กำเนิดซาตานวิน
พาทนี้เป็นพาทพิเศษ เรื่องราวสมัยเด็กของพี่วินจนถึงปัจจุบัน
ทีแรกว่าจะแต่งหนุ่มวายนิยายอีกเรื่องให้จบ แล้วค่อยเปิดมาเซอร์ไพรส์
แต่มันยาวกว่าที่คิด เลยอัพมาให้อ่านก่อน เซอร์ไพรส์มั้ย 55555+
Part1 ลูกชาย
หน้าห้องคลอด มีชายคนหนึ่งเดินไปเดินมาเหมือนหนูติดจั่น ดวงตาสีเทามองไปทางประตูเป็นระยะ ที่นั่งใกล้กันชายและหญิงชรามองลูกเขยด้วยอาการวิงเวียนศีรษะ
“ตาเนชเลิกเดินไปเดินมาได้แล้วฉันเวียนหัว”
มือเหี่ยวย่นตามวัยยกยาดมขึ้นจ่อจมูก สามีที่เคียงคู่กันมานานกลายสิบปีถอนหายใจยื่นขาไปด้านหน้า จังหวะเดียวกับที่ลูกเขยหมุนตัวเดินมาพอดี ร่างสูงโปร่งสะดุดเข้าอย่างจัง ร่วงไปกองบนพื้น ถึงขนาดนั้นยังมีหน้าลุกขึ้นสะบัดหัวแล้วเดินต่อสร้างความเหนื่อยหน่ายให้แก่คนสูงวัย
“ช่างมันเถอะคุณ ลูกคนแรกนั่งไม่ติดแบบนี้แหละ”
หญิงชราค้อนใส่วงใหญ่ ปากบอกช่างแต่คิดแกล้งลูกเขยยื่นขาไปขวางรอบสอง คราวนี้คนเจ็บรู้ทัน จัดการก้าวข้ามอย่างสวยงาม กระทั่งประตูเปิดออกพร้อมนางพยาบาลในชุดทำคลอด เสียงเด็กแผดเสียงร้องจ้าแทบลั่นตึก
“ได้ลูกชายค่ะ แข็งแรงทีเดียวส่งเสียงร้องใหญ่เลย”
ใบหน้านางพยาบาลยิ้มแย้ม คนเป็นพ่อเต็มตัวมองร่างเล็กในอ้อมแขนหญิงตรงหน้าน้ำตาไหลอาบแก้ม หญิงชราตกใจเข้ามากอดปลอบลูกเขย
“แล้วภรรยาผมล่ะครับ”
“ปลอดภัยดีค่ะ”
รอยยิ้มปรากฎขึ้นบนใบหน้าทั้งสามคน อาเนชอุ้มประคองลูกน้อยอย่างเบามือ ก้มลงใช้จมูกโด่งยื่นเข้าหา มือเล็กจิ๋วปัดป่าย
“ขอบคุณที่เกิดมา ‘อาชวิน’ ”
4 ปีผ่านไป...
“พ่อ! เร็วสิ”
เด็กชายวัยสี่ขวบครึ่งตะโกนเรียกพ่ออยู่หน้าบ้าน เรือนผมสีทองยุ่งเหยิงตามประสาเด็กซน ดวงตาสีเทาชอบสังเกตสิ่งต่างๆ รอบตัวอยู่เสมอ เสื้อผ้าเป็นเสื้อยืดคอกลมกางเกงเอี้ยมดูทะมัดทะแมง ชายร่างสูงผู้มีสีผมและสีตาเหมือนกันราวกับถอดพิมพ์เดินอ้าปากหาวออกมาจากบ้าน
“วินพ่อง่วงจังเลย” คุณพ่องอแงแทนลูกชายที่ปัจจุบันซนอย่างกับลิง
“ตื่นๆ ไปทำงาน” เด็กน้อยวิ่งมาเขย่าขากางเกงพ่อ คุณแม่ยิ้มแย้มส่งข้าวกล่องให้สองพ่อลูก ก่อนย่อตัวลงลูบหัวลูกชาย
“วินไปกับพ่ออย่าดื้อนะ แม่ฝากดูแลพ่อด้วย” คนถูกฝากหันมามองค้อนภรรยาตัวเอง
“ครับผม! เชื่อมือวินได้เลย” เด็กชายอาชวินรับคำแข็งขัน ท่าทางตั้งมั่นจูงมือพ่อตัวเองขึ้นรถ แต่คนพ่อยังไม่วายหอมแก้มภรรยาสาวเป็นกำลังใจก่อนไปทำงาน เพราะมัวแต่โอ้เอ้เลยถูกลูกชายเตะแข้งเข้าให้ กระโดดเหยงๆ ท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะจากภรรยา รสาโบกมือให้ลูกชายกับคนรักจนกระทั่งรถลับตาไป เป็นภาพครอบครัวที่แสนอบอุ่น
อาเนชมีอาชีพเป็นนักโปรแกรมเมอร์ คอยเขียนระบบให้กับบริษัทหลายแห่งแต่ไม่ได้ประจำบริษัทไหนเป็นพิเศษ มีหลายระบบที่อาเนชเป็นคนสร้างบุกเบิกเองทำให้มีคนรู้จักกว้างขวาง พักหลังมีลูกชายติดสอยห้อยตามไปทำงานด้วย วินเป็นเด็กฉลาดไม่กวนพ่อทำงาน แถมยังถอดนิสัยพ่อมาแบบเต็มๆ ไม่เท่าไหร่ก็รู้จักคนไปทั่ว
วันนี้อาเนชมาทำงานให้คนรู้จัก ขณะคนพ่อขึ้นไปดูระบบข้างบน ลูกชายนั่งเล่นอยู่ตรงส่วนรับรองชั้นล่าง ประตูกระจกเปิดออก ชายดูมีภูมิฐานเดินเข้ามาพร้อมเด็กวัยไล่เลี่ยกัน ดวงตาสีเทามองอย่างสนใจ
“โอ้ นั่นลูกชายของอาเนชใช่มั้ย” ผู้ใหญ่เอ่ยทัก วินลุกขึ้นยกมือไหว้น่ารักตามที่แม่สอน
“สวัสดีครับ ผมเด็กชายอาชวิน อายุสี่ขวบครึ่ง ลูกพ่ออาเนชกับแม่รสาครับ!”
เสียงใสบอกชัดเจนพร้อมรอยยิ้มราวดับดวงตะวัน เด็กชายอีกคนกระพริบตาปริบๆ มองภาพนั้นแบบอึ้งๆ
“สวัสดีหนุ่มน้อย ลุงชื่อทร นี่ลูกชายลุงชื่อชิน” เจ้าของบริษัทแนะนำลูกชายตัวเอง เด็กน้อยสองคนมองสบตากัน วินยื่มมือไปข้างหน้า ชินหรี่ตามองไม่คิดจะสุงสิงด้วย คุณพ่อส่ายหัวพยักหน้าให้ลูกชาย ชินเลยต้องยื่นมือไปจับอย่างเลี่ยงไม่ได้ มือเล็กจับกันเขย่าเลียนแบบผู้ใหญ่
“พอดีเลย ชินไปเล่นกับเพื่อนสิลูก ตามพ่อขึ้นไปข้างบนมันน่าเบื่อใช่มั้ยล่ะ ฉันฝากดูแลเด็กพวกนี้ด้วย ถ้าพวกเขาต้องการอะไร จัดการตามนั้นล่ะ ใครถามบอกว่าฉันสั่ง”
น้ำเสียงเอ็นดูพูดกับเด็กชายสองคน ท้ายประโยคหันไปสั่งพนักงานแถวนั้นก่อนขึ้นไปทำงานชั้นบน คล้อยหลังผู้ใหญ่มือเล็กยังคงจับกันไม่ปล่อย เหล่าพนักงานมองอย่างหวั่นใจ ‘ชินกฤต’ คือลูกชายสุดที่รักของท่าน ’ผณินทร’ ถ้าเกิดเด็กสองคนทะเลาะกันขึ้นมาจนได้แผล ความซวยมาเยือนแน่
“ปล่อยมือ”
เด็กชายผมดำพูดเสียงห้วน เขาถูกพ่อแม่เลี้ยงดูมาต่างจากเด็กทั่วไปแถมยังถูกตามใจแบบสุดๆ ทำให้มีนิสัยเอาแต่ใจ เย็นชา หยาบกระด้างพอสมควร คนฟังขมวดคิ้วมุ่น
“นิสัยไม่ดีระวังจะไม่มีเพื่อนนะพ่อบอกว่าแบบนั้น ไปกันเถอะเล่นข้างนอกกัน”
วินไม่ฟังแถมยังสอนอีกฝ่ายพลางดึงแขนออกไปด้านนอกที่มีสวนขนาดเล็กกับต้นไม้ต้นใหญ่ให้ร่มเงา ทีแรกชินคิดจะสบัดมือออก แต่พอมองใบหน้าอีกฝ่ายจากทางด้านหลัง สุดท้ายเด็กผมดำเลยต้องเดิมตามไปอย่างจำใจ โดยมีพนักงานถอนหายใจอย่างโล่งอก คอยมองตามเด็กทั้งสองตลอดเวลา
ด้านนอกแดดร้อน ไม่เป็นอุปสรรคของวินเลยสักนิด เจ้าตัวลากเพื่อนใหม่ไปยืนใต้ร่มไม้
“เราจะเล่นอะไรกันดี”
“ฉันจะรู้นายเหรอ นายลากฉันออกมาเองนะ”
“งั้น... เรามาปีนต้นไม้แข่งกัน!”
พูดจบออกตัวทันที ร่างเล็กปีกขึ้นต้นไม้อย่างคล่องแคล่ว ก้มลงมามองเด็กผมดำที่ยังคงยืนนิ่งหน้าบูดอยู่ด้านล่าง
“ทำไมไม่ขึ้นมาอะ”
“ฉันไม่เล่นอะไรแบบนี้” เด็กชินหันหน้าหนีไปทางอื่น วินทุบมือปุไต่ลงมาจากต้นไม้
“นายปีนต้นไม้ไม่เป็น ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันจะดันหลัง นายค่อยเหยียบกิ่งไม้นั่นขึ้นไป”
ชินยังคงเฉย ไม่สนอีกคนที่พยายามจะชวนเล่นเลยสักนิด วินยังไม่ละความพยายามงัดสารพัดคำพูดมากล่อมให้อีกฝ่ายปีนต้นไม้เล่นกับตน ทั้งดันหลัง ดึงแขน สุดท้ายชินเริ่มรำคาญเดินหนีดื้อๆ
“เด็กผู้ชายอะไรปีนต้นไม้ไม่เป็น ขนาดเด็กผู้หญิงยังปีนได้เลย”
เด็กน้อยผู้ไม่รู้อะไร คนที่ถูกเลี้ยงมาแบบลูกคุณหนูเต็มขั้น กับเด็กแก่นซนแบบเจ้าตัวมันแตกต่างกันคนละเรื่องแต่เสียงอุบอิบจากทางด้านหลัง ไม่รู้จงใจรึเปล่า มันไปสะกิดต่อมบางอย่างเข้าเต็มๆ ชินหันขวับก้าวฉับๆ กลับมาคว้าไหล่อีกฝ่าย วินเอียงคอมองสงสัย
“ยื่นมือมา”
วินยื่นมือไปแบบงงๆ ชินถอดรองเท้าถุงเท้าทิ้ง เหยียบมือวินยื่นแขนไปจับกิ่งไม้ พยายามปีนขึ้นไปด้านบนอย่างทุลักทุเล เห็นอีกฝ่ายยอมเล่นกับตัวเองสักที วินดีใจให้ความร่วมมือเต็มที่ จนกระทั่งเด็กสองคนไปนั่งบนกิ่งไม้ใหญ่ พิงลำต้นมองวิวจากด้านบน
สำหรับผู้ใหญ่มันคงสั้นนิดเดียว แค่เอื้อมมือไปก็ถึง สำหรับเด็ก ความสูงระดับนั้นก็จิตนาการเป็นตุเป็นตะมองวิวรอบข้างตื่นตาตื่นใจ ดวงตาสีดำเป็นประกายมองทุกอย่างจากมุมที่ไม่เคยเห็น
ลมเย็นพัดผ่าน ใบไม้โบกไหว เสียงนกร้องเกาะกิ่งไม้ที่อยู่ห่างออกไป ก้อนเมฆสีขาวลอยเอื่อยๆ ผ่านดวงอาทิตย์
“รู้มะที่บ้านฉันน่ะพ่อเอาไม้มาติดเป็นบันได มีชิงช้าด้วย ดีกว่าที่นี่อีก”
วินเล่าเรื่องของตัวเองอย่างสนุกสนาน ชินทำเป็นไม่สนใจ แต่ภายในคิดแล้วว่ากลับบ้านไปจะขอพ่อผูกชิงช้าให้บ้าง เด็กสองคนสนิทกันมากกว่าเดิม ต่างคนต่างเอาเรื่องของตัวเองมาอวดกันไม่มีใครยอมใคร จนกระทั่งดวงตาสีเทาเห็นชายวัยกลางคนกำลังก้มๆ เงยๆ อยู่แถวพุ่มไม้
“ชินๆ ลุงคนนั้นเขาทำอะไร”
เด็กผมดำมองตามนิ้วอีกฝ่าย เห็นคนสวนประจำบริษัท ตอบเสียงเรียบ
“ทำสวน”
“ทำสวนคืออะไร?” พอโดนคำถามสวนกลับมาทันทีเล่นเอาชะงัก คิ้วเล็กขมวดพยายามตอบ
“ทำสวนคือปลูกต้นไม้”
“ปลูกไปทำไม”
“ฉันไม่รู้”
“ชินไม่เก่งเลยอะ พ่อเราเก่งกว่าตอบได้ทุกอย่าง” วินพูดพลางปีนลงจากต้นไม้
“ฉันอายุแค่สี่ขวบครึ่งเหมือนนายนะ วินจะไปไหน” ชินปีนตามลงมาใช้เวลามากกว่าอีกคนจม ความเป็นลิงมันต่างกัน
“ไปถามลุงว่าปลูกต้นไม้ทำไม” ชินคว้ามืออีกคนไว้ วินหันมามองอย่างสงสัย
“แต่เขาเป็นคนสวน”
“ทำสวนคือปลูกต้นไม้ คนสวนคือคนปลูกต้นไม้ อยากรู้เกี่ยวกับต้นไม้ ต้องถามคนสวน!” ตรรกะแบบเด็กๆ ทำเอาชินงง ดูเหมือนคนพูดเองยังมึน สรุปวินเปลี่ยนมาคว้ามืออีกฝ่ายแทน ลากไปทางลุงผิวคล้ำแดดจากการทำงาน ไม่ว่าชินจะพูดอะไรก็ไม่ฟัง วินอาสาเข้าไปถาม ส่วนชินยืนเว้นระยะห่าง
“คุณลุงครับ”
เสียงเด็กเรียกความสนใจ มือหยาบกร้านจากการทำงานหนักหยุดชะงัก หันมาเห็นใบหน้าน่ารักสมวัยเกิดความเอ็นดู
“มีอะไรครับคุณหนู” สายตาคนสวนเห็นลูกเจ้าของบริษัท คิดว่าน่าจะเป็นเด็กฐานะเดียวกันจึงเลือกใช้คำเรียกแบบนั้น
“ผมไม่ได้ชื่อหนูสักหน่อย ผมชื่อเด็กชายอาชวิน เพื่อนๆ เรียกว่าวิน คุณลุงปลูกต้นไม้ทำไมเหรอครับ”
เขานึกแปลกใจไม่น้อย ปกติเด็กที่บ้านมีฐานะ มักจะไม่สุงสิงกับพวกคนทำงานใช้แรงแบบเขา บางคนถึงขนาดไม่ยอมเข้าใกล้ด้วยซ้ำ แต่เด็กคนนี้มาแปลก แนะนำตัวฉะฉาน ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น ชวนให้นึกถึงหลานชายที่บ้าน กำลังอยู่ในวัยเจ้าหนูจำไม
“ลุงปลูกให้ร่มเงา” เขาพูดไปทำงานไป มือเปื้อนดินดูสกปรก เด็กชายไม่รักเกียจแม้แต่น้อย ขยับเข้ามานั่งย่องๆ ดูข้างๆ
“ร่มเงา?”
“ใช่แล้ว ต้นไม้ช่วยบังแดดทำให้ไม่ร้อน”
“แบบนี้นี่เอง เวลาผมอยู่ใต้ต้นไม้ถึงไม่ร้อน อ๊ะ คุณไส้เดือน ชินดูดิ คุณไส้เดือนๆ”
นิ้วเล็กหยิบเอาไส้เดือดตัวนุ่มขยับยุกยิกขึ้นมาจากดิน หันกลับไปชูให้เพื่อนดู ชินถอยหลังหนีแบบไม่ต้องคิด
“นายจับเข้าไปได้ยังไง ทิ้งไปเลยนะ” เด็กผมดำทำท่าขยะแขยงเต็มกำลัง คนสวนหัวเราะขำบอกด้วยรอยยิ้มอ่อน สอนเด็กอย่างใจเย็น
“คุณไส้เดือนทำให้ต้นไม้โตไว เอาวางที่เดิมดีกว่า ถือไว้แบบนั้นเดี๋ยวมันตายนะ”
“วินไม่อยากให้มันตาย เอาไว้ที่เดิมแล้วกัน” มือขาวหย่อนไส้เดือนลงดินตามเดิม ชินถอนหายใจโล่งอก
“วินเรากลับเข้าไปข้างในกัน” ชินชวนเพื่อน เขาอยากออกจากตรงนี้เต็มแก่
“ไม่อะ ข้างในไม่มีอะไรเล่นน่าเบื่อ คุณลุงผมขอปลูกต้นไม้ด้วยได้มั้ย ที่บ้านผมช่วยแม่ปลูกด้วยนะ ต้นขนาดนี้เลย” ลิงวินยังไม่หยุดซนอาสาช่วยปลูกต้นไม้ แขนเล็กกางออกกว้างบอกขนาดทั้งซะโอเว่อที่มันเป็นแค่ต้นพริกเล็กๆ เท่าฝ่ามือ
ลุงคนสวนลำบากใจ สุดท้ายทนลูกตื้อไม่ไหว ขยับหลบให้เด็กช่วยขุดดิน ปลูกไม้สวนขนาดเล็กลงดิน วินฮัมเพลงเลียนแบบพ่อ ขุดปลูกใช้ดินโปะๆ ขะมักเขม้น ชินเห็นเพื่อนสนุกขนาดนั้น เลยเผลอเดินเข้ามาใกล้ทีละนิด จนมานั่งอยู่ข้างๆ วิน
“ชินมาปลูกด้วยกันสิ จะได้ร่มเงาเชียวนะ”
“ไม่เอา ดินสกปรก มีเชื้อโรคอะไรบ้างก็ไม่รู้” คนสวนไม่แปลกใจกับคำตอบคุณหนูชินสักเท่าไหร่
“ไม่มีหรอก ฉันจับดินมาตั้งเยอะไม่เห็นเป็นไร นี่ๆ ลองดู” ต้นกล้าถูกจับยัดใส่มือชิน เจ้าตัวทำหน้าแหยะ จะโยนทิ้ง วินทำปากยู่
“ชินไม่เก่ง ปลูกต้นไม้ไม่เป็น”
“กับอีแค่ปลูกต้นไม้ ยากตรงไหน!” เกิดแรงฮึด ชินขุดดินปลูกต้นไม้ตามวิน เขาขมวดคิ้วนิดๆ สัมผัสเย็นจากดินไม่ทำให้รู้สึกแย่เหมือนที่คิด ทำไปทำมาเริ่มสนุก เด็กน้อยสองคนร่วมมือกันปลูกต้นไม้ หาความสวยงามไม่เจอเมื่อเทียบกับของลุงคนสวน ต้นไม้ทุกต้นปลูกตั้งตรงเป็นระเบียบ ไม่เบียดกันจนเกินไป และไม่ห่างจนดูโล่ง
“ไม่เหมือนกันเลย” ชินพึมพำหลังมองผลงานตัวเองได้สักพัก
“แต่ฉันว่าสวยนะ” ลิงวินกอดอกภาคภูมิใจ ชินเองก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน ลุงคนสวนพูดให้กำลังใจสองเด็กน้อย
“ตอนนี้ยังเด็ก ทำได้เท่านี้เก่งมากแล้ว โตอีกน้อยต้องทำสวยกว่าลุงแน่ๆ ลุงรับรอง”
เด็กชายสองคนยิ้มดีใจ ขณะเดียวกับที่พ่อๆ เดินมาหาลูกชาย อาเนชไม่แปลกใจเลยสักนิดที่เห็นลูกมอมแมมเปื้อนดิน มือหนาขยี้หัวทองจนยุ่ง
“ลิงน้อยมาซนอะไรอีก ขอโทษนะครับลูกชายผมมากวนคุณทำงาน”
ว่าคนลูกน่าแปลกใจแล้ว เจอคนพ่อลุงคนสวนถึงกับทำอะไรไม่ถูก อีกฝ่ายเล่นก้มหัวให้ เขายกมือห้ามพัลวัน วินพูดเจื้อยแจ้วอวดพ่อตัวเองใหญ่ ส่วนชินก้มหน้าซ่อนมือเปื้อนดินด้านหลังเพราะกลัวถูกพ่อดุ ทรมองลูกชายด้วยสายตาอ่อนโยน
“คุณผณินทรอย่าดุคุณหนูเลย เดี๋ยวผมปลูกใหม่ให้ ผมยอมทำงานล่วงเวลาไม่เอาเงินสักแดงครับ” คนสวนกลัวว่าลูกเจ้านายจะถูกดุเลยขันอาสาเสียเอง ทรส่ายหัว
“ไม่ต้อง ปล่อยไว้แบบนั้นแหละลูกชายฉันอุตส่าห์ปลูกทั้งที ชินไปล้างมือเราจะได้ไปทานข้าวกัน”
ลุงคนสวนโล่งอก ชินพยักหน้ารับเดินไปล้างมือกับวิน เพราะอาเนชออกมาทำงานให้ทั้งที่วันนี้เป็นวันหยุดเจ้าตัวจะไม่รับงาน ผณินทรเลยชวนไปทานข้าวเที่ยงด้วยกัน ทีแรกอาเนชจะปฏิเสธเพราะมีข้าวกล่องฝีมือภรรยาคนสวยอยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายชวนมาทั้งทีจะปฏิเสธน้ำใจก็ใช่ที สรุป สองพ่อพาลูกชายไปทานข้าวเที่ยงด้วยกัน
หลังทานเสร็จอาเนชแยกกลับบ้านตัวเอง แต่แทนที่จะขับยาวถึงบ้าน คนพ่อดันจอดรถข้างทางหยิบข้าวกล่องออกมา
“พ่อทำไรอะ เพิ่งกินข้าวเมื่อกี้ไม่ใช่เหรอ”
วินถามอย่างสงสัย อาเนชมองลูกชาย
“แม่ทำให้พ่อทั้งที ขืนไม่กินแม่เสียใจแย่”
“แต่กินเยอะเดี๋ยวปวดท้องนะ” ลูกชายทัก คุณพ่อคอตกเก็บข้าวกล่องกลับบ้านทั้งแบบนั้น รสาเห็นสองพ่อลูกยิ้มแห้งส่งข้าวกล่องที่ไม่ได้แตะมาคืน อาเนชบอกภรรยาเสียอ่อยว่าถูกชวนไปทานข้าวกลางวันเลยไม่ได้กินอาหารฝีมือภรรยา หญิงสาวหัวเราะเสียงใส
“แม่ไม่โกรธเหรอฮะ” วินถาม คุณแม่รับข้าวกล่องเดินนำสองคนเข้าบ้าน
“ไม่โกรธหรอก ไว้เดี๋ยวค่อยทานก็ได้นี่ จริงมั้ย”
สองพ่อลูกทุบมือปุท่าเดียวกับเป๊ะ แล้วถูกคุณแม่ลากไปช่วยงานในสวนทั้งคู่ ระหว่างนั้นวินคอยถามนู่นถามนี้ตลอดไม่ได้หยุด รสาสามารถรับมือลูกชายวัยช่างถามได้อยู่หมัด ด้วยการชิงสอนให้ทำนู่นนี้จะได้ไม่มีเวลาว่างพอมาถาม ต่างจากอาเนชตอบจนคอแห้ง ขนาดทำสวนกันเสร็จนั่งพักตรงระเบียงติดสวน วินยังถามไม่หยุด
“พ่อฮะชินเรียนที่ไหน”
“ไม่รู้สิ วันหลังเจอลูกก็ลองถามดู”
“พ่อครับ ทำไมนกบินได้”
“นกมันเก่งกว่าเรา”
“อ้าว งั้นแสดงว่าพ่อห่วยสิ” อาเนชผงักหัวมองลูกชายที่นอนหนุนพุง
“ไปจำคำว่าห่วยมาจากไหน”
“ผมได้ยินพ่อพูดตอนทำงาน บอกว่าระบบมันห่วยชะมัด พ่อ ระบบคืออะไรเหรอ”
“วันหลังอย่าพูดอีกนะ เดี๋ยวแม่เอาพ่อตาย” อาเนชสั่งน้ำเสียงจริงจัง หารู้ไม่ ภรรยาได้ยินทุกคำพูด กำลังส่ายหัวอย่างระอากับสองพ่อลูก
“รับทราบ พ่อ” ปากเล็กไม่ทันหลุดคำถาม อาเนชพูดดัก
“วิน วันนี้ถามแค่นี้ก่อนดีไหม” พ่อลูกหนึ่งยกมือสองข้างยอมแพ้ เขาว่าเด็กช่างสงสัย กล้าพูดกล้าถามเป็นเด็กฉลาดแต่ลำบากพ่อเหลือเกิน
“ก็ได้ งั้นผมให้พ่อถามผมแทนเนอะ” รอยยิ้มสดใสสวนทางกับพ่อ อาเนชนอนแผ่ปากเรียกหาภรรยาคนเก่ง
“รสาช่วยผมเอาซาตานน้อยนี่ออกไปที” วินหัวเราะชอบใจ คุณแม่เดินเข้ามาพร้อมผลไม้สดเย็นฉ่ำ
“โดนลูกแกล้งยังไม่รู้ตัวอีก วินมากินแตงโมกับแม่ดีกว่า”
“คร้าบ~” เด็กผมทองกลิ้งไปนั่งกินแตงโมกับแม่ แล้วพ่อลูกก็แข่งกันพ่นเมล็ดแตงโม ก่อนจะถูกรสาดุทั้งคู่ จ๋อยไปตามระเบียบ ได้แค่หนึ่งนาทีกลับมาเป็นแบบเดิม
อีกด้าน ชินตามพ่อกลับมาที่บริษัท สองพ่อลูกนั่งเงียบอยู่ในห้องทำงาน กระทั่งพ่อถามหลังสังเกตอาการลูกมาได้สักพัก
“เพื่อนใหม่เป็นไงบ้างชิน”
ดวงตาสีดำมองไปทางโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ที่บ้านเขาแม่เปลี่ยนบ้านเป็นที่นัดพบเหล่าคุณหญิง ชินเลยขอตามพ่อมาทำงานเพราะไม่อยากโดนสารพัดมือลูบหัวหยิกแก้ม
“ก็ดีครับ” คำตอบสั้นๆ คุณพ่อเท้าคาง เขาอยากให้ลูกชายสดใสร่าเริงเหมือนอย่างลูกของเพื่อนที่มาเช็คระบบให้วันนี้ แต่ดูท่านิสัยแบบเดียวกับเขาจะเป็นอุปสรรค นิ่งเฉย ไร้อารมณ์เหมือนเขาสมัยเด็กมากจนน่าขำ
“อยากเล่นกันอีกมั้ยล่ะ เดี๋ยวพ่อคุยกับอาเนชให้”
ลูกชายเขาคงไม่รู้ตัว ว่าตอนนี้ดวงตาสีดำทอประกายขนาดไหน ติดใจเพื่อนคนนี้แล้วสินะ เจ้าตัวยังสงวนท่าทีแค่พยักหน้ารับ ก่อนพูดอุบอิบดูลังเลผิดวิสัย คุณพ่อเลิกคิ้วมองรอฟังอย่างสนใจ
“พ่อผมขอชิงช้า”
ธรรมดากว่าที่คิด คุณพ่อคิดในใจ
“เอาสิ อยากได้แบบไหน”
“ชิงช้าผูกต้นไม้ครับ” คราวนี้ทรมองลูกชายตาปริบๆ แล้วหัวเราะฮา ในที่สุดลูกชายก็เริ่มทำตามวัยสักที ปกติไม่ค่อยขออะไร
“ได้เลย เดี๋ยวพ่อให้คนสวนผูก... ทำไม หรือลูกอยากได้อะไรอีก” เห็นหน้าลูกชายไม่โอเคเลยถาม คิดว่าตัวเองเผลอพูดอะไรผิดไป
“ผมอยากให้พ่อผูกเหมือนพ่อของวิน” เสียงนิ่ง แต่ใบหน้าขึ้นสี ทรคงต้องโทรหาอาเนชไวกว่าที่คิด เขาต้องเรียนวิธีผูกชิงช้าฉบับเร่งด่วน!