94850
ตอนที่ 39 มะกรูดแลกมะนาว
ก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน กุ้ยช่ายถูกพ่อเรียกไปคุยถึงเรื่องราวที่ผ่านมาแล้วเป็นเดือน
พ่อจับได้ว่ามาตินแอบเข้ามาหาตอนดึก แล้วก็ไม่ยอมบอก จับได้ตั้งแต่วันนั้น
กุ้ยช่ายก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาโวยวายเอาป่านนี้ นั่นมันก็ผ่านมาเป็นเดือน ทำไมถึงพึ่งจะมากักบริเวณ ถูกห้ามไม่ให้ออกจากห้อง
ข้าวปลาไอ้จ่อยก็เป็นคนเอามาส่งให้ มันน่าหงุดหงิดนัก หงุดหงิดที่โดนขังให้อยู่แต่ในห้อง ไม่รู้จะอะไรนักหนา ทำไมต้องห้ามไม่ให้เขากับมาตินเจอกันทั้งที่มาตินเองก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น
แล้วสิ่งที่ทำให้หงุดหงิดเป็นเท่าตัวก็คือ ไอ้กอลิล่าตัวดำมันสัญญาว่าจะมารับ บอกให้ดูแลตัวเอง ก็ดูแลตัวเองดีมาตลอด แต่ทำไม พอมาหาหลังจากวันนั้นก็หายไปเลย
หายเข้ากลีบเมฆไปเลย ไม่มีข่าวคราวส่งมาสักแอะ แล้วใครกัน ที่มันบอกว่าจะมารับ ใครที่มันมาบอกรักนักรักหนา
มันน่าโมโห สุดท้ายคนอย่างมาตินก็เชื่อถือไม่ได้ สุดท้ายก็ทิ้งเขาไปอีกครั้งสินะ
ยิ่งเสียงเอะอะโวยวายเหมือนมีคนอยู่นอกบ้านมากมายทำให้หงุดหงิดเข้าไปใหญ่ เสียงเหมือนมีคนมาบ้านเยอะแยะไปหมด ไม่รู้มาทำอะไรกัน
จะว่าเสียงพวกคนสวนก็ไม่น่าจะเยอะขนาดนี้ หน้าต่างก็เปิดไม่ได้ ถูกปิดตายมาจากข้างนอก
ส่วนตั้งโอ๋พอได้ของเล่นก็ลืมพ่อตัวเอง ทำไมเริ่มรุ้สึกว่าชีวิตตัวเองย่ำแย่ลงทุกที
รู้อย่างนี้แอบขึ้นกรุงเทพไปหางานทำซะตั้งแต่แรก จะได้ไม่ต้องมานั่งรอมาติน
ถ้ารู้ว่าจะไม่มารับอย่างที่สัญญาก็จะไม่รออยู่อย่างนี้หรอก
ทำได้ก็แค่นอนอยู่แต่ในห้อง นอนคิดไปเรื่อย ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิดใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
เช้ามืดวันต่อมา จู่ๆก็ถูกปลุกทั้งที่ไก่ยังไม่ขัน แล้วก็มีคนหลายคนเข้ามาในห้อง ถูกจับให้อาบน้ำแต่งตัวใหม่
ใส่ชุดไทยแบบโจงกระเบน เข้าใจว่าพ่อมีงานบุญแต่ทำไมต้องแต่งตัวอะไรแบบนี้ เหมือนชุดที่เคยใส่เมื่อสี่ปีก่อนตอนที่แต่งกับแม่ของตั้งโอ๋
ทว่าไอ้ง่วงก็ง่วงเพราะนอนไม่ค่อยหลับ กว่าจะหลับก็ปาเข้าไปตีสาม แล้วนี่อะไร ตีห้า พึ่งจะนอนได้สองชั่วโมง
โวยวายเสียงดังไปว่ามาทำอะไรกัน ก็ไม่มีใครตอบ โดนจับแต่งตัว จับนั่งให้แต่งนั่นแต่งนี่ ถามใครไม่มีใครตอบเลยนั่งเงียบจนหลับไป
ตื่นมาอีกทีก็ได้ยินเสียงกลองยาว เสียงโห่ดังมาแต่ไกล สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงเหมือนแห่อะไรสักอย่าง
เสียงโห่ร้องเสียง ดังใกล้เข้ามาเรื่อย ดังมาจากทางเข้าบ้าน พยายามดันหน้าต่างเผื่อว่ามันจะเปิดออก ทั้งทุบทั้งดัน มันก็ยังไม่หลุด
เลยหันไปทุบประตูให้คนข้างนอกเปิด แต่ก็ไม่มีใครสนใจ เลยผลักมัน ดันมัน แต่ก็ถูกข้างนอกดันกลับไม่ให้เปิด
“พ่อ ข้างนอกมีอะไร ทำไมช่ายออกไปไม่ได้”โวยวายเสียงดัง ได้ยินเสียงคนข้างนอกหลายคนหัวเราะกันคิกคัก
“เอ็งอยู่ในนั้นนั่นแหละดีแล้ว เดี๋ยวก็ได้ออกมา ใจเย็นเย็น”เสียงพ่อตะโกนกลับมา
“ทำไมต้องขังด้วย เปิดเดี๋ยวนี้นะ”
“เอะ เอ็งนี่ดื้อด้านเหมือนแม่เอ็งไม่มีผิด กลับไปนั่งรอนิ่งๆไป ไม่งั้นข้าไม่เปิดนะเว้ย”
“อะไรของพ่อ เปิดเดี๋ยวนี้”ตะโกนไปทุบไป แต่ก็ไม่มีใครยอมเปิด
“เอ็งไปนั่งนิ่งๆ ข้าสัญญา อีกไม่เกินสิบนาทีข้าเปิดให้ แต่ถ้าเอ็งยังดื้ออยู่อย่างนี้ข้าไม่เปิดนะ”
“ก็ได้ สิบนาทีนะพ่อ”
“เออ ข้าไปละ มีอีกหลายอย่างต้องทำ”ฟังเสร็จก็ได้แต่หงุดหงิดเดินไปกระแทกตัวบนเตียงนอน เอามือก่ายหน้าผาก
คิดสงสัย ว่าข้างนอกมีอะไร เสียงโห่ร้องดังไปหมด เสียงกลองยางก็เงียบลงแล้ว แต่เสียงคนร้องเหมือนดีใจ เสียงคนโห่ คนกรี๊ด อะไรมันเจียวจาวไปหมด
อยากรู้อยากเห็นจนหงุดหงิด จนเสียงดังขึ้นมาบนเรือนความสงสัยที่มีก็เพิ่มขึ้นเป็นทุนเดิม
ใจมันอยากรู้เต้นแรงแทบจะกระโดดออกมา กระวนกระวายไปหมด ทำไมมีแต่คนไม่สนใจกันบ้างเลย
ผ่านไปอยู่พักใหญ่ เสียงดังโห่ร้องข้างนอกก็ยังไม่ยอมหยุดสักที ซ้ำยังมีคนเถียงกันไปมา ได้ยินใกล้เข้ามาทุกที
จะไม่สนใจก็ไม่ได้ นี่มันบ้านตัวเอง ตัวเองยังไม่มีสิทธิรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น หงุดหงิดจนแทบบ้าน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“กุ้ยช่าย”ได้ยินเสียงเรียกมาจากข้างนอก
ใจมันหงุดหงิดจนไม่สนว่าเป็นเสียงใคร ใครเป็นคนเรียก ไม่สนใจหน้าไหนทั้งนั้น
“กุ้ยช่าย”ทั้งเรียกทั้งเคาะอีก
แต่ใครจะไปสนใจ ทีบอกให้เปิดยังไม่มีใครสนใจเลยสักคน
“กุ้ยช่าย”
คนไม่ตอบแล้วยังจะมาเรียกอีก ต่อให้เสียงคุ้นแค่ไหนก็ไม่สนมันทั้งนั้น
“อะไร มาเรียกทำไม”ตวาดกลับไปเสียงดัง นอนผลิกตัวหันหลังใส่
จะไม่สนใครทั้งนั้น ไม่สนบ้างแล้ว ไม่ให้ออกก็ไม่ต้องออก นอนมันอยู่นี่ล่ะ
“กุ้ยช่าย”เสียงเรียกแผ่วเบาพร้อมเสียงเปิดประตู แต่คนที่นอนอยู่ไม่ได้สนใจเลยสักนิด นอนหันหลังใส่อย่างโกรธเคือง
คราวนี้เสียงโห่ร้องเงียบกริบ กลายเป็นเสียงกระซิบกระซาบซุบซิบกันแทน
ดีเงียบซะได้ก็ดี คนจะนอน นี่ได้นอนแค่กี่ชั่วโมงเอง ไม่น่ามาปลุกเลย นอนน้อยแล้วรู้สึกหงุดหงิดเนี่ยรู้กันบ้างมั้ย
คนหน้าขาวได้แต่นอนนิ่งหันหลังให้ประตูห้อง รู้สึกถึงแรงยวบบนเตียง แต่ก็ไม่สนใจ นอนหันหลังให้มันซะอย่างนี้แหละ
“กุ้ยช่าย”คราวนี้เสียงเรียกกระซิบอยู่ข้างๆ พร้อมกับแรงแตะที่ไหล่ เสียงนั้นมันคุ้นๆ แต่ก็ช่างมัน เพราะคนจะไม่สนใจมันก็ไม่สนใจหมดแหละ
“กุ้ยช่าย”คราวนี้กระซิบอยู่ข้างหู ใกล้เข้ามาทุกที แถมลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดหูอีก ความรู้สึกคุ้นเคยมันกลับเข้ามา ทำให้ใจมันเต้นแรงแปลกๆ แต่ก็ยังหลับตานิ่ง
“กุ้ยช่าย”
“อะไรอีก”ถามไป ปัดมือที่เกาะไหล่ออกอย่างไม่ชอบใจ จะมากระซิบอะไรนักหนา ได้ยินเสียงหัวเราะเล็กๆดังมาจากประตูนอกห้องแล้วมันยิ่งหงุดหงิด จะมาหัวเราะเยาะอะไรกันอีก
“กุ้ยช่าย พี่มารับแล้ว”คราวนี้ยิ่งกรัซิบไกล้กว่าเดิม พร้อมแรงจูบบนแก้มฟอดใหญ่ถึงได้ลืมตาขึ้นอย่างตกใจ
เสียงมันคุ้นอย่างที่ว่าจริงจริง แล้วไอ้ที่ฉวยโอกาสแบบนี้จะมีใครที่ไหนอีกนอกจากคนคนนั้น
แล้วเมื่อกี้อะไรนะ บอกว่าจะมารับงั้นเหรอ ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆถึงได้ตื่นเต้น
ร่างกายมันควบคุมไม่ได้ ผลุดลุกขึ้นกอดคนที่นั่งอยู่ข้างๆตัว
กอดเพราะคิดถึง กอดเพราะรัก กอดเพราะกลัว กลัวว่าจะไม่ทำตามสัญญา กลัวว่าจะไม่มารับกันอย่างที่บอกเอาไว้
ความดีใจทำให้ควบคุมตัวเองไม่ได้ ซุกหน้าเข้ากับอกของคนที่เคยสัญญาว่าจะมารับ ซ่อนเอาใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาไว้
ไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นว่าร้องไห้ ไม่อยากให้เห็นว่าดีใจ เพราะกลัวจะเสียฟอร์ม
รู้สึกว่าหัวโดนลูบอยู่พักใหญ่ ได้ยินเสียงคนโห่ร้อง คนหัวเราะอยู่ด้านนอก
“เอ้า อย่ามัวแต่กอดกัน เดี๋ยวไม่ทันฤกษ์ทันยาม”ได้ยินเสียงพ่อโวยวายอยู่หน้าห้องถึงได้เงยหน้าขึ้นดู
เห็นพ่อของตัวเองยืนทำหน้ามุ่ย ข้างๆก็มีพ่อแม่ของมาตินยินยิ้มอยู่ใกล้ๆอุ้มอันเดรสอยู่ ตั้งโอ๋ที่ยืนอยู่ไม่ไกล แถมใส่ชุดไทยประยุกต์อีกต่างหาก
ด้านหลังก็เป็นคนรู้จักทั้งพี่พัฒน์ ทั้งรามิเรส และคนอื่นๆอีกเยอะจนไม่รู้จะทักใครก่อนดี
แปลกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“ไม่ร้องนะครับ”เสียงทุ้มอยู่ใกล้ๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่คุ้นเคย ดวงตาคู่สวยที่มองมาทำให้ใบหน้าขึ้นสีฝาด
“มะ มาทำไม”ปากก็พูดไปแบบนั้น แต่ก็รู้สึกดีใจแบบแทบบ้า
“มารับตามสัญญา”พูดพลางส่งยิ้ม ยกมือขึ้นปัดน้ำใสใสบนแก้มสีแดงเรื่อ
“ทำไมมาช้า”พูดประชดเสียงเบา แถมทุบเข้าที่ไหล่อีกฝ่าย
“ก็มาแล้วนี่ครับ ไปกันเถอะ เดี๋ยวคนอื่นรอนาน”
“ระ รออะไร”
แต่มาตินไม่ได้ตอบ แต่ดึงคนขี้สงสัยให้ลุกขึ้นเดินตามออกไปข้างนอกแทน
ถูกพาไปนั่งอยู่กลางบ้าน แล้วมาตินก็มานั่งข้างๆในที่ที่ถูกเตรียมเอาไว้ ถูกจับมือให้ประนมไปบนหมอนด้านหน้า ทีขันนั้นอยู่ด้านล่างของมือ แล้วมีสายสิญจน์คล้องหัว
บรรยากาศคุ้นตาเหมือนเมื่อสี่ปีก่อนทำให้นิ่งอึ้ง มองดูรอบบ้านถูกตกแต่งไปด้วยผ้าสีผูกคล้องจนลานตา เพดานบนหัวตกแต่งด้วยกระดาษสีห้อยโตงเตง ไหนจะคนร่วมงานอีกมากมายมีทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่
หันไปมองหน้ามาติน คนเจ้าเล่ห์ก็ยิ้มกริ่มมาให้ รู้ตัวอีกที กว่าจะเข้าใจว่าตนเองถูกจับให้แต่งงานก็ตอนที่พ่อตัวเองมารดน้ำใส่มือที่ประนมให้มาติน
“รักลูกข้าให้มากๆ กลัวลูกข้าให้มากมากล่ะ อย่าให้รู้ว่าเอ็งรังแกลูกข้าแบบครั้งที่แล้วอีก ไม่งั้นข้าจะตามไปเอาลูกข้าคืน แล้วอย่าคิดว่าว่าข้าไม่รู้ว่าเอ็งแอบปีนขึ้นบ้านข้าตอนดึก แล้วอย่าคิดมีบ้านเล็กบ้านน้อย ไม่งั้นข้าเอาเอ็งตายแน่”กุ้ยช่ายได้แต่มองหน้าเหวอ
ไม่รู้ว่านั่นคือคำอวยพรหรือคำขู่สำหรับมาตินกันแน่
“แฮ่ แฮ่ ครับพ่อ ผมจะรักกุ้ยช่ายคนเดียวจะดูแลกุ้ยช่ายอย่างดี”มาตินรับปากมั่นเหมาะยิ้มแป้นให้พ่อตา
“ส่วนเอ็งก็ ดูแลลูกเต้าให้ดี พาหลานมามาข้าบ่อยๆ เอาไอ้หลานคนใหม่มาด้วย ถ้ามันรังแกมาฟ้องข้า ข้าจะไปจัดการให้”จบคำอวยพรของคนเป็นพ่อ กุ้ยช่ายได้แต่หน้าแดงก่ำไม่หาย
ใครจะรู้ว่าจะมาแต่งงานกับผู้ชาย แถมยังจัดงานเอิกเกริกอย่างนี้ เมื่อสี่ปีที่แล้วก็จัดงานแบบนี้ไปครั้ง สี่ปีผ่านมาก็ยังจัดอีก แถมจัดแบบนี้ นึกอายอยู่ไม่น้อย
มีต่อ