เนื้อหาตรงกับวันพ่อพอดีเลย อย่าลืมบอกรักพ่อกันนะครับ

----------------------------------------------------------------------------------------
Part3 พ่อ ตั้งแต่มีน้อง วินไม่ได้ตามพ่อไปทำงานอีกเลย ทุกวันถ้าไม่เล่นกับเพื่อนแถวบ้านจะต้องขลุกกับน้องชายวัยกำลังน่ารัก ชินเองยังคงสถิตอยู่บ้านนี้อย่างเหนียวแน่นอย่างเช่นวันนี้
เนื่องจากช่วงนี้ยุงระบาดหนัก ที่โรงเรียนมีการพ่นยากำจัดยุงอย่างกะทันหัน เหล่าเด็กน้อยจึงได้หยุดอยู่กับบ้านแม้เป็นวันธรรมดา อาเนซไปทำงานตั้งแต่เช้า วันนี้มีหลายที่ ที่ต้องไป กว่าจะกลับคงมืดค่ำ เหลือเพียงภรรยาคนสวยกับลูกชายทั้งสามคนอยู่กับบ้าน
ด้านนอกแสงแดดแผดเผาไม่อาจรบกวนเวลานอนกลางวันของเด็กวัยกำลังโตอย่างวัต ด้วยความที่รอบบ้านปลูกต้นไม้ให้ร่มเงา จึงมีเพียงลมพัดเย็นๆ เข้ามาภายในบ้านเท่านั้น วินกับชินนั่งเล่นเกมอยู่หน้าทีวีแบบปิดเสียง เพราะน้องชายกำลังหลับอยู่บนผ้าปูอยู่ด้านหลัง
“อย่าออมมือดิ”
เด็กผมทองวัยประถมโวยเสียงกระซิบกับเพื่อนซี้ ชินลังเลนิดหน่อยก่อนจะเริ่มเล่นแบบจริงจัง ผลที่ออกมาคือ วินแพ้ยี่สิบตารวด เจ้าตัวหัวเสียจนต้องเปลี่ยนเกมเล่นพวกแนวผจญภัยหรือแนวพัซเซิลไขปริศนาที่แสนจะถนัด
ปกติวินเก่งไปซะทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องการเรียน กีฬา โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ ส่วนเรื่องที่วินไม่ถนัดมีแทบนับนิ้วได้ ยกตัวอย่างก็เกมแนวต่อสู้ที่แบ่งคนละฝั่งต้องโจมตีอีกฝ่ายจนกว่าหลอดเลือดจะหมด วินสามารถครองตำแหน่งผู้แพ้ได้อย่างเหนียวแน่น กับเรื่องงานฝีมือที่ห่วยเกินบรรยาย
ชินแอบตั้งปณิธานเงียบๆ ในใจ สิ่งที่วินไม่ถนัด เขาจะอาสาเป็นคนทำเอง ไม่ใช่ว่ากลัววินลำบาก แค่ไม่อยากให้คนอื่นซวยเพราะวินมากกว่า ซึ่งคนซวยนั้นส่วนใหญ่จะเป็นเขาที่อยู่ข้างวินเสมอ ทั้งหมดทั้งสิ้นเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง! ชินตั้งมั่น
ระหว่างกำลังเล่น คุณแม่ยกน้ำผลไม้กับขนมมาให้ลูกชาย พลางสั่งกำชับแล้วหยิบกระเป๋าตังค์กับโทรศัพท์มือถือเตรียมจะออกไปข้างนอก
“แม่ออกไปจ่ายตังค่าน้ำค่าไฟก่อนนะเด็กๆ เฝ้าบ้านดีๆ ช่วยแม่ดูน้องด้วย”
น้ำเสียงนุ่มนวลไพเราะพร้อมใบหน้ายิ้มแย้มแผ่ออร่าความเป็นแม่ผู้ใจดีออกมาเต็มเปี่ยม แต่คนที่รู้ฤทธิ์พระมารดาจริงคงมีเพียงคุณพ่อกับวินจอมซนเท่านั้น
สองเด็กน้อยขานรับ พอรสาวางใจถึงค่อยปั่นจักรยานออกไปร้านสะดวกซื้อหน้าหมู่บ้าน แต่ก็ยังไม่วายฝากกับเพื่อนข้างบ้านอยู่ดี เวลาผ่านไปราวสิบนาที บ้านยังอยู่ในความสงบ จนกระทั่งมีเสียงกระดิ่งจักรยานดังขึ้นหน้าบ้านพร้อมเสียงตะโกนเรียกของเพื่อนวัยเดียวกัน
“วิน! ชิน! ออกไปเล่นข้างนอกกัน”
ด้านนอกหัวเราะกันเฮฮา ส่วนวินแทบจะขว้างจอยใส่หัวเพื่อน เด็กผมทองออกไปยืนจังก้าอยู่หน้าประตู ยกนิ้วชี้แตะปากแล้วส่งเสียงชู่ใส่
“ให้เงียบเหรอ? เงียบทำไม แถวนี้ไม่เห็นมีผู้ใหญ่สักหน่อยเนอะพวกเรา”
“ช่าย!”
วินก้าวฉับๆ ไปยกขายันๆ จักรยานเพื่อนหัวโจก
“ไม่มีผู้ใหญ่ แต่น้องฉันนอนกลางวันอยู่!!”
ทุกคนพากันทำหน้าบรรลุ รีบยกมือทำท่ารูดซิบปิดปากราวกับจะบอกว่า จะไม่ส่งเสียงดังอีก เห็นแบบนั้นวินค่อยพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ
ชินยังอยู่ในบ้าน มือเขากำลังช่วยตบก้นน้องเบาๆ เลียนแบบรสาเวลากล่อมวัตหลับ พอวัตที่ขยับตัวยุกยิกจากเสียงรบกวนเริ่มนอนนิ่งตามเดิมชินค่อยผละออกมาสมทบกับเพื่อนด้านนอก
“วัตยังหลับอยู่ เอาไงดีวิน จะรอให้แม่รสากลับมาก่อน พวกเราค่อยไปเล่นมั้ย”
วินถูกสายตาทุกคู่จับจ้อง เจ้าตัวกอดอกโครงหัวครุ่นคิด ปกติถ้าแม่ทำธุระเสร็จจะรีบตรงกลับบ้านมาทันที แต่ระหว่างทางจะชอบมีบ้านนู่นบ้านนี้เรียกไปคุยอยู่เรื่อยตามประสาแม่บ้าน บางครั้งยังคุยเพลินบ้างก็มี เรื่องนี้ขอรับประกันโดยวินที่เคยตามแม่ไปจ่ายตลาดเลย
ดวงตาสีเทามองเพื่อนสลับมองเข้าไปในบ้าน เด็กวัยกำลังซนพอเพื่อนมาแทบอยากจะเหาะออกไปเล่นกับเพื่อน ส่วนชิน วินว่าไงว่าตามกัน ไม่รู้ว่าเพราะไม่คิดอะไรเลยหรือขี้เกียจคิดกันแน่
ใจวินเอนไปทางเพื่อนมากกว่าครึ่ง ลังเลระหว่างจะให้พวกเพื่อนเข้าไปเล่นในบ้านดีมั้ย พอนึกขึ้นได้ว่าเจ้าพวกนี้เป็นพวกเก็บเสียงไม่เป็น มีหวังวัตได้ตกใจตื่นแหง ผลสรุปเลยกลายเป็นว่า
“เอางี้ ข้างบ้านฉันมีที่อยู่ เราไปเล่นตรงนั้นกัน”
“ได้ ส่วนปั่นจักรยานไว้รอแม่วินกลับมาก่อนแล้วกัน”
หัวโจกพยักหน้ารับ วินวิ่งกลับเข้าไปปิดประตูให้เรียบร้อยแล้วไปเล่นกับเพื่อนอยู่ข้างบ้าน เล่นตรงนี้ นอกจากจะได้ดูน้องยังได้เล่นกับเพื่อนอีกต่างหาก เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว สุภาษิตที่ครูภาษาไทยเพิ่งสอนมาเมื่อวาน
เด็กก็ยังคงเป็นเด็ก ต่อให้เรียบร้อยเชื่อฟังพ่อแม่แค่ไหน ถ้ามีเรื่องเล่นสนุกเข้ามาเกี่ยวข้อง ย่อมลืมเรื่องพวกนั้นจนหมดสิ้น เพื่อนคนหนึ่งที่มาช้ากว่าใคร ปั่นจักรยานมาบอกว่าแมวที่บ้านคลอดลูกแล้ว พวกเด็กพากันตาโตกระโดดขึ้นจักรยานกันหมด
แมวเพื่อนคนนี้วินชอบไปเล่นด้วยบ่อยๆ พอรู้ว่ามันคลอดลูกอยากไปดูจนแทบทนไม่ไหว ยอมฝ่าฝืนคำสั่งแม่คว้าจักรยานออกมานอกบ้าน ชินจับเบาะหลังไว้ ขมวดคิ้วไม่ค่อยเห็นด้วย
“เราไปไม่ได้ ต้องดูแลวัต”
วินหัวเราะด้วยรอยยิ้มสดใส
“ไปแปบเดียวเอง ไม่เป็นไรหรอก แค่ดูแวบเดียวจะรีบกลับมาเลย วัตเป็นเด็กขี้เซากว่าจะตื่นอีกนาน”
เด็กผมทองไม่ปล่อยให้เพื่อนคิดนาน ดึงแขนให้ซ้อนท้ายแล้วซิ่งออกจากบ้านตามเพื่อนคนอื่นไปด้วยความเร็วแสง ถึงที่หมาย วินรีบปรี่เข้าไปดูคนแรก แมวสีสวาดตาฟ้ากำลังนอนให้นมลูกทั้งห้าตัว บางตัวเหมือนแม่ บางตัวขนลายเหมือนพ่อ
“ตัวนี้น่ารักชะมัดเลย เดี๋ยวขอแม่เลี้ยงดีกว่า”
วินชี้ไปทางลูกแมวที่ตัวเล็กสุด สีขนชวนงง ไม่รู้จะเหมือนพ่อหรือเหมือนแม่ดี ชินมองตาปริบๆ
“น่ารักตรงไหน ขี้เหร่สุดๆ ตัวนั้นน่ารักกว่า”
เพื่อนซี้ไม่เห็นด้วย จับจ้องลูกแมวอ้วนจ้ำม่ำลายเหมือนเสือ เด็กคนอื่นต่างพากันจองตัวนั่นตัวนี้ บางทีทะเลาะแย่งกันเป็นเจ้าของเป็นที่เอ็นดูของผู้ใหญ่ เด็กผู้ชายไม่ค่อยมีความละเอียดอ่อนเท่าไหร่ ดูได้แค่แปบเดียวเริ่มเบื่อกลับไปหาอะไรเล่นข้างนอกตามเดิม เว้นแต่วินที่ชอบแมวเป็นชีวิตจิตใจ นั่งดูเพลินจนลืมเวลา กว่าจะรู้ตัวอีกทีผ่านไปครึ่งชั่วโมง ชินมองนาฬิกาบนผนังถึงกับสะดุ้ง
“วิน รีบกลับเหอะ เราออกมานานแล้วนะ”
“อีกแปบ”
ชินเลือกที่จะเงียบตามนิสัย ไม่พูดอีกเป็นครั้งที่สอง แต่ลากคอเสื้อวินออกไปทันทีโดยไม่สนเสียงโวยวาย แถมยังขึ้นจักรยานหันมาขู่
“จะซ้อนหรือจะเดิน”
คำถามง่ายๆ ที่วินได้คำตอบทันที เจ้าตัวขึ้นเหยียบที่วางเท้าแล้วเกาะบ่าเพื่อนซี้ ชินซิ่งกลับบ้านโดยไว สิ่งแรกที่วินมองคือรถจักรยานแม่บ้านของแม่
“ค่อยยังชั่ว แม่ยังไม่กลับ”
ขืนแม่กลับมาแล้วรู้ว่าพวกเขาแอบทิ้งน้องไว้ไปเที่ยวเล่น มีหวังได้ถูกดุยับแหง วินจับประตูรั้วถามชินด้วยความสงสัย
“ชินนายไม่ได้ปิดประตูเหรอ”
“ฉันปิดแล้ว”
เด็กผมดำตอบเสียงหนักแน่น วินชักเริ่มรู้สึกไม่ดี เขารีบวิ่งเข้าไปในบ้านถอดรองเท้าทิ้งแบบไม่สนใจ หลังเห็นประตูบ้านเปิดแง้มอยู่ ดวงตาพลันเบิกกว้าง พุ่งสายตาไปยังผ้าปูที่วัตนอนอยู่ มันว่างเปล่า!
“ชิน! วัตไม่อยู่!!”
พี่ชายวิ่งหน้าตื่นออกมาหาเพื่อนที่กำลังจอดจักรยานเข้าที่ ชินตาโตมองไปรอบสวน
“รีบแยกไปดูกันเร็ว วัตอาจจะยังอยู่ในบ้านก็ได้”
สองเด็กน้อยไม่กล้ารอช้า วินเป็นคนดูด้านใน ชินวิ่งดูในสวนรอบบ้าน ทั้งคู่มาเจอกันหน้าประตู ใบหน้าซีดขาว วินนึกขึ้นได้ว่าแม่ฝากป้าข้างบ้านก่อนออกไปข้างนอก ไม่แน่บางทีป้าคนนั้นเห็นพวกเขาไม่อยู่เลยพาวัตไปดูแล
วินปีนต้นไม้เตี้ยถามข้ามกำแพง ไม่อยากเสียเวลาวิ่งอ้อมไปหน้าบ้าน
“ป้าครับ เห็นน้องผมรึเปล่า”
หญิงวัยกลางคนผละจากงานบ้านเงยหน้ามองเด็กที่เธอเอ็นดูเหมือนหลาน
“ป้าไม่เห็นนะจ๊ะ”
“ขอบคุณครับ!”
วินกระโดดลงจากต้นไม้สีหน้าแย่เต็มที ชินไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ เขาจ้องที่จอดรถจักรยานเขม็ง บ้านของวินมีจักรยานอยู่สี่คัน คันแรกเสือภูเขาของพ่อ ยังคงจอดให้ฝุ่นเกาะอยู่ตามเดิม จักรยานแม่บ้านของแม่ จักรยานสองล้อของวิน และจักรยานสี่ล้อลายอุลตร้าแมนของวัต...
มันหายไป!
“น้องบ้าไม่น่าสอนปั่นจักรยานเลย!”
พ่อเป็นคนสอนเขาปั่นจักรยาน ตัวเองเป็นคนสอนน้องอีกที วินโวยกับท้องฟ้าแล้วรีบปิดบ้านซ้อนท้ายชินเพื่อออกไปหาน้องข้างนอก หมู่บ้านที่พวกเขาอยู่ถือเป็นหมู่บ้านใหญ่พอสมควร แถมมีทางลัดซอกซอยเยอะ ได้แต่หวังว่าขาสั้นๆ ของวัตคงปั่นไปได้ไม่ไกล
ป้าเพ็ญข้างบ้าน พอเด็กเด็กๆ รีบร้อนออกไป จากประสบการณ์เลี้ยงลูกหลานมาทำให้เดาได้ว่าเจ้าตัวเล็กหายออกจากบ้านแน่ๆ ส่วนหนึ่งเธอเองก็ผิดที่ไม่ทันใส่ใจดูแล ในฐานะผู้ใหญ่ต้องรีบบอกคนอื่นๆ แถวนั้นให้ช่วยกันออกตามหาแล้วโทรบอกรสาแม่ของเด็ก
รสาตอนนั้นกำลังกลับพอดี เพราะเครื่องคิดเงินที่ร้านสะดวกซื้อมีปัญหา กว่าช่างจะมาซ่อมเสียเวลาไปไม่น้อย
“สวัสดีค่ะ เด็กๆ ซนเหรอคะป้าเพ็ญ”
คุณแม่ถามด้วยน้ำเสียงขบขัน แต่สิ่งที่เธอได้ยินทำเอาใจกระตุกวูบ แทบจะทำโทรศัพท์ร่วงจากมือ
“รสาตาวัตหายไป ฉันกำลังออกตามหาพร้อมกับคนแถวนี้ เธอรีบกลับมาเถอะ”
“ค่ะ ฉันจะรีบกลับไป แล้ววัตกับชินล่ะคะ”
ต่อให้ตกใจแค่ไหน สิ่งที่คนเป็นแม่ควรมีในเวลานี้คือสติ เธอสูดลมหายใจลึก ถามถึงลูกชายอีกสองคนด้วยความหวังว่าเด็กๆ คงซนพาน้องออกไปเล่นเฉยๆ
“เด็กสองคนนั้นรีบออกไปหาน้องแล้ว”
“ขอโทษนะคะที่ทำให้วุ่นวาย”
มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ทั้งที่ยังเร่งปั่นให้ถึงบ้าน อย่างน้อยเธอก็วางใจได้เปราะหนึ่ง ลูกชายคนโตกับเด็กที่เอ็นดูเหมือนลูกยังปลอดภัย
“ไม่เป็นไร ฉันเองก็ผิด ทั้งที่เธอฝากไว้แท้ๆ รสา เธอรีบกลับมานะ ฉันจะออกไปหาต่อ”
“ค่ะป้าเพ็ญ”
มือเรียวสวยแต่หยาบกร้านจากการทำงานบ้าน กดวางสายปั่นไปถึงบ้านทั้งที่เหนื่อยหอบ ภายในบ้านไร้วี่แววของเด็กๆ รสารีบตามไปสมทบกับคนแถวนั้นออกตามหาลูก เสียงเรียกชื่อดังระงม ภายนอกแม้จะดูเข็มแข็ง แต่ในเวลานี้มือของเธอสั่นไปหมด ในหัวนึกภาพชายคนรักที่พึ่งพิงทั้งกายและใจ
วัตจะต้องไม่เป็นไร ฉันจะต้องหาลูกให้เจอ...
ทางฝั่งเด็กชายสองคน พวกเขาไปทุกที่ ที่เคยพาวัตไปและคาดว่าน้องชายจะอยู่ ไม่ว่าที่ไหนก็หาไม่เจอ ชินปั่นจนเมื่อยขาต้องสลับกับวิน พวกเขาช่วยกันตะโกนเรียกชื่อพลางถามคนแถวนั้นจนมาถึงสวนสาธารณะ เห็นพวกเพื่อนเลยจอดถาม เจ้าพวกนี้ปั่นไปทั่วหมู่บ้าน อาจจะเห็นบ้าง
“เฮ้ย เห็นวัตกันมั้ย”
เจ้าของแมวเตะบอลส่งให้เพื่อนแล้วตะโกนกลับมา
“เห็นดิ วัตถามหาพวกนายอยู่ ฉันเลยบอกว่าอยู่ที่บ้าน... เฮ้ย! พวกมันรีบไปไหนกัน”
ยังพูดไม่ทันจบประโยคดี สองพี่ชายรีบบึ่งกลับเส้นทางเดิม เพราะชินใช้ทางลัดกลับบ้าน คงจะสวนกันแน่ ปั่นจนไปถึงบ้านเพื่อน เห็นจักรคุ้นตาจอดอยู่ สองพี่ชายโยนจักรยานทิ้งพุ่งตัวเข้าไปเห็นน้องชายกำลังนั่งมองแมวอยู่ ใบหน้าน่ารักหันมายิ้มแป้นไม่รู้เรื่องรู้ราว
“พี่วิน พี่ชิน! มาดูสิ ลูกแมวน่ารัก ไปขอแม่เลี้ยงกัน”
สองพี่รู้สึกหมดแรง ทรุดลงนั่งเป็นหมาหอบแดด ตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อขนาดคุณน้าเจ้าของบ้านยังนึกเป็นห่วง
“ไปเล่นที่ไหนกันมา ดูซิเหงื่อท่วมเลย อ้าว แล้วไม่ได้อยู่กับลูกชายน้าเหรอ”
ทั้งคู่ส่ายหัว วินเป็นคนเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง หัวอกคนเป็นแม่เหมือนกันขมวดคิ้วรีบบอกให้วินกับชินรีบพาน้องกลับ ไม่รู้ว่าป่านี้รสาจะเป็นห่วงแค่ไหน เด็กสองคนรับคำ ยกมือไหว้ก่อนพากันกลับบ้าน
ที่หน้าบ้านมีแต่ผู้ใหญ่ยืนเต็มไปหมด ที่โดดเด่นที่สุดคงเป็นคุณแม่ที่ยืนหน้าซีดอยู่หน้าบ้าน พอรสาเห็นลูกชาย รีบถลาเข้ามาหา จับเนื้อจับตัวลูบผมถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
“วัต! ลูกไปไหนมา พวกลูกปลอดภัยดีใช่มั้ย”
“ผมไปดูลูกแมวมา แม่ฮะ ผมขอเลี้ยงแมวนะ”
เด็กน้อยผู้ไม่รู้อะไร ทำอ้อนตาใส คนเป็นแม่คว้ามากอด ไม่ทันตอบคำถามหันไปขอบคุณทุกคนที่ช่วยออกตามหาลูกชาย
“ขอบคุณมากค่ะที่ช่วยตามหาลูกฉัน”
ผู้ใหญ่ชายหญิงพากันส่ายหัว ผู้หญิงเข้าใจกันเดินมาตบบ่าลูบหลัง
“ไม่เป็นไร มีอะไรก็ช่วยๆ กัน ครอบครัวพวกเธอเองก็ช่วยเราเอาไว้เยอะ”
“ใช่ๆ อีกอย่าง ถ้าไม่ช่วยหา มีหวังอาเนซได้อาละวาดหมู่บ้านแตกจนพวกเราไม่มีที่ซุกหัวนอนพอดี เฮ้ยพวกเอ็ง บอกคนอื่นด้วยเราเจอเด็กแล้ว”
ผู้ชายอีกคนหัวเราะเบิกบานไม่ถือสาพลางหันไปตะโกนกระจายข่าวให้คนอื่น หลังเรื่องจบทุกคนพากันแยกย้ายกลับบ้านตัวเอง ส่วนเด็กชายสองคนผู้มีความผิดได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา คราวนี้รสาไม่ดุอย่างทุกที เธอเพียงแค่บอกว่าจะให้อาเนซมาจัดการและไล่ทุกคนไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ
ช่วงค่ำหลังมื้อเย็น อาเนซนั่งฟังเรื่องทุกอย่างจากภรรยา มือใหญ่ลูบมือภรรยาเบาๆ มองด้วยแววตาชื่นชม
“รสาเธอทำได้ดีแล้ว ไม่เป็นไรนะ”
แค่เพียงคำพูดธรรมดากับน้ำเสียงอบอุ่นทำให้เธอทิ้งความกังวลได้อย่างหมดจด เธอยิ้มบางให้คนรักและพาลูกชายคนเล็กไปนอน เพื่อที่คุณพ่อจะได้สั่งสอนลูกต่อไป
วินกับชินนั่งเงียบอยู่ในห้องนั่งเล่น ปกติเวลานี้ชินควรจะกลับบ้าน แต่เพราะพรุ่งนี้เป็นวันเสาร์เขาเลยค้างคืนกับวินเหมือนทุกที อาเนซออกจากห้องครัวที่คุยกับภรรยายืนมองลูกชายด้วยใบหน้าดุดัน
“วินไปเด็ดก้านมะยมมา”
คำสั่งเรียบง่ายทำให้วินหน้าซีดเพราะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เขายอมออกไปในสวนเด็ดก้านมะยมมาตามที่พ่อสั่ง อาเนซรูดใบมะยมทิ้งทั้งหมด เรียกวินไปยืนกอดอกอยู่ตรงระเบียงติดกับสวน
“ลูกรู้รึเปล่าว่าทำอะไรผิด”
“รู้ครับ” วินตอบเสียงเบา ชินเริ่มนั่งไม่ติดด้วยความเป็นห่วงเพื่อน บ้านเขาไม่มีการตีแบบนี้ แม้จะได้ยินวินบ่นเรื่องโดนแม่ตีบ่อยๆ แต่ยังไม่เคยเห็นกับตา มาวันนี้ถึงรู้ว่ามันน่ากลัวสุดๆ คิดว่าน่ากลัวว่าแม่รสาด้วย
“รู้ว่าอะไร”
อาเนซถามด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่มีการตะคอก แดกดัน ประชดหรืออะไรทั้งสิ้น เขาต้องการสั่งสอนลูก ไม่ใช่ข่มให้ลูกกลัวตัวเอง
“ผมไม่ทำตามที่แม่สั่ง ปล่อยน้องให้อยู่คนเดียว”
“ดี ถ้าเข้าใจแล้วพ่อจะลงโทษลูก วันหลังห้ามทำแบบนี้อีก”
วินพยักหน้ารับขอบตาแดงก่ำ ริมฝีปากเม้มแน่นเตรียมรับความเจ็บ ยังไม่ทันที่อาเนซจะง้างมือตี ชินกลับวิ่งเข้ามาขวาง
“เดี๋ยวครับ! ถ้าจะลงโทษ ลงโทษผมด้วยเพราะผมเองไม่ยอมห้ามวิน”
อาเนซนึกถึงพ่อของเด็กตรงหน้า ทางนั้นเลี้ยงลูกอย่างกับเทวดาคงไม่เคยตีลูกแน่ แต่พอนึกถึงเรื่องที่อีกฝ่ายฝากให้ดูแลสั่งสอนลูกชายได้เต็มที่ จึงพยักหน้ารับ
“พ่อจะตี 5 ที คนหนึ่งต้องโดนสามที อีกคนจะโดนแค่สอง พวกลูกเลือกมา” เขาลดมือลงถามอย่างใจเย็น
“ผมขอสามทีครับ!”
ชินตอบทันที วินสวนขึ้นมาอย่างไม่ยอม
“ไม่ได้ ฉันต้องโดนสาม นายโดนแค่สองพอ คนที่ไม่ฟังและชวนนายออกไปคือฉัน”
วินประกาศกร้าว ภายนอกอาเนซไม่มีท่าทีกับการทะเลาะกันของเด็กสองคนตรงหน้า แต่ลึกๆ ในใจ เขากำลังภูมิใจในตัวลูกชายและลูกของเพื่อน
“ดี! ลูกผู้ชาย กล้าทำต้องกล้ารับ ทั้งคู่กอดอกหันหลัง!”
เขาสั่งเสียงเข้ม คราวนี้วินไม่มีอาการกลัวเท่าตอนแรก แม้จะยังหวาดๆ แต่ดูเหมือนยืดอกรับความผิดที่ตัวเองก่อ เด็กทั้งสองโดนตามจำนวนที่ระบุไว้ อาเนซไล่ทั้งคู่ไปนอน เด็กสองคนพากันลูบก้นเดินขึ้นชั้นบน ทั้งที่เจ็บแสนเจ็บ แต่พยายามกลั้นน้ำตาไม่ยอมร้องไห้ทั้งคู่ พอลับสายตาไป เขาโยนก้านมะยมทิ้งราวกับไม่อยากแตะมันอีกเป็นครั้งที่สอง
ความจริงมีอีกวิธี ที่จะลงโทษโดยไม่ต้องตี คือการพูดให้สำนึกว่าตัวเองทำอะไรลงไปและผลที่ตามมามันร้ายแรงแค่ไหน แต่เด็กทั้งคู่อายุแค่นี้ หากใช้วิธีแบบนั้นเกรงว่าจะมีผลกระทบทางด้านจิตใจ ผู้นำครอบครัวถอนหายใจเฮือกใหญ่ จังหวะเดียวกับที่ภรรยาลงมาหาพอดี
“รับบทโหดที่ไม่ชิน ลำบากหน่อยนะ”
รสากลับเห็นท่าทางงุ่นง่านของสามีเป็นเรื่องขำ เลยโดนค้อนไปทีหนึ่ง
“ที่รัก เธอก็รู้ว่าฉันรักลูกแค่ไหน ให้มาดุด่าตีเองกับมือฉันอยากจะโดนแทนด้วยซ้ำ ต่อให้เจ็บแค่ปลายก้อยก็ไม่อยากให้เจ็บ”
“ปากพูดแบบนี้ แต่เมื่อกี้ไม่ออมมือเลยไม่ใช่เหรอ ถึงได้ลูบก้นกันขึ้นไปชั้นบน” มือเรียวลูบต้นแขนคนรัก อาเนซถอนหายใจอีกเฮือกหนึ่ง
“ถ้าออมมือไว้ตีเบาแบบเธอลูกก็ไม่จำน่ะสิ ว่าแต่ ดูเจ็บมากเลยเหรอ ฉันว่ายั้งๆ แรงไว้บ้างแล้วนะ จริงสิ”
พูดจบเจ้าตัวเดินไปคุ้ยตู้ยาสามัญประจำบ้าน หยิบเอากระปุกขี้ผึ้งสมุนไพรสูตรบ้านรสามาส่งให้ภรรยา
“ก่อนนอนเอาไปทาให้เด็กๆ ที”
“จ้าๆ นายเอกก็ขึ้นไปอาบน้ำได้แล้ว วัตรอฟังนิทานก่อนนอนอยู่นะ”
พอบอกว่าลูกชายคนเล็กรอ คนพ่อก้าวเท้ายาวๆ ขึ้นไปชั้นบนอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อ คว้าหนังสือเรื่องตำนานหมาป่ามาอ่านให้ลูกฟัง ตัดพวกฉากโหดร้ายทั้งหลายทิ้งจนหมด ตัวอาเนซก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ทำไมลูกชายคนเล็กถึงไม่ชอบฟังนิทานอย่างเด็กเลี้ยงแกะ หนูน้อยหมวกแดงเหมือนเด็กคนอื่น สุดท้ายก็สะบัดหัวไล่ความคิดนั่นทิ้ง ขอแค่ลูกมีความสุขก็พอแล้ว
วันถัดมา วินกับชินยังออกอาการเกร็งเวลาเจอพ่อ อาเนซต้องไปร้องกระซิกกับภรรยาทุกคืน จะใจอ่อนไปโอ๋เอาใจก็ไม่ได้ เดี๋ยวเสียการปกครอง ผ่านไปสามวันวินกลับมาซนกวนพ่อตามเดิม ชินแม้จะเงียบเป็นปกติ แต่ให้ความรู้สึกสนิทสนมเป็นครอบครัวกันมากขึ้นจนอาเนซเริ่มคิด ยึดมาเป็นลูกตัวเองอีกคนเลยดีมั้ยนะ