Part5 แยก
ชายผมทองในชุดนักศึกษาใหม่เอี่ยมนั่งทานข้าวต้มมื้อเช้ากับน้องชายที่เพิ่งเข้าม.หนึ่งหมาดๆ โดยมีพ่อนั่งมองลูกชายด้วยความปลื้มปริ่มไม่ยอมแตะข้าวต้มสักที ลำบากแม่ต้องเตือนด้วยใบหน้าอ่อนใจ
“อย่ามัวแต่มองลูก ไม่รีบกินเดี๋ยวก็ไปทำงานสาย”
“ไม่สายหรอกหน่า” คนพ่อเถียงกลับ ก่อนหันมาคุยกับลูกชายท่าทางกระตือรือร้น “วินแน่ใจนะว่าไม่ให้พ่อไปส่งที่มหาลัย”
“แน่สิ ถ้าพ่ออยากขับรถวนไปวนมานัก ไปส่งวัตสิ” พี่ชายโยนให้น้อง วัตตาโตส่ายหัวขวับๆ อย่างไร้เยื่อใย
“ผมโตแล้วนะ! อีกอย่างได้ไปโรงเรียนคนเดียวครั้งแรก น่าตื่นเต้นจะตายไป”
อาการดีใจจนเกินหน้าเกินตาของน้องชายเรียกสายตาคมๆ จากพี่ชายได้ชะงัก วัตรีบยกมือปิดปากทั้งที่รู้ว่าไม่ทันแล้ว
“ไม่ชอบไปโรงเรียนกับพี่ขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมขมวดคิ้ว จำได้ว่าที่ผ่านมานอกจากไปเรียนด้วยกัน ขากลับผมไม่ได้บังคับให้น้องกลับด้วย ตั้งแต่วัตขึ้นป.5 จนตอนนี้ม.2 หรือจะถึงช่วงวัยต่อต้าน ควรจับตาดูดีมั้ยนะ น้องจะถูกเพื่อนพาเสียคนรึเปล่า ไม่ๆ วัตเป็นเด็กดีไม่มีทางหลงผิด ตัวเพื่อนนั้นแหละจะเอาเรื่องซวยมาถึงวัต ผมเริ่มกังวลซะแล้วสิ ต้องปรึกษาชิน! ปรึกษาพ่อไปมีแต่จะตีโพยตีพาย ส่วนแม่คงยิ้มแล้วหัวเราะบอกแค่ว่าวัตเริ่มโตเป็นหนุ่มเหมือนตอนผมมีเรื่องชกต่อยแหง
“พี่วิน อย่าทำสีหน้าน่ากลัวแบบนั้นสิ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้นสักหน่อย แค่อยากลองไปโรงเรียนคนเดียวดู ผมจะได้พึ่งพาตัวเองได้ไม่เป็นภาระพี่กับพี่ชินไง อีกอย่าง ผมจะช่วยปกป้องพี่ด้วยนะ”
วัตชูมือมุ่งมัน ผมมองน้องชายด้วยสีหน้าอ่อนลง
“วัตไม่เคยเป็นภาระพี่กับชินเลย สู้ๆ เขาแล้วกัน มีอะไรรีบโทรบอกแม่ไม่ก็พวกพี่นะ”
“แล้วพ่อล่ะ!” คนพ่อที่ถูกลูกชายเมินอยู่นานสองนานโวยเรียกร้องสิทธิ์ตัวเองบ้าง ดวงตาสีเทาสองคู่ของลูกชายปรายมองเหมือนกันเปี๊ยบ
“อ้าว พ่อยังอยู่เหรอ? นึกว่าไปทำงานแล้วซะอีกเนอะพี่วิน”
“พี่ก็ว่างั้น พ่อเป็นผู้ใหญ่แต่ไปทำงานสายจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับผมและวัตนะ”
อาเนซอ้าปากค้าง ได้ยินเสียงภรรยาสุดที่รักหัวเราะคิกๆ อยู่ด้านหลัง ไม่คิดจะช่วยเหลือสามีที่ถูกสองลูกชายรุมรังแกเลยแม้แต่น้อย สรุปเลยรีบทานรีบออกไป ทำหน้าบึ้งไม่ยอมขานรับเสียงลูกไหว้ตอนเช้าเหมือนทุกที สองพี่น้องมองหน้าพากันขำ
“พ่องอน เอาไงดีพี่วิน”
“กลับมาค่อยง้อ ไม่ยากเชื่อพี่” ผมบอกน้อง วัตยิ้มรับรีบทานแล้วยกถ้วยไปเก็บให้แม่ พวกเรายกมือไหว้รับพรยามเช้า ก่อนพากันออกมานอกบ้าน เห็นชินกำลังเดินเข้ามาพอดี มหาลัยของผม อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนวัตก็จริง ถึงงั้นยังต้องนั่งรถเมล์ตั้งสองป้าย หมู่บ้านที่เราอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งคู่ วัตไปทางซ้าย ผมกับชินต้องข้ามสะพานลอยนั่งรถไปทางขวา
ภายในรถเมล์ส่วนใหญ่มีแต่พวกวัยเรียน ผมกับชินดูโด่งเด่นจากทุกคน ด้วยรูปร่างหน้าตา แค่สีผมก็กินขาดแล้ว
“เธอๆ ดูสองคนนั้นสิ หล้อหล่อ คิดว่าเป็นปีหนึ่งมหาลัยเดียวกับเราป่าว”
“ฉันว่าใช่แน่ อ๊าย อยากรู้จักว่าอยู่คณะอะไร สาขาอะไร”
เสียงนักศึกษาหญิงกระซิบกัน เราทำหูทวนลมชินกับเรื่องแบบนี้ คนมันเกิดมาหน้าตาดีให้ทำไงได้ ชินโหนราวรถเมล์อยู่ด้านข้างยื่นหน้ามากระซิบผมในระยะที่พอเหมาะ
“ฉันได้รถขับแล้ว วันหลังขับรถมากันดีมั้ย”
เป็นความคิดที่น่าสนใจ ไม่ต้องมาทนเบียดกับคนอื่น หรือเป็นอาหารตาคนอื่นเล่น แต่ว่าผมชอบที่จะมองผู้คน สังเกตสีหน้า พฤติกรรมคนอื่น ถ้าใช้รถส่วนตัวคงน่าเบื่อได้
“ไม่ล่ะ ฉันอยากนั่งรถเมล์มากกว่า ไว้จำเป็นค่อยใช้รถส่วนตัว”
ชินยอมละออกไป ยอมรับการตัดสินใจของผม ผมไม่ต้องถามหรอกว่าชินจะโอเคมั้ย หมอนั้นไม่เคยขัดผมแม้แต่ครั้งเดียว อย่างมากก็แค่เตือนๆ พอเป็นพิธี สุดท้ายผมจะทำอะไร เขายังคงทำตามอยู่ดี
คิดทบทวนดูแล้ว ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปอนาคตท่าจะลำบาก ตอนนี้ยังคิดไม่ออกจะแก้ไขมันยังไง เอาไว้คิดออกค่อยว่ากันดีกว่า ชินเหมือนรับรู้เจตนาไม่ดี หรี่ตามองผมสมองคงประมวลผลว่าผมจะทำบ้าอะไรอีกชัวร์ นอกจากพ่อแม่กับน้องชาย คนที่รู้ทันผมไปซะทุกอย่างมีแค่ชินนี่แหละ เผลอๆ จะรู้ดีกว่าครอบครัวผมด้วยซ้ำ ในเมื่อหลายสิ่งหลายอย่างผมไม่เผยเวลาอยู่ต่อหน้าทุกคน
“อยากทำอะไรก็ทำไป จำไว้อย่างหนึ่งว่า ถ้าเป็นผลเสียกับนายฉันไม่ปล่อยแน่”
ชินเปรย ผมหัวเราะในคอ พอดีกับรถเมล์ถึงหน้ามหาลัย พวกเรายืนอยู่เลยต้องลงก่อน สีหน้าคนที่กำลังทยอยเข้าสู่รั้วมหาลัยดูตื่นเต้นมาก ทั้งหมดคงเป็นเด็กปีหนึ่งเหมือนกันกับผม บางคนมากับกลุ่มเพื่อน บางคนเดินเพียงลำพัง บางคนมีมีพ่อแม่มาส่ง
เห็นภายนอกผมกับชินเฉยๆ ความจริงแอบตื่นเต้นเหมือนกัน ยังไงพวกผมก็คนธรรมดาคนหนึ่ง พบกับสังคมใหม่มันต้องตื่นเต้นอยู่แล้ว เพียงแค่พวกเราเก็บอาการได้ดีกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง และดูเหมือนว่าจะมีคนเก็บอาการได้ดีเหมือนเราอีกคน
ชายผู้โดดเด่นอยู่ท่ามกลางฝูงชน ผมกับชินหันมาสบตากัน ไม่จำเป็นต้องพูด เราเข้าใจความหมายที่จะสื่อ น่าสนใจไม่เลว ชายผมน้ำตาลไหม้ครึ่งบนผมยาวมัดรวบไว้ ครึ่งล่างไถแบบสกินเฮด เห็นรอยสักโผล่พ้นคอเสื้อ หูไม่ได้เจาะ รูปร่างดี ทางนั้นรู้ตัวว่ามีคนกำลังจ้อง เลยหันมองหา ก่อนสบสายตาเราทั้งคู่ หน้าตาไม่เลว หล่อคมท่าทางทะเล้น ต่างกับชินที่จะออกไปทางคมคาย เข้มๆ ตามสไตล์
เจ้านั่นยกมือทักทายแล้วเดินไปตามป้ายตึกบริหาร ผมยกยิ้มมุมปาก ถ้ามีโอกาสคงได้เจอ คณะที่ผมกับชินเรียนคือคณะไอที หนีไม่พ้นเรื่องโปรแกรม ผมได้อิทธิพลมาจากพ่อ ชินได้มาจากผมอีกที นี่ถ้ามันทำตามผมหมดทุกอย่างโดยไม่สนใจความต้องการของตัวเอง ผมคงไม่ยอมให้มันตามติดขนาดนี้ ชินมันคุยเปิดอกตอนเราเลือกคณะ บอกว่าทีแรกไม่สน เห็นผมกับพ่อดูสนุกเวลาคุยเรื่องโปรแกรมเลยนึกสนใจขึ้นมา ไปๆ มาๆ กลับกลายเป็นชอบ บ้านมันก็ไม่ขัดอะไร ตามใจลูกชายขนาดนั้น
เรื่องกิจการทางบ้านไม่ต้องเป็นห่วง อาของชินทำงานด้วย แถมเขายังมีทั้งลูกชายลูกสาว พร้อมที่จะสืบทอดต่ออยู่แล้ว
การมามหาลัยครั้งแรกก็ไม่มีอะไรมาก ลงทะเบียน เข้าห้องประชุมใหญ่ ฟังนิเทศ พอช่วงบ่ายก็แยกไปตามคณะเพื่อทำความรู้จักอาจารย์กับพวกรุ่นพี่ที่มีตำแหน่งสำคัญๆ ถัดมาแยกไปตามสาขา เด็กปีหนึ่งแข่งกันพูดเสียงเซ็งแซ่ พยายามหาเพื่อนกันสุดฤทธิ์ ผมกับชินมีหน้าที่แค่บอกชื่อ ทักทายไปตามเรื่อง
หลังจากวันนี้แหละของจริง เปิดการเรียนระบบมหาลัย ไม่มีครูมาตามเช็คตามทวง มีหน้าที่เข้าห้องตามตารางเรียนแล้วก็ออก พอตกเย็นไปตามนัดพวกรุ่นพี่ปีสองเพื่อทำกิจกรรมรับน้อง ช่วงนี้แหละผมทั้งชอบและเกลียด ชอบที่ได้ทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่น รู้จักคนมากขึ้น สนุกสนานไปกับชีวิตมหาลัย แต่เกลียดเพราะมันทำให้ผมกลับบ้านดึก! แทบไม่มีเวลาทำอย่างอื่นนอกจากมามหาลัย เข้าเรียน เข้ากิจกรรม กลับบ้านนอน วนเวียนอยู่แบบนี้
บางวันผมแทบไม่เห็นหน้าวัตด้วยซ้ำ ช่วงวันหยุดวัตเองก็ไม่อยู่บ้าน ไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนวัยเดียวกัน ผมต้องนั่งกร่อยอยู่กับชิน
“น้องวินๆ พี่มีเรื่องจะคุยด้วย” รุ่นพี่สาวผู้รับหน้าที่คุมน้องดาวเดือนดักเจอผมตอนกำลังเลิกเรียนลงมาทานข้าวกลางวัน ผมยิ้มบาง ในสายตาเธอผมคงเหมือนเทวดามีปีกสีขาวบริสุทธิ์ รอยยิ้มสว่างไสวพร้อมวงแหวนบนหัว เบื้องหลังภาพเหล่านั้นคงมีแค่ชินที่เห็น เพื่อนควบตำแหน่งแฟนเบือนหน้าหนี ปากพึมพำว่าเขาหางงอก
“มีเรื่องอะไรเหรอครับ” ผมถามอย่างสุภาพ ยังคงความเจิดจรัสไว้บนใบหน้า เอาให้ทิ่มแทงตารุ่นพี่คนนี้บอดเลยยิ่งดี อย่าเอาความซวยมาโยนใส่ผมนะ! ชินกระแอมรุ่นพี่ได้สติรีบพูดเข้าเรื่อง
“คืออย่างงี้จ๊ะ พี่อยากให้น้องสมัครเป็นเดือนคณะจะได้ไปชิงตำแหน่งเดือนมหาลัย ถ้าน้องว่าง...”
“ขอโทษด้วยครับ ผมอยากช่วยนะ แต่ผมไม่สะดวกจริงๆ พ่อผมให้ช่วยงานทุกวัน”
“น้องวินพอคุยกับพ่อได้มั้ยจ๊ะ เพื่อคณะนะ” เบื่อคำนี้ชิบหายเพื่อคณะ ในใจคิด สีหน้ายังคงความลำบากใจ ความคิดถึงแวบเข้ามาในหัว จริงสิ โอกาสมาแล้ว ต้องกัดฟันทำ
“ผมจะลองคุยดูนะครับ ไม่รับประกันว่าจะได้รึเปล่า พ่อผมเข้มงวดมากด้วย เอาอย่างงี้มั้ยครับ ชินว่างอยู่ เห็นบ่นว่าอยากเป็นเดือน เพราะหมั่นไส้เดือนคณะอื่น ถ้าพี่ช่วยดัน ผมเชื่อว่าชินมันต้องสูสีกับเขาแน่”
ราวกับพบหนทางสว่าง ในขณะที่ชินเริ่มเข้าสู่โหมดทมึน รุ่นพี่หันไปมองชินตาโต ริมฝีปากยิ้มกว้างอย่างยินดี จับมือชินเขย่าๆ ไม่ได้ดูสีหน้ามันเลยว่าเย็นชาติดลบหนึ่งพันองศา
“ตายจริง! ทำไมไม่รีบบอกพี่ตั้งแต่แรกล่ะว่าน้องชินอยากเป็นเดือน วันนี้ไม่ต้องไปเข้าร่วมกิจกรรมนะ ไปซ้อมดาวเดือนกับพี่”
ชินหันมามองผมเชื่องช้า ดวงตาสีดำฉายประกายความไม่พอใจ ผมยิ้มปานเทวดาเมตตาโลกต่อไป คุยกับรุ่นพี่จนยอมล่าถอยเปลี่ยนเป้าหมายเป็นชิน หลังนัดแนะเวลาซะดิบดี ชินล็อกคอลากผมไปคุยตรงจุดอับของคณะ สองมือท้าวกำแพงกักผมไว้ตรงกลาง ผมกอดอกมอง
“เก็บรอยยิ้มเสแสร้งนั่นไปซะ นายรู้ดีกว่าความอดทนฉันต่ำแค่ไหน รู้ทั้งรู้ว่าฉันเกลียดเรื่องวุ่นวายที่สุด ทำไมถึงทำแบบนี้”
น้ำเสียงกดต่ำอย่างน่าหวาดหวั่น ซึ่งมันไม่สะท้านผมเลยสักนิด ผมปัดแขนเขาออก ไม่ชอบให้ใครมาแสดงตัวเหนือกว่า ชินหรี่ตายอมถอยก้าวหนึ่ง ลดแขนหนึ่งข้าง ส่วนอีกข้างยังคงอยู่ตามเดิม
“ฉันไม่อยากทำกิจกรรมเพิ่มเพราะแค่นี้ก็แทบไม่มีเวลา ถึงโยนให้นายรับกรรมแทน ในขณะที่นายเกลียดเรื่องพวกนี้มากที่สุด ลองขัดฉันสักครั้งเป็นไง” ชินยังคงเงียบ ผมเสริมอีกประโยค “ฉันไม่อยากให้นายฝืนทำอะไรตรงข้ามกับนิสัยตัวเองเพื่อฉัน”
ผมเป็นฝ่ายยื่นหน้าเข้าไปประชิด ชินยังคงนิ่ง นิสัยดั้งเดิมของชินที่ผมเห็นมาตั้งแต่เด็ก เขาเป็นคนขี้รำคาญ ไม่ชอบอยู่เบื้องล่างใคร ปกติจะนิ่งเงียบค่อนข้างเย็นชาไม่แยแสโลกสักเท่าไหร่ เว้นผมที่ทำให้นิสัยของเขารวนไปหมด ชินถอนหายใจหนัก ทุบมือกับกำแพงข้างตัวผมจนเกิดเสียงดังทึบ เขาผละออก หยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบหันหลังให้
“สิ่งที่ฉันกลัวที่สุดคือการไม่ได้อยู่ข้างนาย ฉันพยายามปรับตัวเพื่อการนั้น แต่ในเวลานี้นายกลับบอกว่าให้ฉันเลิกฝืนตัวเอง นายจะให้ฉันทำยังไง ทั้งที่คืนนั้นฉันกับนาย...”
มือขาวหยิบบุหรี่จากมืออีกฝ่ายมาสูบ พลางมองควันอ่อยอิงที่ลอยอยู่เบื้องหน้า ขนาดพูดเตือนสติ ชินยังคงคิดทุ่มทุกอย่างเพื่อผมโดยไม่สนใจตัวเองอยู่ดี ถึงเวลาที่จะคลายปมนั้นสักที ผมสูดบุหรี่ที่เหลืออีกไม่เท่าไหร่จนหมด โยนลงพื้นใช้เท้าขยี้ก่อนหันไปมองคนข้างตัวที่มองนิ่งรอคำตอบ ไม่ต่างจากหมาผู้ซื่อสัตย์ ผมไม่ต้องการสุนัขรับใช้ สิ่งที่ผมต้องการคือคนที่จะเดินไปด้วยกันต่างหาก
ในเมื่ออยากทำตามความต้องการของผมนัก ผมก็จัดให้
“นายไปเป็นเดือนซะ ตอนเช้าไม่ต้องไปรอฉันหน้าบ้าน ขับรถส่วนตัวมามหาลัย ตอนกลับต่างคนต่างกลับ วันหยุดห้ามมาเจอหน้า ติดต่อทางโทรศัพท์ได้ตามปกติ อยู่ที่มหาลัยก็เช่นกัน”
“วิน...” ชินเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงเหมือนคนหมดแรง ผมยกมือห้ามไม่ให้เขาพูดขัด ใบหน้าร้าวรานชัดเจนอยู่ในดวงตา ใจผมก็เจ็บไม่ต่าง แต่ผมไม่อยากให้ชินสูญเสียตัวตนของตัวเองไปเพราะผม ผมต้องการชินที่เป็นชิน
“เรายังไม่เลิกกัน ความสัมพันธ์ยังคงเดิม เพียงแค่จะไม่ตัวติดกันเหมือนเมื่อก่อน เริ่มตั้งแต่วันนี้เลย” ตัดสินใจเด็ดขาด โทนเสียงที่ใช้ชินรู้ดีกว่าผมเอาจริง
ตุบ...
ชินทรุดลงคุกเข่าไม่กลัวกางเกงเปื้อนดิน จับแขนผมแนบแก้ม แม้ไม่มีน้ำตา แต่ความสับสน ลนลาน ความเจ็บปวดแสดงออกมาชัดเจนทั้งที่คนอย่างชินไม่ควรมีสีหน้าแบบนี้
“วิน ฉันทำอะไรผิด บอกมาที ฉันยอมทำทุกอย่าง อะไรก็ได้ที่มันไม่ใช่แบบนี้”
“นายไม่ผิด คนผิดคือฉันเองที่ปล่อยมันมานาน ชินเชื่อใจฉันรึเปล่า” ผมถาม ชินตอบทันทีโดยไม่เสียเวลาคิด
“ฉันเชื่อใจนายมากกว่าตัวเอง”
“งั้นทำตามที่บอกซะ” ชินเบิกตากว้าง เขายอมลุกขึ้นและถอยหลังออกไปหนึ่งก้าว ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝุ่นจับ หยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบอีกมวน ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ปล่อยให้เขาสงบสติอารมณ์เพียงลำพัง ชินเป็นคนฉลาดไม่แพ้ผม ตอนนี้อาจจะยังไม่เข้าใจ ในภายภาคหน้าเขาต้องเข้าใจผมแน่
ใช้เวลาเพียงบุหรี่สองมวน ชินกลับมานิ่งตามเดิม ทั้งที่ลึกๆ ในแววตายังคงสั่นไหว เอ่ยเสียงที่พยายามคุมให้เป็นปกติ
“ได้... ฉันจะทำตามที่นายต้องการ ระยะเวลาล่ะ” รอยยิ้มผุดขึ้นบนมุมปากชายผมทอง
“จนกว่าฉันจะบอก” ชายผมดำหันมามองสบตาผม เขายิ้มฝืดเฝื่อนเต็มที
“นายใจร้ายมาก”
“ฉันรู้”
ดูเผินๆ ชินกับผมไม่ได้ตัวติดกันตลอดเวลาซะทีเดียว บางครั้งยังแยกกันบ้าง อย่างคราวที่ผมถูกเพื่อนร่วมห้องหักหลัง นับตั้งแต่วันนั้นชินไม่ยอมห่างจากผมอีกเลย ย้อนกลับไปสมัยเจอกันครั้งแรก ทุกความทรงจำของผมล้วนมีเขาอยู่ด้วยทั้งสิ้น ต่อให้ไม่ทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ในแปดสิบเปอร์เซ็นต์ต้องมี
บอกตามทรง ผมพูดเต็มปากเลยว่า ผมอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีชิน ทุกครั้งที่หันไป มักมีเขาอยู่ในสายตาตลอด งานนี้ถือเป็นการหักดิบเราทั้งคู่ ดัดนิสัยผมไม่ให้เอาแต่ใจหวังพึ่งชินมากเกินไปและตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ก่อนที่ชินจะฝืนตัวเองจนไม่อาจย้อนกลับ
อะไรที่สะสมมากๆ วันละเล็กละน้อย มากเข้าจนระเบิดออกมา มันจะน่ากลัวสักแค่ไหน ถึงวันนั้นอาจเป็นวันสุดท้ายที่ผมมีชินอยู่เคียงข้างก็ได้ ผมไม่ยอมหรอก
นับจากวันนั้นชินทำตามความต้องการของผม สิ่งที่เชื่อมโยงเราไว้คือความเชื่อใจ เขาร่วมซ้อมกับรุ่นพี่ด้วยสีหน้าราบเรียบ พอถึงช่วงที่ต้องยิ้ม ก็แค่ยิ้มออกมาพอเป็นพิธี
คนแรกที่สังเกตความเปลี่ยนแปลงได้คือวัต เจ้าตัวคอยถามเซ้าซี้เรื่องผมกับชินตลอด ตั้งแต่วันแรกที่ชินไม่มาหาผมที่บ้านเพื่อไปมหาลัยด้วยกัน จนกระทั่งวันนี้ วัตยังไม่ยอมเข้านอน เขานั่งดูทีวีรอที่โซฟา ผมกลับมาจากทำกิจกรรมเหนื่อยๆ เดินเข้าไปโยนกระเป๋า ทิ้งหัวลงนอนหนุนตัก จั๊กจี้ในใจนิดหน่อยที่พี่ชายดันมานอนหนุนตักน้องชายทั้งที่ควรสลับตำแหน่งกัน แต่เวลานี้ผมต้องการใครสักคน
“ทำไมยังไม่นอน” ผมชิงถามก่อนทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ
“รอพี่นั่นแหละ ตกลงจะบอกผมได้ยังว่าทะเลาะอะไรกับพี่ชิน หรือว่าแย่งแฟนกัน!”
ยกมือเขกหัวน้องชายจอมเพ้อเจ้อไปที วัตลูบหัวป้อยๆ
“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง ในเมื่อพี่กับชินคบกันอยู่”
ตัดสินใจบอกไป วัตหัวเราะคิดว่าผมเล่นมุก พอผมเงียบมองด้วยสีหน้าจริงจัง รอยยิ้มค้างเติ่งบนใบหน้า วัตจ้องผมตาแทบถลน อ้าปากพะงาบๆ ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก มือไม้โบกมั่วไปหมด พูดติดอ่างอ้ำอึ้ง
“ปะ เป็นไปได้ยังไง ในเมื่อ ไม่... ไม่ใช่สิ มันไม่แปลก เอ่อ...”
“รังเกียจรึเปล่า ที่มีพี่ชายสองคนเป็นเกย์” วัตส่ายหัวทันที จ้องผมเขม็งอย่างโกรธๆ
“ผมยอมรับว่าผมตกใจ แต่ไม่เคยคิดรังเกียจ บ้านเราสอนเอาไว้ว่า ความดีไม่ควรตัดสินที่ภายนอกหรือสิ่งที่เขาชอบ มันอยู่ที่การกระทำ อีกอย่างพวกพี่ดูไม่เหมือนแฟน จะว่าเพื่อนก็ไม่ใช่ มันอธิบายไม่ถูกเพราะมันเป็นอะไรมากกว่านั้น” ใบหน้าอ่อนเยาว์ หน้านิ่วคิ้วขมวด ผมยื่นนิ้วไปจิ้มหว่างคิ้วให้คลายปมออก น้องผมไม่ควรมีเรื่องเครียด
“จะแบบไหนก็ช่าง แค่เราโอเค พี่ก็พอใจแล้ว” ยันตัวลุกขึ้นโบกมือไล่น้องไปนอน “พี่จะไปอาบน้ำ วัตก็นอนได้แล้ว พรุ่งนี้มีเรียนเช้า”
“เดี๋ยวก่อนพี่ พี่ยังไม่บอกผมเลยว่าพี่มีปัญหาอะไรกับพี่ชิน ทำไมถึงไม่มาหากันเหมือนทุกทีล่ะ” วัตดึงแขนผมถามด้วยความเป็นห่วง ผมปิดทีวี ปิดไฟ จูงมือน้องขึ้นชั้นบน
“ไม่มีอะไร พวกพี่แค่กำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ วัตไม่ต้องห่วง”
“จะไม่ห่วงได้ไง พวกพี่เป็นพี่ชายผมนะ เอางี้ วันหยุดพี่เรียกพี่ชินมา ห้ามปฏิเสธ ไม่งั้นผมโกรธ”
ดวงตาสีเทามองปริบๆ วัตโกรธง้อยากกว่าพ่อล้านเท่าพันเท่า เพราะวัตเป็นเด็กนิสัยดี ใจกว้าง ร่าเริง เข้าใจอะไรง่าย พอลองโกรธทีถึงได้ง้อยากเย็น
ผมกับชินเคยลิ้มรสมาแล้วและไม่คิดอยากจะให้เกิดขึ้นอีก เจ็บปวดเกินไป การถูกน้องชายเมินราวกับเป็นอากาศธาตุร่วมอาทิตย์เพราะถูกจับได้ว่าผมกับชินคอยกันท่าเด็กไม่ดี จัดการเด็กที่คิดร้ายกับวัต ทั้งที่คิดว่าเนียนแล้วเชียว วัตยังมองออก สมเป็นน้องชายผมจริงๆ
“เฮ้อ... เข้าใจแล้ว พี่จะพามา นอนซะ”
รับคำแบบจำยอม วัตค่อยยิ้มอ่อน สั่งให้ผมปิดไฟให้ด้วยก่อนออกไป ผมจูบหน้าผากน้อยชายราตรีสวัสดิ์ วัตโวยวายหน้าแดงบอกว่าตัวเองไม่ใช่เด็ก ผมยิ้มขำ เดินกลับห้องอาบน้ำนอน ปล่อยเวลาผ่านไปอีกหนึ่งวัน
ยิ่งแยกกัน ผมกับชินต่างคนต่างเงียบมากขึ้นเรื่อยๆ ความสัมพันธ์เรายังคงแน่นแฟ้น เพียงแค่สิ่งที่เกิดขึ้นมากดดันเราทั้งคู่ ผมบอกกับชินในวันต่อมา ให้เขามาที่บ้าน ทีแรกชินรีบหันขวับมามองผมแสดงความดีใจชัดเจน พอผมบอกว่าวัตสั่งมา ชินเหมือนลูกโป่งที่ถูกเจาะลมจนห่อเหี่ยว
วันเสาร์ที่พวกเราหยุดทุกคน ชินมาถึงบ้านตั้งแต่เช้า แม่เห็นหน้าดีใจยิ่งกว่าเจอลูกชายแท้ๆ เพราะไม่ได้เจอหน้านานเกือบเดือน วัตยังไม่ตื่น ผมกับชินเลยนั่งหาอะไรทำกันเงียบๆ เวลาประมาณสิบโมงได้ เสียงตึงตังดังมาจากชั้นบน พร้อมร่างของน้องชาย วัตทักชินรีบไปทานข้าวที่แบ่งไว้ส่วนของตัวเองจนหมด ก่อนจะลากพวกเราทั้งคู่เข้าไปในห้องนอน
ทีแรกผมคิดว่าน้องชายตัวดีจะเปิดโต๊ะสอบสวน เอาไฟส่องหน้าแบบในหนัง ผมคิดผิด ชินเองดูแปลกใจไม่ต่าง วัตปล่อยให้เราเลือกที่นั่งกันตามสบาย ชินนั่งบนเก้าอี้ ผมนั่งบนเตียง วัตหยิบกีต้าร์นั่งอยู่ตรงขอบหน้าต่าง ผมขมวดคิ้วว่าจะห้ามเพราะกลัวน้องหงายหลังลงไป วัตรู้ทันหันมาจ้องเขม็งใส่ให้ผมอยู่เฉยๆ
“พวกพี่ห้ามลุกหนี ต้องนั่งฟังจนกว่าจะจบ เข้าใจนะ” ผมกับชินมองสบตากัน ยอมทำตามโดยดี ไหงเหมือนเราเป็นเด็กทะเลาะกันเพราะแย่งขนม จนต้องให้พี่ชายมาช่วยไกล่เกลี่ย
เสียงกีต้าร์เริ่มดังเป็นจังหวะดึงความคิดของผมไปจับจ้องอยู่ที่น้องชาย วัตเริ่มร้องเพลงคลอเบาๆ เป็นเพลงไทยที่ผมไม่เคยได้ยิน
“เสียใจตลอด เสียน้ำตาทำไม ถ้าคิดว่าไม่มีใครก็ให้บอก...
ช้ำใจเท่าไร เดี๋ยวก็ลืมมันไป ต้องทุกข์ไปนานเท่าไร เธอจะพอ...”
ผมเลิกคิ้วแปลกใจ เรื่องวัตเล่นกีต้าร์เป็นผมรู้ตั้งนานแล้ว แต่ไม่ยักรู้ว่าน้องชายผมไปฝึกร้องเพลงมาด้วย
“มา... มาบอกฉัน เอาความทุกข์ ที่เธอเก็บไว้
มา... มาแบ่งกัน ให้เธอรู้ไว้ว่านี่คือเสียง ที่รู้สึกข้างใน
อยากจะรู้ สิ่งที่ถูกซ่อนไว้
ตรงนี้มีรัก ที่รอคอยเธอ เหมือนลมที่พัดอากาศ ให้เธอได้สูดเข้าไป...”
ดวงตาสีเทาหรี่ลง เข้าใจความต้องการของวัต น้องชายผมร้องเพลงเพื่อพวกเรา ลมพัดปลายผมให้พลิ้วไหว วัตนั่งดีดกีต้าร์ตรงขอบหน้าต่าง ฉากหลังคือท้องฟ้ากับปุยเมฆลอยเอื่อยๆ มันดูดีมากขนาดพี่ชายผมยังทึ่ง
“อยากให้เธอรู้ อยากให้เธอรับฟัง...
ถ้าเธอรัก ถ้าเธออยากจะเชื่อฉัน
ตอนเธอคิดถึง ใครสักคน เวลาที่ทรมาน
อยากขอเป็นใครคนนั้นที่เธอกำลังต้องการ…”
“ได้ไหม?...”
คำสุดท้ายแทบทำให้ผมกับชินนั่งไม่ติด สีหน้าเป็นห่วง แววตาอ้อนวอน ด้วยความอ่อนเยาว์ของใบหน้าและเสียงทำให้เพลงอ่อนลง แต่มันสื่อถึงความรู้สึกเต็มๆ ในเมื่อคนร้องต้องการสื่อแบบนั้นจริงๆ เราฟังวัตรอบเพลงวนอีกรอบจนจบ
“พวกพี่เป็นพี่ชายคนสำคัญของผม ผมไม่อยากเสียใครไปแม้แต่คนเดียว มีอะไรคุยกันดีๆ ถ้าไม่รู้จะคุยกับใคร มาคุยกับผมก็ได้ ผมยังเด็กก็จริง แต่ผมมั่นใจว่าการระบายออกมาดีกว่าเก็บเอาไว้ในใจ” วัตทิ้งช่วงไป แขนกอดกีต้าร์ที่ได้เป็นของขวัญวันเกิดจากผมกับชินเมื่อปีก่อน
“อย่างน้อยๆ ผมอยากให้พี่รู้ พวกพี่ไม่ได้อยู่เพียงลำพังแค่สองคน ยังมีผม มีพ่อกับแม่...”
“วัต พี่เข้าใจแล้ว” พอออกปากดัก วัตตั้งท่าจะเถียง
“แต่... เหวอ!”
ผมกับชินพร้อมใจกันดึงวัตมากอด นั้นสินะ ไม่ได้มีแค่พวกเราสองคน ยังมีน้องชายคนนี้ มีพ่อกับแม่ให้พึ่งพิง การแก้ไขอะไรไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อสิ่งที่สำคัญที่สุดคือครอบครัว ผมกับชินผูกพันกันด้วยความรู้สึก ไม่ใช่สิ่งที่ควรเป็น ทุกคนโตๆ กันหมด ตัดสินใจเองได้ ผมมองหน้าชิน
“ชิน ฉันขอยกเลิก” เขารับคำเสียงอืมในคอ
“ตอนแรกฉันไม่เข้าใจ มาตอนนี้ฉันเข้าใจทุกอย่างแล้ว ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง”
“ฉันเองก็เอาแต่ใจเกินไป เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ต้องขอโทษด้วย”
เรายิ้มให้กัน วัตผละออกจับมือผมกับชินด้วยใบหน้ายินดี
“แสดงว่าพวกพี่ดีกันแล้วใช่ปะ”
“อ่าฮะ/อืม” รับคำพร้อมกันโดยไม่ต้องนัด วัตยิ่งยิ้มกว้างเข้าไปใหญ่
“ดีเลยๆ งั้นลงไปข้างล่างกัน แม่บอกจะทำขนมเตรียมไว้รอพวกพี่คืนดีกัน” ชัดเจน นี่ต้องเป็นแผนการของวัตกับแม่แน่ๆ ส่วนคนต้นคิดหนีไม่พ้นพ่อ คิดว่าผมกับวัตได้นิสัยทั้งหลายแหล่มาจากใครล่ะ ถ้าไม่ใช่พ่อแม่
วัตประสานมือตรงท้ายทอย เดินฮัมเพลงนำพวกผมลงชั้นล่าง เป็นเพลงเดียวกับที่ร้องก่อนหน้านี้ ผมถามอย่างสนใจ
“เพลงนั้นชื่ออะไร ใครร้อง” วัตหันมายิ้มเห็นฟัน
“ชื่อ อากาศ ของโยคีเพลย์บอย เพลงเขาเพราะเยอะแยะเลย ถ้าพี่สนใจผมส่งให้ดีมะ”
“วัตร้องอัดเสียงส่งมาให้พวกพี่ดีกว่า เวลาพี่ทะเลาะกันจะได้ฟังไง” น้องชายเชื่อคำพูดผมสนิทใจ พยักหน้ารับอือๆ รับปากว่าจะทำให้ภายในอาทิตย์หน้า กลายเป็นว่า วัตร้องเพลงอัดเสียงส่งมาให้พวกผมเก็บไว้ฟังเป็นเรื่องปกติ แล้วยังมารู้ในภายหลัง ที่วัตร้องเพลงเพราะขึ้น เป็นผลจากการเรียนเสริมกับครูที่โรงเรียน
ในชั่วโมงดนตรี วัตมีแววครูเขาเลยจับฝึก แนะนำให้เพื่อนตัวเอง ส่งผลเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ ชื่อของเด็กที่มีพรสวรรค์รู้จักกันวงใน วัตสนุกกับงานอดิเรกนี้
เริ่มจากร้องเพลงวงของโรงเรียน รับจ๊อบงานเล็กๆ น้อยๆ จากครูและคนรู้จัก ลองไปเรื่อยยันพากย์เสียงจากงานเล็กเป็นงานใหญ่ หลายคนทาบทามให้ไปเป็นนักร้องไม่ก็นักพากย์ น้องชายผมทำเพราะนึกสนุก ไม่คิดจริงจังเลยปฏิเสธไปซะหมด พวกเขาเองไม่ตามตื๊อให้มากความ เด็กมีพรสวรรค์กับพรแสวง ใช่จะมีแค่คนเดียวซะเมื่อไหร่ ยังมีคนอีกมากที่ต้องการ เส้นทางในอนาคตที่อาจจะรุ่งโรจน์เลยจบลงเพียงเท่านี้ วัตยังคงใช้ชีวิตอย่างสงบสุขต่อไป
เรื่องของผมกับชิน เหตุการณ์นี้ผ่านไป เราเข้าใจกันมากกว่าเก่า ลักษณะนิสัยดั้งเดิมยังคงอยู่ อาจมีบ้างที่เปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมและเวลา แต่ไม่นับว่าเป็นปัญหาสำหรับพวกเรา ในเมื่อเรามีสิ่งยึดเหนี่ยวอย่างดีอยู่ใกล้ตัว