว่าจะไม่ดูเป็นภัยสังคมจนเกินไปนัก
“เพราะจูบเมื่อกี้หรือ?”
ธัญญ์ก้มหน้าก้มตา แต่เป็นเพราะก้มมาก็เจอเขาที่นั่งอยู่พอดี สุดท้ายจึงเบือนหน้าไปทางอื่นแทน งึมงำคาดโทษออกมาเสียงเบาหวิว
“ผมขูดรีดคุณหมดตูดแน่”
หากเป็นเวลาอื่น ธัญญ์คงมีแก่ใจปั้นหน้านิ่งให้ดูกวนประสาท แต่พอหลุดจากปากในสภาพที่คนพูดเป็นแบบนี้ กลับกลายเป็นว่าน่ารักเหลือประมาณ
ภูเมศไม่แน่ใจว่าตัวเองหุบยิ้มลงได้หรือยัง ตอนที่ลุกขึ้นยืนตาม ใช้ท่อนแขน ไหล่ และอกดันอีกฝ่ายถอยหลังไปจนมุมกับผนัง แทรกต้นขาตัวเองไปอยู่ระหว่างต้นขาคนตรงหน้า
“จูบยังไม่ได้เรื่องเลย กล้าบอกว่าจะขูดรีดฉันหรือ”
ให้ตายเถอะ..ถ้าเป็นกบที่เผลอแช่น้ำอุ่นสบายในหม้อ อีกหน่อยจะยังกลับตัวทันไหม? ว่าแต่นี่มันน้ำอุ่นหรือน้ำเดือดกัน?
“..ฮะ...อือ...”
เสียงครางต่ำ ๆ ของธัญญ์ทำเขาไม่แน่ใจนักในเรื่องที่ว่า แม้แต่ระหว่างที่ขบเม้มลงบนต้นคอร้อนผ่าว พลางไล้ปลายนิ้วผ่านเนื้อผ้าต่ำกว่าท้องน้อยอีกฝ่ายลงมาช้า ๆ ลากวนไปมาจนรู้สึกได้ว่าส่วนนั้นขยายตัวขึ้นในอุ้งมือเขา
ภูเมศก็ยังไม่แน่ใจคำตอบ..ว่าตัวเองเป็นกบตัวที่หนึ่งหรือสองกันแน่
To be continued…มาอัพแล้วค่ะ หงุงงง ,,>3<,,
เบา ๆ สุขกายสบายใจ ครอบครัวสุขสันต์(?)ค่ะ ฮา
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะะะ *รวบกอดดดด*
แถมดูเดิ้ลจากตอนที่แล้ว
บางคนอ่อยเองแล้วก็เขินเองค่ะ โถพ่อคุณณณณ lol

ส่วนคนนี้ น้องเพลง(ที่ยังไม่ค่อยมีบทค่ะ ฮา)

อนึ่ง อ่านหลายคอมเม้นต์แล้ว..ทางนี้ก็อยากจะสารภาพ ว่ามันเขี้ยวรูทพร้อมภูมิ*ธัญญ์เหลือเกินค่ะ (เรียงถูกแล้วค่ะ ปีนเกลียวมันก๊าวใจ แงรรร) << โดนคุณพ่อภูเมศมองแรง 555
ด้วยรักค่ะ พบกันงวดหน้านะคะ ^w^