ตอนที่ 5
พี่เดินออกไป เขาล็อกประตูแน่นหนาจากระบบรักษาความปลอดภัยของคอนโด นั่นทำให้ผมไม่สามารถออกไปไหนได้ นอกจากนั่งจมจ่อมอยู่ที่ห้อง อุตส่าห์ใช้ความพยายามควานหามือถือก็แล้ว หรืออะไรก็ได้เพื่อให้สามารถติดต่อกลับไปหาเบียร์ แต่ก็เปล่าประโยชน์เพราะพี่ยึดมันไปหมด
ผมเลยได้แต่นั่งนิ่งๆ บนโซฟา มองออกไปนอกกระจกซึ่งเต็มไปด้วยความมืด กับแสงไฟในเมืองหลวงที่ส่องสว่างอยู่ตรงนั้น มันอ้างว้าง...โดดเดี่ยว และก็ไม่เหลือใครจริงๆ
ดึกแล้วพี่ยังเลือกออกไป
และผมก็รู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะสู้ต่อไปไหว ร่างกายของผมแค่ขยับเขยื้อนเพียงเล็กน้อยมันก็เจ็บไปหมดเพราะครั้งนี้พี่ไม่เคยถนอม อาการปวดหัวรุมเร้าเริ่มแสดงอาการ ถึงแม้จะพยายามหายาแก้ปวดมาทานแล้วแต่มันก็ไม่หายสักที นอกจากหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนอยู่บนโซฟา
แกรก!!
เสียงลูกบิดประตูดังขึ้น จำไม่ได้แล้วว่าหลับไปนานเท่าไหร่ แต่ผมจำต้องกัดฟันยันตัวลุกขึ้นนั่ง ภาพแรกที่เห็นคือพี่กำลังขนของพะรุงพะรัง ก่อนจะโยนมันลงกับพื้นโดยไม่คิดแยแส ผมรู้ทันทีว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในชีวิตหลังจากนี้
กระเป๋าเสื้อผ้าและของใช้ของผมกองอยู่ตรงนั้น รวมถึงเจ้าของขวัญด้วย...
“พี่ภู” เอื้อนเอ่ยออกไป แม้เสียงจะแหบจนฟังไม่ได้ศัพท์ก็ตามที
ใบหน้าหล่อเหลาหันขวับตามเสียงเรียก แต่ดวงตากลับหรี่ขวางไม่มีความอ่อนโยนปนอยู่ในนั้นเลยสักนิด
“มีอะไร” ขนาดน้ำเสียงก็แข็งกระด้างพอกัน
“พี่เอาของผมมาได้ยังไง”
“แค่ขึ้นไปเอาที่ห้องมันยากตรงไหน”
“แต่พี่...”
“การที่เราย้ายไปอยู่หอพักเท่ารูหนูนั่นคนเดียว คิดว่าพี่ไม่ไม่รู้เลยหรือไง”
ผมได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ ใช่สิ! พี่ภูรู้ทุกอย่าง เขามีเงิน จะจ้างใครต่อใครให้หามันก็ใช้เวลาไม่มากหรอก ต่อให้หนีแทบตายยังไง ถ้าเขาไม่คิดจะปล่อยผมก็ไม่มีทางไปไหนได้อยู่ดี
“กินข้าวซะ ยังไม่ได้กินอะไรเลยไม่ใช่หรือไง” เจ้าตัวรีบเปลี่ยนเรื่อง ก่อนเดินไปที่เคาน์เตอร์ตรงมุมครัวเล็กๆ จัดการอาหารที่ซื้อมาจากข้างนอกใส่จานแล้ววางลงบนโต๊ะ ผมได้แต่มองการกระทำของเขาโดยไม่คิดขยับตามไปช่วย พลันความคิดต่างๆ ผุดขึ้นมาไม่หยุดหย่อน
ถ้าพี่ดูแลอย่างนี้ตลอดไปก็คงดี พี่ที่ใจดี พี่ที่มีแต่ความรัก
ไม่เหมือนกับตอนนี้ เพราะเขา...เกลียดผมไปซะแล้ว
“ลุกขึ้นมา อย่าให้เรียกซ้ำ!!”
“...”
“สิงหา!! อยากลองดีนักหรือไง”
“ปะ...เปล่าครับ” ผมรีบสะบัดไล่ความคิดฟุ้งซ่านจนไม่ได้ยินว่าพี่ยืนเรียกไปแล้วกี่รอบ ค่อยๆ หย่อนเท้าลงกับพื้น ใช้มือทั้งสองข้างดันตัวพยุงขึ้นจากโซฟา แม้มันจะคล้ายกับโลกทั้งใบกำลังหมุนโคลงไปมาก็ตามที ผมพยายามขยับเท้าติดสั่นไปยังโต๊ะอาหารพร้อมกับนั่งลงอย่างสงบเสงี่ยม
“กินซะจะได้มีแรง”
“ขอบคุณครับ”
“คืนนี้หรือคืนต่อๆ ไปยังอีกยาวไกล รู้มั้ยที่พี่ตามตัวเรา พี่ไม่ได้พามาอยู่รกห้องเฉยๆ หรอกนะ” คำพูดนั้นทำเอาร่างทั้งร่างของผมชาวาบ ผมไม่ได้โง่จนไม่สามารถสรุปคำพูดนั้นว่ามันหมายความว่ายังไง
มีค่าแค่ขึ้นเตียงเพื่อความสะใจของพี่เท่านั้นใช่มั้ย
“นิ่งอีก กินเข้าไปสิ”
ผมเริ่มขยับช้อน ตักอาหารเข้าปากแทบไม่รู้รส แต่พอกินไปได้แค่ไม่กี่คำ อาการคลื่นเหียนก็กำเริบอีกครั้ง
อุ๊บ!!
ผมรีบยกมือปิดปาก เมื่อความรู้สึกคลื่นไส้อาเจียนเริ่มตีเข้ามาในอก หน้าท้องรู้สึกบิดมวนแม้แต่อาหารตรงหน้าก็ดูเป็นพิษไปเสียหมด
“เป็นอะไร”
“มะ...ไม่...เป็น อุ๊บ!!” สุดท้ายทนไม่ไหวถึงได้วิ่งพรวดพราดไปยังห้องน้ำโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ไม่สนว่าพี่จะด่า ไม่สนว่าจะต้องถูกทำร้ายยังไง นอกเสียจากเวลานี้ที่ผมใช้มันหมดไปกับการโก่งคออาเจียนอย่างหนักจนขมคอไปหมด ปวดหัวจนรู้สึกว่ามันแทบระเบิดแต่ก็ยังฝืนลุกขึ้นยืนทั้งที่เรี่ยวแรงเหลือเพียงน้อยนิด
ผมค่อยๆ เดินไปที่อ่างล้างมือ กวักน้ำใส่หน้าอย่างแรงพลางมองกระจก ภาพที่สะท้อนให้เห็นนั้นทำให้รู้ในทันทีว่าร่างกายของผมอิดโรยขนาดไหน เพราะแม้แต่หน้าและลำคอยังแดงก่ำจนน่าใจหาย
“เป็นอะไร” พี่เดินตามเข้ามา เขาวางมือลงบนไหล่ของผมเบาๆ
“อะ...อาเจียนนิดหน่อยครับ ผะ...ผมโอเค”
พี่ไม่ได้อยากรับฟังอะไรมาก รีบพลิกให้ผมมาเผชิญหน้ากับเขาก่อนจะวางหลังมือทาบไว้บนหน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิ
“ไม่สบายเหรอ”
ผมหลับตาเป็นการตอบรับ
“ไปหาหมอ เดี๋ยวจะตายซะก่อน” คนตัวสูงพยายามรั้งข้อมือให้ผมเดินตาม ทว่าผมกลับเลือกขืนข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้แทน
“พี่ภูไม่เป็นไรครับ ผมไม่อยากไปหาหมอ ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก”
“...”
“คะ...แค่โรคกระเพาะครับ”
“แค่เหรอ ใช้คำว่าแค่อย่างนั้นเหรอ” เสียงของพี่ดังขึ้นเป็นทบทวีจนทำให้ผมเผลอสะดุ้งอยู่หลายครั้ง แถมน้ำตาเจ้ากรรมที่พยายามฝืนเอาไว้ก็กักเก็บไม่อยู่ นอกจากปล่อยออกมาด้วยการร้องไห้อย่างน่าสมเพชเพียงเท่านั้น
“...”
“จะทำตัวโง่เง่าแบบนี้อีกนานแค่ไหนสิงหา อยากให้พี่บ้าตายใช่มั้ย!” แรงบีบบนข้อมือรุนแรงจนขึ้นริ้วความเจ็บปวด แม้จะพยายามสะบัดออกแค่ไหนมันก็ไม่ช่วยให้ผมเป็นอิสระได้เลย
“ฮึก! พี่ภูผมเจ็บนะ ห่วงกันบ้างสิ”
“ทำตัวให้น่าห่วงมั้ยล่ะ นี่ถ้าไม่เรียกกินข้าวก็จะไม่กินใช่มั้ย”
“ฮือออออ...”
“อยากนั่งเหี่ยวตายปล่อยให้ไอ้โรคกระเพาะกำเริบเพื่อเรียกความสงสารหรือไง บอกไว้เลยว่ามันไม่ได้ผล ยิ่งเราเป็น พี่ก็ยิ่งอยากซ้ำเติมให้เจ็บกว่าเดิม” ร่างสูงลากผมออกมาจากห้องน้ำ ก่อนออกแรงเหวี่ยงจนผมล้มลงไปกองใกล้กับกระเป๋าสัมภาระตรงพื้นห้อง
“...”
“ข้าวของเราพี่เอามาหมดแล้ว ยาอยู่ไหนก็ไปค้นเอาเอง” เท้าหนักๆ ย่ำห่างออกไป แล้วทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตัวเดิมด้วยสีหน้าหงุดหงิดแกมโมโห
เจ็บขนาดนี้พี่ยังใจร้ายอีกเหรอ เจ็บจนไม่มีแรงลุกไปไหนอยู่แล้ว
แทนที่จะปลอบโยนให้กำลังใจ แต่พี่กลับเลือกผลักไสและแสดงท่าทางรังเกียจแบบนั้นออกมา
ไม่ใช่ว่าไม่เคยเผชิญสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ โรคกระเพาะเหมือนกลายเป็นโรคประจำตัวของผมไปซะแล้ว แต่ทุกครั้งที่ไม่มีพี่ ผมก็สามารถเอาตัวรอดในวันที่รู้สึกเจ็บจนทนไม่ไหวได้ แต่พอพี่เข้ามา ผมก็กลับกลายเป็นคนอ่อนแออีกครั้ง
ทำไมครับพี่ภู...
กลับมาทำไม มาทำให้การใช้ชีวิตคนเดียวของผมสั่นคลอนอีกทำไม
“กินซะอย่าลีลา” ชามข้าวต้มร้อนๆ ถูกเลื่อนเข้ามาใกล้มากขึ้น หลังจากพยายามหายาโรคกระเพาะจนเจอ พี่เองก็ทำข้าวต้มเสร็จแล้วเช่นกัน มันจะดีกว่านี้ถ้าความหวังดีของพี่มาพร้อมกับใบหน้าห่วงใยและน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อน
แต่มันคงเป็นไปไม่ได้แล้ว พี่ไม่เหมือนเดิม...
“ขอบคุณครับ”
“กินให้หมดชามด้วยล่ะ ถ้าไม่หมดอย่าคิดว่าจะได้กลับไปนอนที่ห้อง”
“ตะ...แต่มันเยอะไป”
“ยังไม่ได้กินจะรีบเถียงทำไมวะ!!” ผมสะดุ้งเฮือกอีกครั้งเมื่อถูกตะคอก ค่อยๆ ใช้หลังมือเช็ดน้ำตาออกจากแก้ม ก่อนจะหยิบช้อนขึ้นมาตักข้าวเข้าปากอย่างเร็วรี่ แทบไม่รู้ร้อน รู้หนาว ผมแค่กลัว...
“แล้วนั่นร้อนจะตายไม่เป่าหรือไง”
“ฮึก...ผมกินได้”
แค่กลัวพี่เท่านั้น
“ตามใจอยากลิ้นพองต่อจากโรคกระเพาะก็ทำไป กินเสร็จแล้วก็ล้างชามด้วยแล้วกัน” คนตัวสูงลุกออกจากที่นั่งตรงดิ่งไปยังห้องนอน และไม่นานต่อจากนั้นผมก็ได้ยินเสียงเปิดฝักบัวดังขึ้นมากรายๆ เดาว่าพี่คงอาบน้ำเตรียมเข้านอนแล้วเหมือนกัน ผมจึงเริ่มกินข้าวต้มที่เจ้าตัวอุตส่าห์ทำให้มากที่สุด แม้มันจะไม่หมดก็ตามที
ผมรีบรุดไปยังซิงก์น้ำ จัดการล้างถ้วยชามที่กองซ้อนๆ กันอยู่ทีละใบ มันอาจจะช้าหน่อยเพราะสายตาเริ่มพร่าเลือนเต็มที ต้องคอยสะบัดหัวเพื่อเรียกสตินับครั้งไม่ถ้วน จนกระทั่งทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ถึงหมุนตัวหยิบจานไปเก็บไว้ตรงชั้นวาง
แต่...
อย่าเพิ่งเป็น อย่าเพิ่งล้มตอนนี้ ผมแค่บอกตัวเองแบบนั้นตอนที่มือกำลังถือจานสั่นหงักและร่างกายกำลังโงนเงนคล้ายโลกทั้งใบกำลังดับแสงลง
เพล้ง!!!!
มือของผมอ่อนแรงจนกระทั่งแรงจับวัตถุตรงหน้าหมดลง และปล่อยให้มันเลื่อนหลุดจนกระทบพื้นเสียงดังลั่นห้อง วินาทีนั้นผมเพิ่งรู้สึกกลัวความผิดที่ได้เกิดขึ้น เลยรีบนั่งลงเก็บเศษจานซึ่งแตกละเอียด ทั้งที่ดวงตาทั้งสองข้างแทบมองไม่เห็นอะไรเลย
“จะก่อเรื่องอะไรอีกนักหนาสิงหา” ไม่นานพี่ก็โผล่เข้ามา ผมไม่รู้ว่าเขายืนอยู่มุมไหน แต่ผมก็พยายามก้มหน้าก้มตาหนีความผิดอีกจนได้
ผมกลัวพี่อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
“ผมไม่ได้ตั้งใจครับ”
“ไปอาบน้ำ” หลังจากเสียงทุ้มพูดจบ ร่างกายของผมก็ถูกดึงออกจากตรงนั้น
“...”
“บอกให้ไปอาบน้ำไง!!”
ในความเลือนรางของสายตา คนตัวสูงกำลังทรุดตัวลงเก็บเศษจานนั้นด้วยตัวเอง ส่วนผมก็รีบชักเท้าถอยหลังเข้าห้องน้ำตามคำสั่ง รีบไปให้ไกลจากคำพูดเจ็บปวดของเขา ไป...เพื่อรักษาหัวใจอันขาดวิ่นของตัวเองอีกครั้ง
ผมไม่ใช่คนรักของพี่
แต่ผมเป็นภาระของพี่
เป็นทุกอย่างที่พี่ไม่ต้องการ นอกจากรั้งไว้เพื่อสนองความต้องการบนเตียงเพียงอย่างเดียว
วันนี้พี่ไม่อยู่ เขาออกไปแต่เช้าเพราะรับงานเอาไว้ ตากล้องฝีมือดีแถมยังไฟแรงแบบเขาแน่นอนคิวต้องยาวเป็นหางว่าว ในขณะที่ผมได้แต่นั่งนิ่งๆ คิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมหรูหรา
ผมพยายามขอเขาแล้ว...อยากติดต่อเบียร์ อยากโทรหาแม่ ตอนนี้ทุกคนอาจกำลังวิ่งวุ่นเรื่องที่ผมหายตัวไปจากห้องก็ได้ แต่พี่ภูก็ไม่เคยเห็นใจ หนำซ้ำยังสาดซัดความเจ็บปวดมาให้ครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยการทิ้งประโยคหนึ่งเอาไว้ก่อนจะออกไปทำงาน
‘นอนอยู่บนเตียงรอแล้วกัน กลับมาจะได้ใช้งาน’
ผมไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้ แต่ผมเลือกไม่ได้ หนีก็ไม่ได้ ทั้งที่เคยตัดใจและถอยห่างมาแล้วแท้ๆ
แต่ทุกอย่างก็พังลงเพราะพี่...ที่เห็นแก่ตัวเกินไป
พอเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงดึก ผมรีบกินข้าวอาบน้ำแล้วก็หนีมาอยู่ตรงซอกโซฟาพร้อมกับอุ้มแมวอเมริกันช็อตแฮร์อย่างของขวัญเอาไว้ในอ้อมกอดเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับพี่
จนกระทั่งประตูเปิดออก เสียงฝีเท้าสวบสาบดังอยู่ใกล้ๆ โดยที่พี่ไม่คิดทักทาย แต่นั่นก็ดีแล้วเพราะเจ้าตัวทำได้แค่เหวี่ยงเสื้อแจ็กเก็ตลงบนโซฟาอย่างแรง จนส่วนหนึ่งของมันแทบพาดหัวของผมอยู่รอมร่อ ก่อนจะพาตัวเองเดินฉิวๆ ไปยังห้องน้ำโดยไร้ซึ่งคำพูดใดๆ เล็ดลอดออกมา
ผมแค่หวังว่าค่ำคืนนี้พี่จะลืมเรื่องที่เคยพูดเอาไว้
ผมยังไม่ไหว มันยังเจ็บอยู่เลย...
เสียงหยดน้ำที่ถูกเปิดกระทบคราแรกเงียบไป สุ้มเสียงที่ลอบฟังอยู่นานก็เงียบไปด้วย ผมจึงได้แต่ถอนหายใจอย่างโล่งอก คิดว่ารอดจากเงื้อมมือของคนใจร้ายแล้ว ถึงได้ค่อยๆ ชันตัวขึ้น เดินไปยังฟูกนอนเล็กๆ ของเจ้าของขวัญและวางแมวจอมซนเอาไว้ให้หลับอย่างสบายใจ
บางทีเป็นแมวมันก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องคิดหรือกังวลอะไร
“สิงหา!!”
เฮือก!! เสียงเรียกของพี่ทำเอาผมสะดุ้งโหยง รีบหันขวับไปยังประตูห้องนอนที่ยังปิดสนิทอยู่ แต่ยังคงได้ยินเสียงดังเล็ดลอดออกมาไม่ขาด
“สิงหาเข้ามาได้แล้ว” สุดท้ายก็ไม่รอด เพราะคืนนี้ผมต้องขึ้นเตียงกับพี่อีก
“...”
“อยู่ไหน เข้ามา!!”
ถึงยังไงซะผมก็หนีผู้ชายที่ชื่อภูผาไม่ได้อีกแล้ว จึงทำใจกล้าเดินเข้าไปยังห้องนอน ตรงนั้นผมเห็นร่างสูงนอนเหยียดขา ใช้หลังพิงหัวเตียงพลางถือ Photobook อะไรสักอย่างเอาไว้ในมือ ผมได้แต่แค่นยิ้ม ค่อยๆ ปลดประดุมชุดนอนที่ใส่อยู่ด้วยอาการสั่นหงัก แม้กระทั่งขนอ่อนตามร่างกายก็ลุกชันไปหมด
กระดุมเม็ดแล้วเม็ดเล่าหลุดออก ปล่อยให้เสื้อผืนนั้นหลุดจากกายลงสู่พื้นอย่างง่ายดาย ดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตาจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาด้วยความรู้สึกเจ็บปวด
“อย่างนี้ใช่มั้ยครับที่พี่ต้องการ”
“...”
“พี่อยากได้แบบนี้ใช่มั้ย”
“ทำอะไร” แต่พี่ภูกลับตอบเสียงเรียบ คิ้วสองข้างขมวดมุ่นเหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่าง
“ทำอย่างที่พี่อยากให้ทำไง นอนกับพี่ มีอะไรกับพี่เหมือนทุกที”
“พี่จะเรียกมานอน ไม่คิดว่าเราจะอยากขนาดนี้”
ไม่เคยพูดถนอมน้ำใจกันบ้างเลย ไม่เคยสงสารกันสักนิดเลยเหรอ
“พี่ภู...”
“ถ้าพี่อยากได้ไม่จำเป็นต้องบนเตียงหรอก บนพื้นก็ยังได้เลย รีบใส่เสื้อซะก่อนที่พี่จะหมดความอดทนทำร้ายเราอย่างที่ปากว่า” ดวงตาคู่คมเสไปทางอื่น ก่อนผมจะรีบก้มลงเก็บเสื้อตัวเดิมขึ้นมาใส่และกลัดกระดุมผิดๆ ถูกๆ แต่พอจะก้าวขึ้นไปนอนบนเตียง คนตัวสูงกลับชักสีหน้าใส่เสียอย่างนั้น
“ไปนอนข้างนอก”
“ฮะ?”
“เราทำให้พี่โมโห เพราะงั้นไปนอนข้างนอกซะ”
“คะ...ครับ” ผมรับคำอย่างว่าง่าย ยอมรับว่าอะไรๆ มันก็เปลี่ยนไปแล้วเลยไม่อยากพูดให้มากความ ดีซะอีกที่ไม่ต้องอยู่ใกล้เขาเพราะแค่หายใจผมก็ยังผิด
กริ๊ง! กริ๊ง!
ทิ้งตัวนอนลงบนโซฟาได้สักพัก เสียงกริ่งหน้าห้องก็ดังขึ้น ผมค่อยๆ ชันตัวขึ้นมาก่อนจะส่องดูว่าใครกันที่มาตอนดึกดื่นป่านนี้
“โอ๊ยยยยยยยยย” ผมเผลอร้องเสียงหลงเมื่อถูกมือหนากระชากออกจากประตูอย่างแรง เขาพยายามดันหลังของผมให้ออกจากตรงนั้น ก่อนจะกดหัวผมให้นั่งลง อิงแอบอยู่ซอกหนึ่งของเคาน์เตอร์ราวกับไม่อยากให้ใครรับรู้ว่าผมมีตัวตนอยู่ในห้องนี้
“ทำไมเปิดประตูช้า แล้วโทรศัพท์น่ะไม่เคยรับ ต้องให้ฉันตายก่อนหรือไงแกถึงจะสำนึก” เสียงแรกที่ได้ยินทำให้ผมขยับเท้าถอยหลังและกอดเข่าตัวเองไว้แน่นด้วยอาการสั่นหงัก
เป็นเสียงแหบพร่าของผู้ชาย จากที่เห็นก่อนหน้าเขาก็คือชายวัยกลางคนคนหนึ่งซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อของพี่ภู
“แต่พ่อก็ยังไม่ตายหนิ” เสียงบทสนทนาของพ่อลูกเริ่มขึ้น โดยที่ผมทำได้เพียงแค่ปิดปากเงียบไม่ส่งเสียงใดๆ ให้ใครรู้
“ไอ้ภู!!”
“ครับผม ลมอะไรหอบพ่อมาถึงที่นี่ล่ะครับ ลมเงินหรือลมหุ้น”
พี่ภูเถียงพ่อ...
“เลิกกวนประสาทฉันสักที”
“ถ้าคิดจะมาด่าก็รีบกลับไปเถอะ ผมจะเข้านอนแล้ว”
“นึกว่าซ่อนใครไว้” นาทีนี้ความกลัวค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาจนเหงื่อแตกพลั่ก เพราะผมกำลังซ่อนอยู่ในซอกครัวนี่จริงๆ ในใจก็ได้แต่ภาวนาว่าท่านจะไม่เดินสำรวจไปทั่วห้องจนเจอกับผมเข้า เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นพี่ต้องเอาผมตายแน่ๆ
“ผมมีใครด้วยหรือไง”
“รู้จักแกน้อยไปสิ จะทำอะไรไว้หน้าฉันบ้าง ไม่ใช่ไปคว้าแต่ผู้หญิงหรือพวกไม่มีหัวนอนปลายเท้าเข้ามาที่ห้อง มันจะเป็นขี้ปากชาวบ้านเขา”
“ก็เห็นพ่อห่วงแต่หน้าตา ไม่ไปเป็นดาราเลยล่ะ”
“ไอ้ภู!! ฉันเลี้ยงแกมาเพื่อให้เถียงฉอดๆ อย่างนี้เหรอ”
“เข้าเรื่องเถอะน่า ผมไม่ได้อยากทะเลาะกับพ่อนักหรอก”
“พรุ่งนี้”
“...”
“ไปพบคู่หมั้นแกซะ”
คู่หมั้น? คำๆ นี้มันเอาแต่ดังก้องอยู่ในหัวผมไม่หยุด ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่มันเป็นแบบนี้ ตั้งแต่ตอนไหนที่ผมถูกหลอกให้กลายเป็นไอ้หน้าโง่ คอยอยู่รองรับอารมณ์อีกฝ่ายขณะที่เขาก็มีตัวจริงอยู่แต่แรกแล้ว
ทำได้ยังไงพี่ภู โกหกหน้าตายแบบนั้นมาตลอดทำได้ยังไง
“พ่อเลิกเจ้ากี้เจ้าการเถอะน่า ผมจะไปเมื่อไหร่มันก็เรื่องของผม”
“แต่นี่แกเรียนจบแล้ว อีกไม่นานก็ต้องแต่งงาน แกมีสิทธิ์บ่ายเบี่ยงด้วยเหรอไอ้ภู”
“คนที่พ่อหามาให้จะดีแค่ไหนกันเชียว ก็แค่คนที่จะมาช่วยสร้างความยิ่งใหญ่ให้ธุรกิจของพ่อ แปลกเนาะ...ทำไมไม่รีบเจ๊งๆ ไปเลยวะ เบื่อชื่อบริษัทเหี้ยๆ นี่จะแย่”
เพี๊ยะ!!
ผมได้ยินเสียงกระทบของฝ่ามือกับอะไรบางอย่าง คงไม่ต้องคาดเดาว่าพ่อลูกกำลังทำอะไรกันอยู่ การพูดคุยของพวกเขาเต็มไปด้วยโทสะ พี่ภูเองก็ดูท่าจะไม่ยอมเพราะขึ้นเสียงตลอดไม่มีหยุด
ผมรู้...ตอนที่เราคบกัน พี่ชอบพูดเสมอว่าเกลียดพ่อเพราะเขาไม่สนใจ
เกลียดธุรกิจของพ่อ...เพราะมันทำให้ครอบครัวของเขาไม่สมบูรณ์
พี่ถึงพยายามต่อต้านและทำทุกอย่างตรงข้ามกับความต้องการของอีกฝ่าย
และผมก็ยังหวังว่าเรื่องคู่หมั้นนั้นพี่จะเด็ดเดี่ยวไม่ยอมเดินตามเกมอย่างง่ายดาย ได้โปรด...อย่าลืมว่ามีผมอยู่ตรงนี้ อย่าลืมคนที่พี่ฉุดรั้งกลับมา เห็นค่ากันบ้าง ถึงจะไม่มีหัวนอนปลายเท้าแต่ผมก็เป็นคนที่มีหัวใจ มีความรู้สึก และเจ็บไม่ต่างกัน
หรือที่ง่ายกว่านั้นแทนที่จะยื้อให้เจ็บ ปล่อยผมไปยังง่ายซะกว่า...
“นี่คือคำสั่ง คู่หมั้นของแกสวยและเพียบพร้อม อีกอย่างเขาเป็นนางแบบยังไงแกก็ต้องชอบอยู่แล้ว”
“ขนาดนั้นเชียว”
“...”
“โฆษณามาขนาดนี้ผมไปก็ได้”
ไม่!! ผมได้แต่ส่ายหน้า อย่าไปนะพี่ภู อย่าไป...
“พรุ่งนี้หกโมงเย็น ทำงานเสร็จก็รีบเคลียร์คิวไปพบเขาซะ ฉันมาแค่นี้แหละ”
“ครับ กลับดีๆ ล่ะอย่ามัวแต่แวะบ้านเมียน้อย เพราะไม่แน่ว่าเมียน้อยพ่ออาจจะเคยเป็นของเล่นของผมมาแล้วก็ได้”
“แก!!”
“บายยยยยยย”
ปัง!! เสียงปิดประตูดังสนั่น ทว่านั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมอยากออกมาจากที่ซ่อนเลยสักนิด ร่างกายมันชาไปหมด แม้แต่น้ำตามากมายที่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็เอาแต่ไหลเป็นทาง
ถ้าผมไปแล้วพี่ไม่ดึงกลับมามันอาจจะมีความสุขกว่านี้ตรงที่ไม่ต้องมารับรู้ว่าชีวิตของเขามีใครต่อใครเข้ามาบ้าง โดยเฉพาะใครคนนั้นที่อยู่เหนือผมทุกอย่าง
“ออกมาได้แล้วสิงหา” เสียงทุ้มวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ก่อนกายสูงจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพร้อมกับดึงรั้งร่างของผมให้ลุกขึ้นยืนทั้งน้ำตาอาบแก้ม
“พี่...” ผมเหมือนคนละเมอเสียงสั่น
“ไปนอนได้แล้ว”
“พี่จะไปเจอคู่หมั้นเหรอ”
“พูดมากน่า มันไม่ใช่เรื่องของเรา”
“พี่จะไปเจอเขาใช่มั้ย ผู้หญิงคนนั้นน่ะ ผมไม่ว่าอะไรหรอกถ้าพี่จะไป แต่ขอร้อง...ปล่อยผมไปเถอะ ปล่อยผมไปนะครับพี่ภู...ผะ...ผมขอร้อง มันเจ็บจะตายอยู่แล้ว ฮืออออ”
“หุบปากสักที!!”
“ฮึก...”
“พี่จะทำอะไรมันก็เรื่องของพี่ เรามีหน้าที่แค่อยู่ตรงนี้ ถ้าอยากออกไปก็รอเบื่อก่อนสิแล้วจะปล่อย ถึงตอนนั้นจะหายไปไหนชั่วชีวิตก็ตามสบาย แต่ตอนนี้...”
ดวงตาคมกร้าวจ้องมองไม่มีหลบ ใบหน้าหล่อเหลาในคราบซาตานกำลังโมโหจัด
“อยู่ในมุมมืดๆ นี้ซะ แล้วอย่าได้ปริปากร้องขออะไรอีกมันน่ารำคาญ”
ร่างของผมถูกผลักจนล้มลง ต่อให้ร้องไห้เป็นสายเลือดขนาดไหนมันก็เป็นเพียงฝุ่นในสายตาของเขาอยู่ดี
เจ็บจังเลย...
พี่รู้มั้ยว่าเราเจอกันครั้งแรกตอนไหน
แล้วตอนนี้ล่ะ หัวใจของพี่มันยังหลงเหลือความรักเพียงเสี้ยวหนึ่งของวันนั้นหรือเปล่า