(ต่อ)
กลับมาปัจจุบัน เดินทัพนั่งมองพวกเปรมถือไฟเย็นวิ่งไล่กันในสวนหย่อม บรรยากาศในคืนสิ้นปีอบอวลไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเหล่าเด็กหนุ่ม
เดย์เงยหน้า ผืนฟ้าเหนือเจ้าพวกนั้นเต็มไปด้วยดวงดาวอันพราวระยับและพลุหลากสี ส่องประกายไม่ต่างจากพวกบ้าๆ บอๆ ที่วิ่งไล่กันอยู่ด้านล่าง
ภาพนั้นสวยงามจนเดินทัพอดพูดออกมาไม่ได้
“ขอบคุณอะไรก็ตามที่พาเจ้าพวกนั้นมาเจอกัน...”
“ไอ้เหี้ยเปรมไปทางโน้นแล้ว! จับมันไว้!”
เดียร์กอดแขนคนรัก ซบไหล่แกร่งแล้วช่วยอธิษฐานอีกแรงว่า
“และขออย่าให้มีอะไรพรากพวกเขาไปจากกันเลยนะ”
ที่หน้าต่างตรงทางเดินชั้นสองของคฤหาสน์เกียรติวานนท์ ปิยะยืนมองลูกสาวนั่งคุยกับเด็กหนุ่มผมดำในสวนหย่อมด้วยแววตาอ่อนแสง
ตึก...
หูของชายเชื้อจีนได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา ถึงตรงนี้ใครบางคนก็เดินมาหยุดอยู่ข้างกัน ร่างใหญ่ยื่นถ้วยกาแฟร้อนในมือส่งให้เขา
“Thanks.” ปิยะรับมา มองเจ้าบ้านที่ขยับตัวไปนั่งบนขอบหน้าต่างพร้อมถามเขาว่า
“เป็นห่วงเหรอ”
“แหงล่ะ ลูกสาวของฉันทั้งคนเลยนะเฟ้ย” ปิยะแยกเขี้ยว ไม่วายเหลือบมองไปทางสวนหย่อมอีกรอบ
“ไม่คิดว่าคนหวงลูกสาวแบบนายจะยอมให้เด็กหนุ่มแปลกหน้ามาคว้าไป” หมอแปดสัพยอก ดวงตาตี่เล็กกระตุกหงึก “พูดให้มันดีๆ นะเฟ้ย! จริงๆ ฉันให้คนไปแอบสืบเรื่องของเด็กคนนั้นมาก่อนแล้วต่างหาก”
ชายเชื้อจีนจิบกาแฟ “ใครมันจะไปยอมยกลูกสาวให้ผู้ชายที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าดูแลกัน ฉันสืบจนรู้ว่าพ่อของเดย์เป็นคนอังกฤษ แต่งงานกับแม่ที่เป็นคนไทย มีพี่น้องอีกสองคน ตัวเองเป็นลูกคนกลาง”
หมอแปดมองเพื่อนพูดต่อเงียบๆ
“ถูกใจตรงที่หมอนั่นบอกว่าตัวเองฐานะ ‘ปานกลาง’ ทั้งๆ ที่มีพ่อเป็นผู้ส่งออกธุรกิจรายใหญ่นี่แหละ เป็นเด็กที่จริงจังและถ่อมตัวจริงๆ”
ปิยะทำหน้ายู่เหมือนเด็กๆ “แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นน้องเดียร์จะพามาเปิดตัวสักที เลยแกล้งเสนอให้คุยกับลูกชายนายนั่นแหละ แต่พูดก็พูดเถอะ สองคนนั้นเข้ากันได้ดีมากจนฉันเผลออยากให้เป็นจริงขึ้นมาแวบหนึ่งเลยล่ะ”
ชายเชื้อจีนจุดยิ้ม “แต่สุดท้ายเด็กคนนั้นก็เข้ามาขอน้องเดียร์กับฉันตรงๆ คุกเข่าด้วยนะ เป็นลูกเขยที่น่าเอ็นดูจริงๆ” ก่อนจะหันไปทางอีกคน
“ว่าแต่นายเถอะ จะปฏิเสธฉันก็ได้แท้ๆ เออออตามซะน่ากลัวเลยนะ”
“เด็กๆ สนิทกันไว้ก็ดีแล้วนี่” เจ้าบ้านเอ่ย แสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาทำให้เสี้ยวหน้าหล่อเหลาดูอบอุ่นกว่าที่เคย
ปิยะมองลงไปที่กลางสนาม ดวงตาลูกคนจีนสะท้อนภาพทศทิศวิ่งไปกอดพ่อครัวในขณะที่ฝ่ายหลังร้องโวยวาย ร่างใหญ่หัวเราะออกมา “นายรู้อยู่แล้วใช่ไหม...ความสัมพันธ์ของเท็นกับเด็กที่ชื่อเปรมน่ะ?”
“คิดว่าฉันเป็นใครกัน” หมอแปดจิบกาแฟเรียบๆ ชายเชื้อจีนอ้าปากค้าง
“จริงดิ! ไม่ตกใจอะไรเลยเรอะ!”
“ไม่นี่?” เจ้าบ้านเลิกคิ้ว ปิยะเหงื่อตก “ว่าแต่ใจร้ายจังเลยนะ ทั้งๆ ที่รู้ก็ยังบอกให้เท็นคุยกับน้องเดียร์อะเหรอ”
“นายรักลูกสาวในแบบของนาย...” หมอแปดเปรยโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“ฉันเองก็มีวิธีเอ็นดูลูกชายในแบบของฉันเหมือนกัน”
“อะฮ้า! จริงๆ ก็แค่งอนที่เท็นไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับนายล่ะสิท่า!” ปิยะพูดล้อๆ “ไอ้พ่อติดลูกชายเอ๊ย!”
“...” เจ้าบ้านเบือนหน้าหนี ข้างแก้มซีดขึ้นสีอย่างหาดูได้ยาก ชายเชื้อจีนหัวเราะ “แล้วนี่รู้ความเป็นไปมาจากไหน”
“ออกัส” หมอแปดบอก “หมอนั่นคออ่อน โดนมอมเหล้าหน่อยก็คายความจริงออกมาเกือบหมดแล้ว” ร่างใหญ่จิบกาแฟอย่างทองไม่รู้ร้อน “แต่ออกัสไม่รู้หรอกว่าฉันรู้”
“...นายนี่มันน่ากลัวจริงๆ” ปิยะสั่นหน้า ก่อนจะโดนเสียงหัวเราะเรียกให้มองลงไปด้านล่าง “อา เห็นเด็กพวกนั้นแล้วก็คิดถึงเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาเลยเนอะ พวกเราในสมัยนั้นเองก็เสียงดังแบบนี้แหละ”
“ตอนนี้แก่หัวหงอกกันหมดแล้ว” เจ้าบ้านเอ่ย ชายเชื้อจีนหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“นัดเจอกันหน่อยดีไหมน้า~”
หมอแปดจุดยิ้มอบอุ่นออกมาแทนคำตอบ
ในสวนหย่อมเวลาห้าทุ่มห้าสิบห้า ผมนั่งมองกุ๊กกับเพื่อนๆ วิ่งเล่นไฟเย็นกันอย่างคึกครื้นอยู่เงียบๆ
“เท็นไม่ไปเล่นกับพวกเปรมเหรอ?”
เมหันมาถามยิ้มๆ บนตักของเขามีไอ้ปิศาจหัวสีน้ำตาลที่เมาแอ๋นอนซบอยู่
“กุ๊กกำลังสนุก เราไม่อยากไปขัด” ผมตอบ จริงๆ แค่ได้มองกุ๊กเล่นกับเพื่อนๆ อย่างเป็นธรรมชาติอยู่ตรงนี้ ได้ยินเสียงหัวเราะของเขาตอนได้แกล้งเพื่อนกับโดนแกล้งซะเองแบบนี้...
แค่นี้ผมก็มีความสุขมากพอแล้ว
“เฮ้ย จะเที่ยงคืนแล้ว!” ไดนาไมต์ร้องเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ไฟทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นหญ้า หันมาทางพวกผม “เฮ้ยยย! พวกมึงอะ ตรงนี้เห็นพลุชัดแจ๋วเลยนะ มานอนเคาท์ดาวน์ตรงนี้กันเถอะ!”
สามสีเดินไปทางเดย์กับน้องเดียร์ บอกว่า “มานอนดูพลุด้วยกันเถอะ”
ผมมองเมที่พยายามปลุกไอ้ปิศาจซึ่งยังงัวเงียอยู่ให้ลุกขึ้น ตอนที่กำลังจะเข้าไปช่วยลาก ใครบางคนก็เดินมาหยุดตรงหน้าผมพร้อมส่งมือให้
“ไปดูพลุตรงโน้นกันเถอะเท็น” กุ๊กนั่นเอง เขายิ้มให้ผมปนหอบ คงเพราะเพิ่งเล่นเสร็จมาเหนื่อยๆ ดวงตาของผมสะท้อนมือของเขา
มือคู่นี้ที่คอยค้ำจุนผมเสมอมา...
ผมตัดสินใจคว้ามือนั้นไว้ ก่อนจะลุกขึ้นเดินตามกุ๊กไปเงียบๆ
ลมใหญ่พัดมาวูบหนึ่งคล้ายการสลับฉากพวกเราสิบคนนอนหันหัวชนกันเป็นวงกลมอยู่กลางสวนหย่อม ไฟกำลังดูถ่ายทอดสดเคาท์ดาวน์ทั่วประเทศผ่านสมาร์ทโฟน เสียงจากในจอนั้นดังอื้ออึง บรรยากาศตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงสิบวินาทีสุดท้ายของปี
สิบ...ท่ามกลางดวงดาวที่แสนกว้างใหญ่นี้
เก้า...ทำไมพวกเราถึงได้มาพบกันนะ?
แปด...เงยหน้าขึ้นมองฟ้าแล้วเธอนั้นเห็นอะไร
เจ็ด...จะต้องข้ามกาลเวลากันอีกกี่ครั้ง?
หก...เพียงแค่ความทรงจำเดียวตอนนั้น
ห้า... ที่ทำให้...เราได้มาเจอกัน
สี่...ผมหันไปมองกุ๊กที่นอนอยู่ข้างๆ
สาม...อีกฝ่ายหันกลับมาเมื่อรู้สึกตัว
สอง...ในหนึ่งวินาทีนั้นพวกเราสบตากันเนิ่นนาน
หนึ่ง...ก่อนเปรมจะยิ้มให้ผมอย่างสดใส
ปัง!!! ปังๆๆๆๆๆ!!รู้ไว้ว่าเธอน่ะไม่ได้อยู่ลำพัง...“แฮ้ปปี้นิวเยียร์โว้ยยยยย!” โชตะโกนออกมาคนแรก
พวกเราจะคอยอยู่เคียงข้างเธอ“ขอให้เป็นปีที่ดีไอ้พวกเหี้ยยยย!” ไฟร้องออกมากลั้วหัวเราะ
จะอยู่คอยปกป้องตัวเธอเสมอ... “แฮ้ปปี้นิวเยียร์นะ” เดย์ประสานมือกับเด็กสาวอย่างทะนุถนอม เธอยิ้มกว้าง
ไม่ว่าตัวเธออยู่ที่ไหนไกลก็ตาม“แฮ้ปปี้นิวเยียร์ค่ะ!”
เสียงหัวใจที่ดัง...ก้องและกังวาน“มีชีวิตรอดมาเคาท์ดาวน์ด้วยกันปีหน้าอีกนะเว้ยยย!” ไดนาไมต์ชูมืออย่างมีชีวิตชีวา
ด้วยคำพูดของเธอที่กลายเป็นบทเพลง“สุขสันต์วันปีใหม่นะทุกคน” เมธายิ้ม
เป็นเช่นช่อดอกไม้งาม...แต่งแต้มบนโลกใบนี้“คร่อก...”
“ไอ้เหี้ยเอื้อแม่งหลับข้ามปีเฉย โคตรเหี้ย” สามสีเขย่าหัวปิศาจร้ายที่นอนกรนอย่างไม่เกรงใจอยู่ข้างๆ
แผนที่นี้จะนำเส้นทางนั้นมาให้เรา...สุดท้ายกุ๊กก็ตะโกนออกมา
“ขอให้ทุกคนมีความสุขมากๆ นะ!!”
ให้เดินก้าวไปในวันพรุ่งนี้“...”
พลันทุกคนก็เงียบเสียงลง ไฟยกหัวขึ้นเล็กน้อยอย่างแปลกใจ “ไอ้เท็นเป็นไรวะ? หลับเหรอ?”
“เปล่า” ผมตอบเรียบๆ ได้ยินไดนาไมต์หยอกว่า “นายน้อยพูดอะไรสักหน่อยสิครับ”
“พูดอะไรล่ะ”
“อะไรก็ได้” สามสีบอก ผมนิ่งคิดไปชั่วอึดใจ
ถ้าพูดอะไรก็ได้ล่ะก็...
“กุ๊ก...เราหิว”เปรมเบิกตากว้าง ก่อนจะหัวเราะออกมาดังลั่น
“ไอ้บ้าเอ๊ย! มันใช่เวลามั้ยเนี่ย!” ไดนาไมต์ตะโกน ตามด้วยเสียงหัวเราะจากคนอื่นๆ ที่ดังขึ้นต้อนรับปีใหม่
ปัง...ท่ามกลางเสียงพลุที่ดังเป็นฉากหลัง ผมนั่งมองไดนาไมต์กระโดดขี่หลังสามสีแล้วหัวเราะออกมาอย่างสดใส ตามด้วยไฟที่ชะโงกหน้าไปหอมแก้มโชก่อนจะลุกวิ่งหนีให้เด็กประมงวิ่งไล่ตีเหมือนเด็กๆ
ไม่ไกลกันมากเป็นเมที่กำลังนั่งลูบหัวปิศาจร้ายยิ้มๆ ในขณะที่เดย์กับน้องเดียร์นั่งกุมมือกันมองพลุหลากสีบนฟากฟ้าอย่างอบอุ่น
ผมหันไปมองคนข้างๆ ที่กำลังนั่งดูพลุอยู่เงียบๆ ก่อนจะขยับเข้าไปกอดเขาอย่างออดอ้อน
“หืม?”
“กุ๊กตัวอุ่นจัง” ผมหอมแก้มเขา เปรมแก้มแดงแจ๋เลย ร้องว่า “มะ ไม่ได้นะ!”
“ไม่มีใครมองหรอกน่า”
“อึก...”
“จุ๊บเราหน่อยนะ” ผมโน้มหัวลงไปหา เปรมเหลือบมองรอบข้างเลิกลัก สุดท้ายก็ยอมยื่นหน้าเข้ามา ก่อนจะแนบริมฝีปากลงบนหน้าผากสีซีดของผมด้วยพวงแก้มที่ขึ้นสีเรื่อ
จุ๊บ...ผมหลับตาลงช้าๆ หัวใจพองโตด้วยความรู้สึกที่ราวกับถูกเติมเต็ม
ปัง! ขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้ผมได้เจอกับพวกเขาและทุกอย่างที่ทำให้พวกเราได้พบกับ... ‘คุณ’“ขอบคุณครับ”****************************************************** *
สวัสดีค่าาาา า

ในที่สุด ! เสื้อกาวน์รุกเสื้อกุ๊กรับก็จบลงแล้วนะคะ เฮ่ !
.. ตบมือแมะ 5555555555555555555 5
ยังไงดี เลยไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนเลย 55555555 5
เป็นครั้งแรกเลยค่ะที่เขียนลงเว็บแล้วจบเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้
ทั้งที่เริ่มจากความไม่คิดอะไรแท้ๆ ไม่นึกจริงๆ ค่ะว่าจะมีคนสนใจ
ที่เหลือไปเวิ่นในเพจก็แล้วกัน ขายของเลยนะคะ 555555555 5
iJune4S
และที่สำคัญที่สุด !
เร็วๆ นี้ Love Course เสื้อกาวน์รุกเสื้อกุ๊กรับ จะร่วมเล่มกับสำนักพิมพ์ Rainy Night นะคะ
โดยจะมีตอนพิเศษในเล่ม และตอนพิเศษแยกเล่มค่ะ
(ตอนพิเศษแยกเล่มมีให้แค่เฉพาะรอบจองเท่านั้นนะคะ หมดแล้วหมดเลยน้า)
สามารถติดตามรายละเอียดการสั่งจองทางเพจของสำนักพิมพ์ได้เลยค่ะ
Rainy Night
หากมีความคืบหน้าแล้วจะมีการอัพเดทแจ้งให้ทราบแน่นอน
ไปอุดหนุนเล่มกันเยอะๆ น้า อยากให้อ่านตอนพิเศษมากๆ เลย
(ขายของอีกแล้ว 55555555555 5)
สุดท้ายนี้ ขอบคุณทุกการติดตามและการรอคอยนิยายเรื่องนี้เสมอมานะคะ
ทุกอย่างจะมาถึงตรงนี้ไม่ได้เลยถ้าไม่มีคนอ่านที่คอยให้กำลังใจค่ะ
ยังไงถ้าคิดถึงก็เข้าไปทักทายกันในเพจได้นะคะ
ขอบคุณสำหรับการเอาใจใส่และการพูดถึงนิยายเรื่องนี้ค่ะ
ขอบคุณที่รักและเอ็นดูตัวละครในเรื่อง ทั้งๆ ที่เป็นแค่พวกบ้าๆ บอๆ เท่านั้นเอง
ขอบคุณทุกการบอกต่อทั้งออกสื่อและไม่ออกสื่อเลยนะคะ
คือแค่อ่านนิยายของจูนแล้วชอบกันสักนิด จูนก็ดีใจมากๆ แล้ว
ขอบคุณทุกคนจากใจจริงค่ะ
ใครว่างๆ ก็ไปเล่นแท็ก #เสื้อกาวน์รุกเสื้อกุ๊กรับ ในทวิตเตอร์ได้นะคะ

แล้วเจอกันเรื่องหน้าค่าาา า