ไม่ถนัดแต่งฉากแบบนี้เลยยยยย
แต่ก็ดันทุรัง
36700
ตอนที่ 19.2 จูบรสผลไม้
“นี่มันอะไรเนี่ย”เสียงแหลมสูงถามอย่างสงสัย
จะไม่ให้สงสัยได้ยังไง ก็ไอ้อาหารที่ยกขึ้นมาตั้งโต๊ะ ดูจากสภาพ จะว่าน่ากินมันก็คงเป็นเพราะคนปรุง จะว่าไม่น่ากินก็คงเป็นเพราะคนช่วยเตรียมของ
“ผมทำเองแหละ เป็นไง น่ากินใช่มั้ยล่ะ”มาตินขี้ประจบวางกับข้าวจานสุดท้ายเสร็จแล้วเข้าไปนวดไหล่ให้คุณนายของบ้านอย่างเอาอกเอาใจ ไม่วายขโมยผลงานเป็นของตัวเองแล้วหันไปยักคิ้วให้กุ้ยช่ายที่มองค้อนมาอีกหนึ่งที
“แกเนี่ยนะ ทำกับข้าว อะไรมันเข้าสิงแก”คุณนายรีเบคก้าบ่นแต่ก็อดคิดไม่ได้ ว่าอะไรที่มาดลจิตดลใจให้ลูกชายที่ไม่เอาไหนเข้าครัวลงมือทำอาหารได้ขนาดนี้กัน ไม่วายหันไปมองพี่เลี้ยงเด็กที่นั่งตรงข้าม
“จริงสิแม่ ไม่เชื่อถามกุ้ยช่ายดู”มาตินพยักเพยิดไปทางกุ้ยช่าย
“จริงมั้ยกุ้ยช่าย”แม่ของมาตินถามส่งยิ้มบางๆให้
“ก็ จริงครับ จริงแค่บางส่วน ส่วนมากคุณมาตินช่วยเตรียมของมากกว่าน่ะครับ”กุ้ยช่ายตอบสุภาพยิ้มให้กับหญิงสูงวัย
“แม่ก็ว่าแลว ว่าอย่างมาตินจะทำอะไรคนเดียวได้”
“โหแม่ ก็ผมเพิ่งเคยทำครั้งแรก เดี๋ยวคอยดูครั้งหน้าอร่อยกว่านี้อีก”มาตินพูดอวดแล้วหันไปนั่งข้างกุ้ยช่าย ให้แม่บ้านตักข้าวใส่จาน กุ้ยช่ายเหลือบไปมองแม่บ้านอมยิ้มกับสภาพอาหารบนโต๊ะ ครั้งแรกยังขนาดนี้ แล้วยังจะมีครั้งต่อไปอีก
“นี่อะไร”แม่ของมาตินถาม ตักชิ้นกุ้งที่ตัวขาดท่อนขึ้นมาจากผัดกระเพรากุ้ง
“กุ้งไงครับ ผมเล็งเห็นแล้วว่า ถ้าเป็นตัวๆ อาจจะกินเข้าไปติดคอได้ ผมเลยแบ่งเป็นชิ้นๆ”มาตินแก้ตัวกับเศษซากกุ้ง
“อร่อยนิ แกทำเองจริงเหรอมาติน”คราวนี้คุณพ่อมองมาตินถาม เลิกคิ้วสงสัยเมื่อตักกุ้งที่ไม่เหลือสภาพกุ้งเข้าปาก
“ผมทำเอง”มาตินโม้คำโต ไม่ได้มองคนที่ส้งค้อนให้อยู่ข้างๆเลย
“นี่อะไยฮับคุณยุง”ตั้งโอ๋ที่นั่งข้างๆแม่ของมาตินถามกับชิ้นปลารูปหัวใจที่แม่มาตินตักมาให้จากจานปลานึ่งซีอิ้ว
“ปลาครับ ปลานึ่งซีอิ้วรูปหัวใจ กินแล้วจะได้มีความสุขไง”มาตินพูดหันมายักคิ้วให้กุ้ยช่าย
“ฮับ”ตั้งโอ๋ยิ้มรับตักปลาเข้าปากเคี้ยวจนแก้มป่องๆกลมจนแทบแตก
“เรื่องไร้สาระไม่มีใครเกินแกจริงจริง”คุณนายของบ้านบ่นแล้วตักชิ้นปลานึ่งซีอิ้วรูปหัวใจเข้าปาก อดนึกขมไม่ได้กับรสชาติที่ได้ลิ้มลอง
“เป็นไงครับ อร่อยล่ะสิ”มาตินถามเมื่อเห็นแม่ของตนเองยิ้มเบาๆเมื่อตักปลาเข้าปาก
“อืม อร่อย ไม่คิดเลยว่านอกจากจะเลี้ยงเด็กเก่งแล้วยังจะทำอาหารเก่งอีก”แม่ของมาตินพูดชม ส่งยิ้มไปที่กุ้ยช่าย
“ผมเหรอแม่”มาตินถาม เหมือนจะหลงตัวเอง ยิ้มจนแก้มแทบฉีก
“ไม่ใช่แก ฉันหมายถึงหนูกุ้ยช่ายลูกชั้น”
“อ่าวแล้วผมล่ะ”มาตินท้วงทำหน้าตามุ่ย ดูแล้วน่าหมั่นไส้มากกว่า กุ้ยช่ายหันไปมองแล้วยิ้ม
“แกน่ะลูกพ่อแกนู่น”
“อ่าว ผมนั่งกินอยู่เฉยๆนะเนี่ย”คนที่โดนโบ้ยกำลังนั่งลิ้มรสอาหารอย่างพอใจหันมาตัดพ้ออย่างอดไม่ได้ แต่ก็เข้าใจกับคู่ชีวิตว่าเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่เจอกันครั้งแรก
“ก็นั่นแหละ พอกันทั้งพ่อทั้งลูก”คุณแม่มาตินเองก็ไหลไปเรื่อย
“คุณนี่ไม่เปลี่ยนจริงๆ”พ่อของมาตินส่ายหัวเบาๆส่งยิ้มให้หญิงคู่ชีวิตบางๆอย่างรักใคร่
“คนแก่จีบกันอีกแล้ว”มาตินขัด อดยิ้มตามอีกคนไม่ได้กับความรักของพ่อกับแม่ตนที่ต่อให้ใช้ชีวิตกันมายาวนานก็ยังไม่ลดลง
ถึงแม้คุณแม่จะขี้บ่น แต่คุณพ่อก็เห็นเป็นเรื่องตลก คอยยิ้มรับคำบ่นตลอดไม่ว่าจะเรื่องอะไร เพราะรู้ รู้ว่าบ่นได้สักพักอีกฝ่ายก็อารมณ์เหมือนเคย
“ฉันจะจีบกันจะอะไรกันแกก็อย่ามายุ่ง แล้วนี่อะไร ปลาหมึกอะไรของแกเละๆแบบนี้ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน”คุณนายของบ้านหันไปบ่น ใบหน้าอดขึ้นสีไม่ได้เมื่อโดนลูกชายขัด กำลังจะโรแมนติกอยู่แล้วเชียว
“ก็ปลาหมึกผัดผงกระหรี่ไงครับ ที่ทำแบบนี้รสชาติแต่ละชิ้นมันจะไม่ไม่เหมือนกันเวลากินจะได้หลายหลายไงมันเป็นศิลปะ”มาตินว่าแล้วตักปลาหมึกเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆหันมามองคนข้างๆ
ตาคมชะงักเล็กน้อยเมื่อหันไปเห็นคนข้างๆกำลังยิ้ม ไม่เห็นมานานแค่ไหนแล้ว ไม่ไม่สิ ไม่เคยเห็นมากกว่า ยิ้มแบบนี้ ยิ้มที่ไม่เติมแต่ง ยิ้มที่ไม่ฝืน ยิ้มที่กำลังส่งมาให้
“มองอะไร”กุ้ยช่ายหุบยิ้มเมื่อเห็นมาตินหันมามอง
“ป่าว ผมก็มองไปเรื่อย เป็นอะไรไม่อร่อยเหรอ เห็นกินน้อย”มาตินถามเมื่อมองจานข้าวของกุ้ยช่าย
“ไม่หรอก แค่คิดอะไรเพลินๆ”กุ้ยช่ายหันไปตักข้าวใส่ปาก ไม่รู้หรอกว่าเผลอยิ้มอย่างมีความสุขไปตั้งแต่เมื่อไร ยิ้มชอบใจที่เห็นบรรยากาศแบบนี้
บรรยากาศที่โหยหาแล้วไม่เคยมีมานาน ครอบครัวงั้นเหรอ ครอบครัวที่พร้อมหน้าพร้อมตา คำคำนี้มันหายไปจากชีวิตตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่แน่ใจ
ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่ไม่เคยทานข้าวกับตั้งโอ๋อย่างโดดเดี่ยวตามประสาพ่อลูกเหมือนเคย ไม่รู้เลยว่าตั้งแต่เมื่อไรที่เผลอมีความสุขกับบรรยากาศแบบครอบครัว
จากที่เคยทานข้าวสองพ่อลูก ก็มีเพิ่มมาอีกสองพ่อลูก แล้วตอนนี้ก็มีเพิ่มมาอีกจนเกือบเต็มโต๊ะ ไม่อยากจะยอมรับแต่ก็ยอมรับว่ารู้สึกดี ไม่รู้ว่าความรู้สึกดีดีแบบนี้จะอยู่ไปอีกนานแค่ไหน ยังไงก็เป็นแค่ลูกจ้าง ไม่ได้เป็นครอบครัวกับเขาจริงๆสักหน่อย
“นี่คุณ กินอันนี้สิ”มาตินตักชิ้นปลารูปหัวใจให้ สายตาจ้องมองกุ้ยช่ายนิ่ง เมื่อกี้ยังเห็นยิ้มอารมณ์ดีอยู่เลย ทำไมตอนนี้ทำหน้าทำตาเหมือนกำลังจะร้องไห้ยังไงยังงั้น
“ขอบคุณ”กุ้ยช่ายหันมาขอบคุณ แล้วยิ้มบางๆให้มาติน
“ไม่เป็นไร ยังไงซะคุณก็เป็นคนทำ กินเยอะๆ รับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองทำหน่อย”มาตินพูด เหมือนจะพูดให้กำลังใจ แต่มันก็กวนประสาทเหมือนเดิม จะทำไงได้ ไอ้ยิ้มเศร้าๆแบบนั้นไม่ได้อยากเห็นสักหน่อย อยากเห็นยิ้มเมื่อกี้ต่างหาก
“รู้แล้วน่า”กุ้ยช่ายบ่นเบาๆ มันหมายความว่าไงให้รับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองทำ ทำอย่างกับอาหารไม่อร่อยงั้นแหละ จะไม่อร่อยได้ไง ก็เห็นกินกันไปยิ้มกันไป จนพร่องไปเยอะแล้ว คิดแล้วก็หงุดหงิด แบบนี้มันดูถูกกันชัดๆ กุ้ยช่ายขมวดคิ้วหันไปมองค้อนเบาเบา
“ต้องอย่างนี้สิ นั่งทำหน้าแบกโลกทำไม”มาตินยิ้มแล้วหันไปสนใจอาหารบนโต๊ะต่อ ไม่ได้สนใจว่าโลกส่วนตัวที่สร้างเมื่อกี้จะมีใครจ้องมองอยู่อย่างใช่ความคิด คิดแค่ว่าอะไรที่ทำให้ลูกชายเปลี่ยนไป
“ใครแบกโลกกันแน่”กุ้ยช่ายบ่นเบาๆนั่งจัดการจานข้าวตรงหน้าต่อ แค่คิดอะไรเพลินๆต่างหาก คิดเพลินจนเผลอเศร้า
แล้วจะมาสนใจทำไมว่าทำหน้าแบกโลกไม่แบกโลก ไม่เห็นต้องสนใจก็ได้นี่ กะอีแค่ลูกน้องคนเดียว ตัวเองเป็นแค่เจ้านายก็นั่งออกคำสั่งไปสิ แต่จะทำตามรึป่าวก็ไม่รู้ละ ยังไงก็เหอะ ไม่จำเป็นต้องมาสนใจกับลูกน้องเลยด้วยซ้ำ
แล้วไอ้ที่ห้างตอนนั้นอีก ก็รู้ว่าโกรธมากจนทำหน้าทำตาแสดงออกว่าโกรธ จริงๆก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้รู้ว่าโกรธเท่าไรแต่มันอดไม่ได้กับการกระทำเกินเหตุ ถึงขั้นตามกันขนาดนั้นก็เกินไป
แล้วไอ้ที่ทำที่ชวนคุยต่างๆนานาก็ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือป่าวว่าโดนง้อ แต่ก็คงไม่ใช่ เจ้านายที่ไหนจะมาง้อลูกน้อง ก็แค่อยากกวนประสาทกันมากกว่า ละมั้ง
“คุณ ไปทำน้ำส้มคั้นกัน ผมซื้อส้มมาเยอะเลย”มาตินแตะแขนกุ้ยช่ายดึงให้ลุกเมื่อเห็นว่ากุ้ยช่ายรวบช้อนซ่อม
“เดี๋ยวสิ คุณพ่อกับคุณแม่คุณยังทานไม่เสร็จแลย ลุกไปเสียมารยาท”กุ้ยช่ายหันไปมองพ่อกับแม่มาตินที่ส่งยิ้มขำๆมาให้กับพี่เลี้ยงของลูกชาย
ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าคนหนึ่งคอยทำอะไรตามใจตัวเองไม่คิดหน้าคิดหลัง แต่ก็แปลกใจที่อีกคนเอาแต่คิดหน้าคิดหลังคอยห้ามปรามตลอด
“แม่เดี๋ยวผมขอตัวลูกชายของแม่เข้าครัวก่อน เดี๋ยวผมเอาน้ำส้มอร่อยๆมาให้ รับรองแม่ถูกใจ”มาตินดึงกุ้ยช่ายที่ไม่ยอมลุกสักที
“กุ้ยช่ายไปเถอะ เดี๋ยวตามาตี้จะขาดใจตายไปซะก่อนถ้าไปขัดใจมัน”
“งะ งั้นผมขอตัวนะครับ”กุ้ยช่ายไม่วายหันมาพูดจาสุภาพขออนุญาต
“มานี่คุณผมล้างส้มเอง”มาตินหยิบส้มในตู้เย็นมาจัดแจงล้าง
“แล้วที่คั้นอยู่ตรงไหน”
“น่าจะในตู้มั้ง”มาตินชี้ตั้งหน้าตั้งตาล้างส้ม นึกสนุกกับการทำอาหารขึ้นมา
“เอาส้มมาหันครึ่งแบบนี้นะ”กุ้ยช่ายหยิบส้มแล้วทำท่าหั่นให้มาตินดู
“อย่างนี้เหรอ” มาตินลองทำตาม แต่ดูเหมือนจะวางส้มผิดด้าน
“ไม่ใช่แบบนั้น ต้องวางให้ตรงที่เป็นจุกหันไปทางนี้แล้วหั่น”กุ้ยช่ายจับส้มในมือมาตินวางใหม่ ไม่รู้ตัวว่าเดินเข้าไปใกล้กันขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหน อาจเป็นเพราะสนใจอยู่กับสิ่งที่กำลังทำก็เลยไม่ทันคิดอะไร
“ทำไมหั่นไม่เข้าล่ะ”มาตินถาม มือหนากดมีดลงทำให้เปลือกส้มช้ำ
“ไม่ใช่กด ต้องขยับมือเข้าออกด้วยแบบนี้”กุ้ยช่ายเอื้อมมือจับมือสีเข้มที่จับมืดขยับเบาๆ ไม่นานส้มลูกนั้นค่อยๆฉีกออกจากกัน
แต่ใครเล่าจะไปสนใจกับส้มแค่ลูกเดียว มาตินเงยหน้ามองลมหายใจอุ่นๆที่เป่ารดคอทางด้านข้าง มัวแต่สนใจกับส้ม ไม่ได้สนใจอย่างอื่น ก็เลยไม่รู้ว่าอยู่ใกล้กันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร
“ได้แล้วใช่มั้ย”กุ้ยช่ายเป็นฝ่ายผละออก ตกใจกับใบหน้าที่ยื่นเข้ามา เกือบไปแล้ว เกือบไปแล้วเชียว
หันไปหยิบที่คั้นแบบใช้มือมาก่อนจะหยิบส้มที่มาตินหั่นมากดลงกับที่คั้น ถึงส้มที่หันจะแบ่งครึ่งบ้างไม่แบ่งครึ่งบ้าง แต่ก็ใช้คั้นได้อยู่ จะหันไปบ่นก็กลัวอีกฝ่ายเสียกำลังใจ
“ไหนหวานมั้ยผมขอชิมหน่อยสิ”มาตินขยับไปยืนข้างๆหลังจากหั่นส้มเสร็จ ยกแก้มน้ำส้มแก้มแรกที่คั้นเสร็จขึ้นดื่ม
“หวานมั้ย”กุ้ยช่ายถามพลางคั้นส้มที่เหลือต่อ
“ลองดูมั้ยล่ะ”มาตินเท้าแขนกันเค้าท์เตอร์ครัวหันมาหากุ้ยช่าย ยกแก้วที่พร่องไปเกือบครึ่งจ่อปากกุ้ยช่าย
“อืม”กุ้ยช่ายรับคำกำลังนึกจะยกมือรับ แต่ไม่ทัน แก้วน้ำส้มหอมขึ้นจมูกแตะลงที่ริมฝีปาก
แก้วเมื่อกี้ที่อีกฝ่ายยกขึ้นดื่ม แก้มที่อีกฝ่ายยกขึ้นทาบทับริมฝีปาก แล้วยังไง จะเอามาให้กินต่อทำไม มันเหมือนกับจูบกันทางอ้อมชัดชัด
ไม่รู้ว่าจงใจรึป่าว ใจหนึ่งก็ขัดแย้งว่าคงไม่จงใจ คงเป็นเพราะที่อีกฝั่งเป็นคนไม่ค่อยคิดอะไรมากก็เลยยื่นแก้วน้ำส้มแก้วเดียวกันมาให้
แล้วที่จูบครั้งที่แล้วล่ะ อดไม่ได้ที่จะคิดเข้าข้างว่าเป็นจูบทางอ้อม อดไม่ได้ที่จะคิดว่าอีกฝ่ายจงใจ
ทำได้ก็แค่รับน้ำส้มรสหวานเข้ามาในปากจนหมดแก้ว ดวงตากลมโตหลุบต่ำจ้องมองพื้น
ไม่รู้ว่าทำไมต้องเดินถอยหลังเวลาที่อีกคนขยับตัวเข้ามาใกล้ ก้มลงมองเท้าที่ก้าวเข้ามาอย่างประชิด รู้สึกตัวอีกทีก็จนมุมหลังชนกับเค้าท์เตอร์อีกฝั่ง
ยกมือข้างหนึ่งขึ้นดันอกอีกฝ่ายโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมอง แต่ข้อมือก็ถูกรับเอาไว้โดยมือของอีกฝ่าย หันไปเห็นมือหนาอีกข้างเท้าลงที่เคาท์เตอร์กันทางหนีเอาไว้
ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดหน้าผาก ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง ไม่อยากสบตากับดวงตาคู่นั้น ไม่อยากจะนึกว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่อยากรับรู้ว่าหัวใจเต้นแรงจนแทบคลั่งแค่ไหน
ไออุ่นของร่างกายอีกฝ่ายแผ่เข้ามาให้ได้รับรู้ กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆเข้ามาแตะจมูก แต่ก็ไม่อยากจะยอมรับอะไรง่ายๆ
ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น ไม่อยากสนใจว่ามือดึงรั้งอยู่นั้นปล่อยจากมือตัวเองตั้งแต่ตอนไหน
เปลี่ยนมาจับใบหน้าให้เงยขึ้นสบดวงตาสีเข้มตั้งแต่เมื่อไร ยิ่งจ้องมองยิ่งเข้ามาใกล้ ใกล้มากขึ้นจนริมฝีปากอุ่นร้อนเข้าทาบทับกับปากของตันเอง
จะไม่ยอมรับก็คงไม่ได้ ตกใจไม่น้อยว่ามันคือความจริง ความจริงที่รับรู้ได้ ดวงตากลมโตเบิกกว้าง หัวใจที่เต้นแรงแทบจะหยุดเต้นชั่วคราว จู่ๆโลกทั้งใบก็ว่างป่าว ขาวโพลน ไม่มีความคิด ไม่รู้จะคิดอะไร
ได้แต่เงยหน้าตามแรงดึงรั้งของมืออุ่นร้อนให้เงยหน้ารับจูบเปื้อนกลิ่นหอมหวาน มือทั้งสองยกขึ้นกำเสื้อของอีกฝ่ายแน่นอย่างไม่รู้ตัว ดวงตากลมโตหลับตาลงช้าๆ
เพราะไม่รู้จะคิดอะไร จึงได้ปล่อยและยอมรับในสิ่งที่กำลังจะเป็น ยอมให้ความรู้สึกลึกๆเข้ามาควบคุม
เสียงเบาส่งในลำคออย่างตกใจ มือหน้าบีบคางเบาเบาออกคำสั่งให้ต้องเปิดปากรับ ลิ้นร้อนอุ่นไล้เลียริมฝีปากชิมรสหวานที่คิดค้าง ก่อนส่งมาอย่างฉาบฉวย
กวาดต้อนลิ้นเล็กที่อยู่นิ่งให้ต้องตอบรับ เกล็ดส้มที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในโพลงปากเป็นตัวช่วยอย่างเติมแต่งรสจูบได้เป็นอย่างดี
คนหนึ่งก้าวเข้ามาค้นหารสชาติที่ไม่เคยได้ลิ้มลอง ก้าวเข้ามาอยากฉาบฉวยเพื่อที่จะได้สิ่งที่ต้องการ
อีกคนก้าวตามเพื่อตามหารสชาติที่ขากหาย รสชาติที่โหยหาและตามว่ามาเติมเต็มโดยตลอด
ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่เติมเต็มกันและกัน ไม่รู้แม้กระทั่งเหตุผลที่ทำลงไป
ไม่รู้แม้กระทั่งว่ามีใครอีกคนแอบมองอยู่ไม่ไกล
[/color]
****************************************
มาจนจบ
ไม่ถนัดไอ้ฉากแบบนี้เลย
ไม่รู้จะทำไงดี
ยังไงก็เป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคร้าาาา
ขอคำแนะนำด้วยคร่าาา
ถ้าฟีทแบคสองทุ่มมาอีกตอน อิอิ
คนอ่านนัลร๊ากเกิ๊น
ยังไงก็อย่าเพิ่งทิ้งกันน้าาาา
คนเขียนออกจะรักคนอ่านขนาดนี้