ตอนที่ 04
ช่วงนี้ผมกับนายน้อยหนึ่งตะวันค่อนข้างจะเข้ากันได้ดีเป็นพิเศษผมบอกได้ว่าทั้งแม่และป้าแววพิศวงกับการอยู่ร่วมกันอย่างสันติของผมกับคุณหนึ่ง บางครั้งก็แอบมาถามว่าคุยกันอีท่าไหนถึงนายน้อยถึงไม่อาละวาดเข้าให้ ผมไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้ทำอะไรเลย ใช้ชีวิตเป็นปกติเหมือนเดิมทุก ๆ วัน บางทีเผลอกวนประสาทคนอายุมากกว่าไปบ้างเขาก็เงียบแทนที่จะโต้ตอบ กลายเป็นว่าผมเองที่คอยหาเรื่องอีกฝ่ายทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ยอมลงให้ทุกที
จะว่าแปลกก็ไม่เชิง แต่ดูอีกฝ่ายจะปรับตัวกับคนที่ไร่ โดยเฉพาะผมได้ดีขึ้น ก่อนหน้านี้อาจแค่เรียกร้องความสนใจตามประสาคนเอาแต่ใจก็ได้ เป็นผลพวงสืบเนื่องมาจากที่ถูกพ่อหลอกให้กลับมาไร่แล้วทิ้งให้อยู่กับคนงานที่ไม่ชอบหน้าตั้งแต่เด็ก ๆ ผ่านมาสัปดาห์สองสัปดาห์ไม่เห็นว่าใครจะกลับมาก็เบื่อและกลายเป็นเพิกเฉยไป อาการหงุดหงิดยังมีให้เห็นบ้าง แต่ไม่ใช่คนขี้โวยวายเหมือนก่อนหน้านี้ ส่วนนิสัยชอบออกคำสั่งยังเหมือนเดิม เสมอต้นเสมอปลาย ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ
“องุ่นที่เราปลูกจำเป็นต้องตัดแต่งกิ่งครับ ไม่อย่างนั้นจะไม่ออกดอกออกผล หรือออกน้อยมาก ครั้งแรกที่ตัดแต่งคือหลังลงดิน 10 เดือน งดการให้น้ำล่วงหน้า 7 วัน กิ่งที่ตัดแต่งจะเป็นประมาณนี้ครับ แก่จัด เป็นสีน้ำตาล ตัดให้เหลือความยาวประมาณหนึ่งไม้บรรทัด นายน้อยลองดูสิครับ”
“แบบนี้เหรอ”
“ครับ”
ก้มลงมองผลงานผ่านมือเล็ก ๆ ช่วงนี้ปลายนิ้วของนายน้อยกร้านขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย สีผิวเองก็ไม่ได้สว่างสดใสเหมือนวันที่มาแล้ว กระนั้นก็ยังนับว่าขาวจนโดดเด่นอยู่ดี
“ถ้าเป็นกิ่งอ่อน ก็ขยับขึ้นมาให้ยาวมากกว่านี้ครับ”
เขาพยักหน้า หมวกสานใบใหม่ที่ป้าแววซื้อให้ในตลาดตกลงมาเนื่องจากเชือกที่มัดอยู่ใต้คางคลายตัวหลวม
“ผมมัดให้ใหม่”
“ไม่ต้อง”
“แบบนี้มันเกะกะนะครับ” พูดพลางจับคนตัวเล็กกว่าให้หันหน้ากลับมา ผมคลายเชือกที่ผูกไว้ใต้คางออก พอยกหมวกออกจากศีรษะ เม็ดเหงื่อพราวระยับที่ติดอยู่บริเวณไรผมก็พร้อมใจกันร่วงกราว
“พักก่อนไหมครับ”
“ไม่เป็นไร” เขาตอบพลางหันหน้าหนี แต่กลายเป็นผมเองทุถอดผ้าขาวม้าที่คาดเอวไว้มาซับเหงื่อให้อีกฝ่าย อันที่จริงแล้วผมพกเอาไว้เพราะสะดวกต่อการใช้สอย วันนี้ยังไม่ได้เช็ดเหงื่อตัวเองถึงกล้าเอามาใช้กับหนึ่งตะวัน อย่างน้อย ๆ นายน้อยจะได้แสดงอาการรังเกียจน้อยกว่าที่ควร
“วันนี้อากาศอบอ้าว ผมดูพยากรณ์มาเห็นว่าฝนจะตก”
“ตกลงมาบ้างก็ดี ร้อนจะแย่”
“จริง ๆ แล้วถ้าเหนื่อยก็พักก่อนได้นะครับ นายน้อยไม่ต้องลุยแปลงเหมือนผม แค่สอนให้รู้วิธีการคร่าว ๆ ก็พอ” ผมพูดตามที่คิด แน่นอนว่าทำให้อีกฝ่ายหน้าตูมขึ้นมาทันที
“นายยังทำได้ ทำไมฉันจะทำไม่ได้ ฉันแก่กว่านายด้วยซ้ำ”
“มีหลายอย่างที่นายน้อยทำได้แต่ผมทำไม่ได้เหมือนกันครับ อย่าฝืนตัวเองมากเลย”
“ฉันไม่ได้ฝืน”
คู่สนทนาเอ่ยเสียงแข็ง ยกมือขึ้นกอดอกขณะที่ผมช่วยโบกหมวกไปมาคอยพัดให้เกิดลม “ทำไมถึงดื้อขนาดนี้ล่ะครับ”
หน้าตาเหมือนคนจะเป็นลมแดดอยู่รอมร่อ ถึงจะไม่ชอบใจนักในทีแรกแต่ผมก็รังแกเขาไม่ลงหรอก
“ที่นี่มันไร่ของฉัน ของครอบครัวฉัน ทำไมฉันต้องพึ่งพานายไปเสียทุกอย่างด้วย”
“นายน้อย”
“ฉันไม่อยากติดบุญคุณคนอย่างนายตลอดไปหรอกนะ”
ผมเข้าใจแล้วว่าที่หลายวันมานี้อีกฝ่ายนิ่งเงียบไป ต่อปากต่อคำน้อยลงเพราะอะไร และมันฟังดูเป็นเหตุผลที่ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย
“ฟังผมนะครับ คุณหนึ่งตะวัน”
“คุณหนึ่งกับคุณชนินทร์ไม่ได้ติดหนี้บุญคุณผม ไร่นี้ไม่มีผมก็อยู่ต่อไปได้ คนเป็นนายทุนไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่าง เขาสามารถจ้างใครมาทำงานให้ก็ได้ ผมก็เหมือนกัน ผมเป็นแค่ลูกจ้าง ผมต่างหากที่ติดบุญคุณคุณชนินทร์ ท่านส่งเสียผม เขาดูแลแม่ผม ผมต่างหากที่เป็นฝ่ายพึ่งพานายตลอด ที่ผมทำทุกวันนี้ไม่ได้ต้องการทำเอาบุญคุณจากใคร ผมกำลังตอบแทนต่างหาก”
ผมวางหมวกใบเดิมลงบนศีรษะที่แห้งเหงื่อแล้ว โน้มตัวลงผูกเชือกใต้สันคางของอีกฝ่ายเบา ๆ “คุณเห็นตัวเลขบัญชี เห็นงานที่ผมทำแล้วกดดันใช่ไหม เครียดมากใช่หรือเปล่า”
“ไม่เกี่ยวกับนาย”
“คุณจะด่าว่าผมขี้เสือกแค่ไหนก็เถอะ ผมไม่สนหรอก คุณไม่ใช่นายผม นายผมคือคุณชนินทร์ และหน้าที่ผมคือดูแลคุณ”
เราสบตากันเมื่อผมพูดประโยคนั้นจบ แววตาคู่นั้นหยิ่งยโสและดื้อรั้นเหมือนเคย “ค่อย ๆ เรียนรู้ไปครับ ผมเองกว่าจะเป็นขนาดนี้ก็ใช้เวลานับสิบปีเหมือนกัน”
“พูดบ้าอะไรของนาย ฉันไม่ใช้เวลาถึงสิบปีเพื่อเขี่ยนายออกจากที่นี่หรอกนะ”
ผมถอนหายใจแผ่ว วางมือบนบ่าลาดทั้งสองข้าง “เกลียดผมขนาดที่อยากให้ไปไกลหูไกลตาเร็ว ๆ จนทนไม่ได้เลยเหรอ”
เขาไม่ตอบ แต่มองผมด้วยแววตาสั่นไหว นายน้อยหนึ่งตะวันเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรงแล้วสะบัดหน้าหนี
“ผมคิดว่าเราจะญาติดีกันแล้วเสียอีก”
“ใครจะไปญาติดีกับนาย”
“ก็เห็นสงบเสงี่ยมมาตั้งหลายวัน”
“เพราะฉันจะเอาความรู้และรีบเฉดหัวนายไปจากที่นี่ต่างหาก!”
แม้อีกฝ่ายจะพูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวแต่ผมกลับคลี่ยิ้ม โดนลูกแมวไล่กัดมันแสบ ๆ คัน ๆ แต่ก็สนุกแบบนี้นี่เอง
“ถึงคุณจะไม่ชอบหน้าผม แต่ผมชอบคุณนะ”
มองจากด้านข้าง เห็นแก้มของเขาขึ้นสีเลือดฝาดเป็นอันดับแรก ก่อนหูจะแดงเป็นสีระเรื่อตามมา
“มาเถอะครับ ถ้าอยากได้งานผมก็จะสอนให้ต่อ แต่ถ้าไม่ไหวก็รีบบอกนะ ผมเป็นห่วง”
ผมรู้สึกว่ายิ่งผมพูดจาดีกับเขามากเท่าไร นายน้อยก็จะยิ่งสงบปากสงบคำมากเท่านั้น เขาไม่เถียง ไม่โมโห เหลือไว้เพียงแก้มแดง ๆ กับหูสีเดียวกับลูกตำลึงสุก
เขาน่ารัก
เห็นแล้วก็อดนึกเอ็นดูอีกฝ่ายไม่ได้จริง ๆ
หัวค่ำท้องฟ้าร้องไห้อย่างที่คาด
อากาศที่อบอ้าวเป็นพิเศษส่งผลให้ฝนหลงฤดูตกตามความคาดหมายของนักพยากรณ์อากาศ ยังไม่ทันทานข้าวเสร็จผมก็รีบลงมาช่วยแม่เก็บผ้า เมื่อกลับขึ้นไปบนเรือนใหญ่นายน้อยหนึ่งตะวันก็เข้าห้องไปแล้ว
“เห็นฟ้าร้องครืน ๆ แบบนี้แล้วนึกถึงนายน้อยตอนเด็ก ๆ ที่ตามมาเที่ยวเล่นกับคุณรุ้ง”
หญิงวัยกลางคนกล่าว ตอนแรกดวงตาคู่นั้นจับจ้องที่ละครหลังข่าว แต่พอพูดถึงคนโปรดก็เลื่อนลอย ประดับยิ้มที่มุมปาก
“นายน้อยกลัวฟ้าร้องกับไฟดับอย่างกับอะไร ที่นี่ก็บ้านนอกบ้านนา ฝนตกทีไรไฟดับ วิ่งหาเทียนไขกันให้วุ่น คุณรุ้งเธอต้องไปนอนกอดปลอบตลอด”
“เดี๋ยวนี้โตแล้ว คงเลิกกลัวอะไรแบบนั้นแล้วล่ะครับ”
“ไม่รู้สิ แม่ก็ไม่เจอเขามาเป็นสิบ ๆ ปีแล้วเหมือนกัน” นางสายใจทอดสายตาไปยังหน้าต่างบานที่ไม่ได้ปิด ฝนลงแรงขึ้นเรื่อย ๆ จากช่วงเย็นและไม่มีทีท่าว่าจะซาลงแม้แต่น้อย
“ที่จริงกฤชน่าจะไปเผื่อนายน้อยเรียกที่เรือนใหญ่”
“เขาโตแล้วนะครับแม่” ผมแย้ง วันที่ฝนตกหนักแบบนี้ที่เราทั้งสองคนเสียพ่อไป “ให้กฤชนอนกอดแม่ดีกว่า”
“ยังกังวลเรื่องพ่อไม่เลิกอีกเหรอ”
“ผมกลัวแม่เหงา”
“ไม่เหงาหรอกจ้ะ” แม่พูดแล้วยิ้มเมื่อผมเดินมานั่งข้าง ๆ จับมือหยาบไว้แล้วลูบเบา ๆ “แม่ทำใจได้นานแล้ว”
“ผมรู้ แม่สายใจของผมเก่ง”
“ถ้าอย่างนั้นขึ้นไปดูนายน้อยที่เรือนใหญ่หน่อยได้ไหม ขอป้าแววนอนห้องแขกชั่วคราวก็ได้ ฟ้าแรงแบบนี้ประเดี๋ยวถ้าผ่าเสาไฟหน้าหมู่บ้านอีกไฟจะดับเอา”
“แล้วแม่–”
“เดี๋ยวแม่เข้านอนแล้วกฤช ไปดูนายน้อยเถอะ เขาน่าสงสาร”
เมื่อถูกรบเร้า ผมก็ยอมทำตามคำสั่งในที่สุด มีข้อแม้อย่างเดียวคือให้ได้ส่งมารดาเข้านอนและห่มผ้าให้ เมื่อเห็นหญิงวัยกลางคนหลับตาลง ผมก็หยิบไฟฉาย ปิดไฟทั้งบ้านให้เหลือเพียงความมืดมิด
เดินมาถึงกลางทางฟ้าก็ลงแรง ว่ากันว่าคำพูดของแม่ศักดิ์สิทธิ์เสมอ ไฟทั้งบ้านและในไร่ดับพรึบ เหลือเพียงไฟสำรองเปิดหรี่ไว้ตามหน้าที่ของมัน
ผมเร่งฝีเท้าผ่านพื้นเฉอะแฉะ เสียงของเม็ดฝนกระทบหลังคาดังหนักขึ้น กว่าผมจะวิ่งขึ้นเรือนใหญ่ก็เปียกปอนไปทั้งตัว ทั้งบ้านเงียบสงัด ป้าแววคงเข้านอนแล้ว ในคืนที่ฝนตกโคราชจะอากาศดีน่าซุกตัวลงผ้าห่มมากกว่าที่ไหน ๆ
“นายน้อย”
เมื่อมาถึงหน้าห้องที่คุ้นเคยก็ส่งเสียงเรียกก่อนเคาะประตูสอง-สามครั้ง ก็มีเสียงอนุญาตให้เปิดเข้าไป เงาจากแสงไฟสำรองด้านนอกทำให้เห็นเป็นเค้ารางของชายหนุ่มที่กำลังนั่งกอดเข่าชิดหัวเตียง
“ผมเห็นว่าไฟดับ เลยมาอยู่เป็นเพื่อน”
“อืม” เจ้าของห้องตอบเสียงเรียบ ไม่พูดอะไรต่อทำให้ผมเข้าใจไปเองว่าอีกฝ่ายคงโตพอที่จะอยู่คนเดียวในคืนฝนพรำได้แล้ว
“ผมไปนอนที่ห้องแขกนะครับ ถ้านายน้อยมีอะไร...”
“นอนที่นี่สิ” เขาพูดพลางขยับตัวไปอีกฝั่ง เหลือพื้นที่มากพอบนเตียงสี่เสาขนาดคิงไซส์ให้ผู้ชายสองคนนอนด้วยกันได้สบาย ๆ
“จะอึดอัดหรือเปล่าครับ”
“นาย...อึดอัดเหรอ”
น้ำเสียงนั้นดูเว้าวอนแม้จะเป็นเพียงประโยคคำถาม นายน้อยหนึ่งตะวันเหมือนลูกแมวที่สิ้นฤทธิ์ ไม่ขอร้องให้ผมอยู่ด้วยแต่ท่าทีสงบเสงี่ยมตอนนี้ช่างผิดไปกับนายน้อยที่เผลอเมื่อไรก็แผลงฤทธิ์ไปเสียทุกที
“ถ้าอย่างนั้นขออนุญาตนะครับ”
มุ้งสีขาวถูกเปิดออกก่อนผมจะแทรกตัวเข้าไป จัดหมอนที่เคยวางทิ้งไว้คู่กันให้ขยับห่างออกจากเจ้าของเตียงเล็กน้อยก่อนลอบมองใบหน้าหล่อเหลาราวรูปปั้นเซรามิคที่เบนออกไปนอกหน้าต่าง
แสงไฟสะท้อนให้เห็นดวงตาเป็นประกายวาววับ มันฉายความอ้างว้างและขลาดกลัวออกมาชัดเจน
“นายน้อยไม่ชอบฝนตกเหรอครับ”
“ไม่ชอบแค่ตอนกลางคืน”
“ผมก็ไม่ชอบ”
พูดพลางถอนหายใจ คู่สนทนาหันหน้ากลับมา เมื่อสายตาปรับสภาพกับแสงสลัวได้ก็เห็นใบหน้าติดจะหวานที่เต็มไปด้วยคำถาม นึกย้อนไปถึงสาเหตุ ไม่ใช่ว่าผมเกลียดฝนเสียทีเดียว แต่แค่มีความทรงจำที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไรเป็นแผลด่างอยู่ในจิตใจเท่านั้น
มันเนิ่นนานมาแล้ว จนไม่รู้สึกว่าเจ็บปวดอีกต่อไป แต่หากจะบอกว่าเม็ดฝนนำพาความชุ่มฉ่ำมาสู่หัวใจได้ก็ไม่อาจพูดได้เช่นกัน
“เมื่อหลายปีก่อนที่ไร่นี้ พ่อผมออกไปซ่อมไฟในโรงบ่ม มันกะพริบติด ๆ ดับ ๆ หลายวันแล้ว แต่วันนั้นมันดับสนิท ฝนตกหนัก แต่ถ้าไม่รีบไปซ่อมก็อันตราย เขาสั่งให้ผมกับแม่เข้านอนแล้วตัวเองก็ตากฝนออกไปที่นั่น ภาพสุดท้ายที่ผมเห็น คือพ่อสวมชุดกันฝนวิ่งออกไปพร้อมกล่องอุปกรณ์ซ่อมไฟ และไม่เคยกลับมา”
“แล้วเขาไปไหน”
“งูกัดระหว่างทางครับ มองจากบ้านที่ผมอยู่ไฟที่โรงบ่มสว่าง เราคิดว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ผมกับแม่พากันเข้านอน รู้อีกทีก็ตอนรุ่งสาง พ่อสิ้นลมห่างจากโรงบ่มไม่ไกลนัก”
จู่ ๆ มือนุ่มก็ยกขึ้นวางบนศีรษะ ผมเลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่งแต่ไม่ได้ถามอะไรออกไป เสียงถอนหายใจดังมาจากอีกฝ่ายแผ่วพร้อมกับกลิ่นสะอาดของยาสีฟันที่ลอยมา เพิ่งรู้สึกว่าอีกฝ่ายขยับตัวมาใกล้กันมากกว่าในทีแรกเกือบเท่าตัว
“เสียใจมากใช่ไหม”
ถ้าเป็นตอนนั้นก็ใช่ ผมไม่เคยเผื่อใจ ไม่เคยคิดไว้ว่าวันหนึ่งต้องสูญเสียเสาหลักของบ้านไป แม่ร้องไห้หนักจนเป็นลมล้มพับไปหลายรอบ ผมกับคุณชนินทร์ต่างช่วยกันดูแลอย่างใกล้ชิด สมัยนั้นคุณรุ้งเสียไปนานแล้ว เขาจึงเอาประสบการณ์ที่เสียคู่ครองในอายุที่ยังไม่ควรพรากจากกันมาปลอบประโลมผมและแม่ได้อย่างดี
ตอนนั้นนายน้อยติดสอบ ไม่ได้มางานศพด้วย แต่ถึงเขาว่างก็คงไม่มาเหมือนเดิม ในเมื่อไร่ตะวันฉายและคนที่นี่ไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของหนึ่งตะวันตั้งแต่ไหนแต่ไร
“ไม่ต้องเสียใจแล้วนะ”
เขาพูดกับผม แต่ฟังคล้ายเป็นเสียงละเมอบอกตัวเองมากกว่า ผมถูกลูบหัวอีกสองถึงสามครั้งก่อนสัมผัสอันอ่อนโยนนั่นจะหายไป ดวงตาสีน้ำตาลเข้มสะท้อนความวาววับออกมา ไม่ใช่เพียงจากแสงไฟสำรองด้านนอกที่ไม่สว่างนัก แต่มันเคลือบไปด้วยหยาดน้ำทำให้ดวงตาคู่นั้นเป็นประกายใสแต่เศร้าหมอง
“นี่...ถ้ากลัวก็นอนจับมือฉันไว้นะ”
ฝ่ามือเมื่อครู่วางหงายตรงกลางระหว่างเรา ผมไม่ได้กลัว ไม่ได้รู้สึกโศกเศร้าเสียใจกับเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อน ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันนานแค่ไหน รู้เพียงว่าผมเข้มแข็งขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากผ่านคืนที่น่าเศร้านั้นมาได้ หากแต่คนตรงหน้าต่างหากที่ยังมีแววขลาดกลัวฉายออกมาชัดเจน ผมสัมผัสได้ถึงความอ่อนแอ หัวใจที่บอบบางและจดจำเรื่องราวบางอย่างไว้ราวกับเป็นแผลสดที่ยังคงอักเสบเรื้อรังจึงเอื้อมมือมาวางบนฝ่ามือนุ่ม หวังว่าจะปลอบประโลมคนปากแข็งแต่ดวงใจอ่อนเหลวไร้เรี่ยวแรงให้อุ่นซ่านขึ้นมาบ้าง
นิ้วทั้งห้าก็เกี่ยวกระหวัดจับผมไว้แน่นในทันที“ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องเศร้า” หนึ่งตะวันยังคงพึมพำในลำคอ ก่อนจะขยับตัวเข้ามาใกล้จนผมได้กลิ่นแชมพูบนเรือนผมสีน้ำตาลเข้มนั้นเต็มปอด
รุ่งสางของวันใหม่ผมตื่นสายกว่าปกติเล็กน้อย อากาศตอนเช้าหลังฝนตกตลอดคืนเย็นจนค่อนไปถึงขั้นหนาว แต่ไออุ่นของใครบางคนที่แนบกายอยู่ทำให้ผมเผลอหลับสบาย
ข้อมือขาววางพาดเอวขณะที่หัวทุยยกมาเกยอก ขาเรียวพาดเกี่ยวขาผมไว้จนเห็นความแตกต่างของทั้งผมและเจ้าของห้องชัดเจน นายน้อยหนึ่งตะวันกอดผมไว้เหมือนหมอนข้าง หายใจเข้าออกสม่ำเสมออย่างคนหลับสนิท
อายุก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว ทำไมถึงได้ดูเป็นเด็กขนาดนี้ สามวันดี สี่วันร้าย ใครจะไปเอาใจถูก
นึกถึงที่มาของท่ากอดอันพิลึกพิลั่นแล้วก็ต้องเท้าความไปถึงเมื่อคืน เริ่มจากการนอนชิดกันโดยมีมือประสานไว้เมื่ออีกฝ่ายเข้าสู่ห้วงนิทราก็คลายแรงลง แต่ทุกครั้งที่ฟ้าผ่าดังเปรี้ยง ร่างกายของชายหนุ่มกลับมีปฏิกิริยาโดยอัตโนมัติ เขาโผเข้าคว้าอะไรก็ได้ที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดไปกอด แน่นอนว่า ณ ขณะนั้นต้องเป็นผม เกี่ยวกระหวัดรัดทั้งร่างเอาไว้แน่น ตัวสั่นทั้ง ๆ ที่ยังหลับตา บางครั้งก็มีเสียงสะอื้นหลุดออกมา แต่พักเดียวก็หายไปเอง
ผมหันกลับมามองเขาอีกครั้ง ตอนนี้ฟ้าใสและเป็นช่วงสาย นายน้อยคนเก่งคงไม่ต้องการแหล่งพักพิงเหมือนเมื่อคืนอีกแล้ว นึกอย่างนั้นก็บรรจงแกะมืออีกฝ่ายออก แทนที่ตัวเองด้วยหมอนหนุน สะบัดมุ้งออกมานอกห้องเตรียมตัวไปจัดการกับสหายทั้งสองตัวในคอกม้า แต่เมื่อเดินลงบันไดมากลับได้ยินเสียงพูดคุยกันเบา ๆ จากในห้องครัว
“...เลยพากันตื่นสายสิทีนี้”
ผมชะโงกหน้าเข้าไป เจ้าของไร่กำลังดื่มกาแฟกับกางหนังสือพิมพ์อ่านโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้าว่าจะแวะมาที่นี่ ส่วนแม่เพิ่งยกขนมปังปิ้งร้อน ๆ มาเสิร์ฟ
“อ้าว ลงมาพอดี ตากฤช”
“สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าคุณชนินทร์จะมา”
“เดี๋ยวต้องไปขอนแก่นน่ะ ผ่านมาทางนี้เลยแวะดูลูกชายก่อน เห็นว่าเมื่อคืนโคราชฝนหนัก”
“ครับ พายุเข้า”
“เป็นยังไงบ้างล่ะ” คุณชนินทร์ถาม แม้ไม่ได้เอ่ยชื่อผมก็รู้ว่าเขากำลังพูดถึงใคร “งอแงหรือเปล่า”
“ไม่ครับ แต่ดูเงียบ ๆ ซึม ๆ”
“เขาฝังใจน่ะ” เจ้าของไร่กล่าวพลางวางแก้วกาแฟลง เขาตบที่โต๊ะเบา ๆ เป็นสัญญาณให้ผมนั่งคุยด้วยก่อน “พี่หนึ่งเขามักสูญเสียอะไรไปในวันที่ฝนตกหนัก ครั้งแรกก็กระต่ายที่เจ้าตัวอยากเลี้ยงนักเลี้ยงหนา เข้าช่วงหน้าฝนพอฟ้าผ่าเสียงดังมันก็ตกใจตาย แม่เขาต้องคอยมานอนปลอบตั้งแต่เล็ก”
ผมพยักหน้าลงรับรู้ ข้าวไข่เจียวร้อน ๆ ฝีมือแม่ยกมาเสิร์ฟให้ผมแทนที่จะเป็นกาแฟเหมือนเจ้าของบ้าน
“อีกครั้งก็วันที่แม่เขาเสียนั่นแหละ ฉันเฝ้าอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่ได้ไปรับหนึ่งจากโรงเรียนประจำหลายสัปดาห์แล้วเพราะยุ่ง ๆ เรื่องที่รุ้งป่วยนั่นแหละ วันนั้นฝนตกหนัก เจ้าดื้อนี่ทั้งกลัวทั้งคิดถึงแม่เลยหนีออกจากโรงเรียน โชคดีที่ครูเขามาเจอก่อน แต่กว่าจะพามาส่งที่โรงพยาบาลก็เปียกมะลอกมะแลกกันทั้งคู่ โชคร้าย มาถึงโรงพยาบาลพอดีกับที่แม่เข้าสิ้นลม ไม่ทันได้ดูใจกัน”
“คงเสียใจมากสินะครับ”
“ถึงขั้นไม่ยอมพูดไปพักใหญ่ ๆ เชียว สมัยเรียนก็ยังดี หอพักเป็นแบบนอนรวม เขาไม่ต้องอยู่คนเดียวในวันที่ฝนตก แต่โตขึ้นแล้วฉันก็ไม่มั่นใจ เห็นว่าหลายครั้งก็โทรเรียกเพื่อนให้มานอนด้วยที่บ้าน ลืมนึกไปว่าถ้าอยู่ไร่เขาคงโทรเรียกเพื่อนไม่ได้”
ถึงอย่างนั้นก็ไม่ขอให้อยู่ด้วยสักแอะ ช่างเป็นคนที่ทิฐิแรงกล้าจริง ๆ
“แต่ถ้ากฤชดูแลพี่หนึ่งได้ก็ดีแล้ว ฉันจะได้หมดห่วง แล้วเรื่องงานเป็นยังไงบ้างล่ะ”
“นายน้อยตั้งใจมากครับ ช่วงนี้ผมก็ยังสอนเรื่องในไร่อยู่ให้จบเป็นอย่าง ๆ ส่วนบัญชีก็กำลังทำความเข้าใจ”
“ดีแล้วล่ะ ถ้าเขาเป็นเร็ว ๆ เราจะได้หายเหนื่อย”
“ผมยินดีครับ”
ถึงแม้พูดจนนับครั้งไม่ถ้วน ชายแก่ก็ยังหัวเราะร่วนแทนคำตอบ
“เรานี่มันเด็กดีจริง ๆ สายใจโชคดีมากเลยนะ”
แม่ผมยิ้ม รับคำหน้าชื่น ยกน้ำเปล่ามาเสิร์ฟนายใหญ่ด้วยท่าทีนอบน้อมเหมือนเคย
TBC

ช่วงนี้ไม่ค่อยมีวินัย อัพไวกว่ากำหนด แต่เดี๋ยววันอาทิตย์มาอีกนะ ฮ่าๆๆๆๆ คิดถึงคนอ่าน ท้อใจ หิวโหย เป็นคนกินยากอยู่ต่างบ้านต่างเมืองไม่มีอะไรกิน ไม่รู้จะไปบ่นกับใคร มาๆๆ ไหนๆก็นั่งล้อมวงกันอ่านแล้วขอบ่นหน่อย ฮาาา
ตอนนี้ไม่มีไรมาก ค่อยๆขยับไปเรื่อย ๆ เรื่องนี้หวานๆ ใส ๆ ไร้มลพิษค่ะ เขียนไปเบ้ปากไปตามสไตล์คนโสดมาก อีกฤช อีขี้อ่อย เกลียด!! 5555555555555555
เจอกันวันอาทิตย์ค่ะ สุขสันต์วันสุดท้ายของวันหยุด /เราลาต่ออีกสองวัน
