Chapter 21เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมายังบานประตู เลขาสาวที่กำลังเฝ้าเอาหูแนบประตูอยู่ทางด้านนอกของห้องก็กระเด้งตัวออกไปตั้งหลัก เธอแอบหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะแทบจะไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาจากภายในห้องเลย แต่ถึงอย่างนั้น ในศีรษะของเธอก็จินตนาการไปไกลหลายล้านปีแสงแล้วว่าเจ้านายกับผู้ช่วยทำอะไรกันอยู่ในห้องบ้าง แต่พอเห็นว่าเจ้านายเดินออกมา เจ้าหล่อนก็ตื่นขึ้นจากโลกแห่งจินตนาการแล้วพุ่งตรงเข้าไปหา “ทุกคนเข้าไปรอในห้องเทรนเรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ ยกเว้นแต่คุณภูริณัฐ คุณกิตติ กับคุณบวรวิทย์เท่านั้นที่ไปออกไซต์งานค่ะ”
“อืม” นภเกตน์ตอบแบบเรียบเฉยเช่นเคย
หลินนึกเสียดายที่น้ำเสียงของเจ้านายกลับมาเย็นชาตามปกติแล้ว... ก็เธอคิดว่าบทบาทของเคะราชินีเหมาะกับเจ้านายมากที่สุดในสามโลก เธอรอจนตฤณเดินออกจากห้องมา แต่พอแอบพิจารณาดูแล้วไม่เห็นว่าผู้ช่วยของเจ้านายมีรอยฝ่ามือหรือรอยกัดก็ยิ่งเซ็ง “ถ้างั้นเชิญที่ห้องเทรนเลยนะคะ” เธอจำใจดึงวิญญาณกลับมาทำงาน ก่อนพวกเขาจะเคลื่อนย้ายกันไปยังห้องประชุมที่ใช้สำหรับการเทรนนิ่งในวันนี้
นภเกตน์ผลักบานประตูเข้าไปภายในห้อง หากพอก้าวเข้าไปได้สองสามก้าวก็ต้องหยุดชะงัก เพราะลูกน้องทุกคนยืนขึ้นพรวดต้อนรับการมาของตน ผู้เป็นนายเลิกคิ้วขึ้นแบบงงๆ ...ก็แบบว่า ที่นี่ไม่ใช่ค่ายทหารอะ
“มีอะไร...”
“เอ่อ... 1…2…3! ขอบคุณครับผู้จัดการ!” เสียงตะโกนของเหล่าวิศวกรเกือบห้าสิบชีวิตดังก้อง พวกเขาพนมมือพร้อมค้อมศีรษะลงต่ำ เพื่อแสดงออกถึงความรู้สึกปลาบปลื้มจากหัวใจ “ผู้จัดการสุดยอดไปเลยครับ!”
ตฤณที่เพิ่งเดินตามเข้ามาหัวเราะเบาๆ แล้วเดินไปหาเจ้านาย “...ไม่เคยมีใครกล้าโวยวายกับผู้จัดการฝ่ายขายมาก่อนน่ะครับ ทุกคนต่างก็มีประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักกับการทำงานแบบหยิบโหย่งของฝ่ายเซลส์บางคน”
ร่างโปร่งทำสีหน้าไม่ถูกจึงก้มหน้าหลุบตาต่ำ จะว่าเขินก็เขิน ดีใจก็ดีใจ เขารู้สึกเหมือนได้รับการยอมรับจากลูกน้องแล้ว ซึ่งเป็นความรู้สึกอบอุ่นแบบเป็นกันเองอย่างที่เขาไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนเลยในชีวิต “....”
ร่างสูงก้มมองใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อก่อนจะแซว “พูดไม่ออกเลยเหรอครับ” จากนั้นก็หันไปหาพวกลูกน้องในห้อง “เอ้า! นั่งลงๆ เตรียมเทรนกันได้แล้ว”
“ผู้จัดการไปนั่งก่อนละกัน เดี๋ยวผมจะเริ่มเทรนตามหัวข้อที่คุณลิสต์ไว้ให้เองนะครับ” ตฤณยิ้มอย่างอ่อนโยน พลางตบลงที่หัวไหล่เล็กเบาๆ หลายๆ ครั้ง
ตึก... แวบหนึ่งที่หัวใจดวงน้อยเต้นผิดจังหวะ ผู้เป็นนายพยักหน้าหงึกหงัก แล้วเดินไปนั่งบนเก้าอี้ที่จัดไว้ด้านข้างของห้องกับเลขาของตนแบบเบลอๆ
ตฤณเป็นผู้ช่วยที่พึ่งพาได้มากจริงๆ เวลาที่ทำงานก็เข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ร่างโปร่งเข้าใจเหตุผลที่อาพีรพัฒน์จับคู่ให้เขาทำงานกับตฤณอย่างถ่องแท้แล้ว
ร่างสูงใหญ่ในชุดสูทดูสง่าขึ้นเป็นกอง ทรงผมใหม่ที่ดูเป็นมนุษย์มากขึ้น ส่งเสริมให้ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลา แม้ชุดเต็มยศจะขาดเนกไทไป แต่โดยรวมก็ทำให้ชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งดูดีขึ้นไม่น้อยแล้ว น้ำเสียงทุ้มต่ำช่างน่าฟัง แก้มบุ๋มเมื่อตอนยิ้มก็น่ารัก... จนนภเกตน์เผลอจ้องมองอีกฝ่ายไปอย่างลืมตัว
ตฤณหันมาสบสายตากับเจ้านายอยู่หลายครั้ง เขาสังเกตเห็นว่าเจ้านายอมยิ้มน้อยๆ สายตาที่มองมาทางตนเปลี่ยนไปนิดหน่อย บรรยากาศระหว่างกันของทั้งสอง... กำลังค่อยๆ แปรเปลี่ยนไป
“ไอ้ตฤณแม่ง... ชักแปลกๆ กับคุณนภเกตน์นะ”
“มองกันไปมองกันมา ตาหวานเยิ้มเลยว่ะ” พวกวิศวกรแอบสังเกตเห็น จนอดไม่ได้ที่จะต้องนินทากันเบาๆ
“แต่ก็ดูเป็นคู่หูที่เข้ากันได้ดีนะมึง คงไม่มีใครจะจัดการโพรเจกต์ใหญ่ยักษ์ได้เร็วโคตรๆ อย่างผู้จัดการกับไอ้ตฤณอีกแล้ว”
“นู่นๆ ดูสิ ใครขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ดไปก่อนทุกคนแล้ว” ...ใครคนนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหลิน เลขาสาว(วาย)ที่เชียร์ให้เจ้านายกับผู้ช่วยตกเป็นของกันและกันอยู่ทุกวัน เธอนั่งทำตาเยิ้ม ยิ้มหวานอยู่ในโลกสีม่วงส่วนตัวของเธอแต่เพียงผู้เดียว
การอบรมดำเนินต่อไปจนถึงเวลาบ่ายๆ ซึ่งแม้จะเลยเวลาพักกลางวันไปแล้ว แต่ก็ไม่มีใครบ่น และก่อนที่เจ้าของโพรเจกต์จะปล่อยให้ทุกคนได้พัก ชายหนุ่มก็หันไปหาผู้เป็นนาย “ผู้จัดการมีอะไรเสริมมั้ยครับ”
“ไม่มี... ที่พูดไปก็โอเคแล้ว”
“โอเค งั้นไปพักกันได้!” ชายหนุ่มผิวสีแทนบอกกับลูกน้อง
“คุณนภเกตน์จะไปทานอาหารกับท่านประธาน หรือจะทานในห้องทำงานดีคะ” เลขาสาวถามขึ้น
“อ๊ะ ผู้จัดการไปกินข้าวด้วยกันสิครับ!” หนึ่งในหมู่ลูกน้องที่กำลังทยอยเดินกันออกไปจากห้องพูดขึ้น ตามมาด้วยเสียงของคนอื่นๆ “จริงด้วยครับ ตอนนี้เลยเวลาพักเที่ยงของบริษัทอื่นแล้ว ร้านอาหารคงคนไม่เยอะ ไปด้วยกันนะครับ”
เป็นครั้งแรกที่พวกลูกน้องชวนเจ้านายให้ไปทานอาหารร่วมกัน นภเกตน์อ้ำอึ้งเพราะทำตัวไม่ถูก ทั้งดีใจและสับสนปะปนกัน เขาหันขวับไปหาตฤณ หากยังไม่ทันพูดอะไรออกไป อีกฝ่ายก็พูดออกมาอย่างรู้ทัน
“ไปกินข้าวด้วยกันนะครับ ผมก็ไปด้วย”
“อะ... อืม ไปก็ไป” ร่างโปร่งพยักหน้า เขาคงจะรู้สึกเขินๆ ถ้าจะต้องไปทานอาหารกับลูกน้องตามลำพัง เนื่องจากตนเองอัธยาศัยไม่ค่อยจะดี แต่ถ้าหากมีตฤณอยู่ด้วย เขาก็สบายใจ
หลินยิ้มหน้าบานเป็นกระจาด ด้วยพลังแห่งสาววายที่สิงสถิตอยู่ในตัวเธอ เธอสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่าง... เจ้านายกับผู้ช่วย ต้องมีซัมทิงกันแน่ๆ เธอมั่นใจพันเปอร์เซ็นต์
หลังจากนั้นทุกคนก็ทยอยกันออกจากห้องไป เพื่อเปลี่ยนสถานที่จากห้องประชุมขนาดกว้างขวางไปแออัดกันอยู่ในร้านอาหารตามสั่งแบบที่หารับประทานได้ง่ายๆ ทุกหัวมุมถนนในประเทศ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับบริษัท พวกเขานั่งเบียดกันหนึ่งโต๊ะต่อสิบกว่าชีวิต เนื่องจากพื้นที่ภายในร้านมีไม่มากนัก บวกกับวิศวกรเกือบห้าสิบชีวิตแล้ว ก็ยิ่งดูแคบไปถนัดตา
นภเกตน์นั่งชิดติดกับกำแพง ข้างๆ เขามีผู้ช่วยที่คอยดูแลซื้ออาหารและนำมาเสิร์ฟให้ ร่างโปร่งหัวเราะเบาๆ ก็เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เขากับตฤณยังนั่งแยกโต๊ะกันอยู่เลย แต่มาตอนนี้นั่งชิดกันจนแทบจะขึ้นมานั่งซ้อนกันอยู่แล้ว
“ผมสั่งข้าวหมูทอดกับสลัดผักมาให้ครับ” มือหยาบวางจานอาหารของตนกับนภเกตน์ลงบนโต๊ะ ก่อนจะวิ่งออกไปจัดหาน้ำดื่มมาให้
“แหม พี่ตฤณบริการดีแบบนี้ ผู้จัดการต้องทิปแล้วนะครับ” ลูกน้องที่นั่งร่วมโต๊ะกระเซ้า “เอาแบงก์เหน็บจีสตริงพี่ตฤณเลยครับผู้จัดการ”
ร่างสูงหันไปดุ “เขาเรียกผู้ช่วยที่ดีว้อย พวกเอ็งนี่!”
ผู้เป็นนายยิ้มบาง “พวกคุณจะเรียกผมว่า หัวหน้า เฉยๆ ก็ได้ ง่ายๆ แล้วฟังดูกันเองดี”
ตฤณหันขวับไปหาร่างโปร่ง พร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย... พอเจ้านายเริ่มจะเปิดใจให้กับลูกน้องคนอื่นๆ บ้าง ร่างสูงก็รู้สึกอิจฉาอยู่ตงิดๆ ก็แบบว่า อยากให้เจ้านายใจดีกับเขาคนเดียวง่ะ ระหว่างที่นภเกตน์กำลังทานอาหารไป เขาก็วางมือข้างหนึ่งลงบนตักของอีกฝ่ายแบบเนียนๆ มืออีกข้างก็ตักอาหารใส่ปากไปเรื่อย
ร่างโปร่งสะดุ้งเฮือก หากก็พยายามทำเฉยไว้ แต่แล้วผู้ช่วยตัวดีก็ใช้ปลายนิ้วลากไปมาเป็นตัวอักษรซ้อนทับกันไปเรื่อยๆ
“แล้วผมล่ะ ให้เรียกคุณว่ายังไงดี”
“คืนนี้... ให้ผมไปค้างด้วยคนนะ”พวงแก้มนิ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงขึ้นทีละน้อย... แต่ยังไม่ทันตอบอะไร โทรศัพท์มือถือที่ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นเบาๆ นภเกตน์จึงใช้โอกาสนั้นทุบปั้กลงไปบนหลังมือซุกซน แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสาย
“อืม... งานเรียบร้อยมั้ย? โอเค... พวกคุณกินข้าวกลางวันกันรึยัง... จะมาถึงออฟฟิศเมื่อไหร่... อืมๆ ใกล้ถึงแล้ว ประมาณบ่ายสองครึ่ง... งั้นอีกสักสิบห้านาทีเจอกันในห้องทำงานของผมก็แล้วกัน”
“สามหน่อที่ไปออกไซต์เหรอครับ” ...โทรมาได้จังหวะจริงๆ นะพวกเอ็ง! ดูซิ เจ้านายกำลังเขินแบบว่าโคตรน่ารักเลย จิ๊... ขัดใจว้อย!
“อืม เทรนนิ่งตอนบ่ายนี้คุณตฤณจัดการคนเดียวได้ใช่มั้ย เดี๋ยวผมจะแยกไปบรีฟงานให้กับสามคนนี้ พวกเขาเป็นตัวแทนหลักของแต่ละภาคซะด้วย”
“...ครับ” ...โธ่... เศร้า... ไอ้สามหน่อนี่ช่างเป็นตัวมารเสียจริง ตอนแรกในห้องประชุม เขายังได้เห็นเจ้านายอยู่ในสายตาบ้าง ถ้าแยกกันออกไปคนละห้องแบบนั้น เขาก็เซ็งแย่น่ะซี
นภเกตน์หันกลับไปจัดการกับอาหารในจานของตนอย่างรวดเร็ว จนหมดจานจึงลุกขึ้น แล้วตบลงบนไหล่หนาเบาๆ พร้อมกับบอกกับทุกคนในโต๊ะ “ผมคงต้องขอตัวก่อน คุณบวรวิทย์ คุณภูริณัฐ กับคุณกิตติ มารอผมที่ห้องทำงานแล้วน่ะ”
ตฤณมองตามอีกฝ่ายเดินจากไปตาละห้อย แล้วเผลอถอนหายใจออกมาหนักๆ “เฮ้อ!”
“แหม พี่ตฤณ อยู่กับพวกผมนี่ถึงกับต้องถอนหายใจเลยเหรอ”
“แต่ว่า หัวหน้านี่ก็ดูดีมากเลยนะพี่ตฤณ พอคุ้นเคยกันขึ้นก็ยิ่งรู้สึกว่าเขานิสัยดีอะ”
“หน้าตาทั้งหล่อทั้งน่ารัก ตัวงี้ขาวจั๊วะ ได้ข่าวว่าเขามาจากเมืองนอกใช่มั้ยพี่”
เสียงอื้ออึงแบบไม่เกรงใจเจ้าของร้านดังหึ่งๆ พวกลูกน้องนี่ก็ช่างพูดจาไม่เข้าหูชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งเอาเสียเลย เขาฟังแล้วสุดแสนจะหงุดหงิดว้อย “หยุดพูดมากได้แล้วน่า กินข้าวให้ไวๆ เดี๋ยวจะได้ไปทำงานต่อเว้ย!”
เมื่อเวลาใกล้เลิกงานมาถึง ร่างสูงที่อยู่ในห้องประชุมกับลูกน้องเกือบห้าสิบชีวิตก็กล่าวสรุปและเตรียมปิดการเทรนนิ่งลงในที่สุด
“มีคำถามอะไรมั้ย พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางกันแล้ว ระวังตัวกันด้วย แล้วเจอกันใหม่อาทิตย์หน้า... มีอะไรก็โทรมาถามพี่ หรือถามบวรวิทย์ ภูริณัฐ กับกิตติได้ตลอดนะ” เขายืนรอจนทุกคนเดินออกจากห้องไปจนหมด จึงค่อยเดินออกไปพร้อมกับเลขาสาว
ชายหนุ่มผิวสีแทนกลับไปยังห้องทำงานที่ตนใช้ร่วมกับนภเกตน์ เขาได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นออกมาตั้งแต่ยังไม่ทันเปิดประตูห้อง ยิ่งทำให้ตนรู้สึกหงุดหงิดพิกล พอเปิดประตูห้องออกแล้วมองเข้าไป บนเก้าอี้โซฟานั้น มีสามหนุ่มนั่งอยู่ ส่วนเจ้านายนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ลากมาจากโต๊ะทำงาน
“ไอ้ตฤณเสร็จแล้วเหรอ มาพอดีเลย เดี๋ยวออกไปดินเนอร์กัลลลลลล หัวหน้าก็จะไปด้วยนะ!” กิตติร้องทัก
“หืม?” ร่างสูงตรงไปลากเก้าอี้ทำงานของตนมานั่งข้างๆ เจ้านาย “อารมณ์ไหน?”
“ก็เซลส์ที่ดูแลโพรเจกต์อะพี่ พอพวกผมปิดโพรเจกต์ได้เรียบร้อยเขาก็เข้ามาขอบคุณกับขอโทษ แล้วก็ให้บัตรของขวัญร้านอาหารนี้มา อาหารอิตาเลียนฟูลคอร์สสุดไฮโซเลย” บวรวิทย์หยิบบัตรของขวัญขึ้นมาอวด
“สำหรับหกที่เลยนะครับ เซลส์เขาบอกว่าให้พวกผมพาแฟนไปกิน แต่พวกผมมีซะที่ไหนล่ะ ฮ่าๆๆ เรามีห้าคน ไอ้หมีคนเดียวกินเท่ากับสอง ก็ครบพอดี”
“ก็โอเค แต่อย่าดึกมากนะ พรุ่งนี้พวกเอ็งต้องออกเดินทางไปต่างจังหวัดกันแต่เช้า”
“ไม่ดึกหรอกครับ กินเสร็จก็กลับ”
นภเกตน์หัวเราะเบาๆ “ถ้างั้นเราจะไปกันเลยมั้ย” ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปยกหูโทรศัพท์ที่โต๊ะ “ลุงเสือ (ชื่อคนขับรถ) เดี๋ยวเย็นนี้ผมจะไปกินข้าวข้างนอก อยู่ดึกหน่อยได้มั้ย”
“โธ่ ไปกับผมก็ได้ ไม่เห็นต้องให้คนอื่นลำบากด้วยเลย” ร่างสูงแกล้งพูดเสียงดัง “...หรือว่าจะไม่กล้าไปกับผมสองต่อสอง เขินเหรอคร้าบบบบ”
ผู้เป็นนายส่งสายตาขุ่นๆ ใส่ผู้ช่วยปากดี “คุณตฤณไม่กลับบ้านรึไง”
“ผมก็กลับมานอน...” ตฤณแกล้งชะงักค้างไว้ ให้อีกฝ่ายถลึงตาใส่เล่นๆ “...นอนที่ออฟฟิศน่ะสิครับ”
ร่างโปร่งถอนหายใจ เขาเองก็เกรงใจลุงคนขับรถอยู่เหมือนกัน ทั้งคอยรับส่งอาพีรพัฒน์ แล้วยังต้องรอเขาจนดึกดื่นอีก “โอเค ผมไปกับคุณตฤณก็ได้ ลุงเสือกลับไปก่อนเลยละกัน” ชายหนุ่มพูดใส่หูโทรศัพท์แล้ววางลง
ตฤณยิ้มกว้าง ก็เจ้านายให้เกียรติเลือกมานั่งรถบุโรทั่งของตนทั้งที “ไปกันเลยนะคร้าบบบ... เชิญเลยครับ ท่านหัวหน้า”
ส่วนลูกน้องอีกสามนายนั้น พวกเขาหันมองซ้ายที ขวาที... ใจก็คิดไปพลางว่ารุ่นพี่ช่างไม่กลัวตาย กล้าแซวและต่อปากต่อคำกับเจ้านายขนาดนี้ ถ้าพี่ตฤณของพวกเขาไม่กล้าบ้าบิ่น ผิวหน้าก็ต้องหนาจนสายตาดุๆ ของเจ้านายไม่สามารถทำให้ระคายเคืองได้แน่ๆ
เจ้านายและผู้ช่วยเดินนำออกไป ตามมาด้วยลูกน้องทั้งสามซึ่งต่างคนต่างแยกกันขับรถไปเจอกันที่ร้าน เพราะหลังจากนั้นพวกเขาจะได้ตรงกลับบ้านไปเก็บผ้าผ่อนเตรียมออกเดินทางกันต่อ รถทั้งสี่คันเคลื่อนออกจากบริษัทไปพร้อมๆ กัน มุ่งหน้าไปยังที่หมายที่ร้านอาหารอิตาเลียนสุดหรู
TBC~*
หวานกันจริงๆ เลยพี่ตฤณกับน้องนภ 5555 ลูกน้องก็รักก็หลงนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านค่า