หนึ่งปีหลังจากภูผาจากไป...
“อยู่ไหนเหรอครับ” ผมกรอกเสียงลงบนโทรศัพท์มือถือ ขณะนั่งอยู่ตรงโซฟาห้องนั่งเล่น ภายในบ้านหลังเดิมที่เคยอยู่
[ข้างนอก]
“ที่ไหน”
[อย่าเพิ่งถามเซ้าซี้ ไม่ว่างนะแค่นี้ก่อน]
อีกฝ่ายตัดสายไปพร้อมกับเสียงถอนหายใจดังๆ ของผม มือข้างที่จับมือถือสั่นเครือ สามเดือนที่คบกับพี่คินเราไม่เคยมีอะไรกัน ผมอยู่กับเขาเราต่างรู้ดีว่ามันเป็นความสบายใจ เราเหมือนเพื่อน เหมือนคนรัก เวลาที่ใครคนใดคนหนึ่งมีปัญหาเราจะปรึกษากัน เราปลอบใจกัน เราอยู่เคียงข้างกัน
ผมไม่รู้ว่าพี่คินนิยามความรักระหว่างเราเป็นแบบไหน ยอมรับว่าทิ้งระยะห่างระหว่างกันและกันไว้พอสมควร ผมสบายใจที่ได้อยู่กับคนตัวสูง ซึ่งแตกต่างจากพี่ภู ความรู้สึกมันไม่เหมือนกัน และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้พักหลังมานี้เจ้าตัวเอาแต่ทำเมินเฉย
ทุกครั้งที่ผมละเมอเรียกชื่อพี่ภูเขาจะทำหน้าบึ้ง
ทุกครั้งที่ผมนั่งดูรูปที่พี่ภูถ่ายเขาจะตะคอก
ดังนั้นผมจึงพยายามไม่พูดถึงใครคนนั้นอีก คนที่หายไปตลอดหนึ่งปีเพราะเข้าใจมาตลอดว่าอีกฝ่ายคงก้าวไปข้างหน้ากับคนอื่นแล้ว ขณะที่ผมก็อยากก้าวไปข้างหน้าเหมือนกัน แม้ตอนนี้จะรู้สึกเหมือนตัวเองเดินถอยหลังกลับไปยังอดีตมากขึ้นก็ตาม
รู้ดีว่ามันคงไม่แฟร์กับคนที่อยู่ข้างๆ สักเท่าไหร่ ผมจึงตัดสินใจจะลืมคนเดิมไว้เบื้องหลังแล้วเริ่มใหม่อีกครั้ง
จริงอย่างที่เบียร์เคยบอกเอาไว้ คนที่รักกันจนเหมือนตายแทนกันได้ยังมีวันเลิกราต่อกัน นับประสาอะไรกับคนห่างไกลแล้วไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะกลับมา สุดท้ายพี่ภูอาจจะเจอคนที่ดีกว่ายืนอยู่ตรงนั้นแล้ว ส่วนผมก็ต้องใช้ชีวิตของตัวเองต่อไป
ผมรักคิน
รักแม้ไม่เหมือนภูผาแต่ก็รักและเป็นห่วง ห่วงว่าเขาจะเป็นยังไงบ้างตอนที่ออกไปข้างนอกและไม่เคยแวะมาหากัน แต่ทุกครั้งที่ผมโทรตาม กลับได้รับการตอบกลับที่ไม่ค่อยดีเสมอ
“ของขวัญมานี่มา” ผมกวักมือเรียกแมวตัวอ้วนที่นอนหน้ายับอยู่บนเบาะ แต่มันกลับไม่มีท่าทีว่าจะทำตามคำสั่งเลยสักนิด ดังนั้นผมจึงต้องเดินไปหาและอุ้มมันขึ้นมาในอ้อมกอดแทน
“เหงามั้ย ขอโทษนะที่ไม่ค่อยได้เล่นด้วยเลย”
“...”
“ความจริงเราก็เหงาไม่ต่างกันนักหรอก”
“...”
“แปลกเนาะที่เรามักถูกทิ้งอยู่เสมอ แต่ก็ไม่เคยเข็ดหลาบสักที”
ตอนตัดสินใจคบกับพี่คิน ผมได้แต่คิดว่าเขาจะเป็นคนเดียวในตอนนั้นที่ไม่ทำให้ผมร้องไห้อีก แต่เปล่า ถึงตอนนี้นับไม่ได้แล้วว่าผมเสียน้ำตาให้เขาไปมากเท่าไหร่
ผมนั่งลูบขนของขวัญจนกระทั่งหลับไปด้วยกัน รู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงเปิดประตูบ้านซึ่งมันก็ดึกมากแล้ว ปกติพี่คินมักจะแวะมาหาก่อนเข้านอนเสมอ ตอนนี้ก็คงเหมือนกัน
“ว่างแล้วเหรอครับ มาซะดึกเชียว”
“อืม...”
“เหนื่อยมากมั้ยครับ วันนี้จะนอนที่นี่ก็ได้นะ เดี๋ยวผมขึ้นไปจัด...”
“ไม่ต้อง” เสียงเข้มแทรกขึ้นทันควัน
“มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า พักนี้ดูเครียดๆ”
“ก็ไม่มีอะไร” กายสูงเดินตรงมายังโซฟา ก่อนทิ้งตัวลงนั่งด้วยท่าทางอ่อนแรง ความจริงอยากถามอะไรหลายอย่างออกไปแต่ก็ไม่กล้า เพราะกลัวว่าเราจะทะเลาะกันอีก
“สิงหา” สุดท้ายพี่คินก็เป็นคนทำลายความเงียบลง
“ครับ”
“เราคบกันมานานเท่าไหร่แล้ว”
“สามเดือนได้แล้ว จะครบรอบก็อีกสองวัน”
“งั้นวันครบรอบ...”
“จะเลี้ยงฉลองเหรอครับ จัดที่ไหน หรืออยากกินที่บ้านบอกได้เลยนะ”
“ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น”
ผมเงียบไปอึดใจหนึ่ง จ้องมองดวงตาจริงจังของคนตัวสูงไม่คลาดสายตา
“วันครบรอบสามเดือน มีอะไรกันได้มั้ย”
“...!!”
“มีอะไรกันตามประสาคนรักน่ะ”
“ผะ...ผมยัง ผมคิดว่าตัวเองยังไม่พร้อมกับเรื่องแบบนี้ และคิดว่า...”
“สรุปไม่ให้กูเอา”
ผมได้แต่นั่งอึ้งกับประโยคก่อนหน้า คำถามมากมายประเดประดังเข้ามาในหัว ผมอยากรู้ว่าเหตุผลที่เขาคบผมจริงๆ แล้วมันคืออะไรกันแน่ ไม่ใช่เพราะห่วงใยอยากดูแลกันและกันไปเรื่อยๆ เหรอ ไม่ได้อยากอยู่ปลอบใจตอนที่ใครคนใดคนหนึ่งเกิดปัญหาเหรอ
ทำไมความรักของทุกคนต้องขับเคลื่อนไปด้วยเซ็กซ์
ความจริงผมยอมให้ได้ แค่ตอนนี้ยังไม่พร้อมเท่านั้นเอง
“มันไม่ใช่อย่างนั้น แต่เราอยู่ด้วยกันแบบนี้ก็มีความสุขแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“ใครมีความสุข มึงมีความสุขคนเดียวหรือเปล่า”
“พี่คิน...”
“อย่าเห็นแก่ตัวหน่อยเลย มึงก็ใช่ว่าจะไม่เคยมาก่อน ดีแค่ไหนแล้วที่กูอุตส่าห์คบด้วย ยังจะเล่นตัวอีก” ร่างสูงลุกขึ้นยืน ทำท่าจะเดินผละออกไป
“พี่จะไปไหน”
“ไว้มึงพร้อมเมื่อไหร่ก็ค่อยโทรมาแล้วกัน” เขาบอกกับผมด้วยสายตานิ่งเฉยจนคาดเดาไม่ถูกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ โกรธ เสียใจ ไม่พอใจ หรืออะไรกันแน่
ปัง!
เสียงปิดประตูบ้านดังสนั่น ผมกอดของขวัญเอาไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมา
ไม่มีใคร
ไม่มีใครที่บอกว่ารักแล้วจะไม่ทำให้เสียใจ
ควรทำใจและควรรู้มาตั้งแต่แรก ตอนเริ่มรักทุกอย่างดีหมด สุดท้ายก็พังไม่เป็นท่าตอนที่ความต้องการของเราไม่เท่ากัน ทำไมต้องเป็นแบบนี้ ทำไมต้องเกิดขึ้นตอนที่ผมเริ่มรักเขาไปแล้วด้วย
‘เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...’
สัญญาณดังกล่าวสะท้อนในหูนับครั้งไม่ถ้วน ผมไม่สามารถติดต่อกับพี่คินได้เกือบสัปดาห์ ผมอยากง้อเขา เราควรกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ทุกอย่างกลับว่างเปล่า หลงเหลือแต่ความอึดอัดที่สุมอยู่ในอกเท่านั้นที่กำลังรู้สึก
ผมรอเขา...
รออยู่ที่บ้านหลังเลิกเรียนเพราะไม่อยากตามไปกวนถึงที่ทำงาน สุดท้ายชีวิตของคนอย่างสิงหาก็ต้องยอมรับการอยู่เพียงลำพัง เฝ้ารอ ทั้งที่เกลียดการเฝ้ารอใจแทบขาด ผมร้องไห้นับครั้งไม่ถ้วนอยู่ตรงโซฟา เมื่อไหร่เขาจะกลับมา เมื่อไหร่เราจะดีกัน
ไหนใครบอกว่าการเริ่มต้นใหม่จะเต็มไปด้วยความสุข แต่สำหรับผมทำไมทุกอย่างถึงลงเอยที่ผมเสียใจอยู่ฝ่ายเดียว พี่ภูไม่เคยกลับมา และพี่คินก็ทิ้งผมไว้ตรงนี้ ราวกับของไม่มีค่า ไม่มีความสำคัญ ที่พึ่งสุดท้ายจึงมีแค่เบียร์กับแม่ แต่คนเราก็คงไม่อยากเล่าความไม่สบายใจให้กับคนที่รักฟังนัก ดังนั้นผมเลยใช้เวลาทุกวินาทีหมดไปกับการพูดกับของขวัญ และหลับไปพร้อมกับมันเหมือนอย่างเคย
เหงา...
เหงามาก
สุดท้ายความอดทนแห่งการเฝ้ารอก็สิ้นสุด ผมยอมแล้ว...อะไรก็ได้ถ้าทำให้เราได้อยู่ด้วยกันไปตลอด ผมยินดี ผมคงไม่สามารถเดินไปข้างหน้าต่อได้หากยังกลัวอดีต ดังนั้นสองทุ่มของวันนี้ผมจึงตัดสินใจไปที่คอนโดของพี่คินเพื่อบอกกับเขา
เซ็กซ์อาจจะโอเคสำหรับความสัมพันธ์ของเรา
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น แต่กลับไม่มีใครเดินออกมาเปิดหลังจากยืนรอได้สักพัก แต่เพราะไม่อยากปล่อยให้เรื่องค้างคานานๆ ผมจึงหันไปล้วงคีย์การ์ดในกระเป๋าเป้เพื่อเปิดเข้าไปภายใน หากตอนนี้เขาไม่อยู่แล้วกลับมาตอนดึกๆ เราจะได้คุยกัน
ทว่าทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างหวัง
ไฟในห้องเปิดสว่าง ก่อนผมจะเบี่ยงตัวตรงไปยังห้องนอนเพราะคาดหวังว่าเขาจะอยู่ที่นั่น และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เสียงครางแหบห้าวดังเล็ดลอดออกมาจากประตู มันเป็นเสียงการร่วมรักของคนสองคนที่ดูมีความสุข แต่หัวใจของคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ได้ปลิดปลิวไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
นี่เหรอความรักครั้งใหม่ เจ็บปวดไม่ต่างจากวันนั้นเลย
แล้วเดินออกมาทำไม เดินออกมาเพื่อเรียนรู้ว่าโลกนี้ก็มีแต่ความโหดร้ายอย่างนี้ทำไม ผมต้องเสียใจไปอีกนานแค่ไหน ต้องร้องไห้กับใครต่อใครอีกสักกี่ครั้งเพื่อหวังว่าสักวันจะได้พบกับรอยยิ้ม
เท้าทั้งสองข้างถอยออกมาจากประตูบานนั้น ตัดสินใจหนีปัญหาด้วยการเดินหนี ผมยังไม่พร้อมจะพูดกับเขาในตอนนี้ไม่ว่าอะไรก็ตาม สามเดือนอาจสั้นเกินไป แต่การรักใครสักคนมันไม่ได้เป็นแบบนั้น ไม่ได้อยู่ที่ว่านานแค่ไหนถึงจะรัก แต่มันอยู่ที่ว่าเราผูกพันกันแค่ไหนก่อนจะรักมากกว่า
กับชีวิตที่ต้องร้องไห้เพียงลำพัง เมื่อไหร่ผมจะชินสักที
เมื่อก่อนผมคิดว่ารักต้องอยู่ด้วยกันตลอด เติบโตถึงรู้ความจริงว่ามันไม่ได้เป็นอย่างนั้น
ผมไม่เคยต้องคิด ต้องปวดหัว แบกภาระ เจ็บปวด หรือคาดหวังเท่ากับตอนนี้ บางทีผมก็ไม่อยากโตขึ้น ไม่ใช่ไม่พร้อมจะรับชะตากรรมลำบากอะไร แต่ยังไม่อยากฝืนตัวเอง ผมแค่อยากใช้ชีวิตเหมือนเด็กที่มีความฝัน เที่ยวเล่น โลกสดใส และหัวเราะจากส่วนลึกจริงๆ
ตอนนี้ผมก็ยังมีโลกใบเดิม แต่มันเป็นโลกบนเส้นทางของความจริงที่หม่นลงจนกลายเป็นสีเทา มีสุขและเศร้าปนเปกัน แต่ผมกลับไม่สามารถหัวเราะอย่างจริงใจได้อีกแล้ว เหลือเพียงความขมขื่น จนบางทีผมก็อยากโยนความรู้สึกเหล่านั้นทิ้งเพื่อกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
เพราะถ้าขอพรได้ข้อหนึ่ง ผมก็คงขอให้ตัวเองเป็นเด็กและไม่เจ็บปวดตลอดไป…
ผมเลิกกับพี่คิน เราจากกันไม่ดีเท่าไหร่หรือจะเรียกง่ายๆ ว่ามองหน้ากันไม่ติด และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็เปิดตัวคบหากับใครคนใหม่ ถามว่าเสียใจมั้ยต้องบอกว่าเสียใจ เพราะผมให้ใจเขาไปแล้วแต่กลับได้ความเจ็บปวดและบาดแผลกลับคืนมา
ผมเริ่มต้นใช้ชีวิตคนเดียว กลับมากินยานอนหลับอีกครั้งเพื่อพาตัวเองเข้าไปอยู่ในฝัน
ผมเหงา เหงาจนทนแทบทนไม่ไหวแต่ไม่มีใครปลอบโยน ช่วงหลังมานี้ผมจึงไม่ไปเรียน หมกตัวอยู่ที่บ้านไม้กึ่งสตูดิโอและนอนมองเพดานไปวันๆ เฉกเช่นวันนี้...วันที่ผมตัดสินใจทำความสะอาดบ้านเพื่อลืมความฟุ้งซ่านที่อยู่ในใจ เปิดตู้เสื้อผ้าและเริ่มจัดระเบียบข้าวของ
ผมเจอเสื้อคอปกสีชมพู
เสื้อตัวแรกที่ผมใส่ไปงานบอลและได้เจอกับใครคนหนึ่งวางอยู่บนกองเสื้อยืดเก่าๆ ที่แม่เคยซื้อให้ก่อนจะเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ
เมื่อนานมาแล้วผมเคยชอบมัน เคยชอบช่วงเวลาที่ได้แต่งตัวเป็นแค่เด็กต่างจังหวัดคนหนึ่งซึ่งเข้ามาอยู่เมืองกรุง มีเพียงเสื้อยืดกับกางเกงยีน ผมมองตัวเองผ่านกระจกบานใหญ่ มองเห็นความเปลี่ยนแปลงบนร่างกายและใบหน้า เสื้อผ้าของผมใหม่ มันทันสมัย ราคาแพง แต่กลับไม่มีรอยยิ้มหลงเหลือเหมือนตอนที่ยังใส่เสื้อเก่าๆ เลย
น้ำตาของผมไหล เวลาผ่านไปพรากความสุขและรอยยิ้มของผมไปมากมาย
ผมหยิบเสื้อสีขาวกับกางเกงใส่สบายตัวหนึ่งขึ้นมาสวม กลายเป็นสิงหาในวันนั้น แม้เวลาจะผ่านไปนานแล้วก็ตาม แต่ผมมีความสุขดี
มีความสุขที่ได้กลับมาอยู่ตรงนี้ ตอนที่มีแค่พี่อยู่ในความทรงจำ
ผมทำความสะอาดบ้านไปเรื่อยๆ เห็นกล้องฟิล์มของพี่ภูถูกวางไว้ในส่วนลึกสุด รูปภาพทุกภาพของพี่ถูกเก็บไว้ในลิ้นชัก ข้าวของและเสื้อผ้าของพี่วางอยู่ในกล่อง มันถูกเก็บไว้เมื่อหลายเดือนก่อนตอนที่ผมเริ่มคบหากับพี่คินและตัดสินใจจะเริ่มต้นใหม่
สุดท้ายผมก็กลับมาอยู่ตรงจุดเดิม เพื่อยอมรับโทษของการนอกใจ จนบังเอิญเจอแผ่นหนังเรื่องหนึ่ง เมื่อนานมาแล้วเราชอบบทเพลงจากหนังเรื่องนี้ เราเคยมีความฝันว่าอยากจัดงานแต่งงาน แล้วเราก็เคยก้าวผ่านความสุขและความเศร้าเฉกเช่นหนังเรื่องนี้มาด้วยกัน
About Time
ผมเปิดฝากล่องซีดี สอดมันเข้าไปในเครื่องเล่น ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาและนั่งอยู่เพียงลำพัง
I don’t get many things right the first time…
ทันทีที่เพลง The luckiest ของ Ben Folds บรรเลงขึ้นในช่วงหนึ่งของหนัง ความทรงจำเก่าๆ ก็พรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย
ภาพของคนตัวสูงๆ ที่มีรอยยิ้มหล่อเหลาที่สุดในความทรงจำปรากฏขึ้น เสียงหัวเราะของเรา รอยยิ้มของเรา คำสัญญาของเรา บทเพลงที่เราชอบฟัง
ช่วงเวลาที่ได้ตัดเล็บให้พี่ อ่านหนังสือให้พี่ฟัง ตอนที่เราได้เต้นรำด้วยกัน ถ่ายรูปด้วยกัน รวมถึงรถเข็นคันเดิมที่เคยพาเราทั้งคู่ไปยังร้านกาแฟใกล้บ้าน ฉายเข้ามาในหัวไม่หยุดหย่อน กระทั่งวินาทีนั้นที่พี่จับมือกับผมแล้วสัญญาว่าจะมีชีวิตอยู่
“ฮืออออออออออ”
ขอโทษ...
ขอโทษที่คิดว่าตัวเองจะสามารถก้าวไปข้างหน้าได้ แต่สุดท้ายกลับเดินถอยหลัง ถอยกลับไปเพื่อร้องไห้กับเรื่องเดิมๆ พี่ภู....ผมขอโทษ
รู้แล้ว รู้ซึ้งอย่างดี
การได้รักกับคนอื่นเจ็บปวดกว่าการรักภูผาหลายร้อยเท่า
และการได้รักกับพี่ มีความสุขกว่าการรักคนอื่นหลายร้อยเท่าเช่นกัน
ผมตัดสินใจจบงานในวงการบันเทิง ด้วยรู้ว่าชีวิตคงไม่เหมาะกับอาชีพนี้ ผมอยากเป็นครู พี่ภูเคยบอกว่าผมจะเป็นครูที่ดีได้ ฉะนั้นผมจึงทิ้งงานและความกังวลใจทุกอย่าง กลับมาตั้งใจเรียนอีกครั้ง แล้วเริ่มต้นนับหนึ่งพร้อมรอคอยการกลับมาของเขาอย่างมั่นคง
แม้รู้ดีว่าพี่อาจไม่กลับมาแล้ว...
แต่ผมเจ็บเกินกว่าจะเริ่มต้นใหม่กับใครได้อีก ถ้าไม่ใช่พี่ผมก็ยินดีที่จะใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง รอจนกระทั่งเรียนจบแล้วกลับไปสร้างบ้านให้แม่อยู่สบายขึ้น ผมคิดแค่นั้น ส่วนชีวิตที่เหลือก็คงเป็นครู สอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนเล็กๆ สักแห่ง รอคอยให้กาลเวลาค่อยๆ พรากทุกอย่างไป และวันนั้นคงมาถึง
วันที่ลมหายใจสุดท้ายของผมปลิดปลิวไป ถึงตอนนั้นผมจะคิดถึงพี่นะ ผมจะคิดถึงพี่เพราะผมรู้แล้วว่าการรักพี่คือสิ่งล้ำค่าที่สุด
ผมกำลังย้ายออกแล้ว กลับไปอยู่ในที่ของตัวเอง อพาร์ทเม้นท์เก่าๆ บนชั้นเจ็ดด้วยข้าวของที่ไม่มากนัก เริ่มต้นใหม่และอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง ผมยังคงเฝ้ารอพี่แต่ถ้าไม่กลับมาก็ไม่เป็นไร มันโอเคสำหรับทุกอย่าง ชีวิตของคนทุกคนย่อมต้องเดินหน้า สร้างความสุขให้ตัวเองแม้ไม่มากมายเหมือนตอนอยู่ด้วยกันก็ตาม
ผมเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงเขา สอดเอาไว้ใต้กล้องฟิล์มตัวโปรดของพี่ เพื่อหวังว่าสักวันถ้าเขากลับมาแล้วมีโอกาสได้อ่านมัน เขาจะได้รู้...
ถึง...ภูผา
ถ้ามีโอกาส ถ้ามีโอกาสที่พี่ได้อ่านจดหมายของผม ตอนนั้นผมคงเป็นแค่คนตัวเล็กธรรมดาที่ไม่มีอะไรเลย แต่คิดว่าก็คงมีความสุขดี ช่วงเวลาที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกันมันเกิดอะไรขึ้นมากมาย ผมรอคอยพี่ ก่อนตัดใจและมีรักใหม่ สุดท้ายก็ถูกทิ้งกลับมาจนเหลือตัวคนเดียวอีกครั้ง
พี่คงอยากหัวเราะใส่หน้าให้กับคนทรยศความรักอย่างผม ใช่...ผมยินดีและยอมรับความผิดทุกอย่าง แต่ผมก็อยากขอบคุณที่พี่มอบอะไรหลายๆ อย่างให้กับผม ตอนที่เราได้อยู่ด้วยกันมันคือความสุขที่มากที่สุดตั้งแต่ผมมีชีวิตมา การได้อยู่กับพี่ ได้ดูแลพี่ ได้ทำทุกอย่างด้วยกันและอยู่เพื่อกันและกัน มันมีค่ามาก
ผมตัดสินใจแล้ว ผมจะเป็นครูที่ดีอย่างที่พี่บอกให้ได้ ส่วนพี่...อยู่ตรงนั้นก็ดูแลตัวเองให้ดีนะครับ ถ้าหายดีแล้วอย่าลืมมีความสุขและเริ่มชีวิตใหม่ได้แล้ว กับใครสักคนที่เข้ากันได้ ใครสักคนที่เป็นคนดีและทำให้พี่มีความสุข ผมยินดีด้วยทั้งนั้น
ขอบคุณสำหรับที่ผ่านมา ผมจะไม่ลืมทุกอย่างที่พี่ทำเพื่อผม มันจะอยู่ตรงนี้...ในใจของผม ผมรักพี่นะ ผมรักพี่ และผมก็จะรักพี่แบบนี้ต่อไป ช่วงเวลาที่มีผู้ชายชื่อภูผาอยู่ในชีวิต ล้ำค่ายิ่งกว่าความฝันใดๆ ที่ผมเคยสัมผัสมาเลย
สิงหาสองปีหลังจากภูผาจากไป...
“ฮัลโหล”
[อยู่ไหนแล้ว]
“อยู่ห้อง”
[โอยยยยยย รีบมาเลยมึง รถติดมากตอนนี้]
“กำลังจะออกไป แต่ขอเอาข้าวให้ลูกๆ ก่อน”
ผมบอกกับเบียร์ผ่านโทรศัพท์มือถือที่แนบอยู่บนหูด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็สาละวนอยู่กับการเทอาหารเม็ดลงในถ้วยให้เจ้าแมวตัวอ้วนที่ค่อยๆ คลานจากเบะด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย
ตอนนี้ไม่ได้มีแค่ของขวัญ
เมื่อครึ่งปีก่อนผมตัดสินใจรับแมวมาอีกหนึ่งตัวเพื่อให้มันอยู่เป็นเพื่อนกันตอนที่ผมออกไปเรียน แต่ไม่น่าเชื่อว่าอีกหลายเดือนต่อมามันจะมีทายาทแมวหน้านิ่งออกมาถึง 4 ตัว ร้ายไม่เบานะของขวัญ
ห้องสี่เหลี่ยมคับแคบของผมเลยกลายเป็นห้องเลี้ยงแมวตัวอ้วนถึง 6 ตัวไปโดยปริยาย
[ห่วงแมว แล้วห่วงกูบ้างมั้ยเนี่ย]
“เราต้องห่วงเบียร์ด้วยเหรอ”
[กวนตีนละ รีบๆ มาเลยนะ แค่นี่ล่ะ]
จากนั้นคนขี้หงุดหงิดก็ตัดสายไป ผมได้แต่ส่ายหน้าไปมาด้วยความขบขัน วางถุงอาหารเม็ดไว้บนเคาน์เตอร์ครัว ก่อนจะเดินไปยังตู้กระจกเพื่อสำรวจความเรียบร้อยของเสื้อผ้าหน้าผม
นี่แหละสิงหา เด็กชายเสื้อสีชมพูเมื่อหลายปีก่อน
งานฟุตบอลประเพณีปีนี้ครึกครื้นเหมือนทุกปี ผมจัดการจัดปกคอเสื้อเล็กน้อย พลางหันไปหยิบรองเท้าผ้าใบแล้วเดินออกจากห้องไป ใช้เวลาขับโฟล์คสีครีมคันเก่านานโขเพราะติดแหงกอยู่บนถนนอย่างที่เบียร์เคยเตือนไว้ กว่าจะมาถึงที่งานได้ก็ทำเอาเหงื่อโชกไปหมด
และปีนี้ก็พิเศษกว่าทุกปีตรงที่ผมมาเป็นสต๊าฟช่วยคุมน้องๆ ขึ้นสแตนเชียร์ เรียนอยู่ปีสี่แล้ว ถ้าไม่รีบทำกิจกรรมกลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้ทำอีก เพราะปีหน้าก็ต้องออกไปฝึกสอน
“กว่าจะมาได้นะมึง” เบียร์วิ่งมาหาผม หน้านี่งอเป็นทัพพีเชียว
“รถติดน่ะ”
“ก็กูเตือนแล้ว”
“ฮ่าๆ”
“แล้วนี่กินอะไรมาหรือยัง”
“อื้ม แซนด์วิชโฮมเมดอร่อยอย่าบอกใคร”
“โม้ไปเถอะน่า ฝีมือมึงก็งั้นๆ”
“จริงเหรอออออ” ผมหยอกทีเล่นทีจริง
“เออ คุมน้องไป เดี๋ยวกูไปคุยกับพวกจัดขบวนก่อน อ้อ! กูฝากรุ่นพี่คนนึงด้วย เขาจะมาเก็บรูปน้องแปรอักษร ยังไงกูฝากมึงด้วยนะ”
“แล้วทำไมต้องฝากเรา”
“เอ้า! เผื่อเขาหิวมึงจะได้ดูแลไง” เกี่ยวอะไร...ผมมีหน้าที่แค่ดูแลคนขึ้นสแตนด์เชียร์นะ
“แล้วไหนอ่ะ ใครคนนั้น”
“นั่นไงมาแล้ว กูไปก่อนนะ” เบียร์ชี้ไปยังใครคนหนึ่งที่เดินแทรกอยู่ในกลุ่มฝูงชน ก่อนจะหันมาตบบ่าปุๆ แล้วเดินจ้ำเอ้าหนีไป ทิ้งให้ผมยืนเกาหัวอย่างงงๆ มองดูใครคนนั้นไม่คลาดสายตา และทันทีที่ร่างสูงเดินผละออกมาจากกลุ่มคนมากมาย ผมก็ได้เห็น...
ผู้ชายคนหนึ่งที่มีรอยยิ้มน่าจดจำ
เขาสวมเสื้อสีชมพูเหมือนเมื่อหลายปีก่อน แขวนกล้องถ่ายรูปเอาไว้ที่คอ และกำลังเดินตรงเข้ามาหา
จิตใจที่มันเคยเต้นสงบตลอดหลายปีที่ผ่านมากระโดดโลดเต้นอีกครับ ผมไม่รู้ว่าวันนี้มันพิเศษมากมายยังไงจนได้เจอกับเขา เขาที่ไม่มีโอกาสได้ติดต่อกันถึงสองปี แล้ววันนี้...การรอคอยระหว่างเราก็สิ้นสุดลง
ฝีเท้าที่ก้าวมาข้างหน้าเป็นปกติ ไม่มีอาการของความเจ็บป่วย ดวงตาคู่คมมองมายังผมไม่คลาดเคลื่อน ความทรงจำเก่าๆ ของเราหวนกลับมานับร้อยนับพันภาพ คิดถึง คิดถึงจนไม่สามารถบรรยายออกมาได้อีกแล้ว
กระทั่งเขาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า...
เราใส่เสื้อสีชมพูเหมือนกัน
มันเหมือนกับวันนั้น วันที่เราเจอกันครั้งแรกและผมได้เรียนรู้ว่าความรักแท้จริงคืออะไร
“น้องครับ” เสียงทุ้มของพี่ทักทายขึ้น
“...ครับ”
“เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า” เขาพูดยิ้มๆ
ประโยคเดิมที่เคยตีเนียนเข้ามาทำความรู้จักกับผม
“ไม่น่านะครับ”
“พี่ชื่อภูผานะ”
“สะ...ส่วนผมชื่อสิงหาครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จัก”
อดีตที่ผ่านมาเป็นยังไงไม่รู้หรอก ผมรู้แค่ว่าตอนนี้...
เราทั้งคู่ได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
THE END
Memory…นิยายเรื่องนี้ถูกเขียนเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2558 เคยอยากจะเปลี่ยนตอนจบหลายครั้งแต่สุดท้ายก็ไม่เปลี่ยน เราชอบแบบนี้มากกว่า เพราะเหตุผลเพียงข้อเดียว “จงภูมิใจในการมีชีวิตอยู่” แน่นอนมันอาจเจ็บปวด มันอาจทรมาน แต่คุณจะผ่านมันไปได้ ไม่มีเรื่องเลวร้ายไหนอยู่กับเราไปตลอด ความสุขเองก็เหมือนกัน ความรู้สึกหลากหลายเหล่านี้มันยังคงย้ำเตือนว่าเราเป็นมนุษย์ มีเลือดเนื้อและหัวใจ เรารู้สึกเป็น ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคตจะเจอเรื่องเลวร้ายแค่ไหน แต่ความหวังก็ยังรอคอยอยู่ข้างหน้าเพื่อปลอบประโลมความรู้สึกย่ำแย่อยู่เสมอ
ภูผา...เขาผ่านจุดนั้นมาแล้ว จุดที่ชีวิตมืดดับและหาทางออกไม่เจอ แต่สุดท้ายแน่นอนว่าไม่มีทางตันสำหรับปัญหาทุกอย่าง ตราบใดที่ยังมีความหวังมันก็มักจะมีทางแก้ไขจนพบกับความสุขเข้าสักวัน
สิงหา เด็กคนนี้อ่อนต่อโลก ดูเปราะบางแต่ความจริงเข้มแข็งกว่าที่คิด สิงหาได้เรียนรู้ประสบการณ์จากสิ่งที่พบเจอ เรานับถือในหัวใจของเขา เพราะไม่ใช่แค่ต่อสู้กับสภาพแวดล้อมและคนรอบข้าง สำคัญที่สุดคือสู้กับความรู้สึกในใจของตัวเองกระทั่งได้พบความสุขเหมือนกัน
สำหรับเธอที่ร้ายเราไม่ได้อยากจบเศร้า แม้ความจริงมันควรจะเศร้าก็ตาม เราอยากเรียนรู้ช่วงเวลาของคนคนหนึ่งที่กำลังเผชิญวิกฤตและปัญหาในชีวิต เข้าใจกับอารมณ์และความรู้สึกของตัวละคร พยายามใส่หัวใจของตัวเองในตัวของเขา
เราร้องไห้...เราร้องไห้บ่อยมากตอนที่เขียนเรื่องนี้ เกือบแทบทุกตอนนั่นไม่ใช่เพราะมันมาจากชีวิตเรา (ชีวิตเราต่างกับเขามาก) แต่มันมาจากความรู้สึกของภูผาและสิงหาที่เราพยายามเข้าใจในตอนนั้นจริงๆ
แน่นอนมันอาจไม่ได้เป็นนิยายที่ดี แต่เป็นเรื่องที่เรารู้สึกภูมิใจหลังจากผ่านความกดดันหลายอย่างมา พูดได้เต็มปากเลยว่าดีใจที่มีวันนี้ มันจบลง...อย่างสวยงาม คิดว่าอย่างนั้น ขอบคุณคนอ่านทุกคนที่เข้ามารู้สึกกับเรา ร้องไห้ไปกับเรา เป็นกำลังใจให้ทั้งคู่ด้วยกัน เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่นิยาย แต่ภูผาและสิงหาคือคนคนหนึ่งที่เดินเข้ามาในชีวิตของเราและทุกคนเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่ง เข้ามาทำให้เรารู้สึกเกลียด สงสาร และผูกพัน
คงบอกไม่ได้ว่าจะเขียนเรื่องหน่วงตับหน่วงไตแบบนี้ได้อีกเมื่อไหร่ แต่ละช่วงชีวิตของเรายังมีเรื่องราวอีกมากมายรอให้เขียน แต่เธอที่ร้ายคือความทรงจำที่ดี เพราะถ้าเราเหงาเมื่อไหร่ เราก็จะคิดถึง...
และหวังว่าคนอ่านก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน
จิตติ.