ปรสิต | 14
“กาแฟค่ะหมอ”
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองแก้วกระเบื้องซึ่งถูกวางลงบนโต๊ะ กลิ่นโรบัสต้าลอยเตะจมูก นายแพทย์แย้มยิ้มเล็ก ๆ จากนั้นจึงว่าเสียงทุ้มนุ่มเพื่อเป็นการขอบคุณพยาบาลเอ๋ที่อุตส่าห์แสดงน้ำใจ อันที่จริงกาแฟกึ่งสำเร็จรูปที่มีติดห้องระเบียนก็ไม่ได้เลวร้ายนัก ส่วนใหญ่ค่อนข้างขึ้นอยู่กับฝีมือคนชง และศรัณย์คิดว่าเป็นโชคดีของเขาแล้วที่ผู้หญิงตรงหน้าติดหนึ่งในห้าพยาบาลสาวช่างชง
คืนนี้เงียบเหงาและไม่มีคนไข้อาการสาหัสเข้ามามากนัก ส่วนใหญ่จะปวดหัว ปวดท้อง หรืออุบัติเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สามารถยกให้เป็นหน้าที่ของพยาบาลในการทำแผล นั่นทำให้หมอเวรอย่างศรัณย์มีเวลาพักสายตาหลังจากที่ต้องรักษาคนไข้ในวอร์ดมาตลอดทั้งวัน หรือต่อให้นอนไม่หลับ ก็จะมีพยาบาลแวะเวียนมาพูดคุยสัพเพเหระอยู่ตลอดคืน
“หิวเนอะหมอ” บุรุษพยาบาลเดินมาพร้อมกาแฟกระป๋อง เขาอยู่ในชุดเครื่องแบบสีขาว เดาว่าคงเพิ่งเสร็จจากการล้างแผลให้คนเจ็บเมื่อยี่สิบนาทีก่อน “ผมว่าจะโทรสั่งแมค หมอสนไหม”
“เอาสิ ฝากสั่งแมคฟิชมาชุดหนึ่ง”
ศรัณย์มองคนตรงหน้าที่หยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออกอย่างที่ว่าไว้ ตาชั้นเดียวคู่นั้นสอดส่องมองจำนวนเพื่อนร่วมงานหน้าตาคุ้นเคยที่พอมองเห็นได้ แล้วจึงสั่งอาหารฟาสต์ฟู้ดแบบง่าย ๆ มาหลายชุด เป็นเรื่องธรรมดาที่เวรกลางคืนจะเกิดหิวขึ้นมากลางดึก เมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ยังกับมีปาร์ตี้พิซซ่า ซึ่งแพทย์หนุ่มคิดว่าไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรนัก ตราบใดที่คนไข้ไม่เยอะ และทุกคนต่างเวียนกันไปทำงานตามความรับผิดชอบ
ทันทีที่สั่งอาหารเสร็จ บุรุษพยาบาลก็จำต้องรีบเก็บเอาโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง กระดกกาแฟกระป๋องอึกสุดท้ายแล้วจึงทิ้งลงถังขยะ ในขณะที่เดินไปรอรับเตียงผู้ป่วยต่อจากทางด้านหน้า แพทย์ประจำบ้านอีกคนรีบร้อนออกมาจากห้องพัก ในมือมีถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป นั่นทำให้หมอศรัณย์ต้องแสดงน้ำใจของการเป็นรุ่นพี่ด้วยการโบกมือปัด ๆ ไล่ให้กลับเข้าไป
“ไปกินให้เสร็จเถอะหมออั้ม เดี๋ยวผมดูคนไข้เอง” ศรัณย์ไม่ได้รีบร้อนตามไปในทันที หยิบเอาสเตทโตสโคปบนโต๊ะขึ้นมาคล้องคอ และรอจนเตียงถูกเข็นเข้ามาถึงห้องฉุกเฉิน
“ผู้ป่วยไม่ได้สติครับหมอ ญาติบอกว่าตื่นขึ้นมาพบผู้ป่วยตกจากบันได” คนฟังพยักหน้ารับ “ที่เท้าใส่เฝือกอ่อนไว้อยู่ ญาติเกรงว่าจะเป็นอะไรไป ก็เลยพามาส่งครับ”
ส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยซึ่งมากับเฝือกมีเปอร์เซ็นต์สูงทีเดียวที่ต้องส่งต่อให้ศัลยแพทย์ เบื้องต้นเขาคงต้องดูอาการก่อนในฐานะแพทย์อยู่เวร บางทีอาจจะไม่ได้เป็นอะไรมากนัก แต่ก็ควรเอ็กซเรย์เผื่อไว้หากมีอาการบาดเจ็บมากกว่าแผลฟกช้ำหรือเจ็บกล้ามเนื้อ คิ้วเรียวขมวดเล็กน้อยเมื่อเห็นเฝือกอ่อนที่ปลายขาขวา ครึ่งตัวล่างโผล่พ้นจากผ้าม่านกั้นระหว่างเตียง หัวใจของศรัณย์เต้นเร็วขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ และน่ากลัวว่าจะเป็นอย่างที่เขาลุ้นในใจ
รามิลอยู่ในชุดเสื้อยืด กางเกงผ้าสีดำถูกถกขึ้นไปเหนือเฝือกเพื่อให้หมออย่างเขาตรวจดูอาการบาดเจ็บได้สะดวก อย่างหนึ่งที่ศรัณย์รู้คือ อาการเส้นเอ็นที่ข้อเท้าฉีกของรามิลยังไม่หายดี แล้วเขาก็ไม่อยากให้มันรุนแรงกว่าเดิมจนถึงขั้นต้องผ่าตัด ซึ่งนั่นหมายถึงว่าการกายภาพบำบัดอาจจะกินเวลาต่อไปอีกร่วมครึ่งปี
“เก้า” อายุรแพทย์สะกิดเรียก พยายามสะกดกลั้นเสียงไม่ให้สั่นต่อหน้าพยาบาลคนอื่น ๆ อีกเหตุผลหนึ่งคือ แทบทุกคนในทีนี้จำนักศึกษาแพทย์รามิลได้ “เก้า”
เขาทาบสเตทโตสโคปเพื่อฟังอัตราการเต้นของหัวใจ รามิลลืมตาขึ้นในตอนนี้เอง
“พี่เสือ?”
“เจ็บตรงไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า”
“....” สีหน้าของเด็กหนุ่มนั้นเดาได้ไม่ยากว่าคงเจ็บปวดเอาเรื่อง แทนที่จะตอบอาการในทันที รามิลกลับเงียบไปเมื่อถูกนายแพทย์ตรงหน้าถามไถ่อาการด้วยความห่างเหิน “ที่ข้อเท้าครับ นอกนั้นไม่เท่าไร”
“เจ็บแบบไหนครับ”
“คิดว่ากระดูกคงไม่ได้หักครับ”
สิ่งหนึ่งที่พิเศษหากคนในวิชาชีพบาดเจ็บเสียเอง คืออย่างน้อยมักจะรู้ว่ากระดูกไม่ได้หักหรือแตกจากการเจ็บในระดับนี้ ศรัณย์ค่อย ๆ ถอดเฝือกออกดูเพื่อเช็กอาการบาดเจ็บด้วยตาเปล่า เป็นอย่างที่คิด ชัดแล้วว่ามันบวมจนน่ากลัว “คิดว่าเดินไหวไหม”
รามิลส่ายหน้า เขาดูจะไม่สามารถเข้าไปอยู่ในกรอบสายตาของอีกฝ่ายได้เลย จะว่างี่เง่าก็ได้ ที่ถึงแม้กำลังอยู่ในฐานะคนเจ็บ แต่รามิลกลับไม่ได้ต้องการอายุรแพทย์มากไปกว่าคนรักที่เคยเป็นห่วงเป็นใยกันเลยสักนิด เขาดูออกว่าศรัณย์แข็งใจ และดวงตาเรียวรีนั้นก็ดูอ่อนลงเรื่อย ๆ ในนาทีต่อมา
ริมฝีปากรูปกระจับคล้ายอยากพูดอะไรที่น่าฟังกว่านี้ แต่ท้ายสุดก็กลับกลายเป็นประโยคที่คนฟังไม่อยากได้ยินนัก “คุณเปิ้ล เดี๋ยวฉีดไดโคลฟีแนคแล้วรอดูอาการด้วยนะครับ พรุ่งนี้อาจจะต้องส่งไปให้ออร์โธเช็กอีกที”
รับคำแล้วพยาบาลก็แยกตัวออกไปเพื่อเตรียมตัวยาตามสั่ง ภายในม่านกั้นจึงมีความส่วนตัวขึ้นมาหลังเหลือเพียงแค่คนไข้และหมอหนุ่มซึ่งกำลังทำสีหน้ากระอักกระอ่วน อย่างน้อยศรัณย์ก็มีอะไรอยากพูดกับเขา รามิลคิด ไม่อย่างนั้นคงเลือกเดินออกไปจากตรงนี้หลังจากสั่งงานพยาบาลแล้ว
“พี่เสือ...”
รามิลเรียกเสียงเว้าวอน เรียกใบหน้าของคนรักให้หันมาสบกันได้ในที่สุด คนถูกเรียกถอนหายใจเบา ๆ แล้ววางมือเปล่าลงไปสัมผัสกับข้อเท้าบวมช้ำ “เจ็บมากไหม?”
“ครับ” เด็กหนุ่มไม่ได้โกหก มันเจ็บมากพอ ๆ กับตอนที่ถูกผู้ชายคนนี้ทำหมางเมินใส่ “ผมคิดถึงพี่”
ศรัณย์คิดถึงตอนที่คุยกับอธิศเมื่อกลางวันขึ้นมาอีกครั้ง คำที่บอกว่าความรู้สึกเป็นสิ่งน่ากลัว เอาแต่วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาในหัว มันผลักดันให้เขายอมเข้าไปใกล้รามิลขึ้นอีกนิด แต่ก็ยังไม่อาจหลุดจากแรงรั้งของความรู้สึกอีกด้านในจิตใจที่ว่าก่อนหน้านี้ศรัณย์รู้สึกแปลกแยกกับเด็กคนนี้มากแค่ไหน แม้กระทั่งรามิลที่กำลังโหยหาเขาในตอนนี้ ชายหนุ่มยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเป็นใครกันแน่
“พี่คิดอะไรอยู่ บอกผมได้ไหมครับ”
“....”
“ยังโกรธผมอยู่เหรอ”
“....”
“พี่เสือ ผมทำไปก็เพราะรักพี่ แต่ไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องออกมาเป็นแบบนี้”
“....”
“ได้โปรดเถอะ พูดอะไรกับผมบ้าง”
“....”
“หรือถ้าพี่หายโมโหเมื่อไร --”
“เก้า” คนตรงหน้าแทรกคำเรียกขึ้นมาด้วยชื่อของเขา ศรัณย์ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้ใกล้ขึ้นหรือไกลออกไป ดวงตานั้นอ่อนแสง มือที่จับอยู่บนข้อเท้าก็ผละออกไป “ฟังพี่นะ”
ศรัณย์ดูลำบากใจเหลือเกิน หลายครั้งรามิลได้เห็นสีหน้าอมทุกข์ของคนรัก และมันเป็นแบบนี้แหละ แบบที่พร้อมจะบีบหัวใจของเขาให้เจ็บปวดไปพร้อม ๆ กัน ปากนั้นเหยียดออกเป็นคำพูด มันทั้งทุ่มนุ่ม และช้าเพื่อย้ำชัด ถ้าตอนนี้มีเส้นใยบาง ๆ สักเส้น ศรัณย์ก็คล้ายกำลังกระตุกมันเบา ๆ
“อย่าเข้าใจว่าพี่โกรธหรือโมโหในตัวนาย และที่สำคัญ พี่เกลียดนายไม่ลงอย่างที่นายอาจจะเข้าใจ”
“....”
“แต่ระหว่างเรา -- มันเหมือนกับว่าเราไม่เคยรู้จักกัน พี่ไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับนายเลย ซึ่งมันทำให้พี่สับสน ผิดหวังว่าเราไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกันและกันอย่างที่คิด และนายก็เหมือนคนที่พี่ไม่รู้จัก”
“....”
“ผลลัพธ์ของเรื่องนี้มันหนักหนาสาหัสเกินไป พี่แค่รับมันไม่ไหว” ความอัดอั้นของชายหนุ่มค่อย ๆ ถูกส่งผ่านคำพูดมากมาย มันอาจทำให้รามิลเจ็บจนจุก ทำให้ความรู้สึกสั่นคลอน วงกลมสีดำประหลาดระหว่างห้วงความรู้สึกของคนทั้งคู่ขยายวงกว้าง แต่ศรัณย์หวังให้มันเจือจางเหมือนหยดหมึกบนผิวน้ำ “มันยากนะเก้า”
“....”
“พี่อยากรักและรู้สึกกับนายเหมือนเดิม แต่มันทำไม่ได้”
บางทีถ้าคนตรงหน้าเข้ามากุมมือเขาเอาไว้ รามิลอาจจะรู้สึกดีกว่านี้ก็ได้ ยิ่งฟัง เขายิ่งรู้สึกว่าตาของตัวเองร้อนผ่าว ศรัณย์หมายความว่าอย่างไร ต้องการพังทลายความรักอายุห้าปีนี้ หรือว่าอยากให้เขาทำอะไรเพื่อให้มันดีขึ้น
รามิลยอมทุกอย่าง
เชื่อเถอะว่าเขายอมทุกอย่าง ขอแค่ได้พี่เสือกลับมา
นายแพทย์ไม่กล้าแม้แต่จะเอื้อมมือไปปลอบประโลมคนรักอย่างที่สมควรทำ ศรัณย์เจ็บถ้าต้องเห็นรามิลร้องไห้ แล้วเขาก็รู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอมามากเกินไป ในขณะที่อธิศบอกเล่าว่าเด็กคนนี้กำลังแย่แค่ไหน ทุกอย่างย้อนกลับเลยไปจากจุดเริ่มต้น
“ให้เวลาเราทั้งคู่เถอะเก้า”
“....”
“เมื่อไรที่เราจัดการความรู้สึกตัวเองได้”
เด็กหนุ่มกลั้นมันต่อไปไม่ไหว เขาปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างที่มันอยากเป็น “ครับ ผมจะรอ”
--------------------------------------------------
ศรัณย์ในชุดสูทสีดำยืนอยู่หน้าคอนโดมิเนียมขณะมองรถยนต์สีขาวขับเลี้ยวเข้ามาตามทางรถแคบ ๆ ที่คุ้นเคยดี ตอนนี้เก้าโมงเช้า นี่เป็นวันแรกที่เขาไม่ได้พันอะไรไว้บนแขนซ้าย หลังอาการแขนซ้นจากอุบัติเหตุดีขึ้นมากจนแทบไม่รู้สึกปวดแล้ว ถึงอย่างนั้นในการยกกระเป๋าสัมภาระไปวางยังท้ายรถ ศรัณย์ก็ยังต้องใช้แขนขวาเพียงข้างเดียวเป็นหลัก มันค่อนข้างลำบาก แต่อธิศก็รีบลงมาและรับอาสาจัดการให้
อายุรแพทย์เปิดประตูเบาะหลังแล้วพาตัวเองเข้าไปนั่ง กล่าวทักทายชนกันต์ที่อยู่ข้างหน้าพอเป็นมารยาท ครั้นอธิศกลับขึ้นมาประจำที่นั่งคนขับ ก็ราวกับความเงียบนั้นโรยตัวลงมาครอบคลุมบรรยากาศภายในรถระหว่างเดินทางไปพิจิตร เขาเลือกที่จะเงียบ อธิศใช้สมาธิกับการขับรถ ส่วนชนกันต์ขออนุญาตงีบหลับเพราะเพิ่งออกเวรจากห้องยาเมื่อสองชั่วโมงก่อน และต้องถ่างตาตื่นอีกจนถึงดึกดื่น
เพราะเป็นเช้าวันธรรมดา พวกเขาถึงได้มาช้ากว่าที่คาดไว้ อธิศโทรไปแจ้งกับทางโรงแรมว่าจะเข้าไปเช็คอินทีเดียวตอนเย็นหรือหัวค่ำ ในสองห้องนั้น ศรัณย์เลือกนอนคนเดียว เขาอยากใช้เวลาอยู่กับความเงียบเพื่อคิดอะไรให้มากอีกสักหน่อย หลังจากเมื่อคืนนี้ได้มีโอกาสพูดคุยกับรามิลถึงทิศทางที่ทั้งคู่จะเลือกเดินต่อจากนี้
ไม่มีใครชวนรามิลมาเคารพศพแพรพลอยเป็นครั้งสุดท้าย อย่างที่รู้ ๆ กันว่าทุกคนที่กรุงเทพ ฯ ล้วนเป็นความทรงจำอันเลวร้ายของคนบ้านนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กผู้ชายที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด และยังมีโอกาสได้ย้ำความผิดของตัวเองต่อหน้าพ่อแม่ของหญิงสาวอีกหลายครั้งบนชั้นศาล
บรรยากาศภายในพิธีศพเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ไม่มีใครยินดีต่อการจากไปของเด็กสาวผู้นี้ คน ส่วนใหญ่ในงานเป็นญาติและคนในชุมชนละแวกนั้น นางสุพิศกำลังถูกลูบหลังโดยหญิงวัยกลางคนซึ่งคาดว่าคงเป็นคนสนิทหรือเพื่อนบ้าน น่าสลดใจที่นอกจากพวกเขาสามคนและพวงหรีดไว้อาลัยของทางมหาวิทยาลัยแล้ว ที่งานนี้ไม่มีคนจากกรุงเทพ ฯ เลยสักคน
ศรัณย์มีโอกาสได้มองหน้าแพรพลอยชัด ๆ ก็ตอนที่วางดอกไม้จันทน์บนโลงศพของเธอ รูปถ่ายนั้นแทบไม่ต่างจากภาพที่อธิศเคยเอาให้ดูสักเท่าไร เธอไว้ผมทรงตรงยาวมาตลอด ดวงตาก็เป็นสีดำด้านเหมือนกับแม่ของเธอ เขาอาจคิดไปเองว่าโศกเศร้า และดึงเอาจิตใจของนายแพทย์หนุ่มให้ดิ่งลงลึกเมื่อตัดสินตัวเองว่ามีส่วนในการทำให้เธอจบชีวิตลงเช่นกัน
ชนกันต์ช่วยงานเท่าที่พอจะช่วยได้ เขาทำทุกอย่างตั้งแต่เสิร์ฟน้ำ อาหารว่าง และรับเอาพวงหรีดนำมาตั้งประดับอย่างทุลักทุเล เห็นอย่างนั้นอายุรแพทย์จึงอาสาเข้าไปช่วย ส่วนอธิศนั้นรับหน้าที่ส่งดอกไม้จันทน์อยู่บนเมรุ และช่วยประคองผู้สูงอายุหลายคนให้ขึ้นลงบันไดชัน ๆ ได้สะดวกขึ้น
พิธีเผาศพสิ้นสุดลงตอนห้าโมงครึ่ง ฟ้ายังไม่มืดแต่ก็ไร้ซึ่งแดดจ้า ในมือของชายหนุ่มเคยมีดอกไม้เช่นเดียวกับทุกคนใน ที่นี้ แต่บัดนี้มันถูกนำเข้าเตาเผาไปพร้อม ๆ กับโลงของแพรพลอยเพื่อส่งเธอกลับสู่ความเป็นนิรันดร์ดังที่ใครต่อใครว่าเอาไว้
ร่างสูงหันมองคนที่เพิ่งมายืนข้าง ๆ ภายในงานอาจไม่มีอะไรให้ต้องทำเท่าไรแล้ว “เสือล่ะครับ”
“หมอเสืออยู่ตรงนั้นครับ ส่วนผมมายืนเป็นเพื่อนหมอ”
ได้ยินคำตอบอย่างนั้นจิตแพทย์ก็หลุดยิ้ม หลังจากเรื่องเมื่อคืน พวกเขามีอะไรเปลี่ยนไปนิดหน่อย แต่ก็ยังน่าขลาดเขินที่จะปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์อยู่ดี “เดี๋ยวเราก็กลับกันได้แล้ว”
“งั้นเราไปเรียกหมอเสือกัน” เมื่อคนสูงกว่าพยักหน้ารับ ชนกันต์ก็เป็นฝ่ายเดินนำไปยังศาลาที่อยู่ทางซ้ายมือ ศรัณย์อยู่ใต้ร่มกันสาดนั้น ยืนนิ่งเหมือนหุ่นปั้น มองภาพควันดำที่พวยพุ่งออกจากปล่องสูง และเดาไม่ถูกว่าใจของชายหนุ่มนั้นกำลังคิดถึงเรื่องใดอยู่ ครั้นถูกสะกิด นายแพทย์จึงหันไปมองเพื่อนและเด็กฝึกงานที่คุ้นเคยกันดี
ก่อนก้าวขึ้นรถ เขาเหลียวกลับไปมองยังเมรุอีกครั้ง แวบหนึ่งที่เห็นชายกระโปรงสีขาวและดวงตาดำด้านคู่นั้น แต่แล้วมันก็มลายหายไปเมื่อมีคนเดินผ่าน
“....”
เขาคิดว่าเธอยืนอยู่ตรงนั้น
อาลัยทุกสิ่งทุกอย่าง ความรัก ความฝัน ความเกลียดชัง ชีวิตอันปลาสนาการ
--------------------------------------------------
โรงแรมอยู่ไกลจากที่นี่ไม่มาก ขับแบบช้า ๆ ประสาคนไม่แน่ใจทางไปได้สักราวสิบห้านาที พวกเขาก็มาถึงในที่สุด ใช้เวลาอีกห้านาทีในการเช็คอิน แล้วก็ได้รับกุญแจกับคีย์แท็กมาสองชุด ชุดหนึ่งเป็นของศรัณย์ ส่วนอีกชุดมันค่อนข้างน่าขลาดเขินสักหน่อยที่อธิศและชนกันต์เลือกนอนห้องเดียวกันหลังจากอะไร ๆ เปลี่ยนไป (ซึ่งเตียงเดี่ยวสองเตียงอาจจะช่วยลดความประหม่าระหว่างทั้งคู่ลงได้บ้าง)
ห้องของพวกเขาอยู่ลึกเข้าไปสุดทางเดินชั้นสาม ศรัณย์ขอเลือกนอนห้องด้านใน และอีกครึ่งชั่วโมงจากนี้ ทั้งหมดจะออกมาเจอกันเพื่อแวะร้านอาหารขึ้นชื่อของพิจิตรสักมื้อ
การพักที่นี่สักคืนแทนที่จะเลือกกลับกรุงเทพ ฯ ทันทีทำให้มนุษย์โรงพยาบาลผ่อนคลายมากขึ้น อธิศและศรัณย์ตกลงกันว่าจะสั่งเบียร์มาดื่มพอเป็นกระสัย แน่นอน ชนกันต์ก็ด้วย ซึ่งนั่นหมายความว่าอธิศต้องตั้งขีดจำกัดของตัวเองในระดับที่สามารถขับรถไหว ส่วนคนที่ดื่มหนักก็เป็นอายุรแพทย์เจ้าเก่า แต่วันนี้ทั้งสามคนไม่ยอมให้ใครเมาจนคอพับ
กลับมาถึงโรงแรมอีกทีก็เกือบสามทุ่มเห็นจะได้ ศรัณย์คิดว่าเขาควรจะนอนตั้งแต่ตอนนี้หากอยากพึ่งฤทธิ์หลับสบายของตัวช่วย ร่างผอมล้มตัวลงบนเตียงทั้งสภาพกางเกงขายาวและเสื้อเชิ้ต เสียงแอร์หึ่ง ๆ เป็นเหมือนเพลงบรรเลงระหว่างสมองตกอยู่ในความคิด ศรัณย์คิดถึงรามิลเหลือเกิน และพอคิดขึ้นมาอย่างนั้น ภาพหญิงสาวภายในงานศพก็กลับเด่นชัดขึ้นมาจนกลบทุกมวลความรู้สึกให้เหลือเพียงความหนาวเย็น
ข่มตาหลับซะ เขาคิด
ศรัณย์บังคับตัวเองให้ปิดเปลือกตา เขาอยากงีบสักตื่นเพื่อจะไม่ต้องฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ ถ้ามันทำได้ง่าย ๆ ก็คงดี ถ้าแววตาดำด้านนั้นหายไปจากในความทรงจำนี้ได้
ซึ่งคงต้องขอบคุณฤทธิ์เบียร์
--------------------------------------------------
รามิลคิดถึงศรัณย์เหลือเกิน
เขาคิดอย่างนี้ทุกครั้งที่ลืมตาขึ้นมาเห็นพัดลมเพดานขนาดสี่สิบแปดนิ้วท่ามกลางความมืด ถึงจะคลุกคลีอยู่ในโรงพยาบาล แต่ก็ต้องยอมรับว่าพอต้องมานอนบ้างในฐานะคนไข้เสียเองแล้ว รามิลไม่รู้สึกดีนัก เขามักจะพะว้าพะวง ไม่สบายใจ แล้วก็ฟุ้งซ่านขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ ในหูมีแค่เสียงติ๊กเบา ๆ ของนาฬิกาบนผนัง แต่มันมืดเกินกว่าให้เพ่งสายตามองได้ว่านี่เป็นเวลากี่โมง เขางีบไปตั้งแต่ช่วงหนึ่งทุ่ม และการไม่มีอะไรทำ ก็ทำให้รามิลหลับ ๆ ตื่น ๆ อย่างนี้เสมอ
พ่อหรือแม่ไม่ได้มานอนเฝ้าเพราะยังต้องไปทำงานในรุ่งเช้า ศัลยแพทย์ให้เขานอนที่นี่อีกคืนก็คือคืนพรุ่งนี้ และมันคงไม่น่าเบื่อเลย ถ้าวันนี้พี่เสือเลือกแวะมาหาเขาบ้าง ซึ่งรามิลรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เขารู้อีกว่าศรัณย์ไปงานศพของแพรพลอย
Rrrrแสงไฟจากหน้าจอโทรศัพท์บนโต๊ะหัวเตียงสองสว่าง มันเป็นเสียงเรียกเข้าที่ถูกตั้งไว้เป็นพิเศษสำหรับคนในความคิด เด็กหนุ่มตื่นเต็มตาแล้ว เขากระตือรือร้นเหลือเกินที่จะขยับตัวเอื้อมไปหยิบมันให้ได้โดยไม่ตกเตียงลงไปเสียก่อน ไม่เคยรู้สึกว่าตำแหน่งของโต๊ะหัวเตียงมันประหลาดเลยจนมาเป็นคนเจ็บเสียเอง รามิลนึกถึงเวลาที่คนไข้ต้องขอให้คนอื่นเทน้ำหรือหยิบของให้ ก็คงเพราะมันลำบากแบบนี้
“อะ...!”
น่าโมโหชะมัดที่มือของเขาดันไปปัดมันตก
มือเรียวยื่นออกไปพยุงขาเบา ๆ เสียงโทรศัพท์เงียบไปแล้ว อาจจะเครื่องดับ แล้วรามิลก็คิดว่าเขาคงต้องลงจากเตียงแล้วไปหยิบมันขึ้นมาเพื่อโทรกลับหาศรัณย์ ข้อเท้าขวายังค่อนข้างเจ็บนิดหน่อย โชคดีที่การตกบันไดไม่ได้ทำให้เส้นเอ็นฉีกเพิ่มอีกเส้น แต่มันดันไปย้ำแผลเก่า และนั่นหมายถึงรามิลต้องใช้เวลาพักรักษาตัวนานขึ้นกว่าเดิมอีกพอสมควร
เตียงที่ถูกยกสูงนั้นลงได้ลำบากเกินไปสำหรับคนขาเจ็บที่ไม่มีใครช่วยประคอง ถอนหายใจแล้วทิ้งให้ศีรษะฝังลงกับหมอนตามเดิม เขาหงุดหงิดตัวเอง แล้วก็รู้สึกเหมือนเป็นคนหมดสภาพอะไรอย่างนั้น
Rrrrเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกแล้ว แทนที่มันจะเรียกความดีใจที่ว่าศรัณย์ยอมโทรหาเขาอีกรอบ แต่กลายเป็นว่ารามิลต้องผงะถอยไปทางซีกขวาของเตียงทันทีที่เห็นว่าแสงจากจอโทรศัพท์นั้นบอกตำแหน่งที่มาจากโต๊ะข้างเตียง มันสั่นและร้องเรียกให้เขาหยิบรับ แต่เด็กหนุ่มไม่คิดว่าควรทำอย่างนั้น
“....”
รับสิ มันพูด
และสุดท้ายก็เงียบไป พร้อมแสงบนหน้าจอที่ดับลง
รามิลรู้สึกรุมร้อนรุมหนาวขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ ทุกอย่างยังคงสงบนิ่ง เขาพรูลมหายใจเบา ๆ หลังจากที่พอตั้งสติได้ มันจบแล้ว รามิลบอกตัวเองอย่างนั้น แต่หัวใจก็ไหววูบขึ้นมาอีกเมื่อเสียงฟ้าร้องทางด้านนอกคำรามขึ้น
ไม่มีอะไรเขาย้ำอีกครั้ง ในเมื่อแพรพลอยหายไปได้ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาก็ไม่คิดว่าเธอจะยังอยู่อีก วิญญาณ ความเกลียดชัง บ่วงหรือผลกรรมอะไรก็ช่าง ตอนนี้มันไม่มีอยู่จริง
“....”
เสียงฝีเท้าจากทิศปลายเตียงดังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ฟังคล้ายกับเสียงหยดน้ำ ซึ่งรามิลสั่งตัวเองว่าอย่าเปิดตาไปรับรู้มันเด็ดขาด และเขาจำไม่ได้ว่าเมื่อไรที่ร่างกายฝ่าฝืนสมอง แสงฟ้าแลบแปลบปลาบ ส่องให้เห็นใครบางคนยืนอยู่ไกล ๆ
“พี่เสือ...”
แต่ในแสงต่อมา กลับกลายเป็นเจ้าของเรือนผมสีดำยาว
------------------------------------------------------
( มีต่อ )