‘ความไม่แน่นอนมันน่ากลัว’
ตอนที่ 13
4.45 น. นาฬิกาปลุกบนหัวเตียงส่งเสียงร้องเมื่อถึงเวลาทำหน้าที่ของมัน และไม่นานเสียงร้องก็เงียบลงเมื่อเอื้อมมือไปกดปิด เป็นสัญญาณบอกว่าเจ้าของร่างที่นอนอยู่บนเตียงไม่ถึงสี่ชั่วโมงได้ตื่นขึ้นแล้ว
ตู้เย็นถูกเปิดออก ถ้วยชามด้านในถูกยกออกมาวางไว้ข้างเตา ไฟบนเตาแก๊สถูกจุดขึ้นพร้อมกับกระทะที่วางทับตามลงมา น้ำมันถูกราดลงบนกระทะ พอร้อนได้ที่แล้วก็ตามด้วยผักหลากหลายชนิดและเนื้อหมูถูกใส่ตามลงไป เกิดเสียงดัง 'ฉ่าาา' ขึ้น กลิ่นหอมฉุยตลบอบอวลไปทั่วครัว ไม่นานก็ถูกตักราดลงใส่ถ้วย พร้อมทั้งข้าวสวยหนึ่งจานวางอยู่เคียงข้างกัน
เตาแก๊สถูกปิดและเช็ดทำความสะอาดเรียบร้อย กระทะที่ยังคงร้อนระอุอยู่ถูกราดด้วยน้ำที่อุณหภูมิห้องแล้ววางทิ้งไว้บนซิงค์ล้างจาน
กับข้าวและจานข้าวถูกยกมาวางบนโต๊ะกินข้าวขนาดสำหรับสามถึงสี่คน แต่ ณ เวลานี้มีเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่ ผัดผักเมื่อสักครู่ถูกตักราดลงบนจานข้าว ก่อนเจ้าตัวคนทำจะเริ่มตักเข้าปากพร้อมกับข้าวสวยร้อนๆที่หุงทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน
หลังจากทานข้าวเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นหยิบจานชามไปที่ซิงค์ล้างจานที่วางทิ้งไว้ มือเอื้อมไปหยิบสก็อตไบร์ทแล้วกดขวดปั๊มน้ำยาล้างจานให้ไหลออกมาบนฟองน้ำนุ่มนิ่มก่อนจะเริ่มลงมือทำความสะอาดแล้วเก็บทุกอย่างเข้าที่ให้เรียบร้อย
พลาสติกแรปถูกดึงออก พร้อมกับคลุมลงบนถ้วยผัดผักอีกใบที่ทำแยกไว้ ดึงกระดาษโพสต์อิทสำหรับจดบนตู้เย็นออกมาเขียนข้อความไว้อย่างที่ทำประจำเมื่อเวลามีเรื่องสำคัญที่ต้องบอก ก่อนจะแปะมันไว้ที่หน้าตู้เย็น
'วันนี้มีซ้อมแข่ง กลับดึกนะครับ'6.20 น.ยืนรอรถไฟฟ้าอยู่ที่หน้าชานชาลา ผู้คนดูบางตาเมื่อเทียบกับสถานีอื่น ก้มมองนาฬิกาข้อมือก็พบว่ามาก่อนเวลาตั้งสิบนาทีเลยเดินหลบออกมาด้านข้างเพื่อรอเวลา
6.30น. ได้เวลานัดหมายอย่างเช่นทุกวันแล้ว ย้ายตำแหน่งเดินมายืนรอที่ชานชาลา เป็นจุดที่ยืนอยู่ประจำ
ไม่นานนักรถไฟฟ้าก็มาจอดเทียบอยู่ตรงหน้า ประตูอัตโนมัติเปิดออก เมื่อมองตรงเข้าไปด้านในก็พบกับคนที่ยืนรออยู่ริมประตูอีกฝั่งที่ปิดสนิทในตำแหน่งเดิม
"หวัดดี" คำทักทายนี้ก็เหมือนเดิมเช่นกัน อีกฝ่ายพยักหน้ายิ้มให้เล็กน้อย ถึงจะยิ้มแค่ที่มุมปากก็ตาม แต่ถ้าหากมีสาวๆมาเห็นรอยยิ้มของคนตรงหน้านี้แล้วล่ะก็ เชื่อได้ว่าต้องเขินกันไปเป็นแถบแน่ๆ
เดินเข้าไปยืนข้างๆ ก่อนจะหยิบหูฟังมาใส่เหมือนอย่างทุกวัน เสียงสัญญาณของรถไฟฟ้าดังขึ้นพร้อมกับประตูที่ปิดลง
"ลีโอ" หันไปตามเสียงเรียกจากคนด้านข้าง กระดาษตรงหน้าถูกยื่นมาให้ มองเจ้ากระดาษนี้ด้วยความสงสัยก่อนจะรับมาแล้วเปิดดู
"ทำข้อนี้ได้ไหม?" คนตรงหน้าทำหน้าซีเรียส ดูจากรอยขอบตาที่คล้ำขึ้นกว่าปกติแล้วนั้น ท่าทางจะพยายามคิดทั้งคืน
ก้มมองโจทย์วิชาแคลคูลัสตรงหน้าสักพัก ก่อนจะจำได้ว่าข้อนี้เคยเรียนกับอาจารย์ในห้องไปแล้ว
"ข้อนี้เราเรียนแล้ว"
"เฮ้ย จริงดิ! สรุปมันทำยังไงวะ?" อีกฝ่ายเลิกคิ้ว ขยับตัวเข้ามาใกล้ขึ้นทั้งยังเอื้อมมือมาชี้กระดาษที่มีร่องรอยการทำโจทย์เต็มไปหมด
"เลือกuกับdvเป็นชุดนี้แทน" ชี้นิ้วสลับไปมาบนตัวอักษรเป็นการประกอบคำอธิบาย เพื่อให้อีกฝ่ายเห็นภาพได้ชัดเจน
"ตอนแรกก็เลือกแล้วแต่มันไม่ออก" คิ้วคมขมวดกันเป็นปม ดูท่าทางคงจะเลือกตัวแปรชุดนี้มาลองทำแล้ว แต่ติดปัญหาจนต้องเปลี่ยนไปเลือกตัวแปรชุดอื่น
"ก็พอเลือกเสร็จมันต้องบายพาร์ทสองรอบแล้วย้ายข้างสมการถึงจะออก"
เมื่อพูดจบเจ้าของกระดาษเลิกคิ้วทำหน้าเหมือนกับบรรลุอะไรบางอย่าง
"เชี่ย นั่งคิดทั้งคืน เชี่ยมาก" เอกบ่นอุบอิบ ดูท่าทางจะหัวเสียกับโจทย์ข้อนี้พอสมควร
"ถ้าคิดไม่ออกก็พักก่อนจะดีกว่า ดันทุรังต่อไปก็ใช้แต่อารมณ์ทำโจทย์ มองไม่เห็นคำตอบหรอก" เพราะเอกดูเป็นคนใจร้อน หงุดหงิดง่าย บางครั้งอารมณ์ก็เลยบดบังสิ่งที่ควรจะมองเห็นไป
อยากให้เอกยิ้มเยอะๆมากกว่า"อือ...ขอบใจแล้วกัน" ส่งกระดาษคืนคนข้างๆ เอกหันมายิ้มให้พร้อมกับขอบคุณ
ยิ้มเหมือนกับตอนนี้...7.10 น.รีบวิ่งหน้าตาตื่นจากบันไดทางลง ไกลจากสายตาไปหลายร้อยเมตรมีรถบัสของมหาลัยกำลังจอดเทียบป้ายรถเมล์อยู่ และแน่นอนว่ารถกำลังจะเคลื่อนตัวออกไปแล้ว
"ไม่ทันหรอก เลิกวิ่งเถอะ" เสียงตะโกนไล่หลังมาไม่ได้ทำให้ความเร็วในการวิ่งลดลงแม้แต่น้อย
ถ้าไม่ลองวิ่งดู แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าไม่ทันได้แต่เถียงเอกในใจกลับไป เพราะวิ่งอยู่การหันไปตอบอาจจะทำให้ความเร็วในการวิ่งลดลง
สุดท้ายก็ไม่ทัน...คนที่วิ่งหอบแฮ่กตามมาด้านหลังหยุดลงข้างป้ายรถเมล์ ก่อนจะพูดปนด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ
"บอกแล้วว่าไม่ทัน"
"แต่ถ้าไม่ลองวิ่งก็ไม่รู้นี่" เถียงตอบกลับอีกฝ่ายทันควัน เพราะอะไรในโลกนี้มันก็ไม่ได้แน่นอนเสมอไป บางทีอาจจะทันก็ได้
"แต่ตอนนี้ไม่ทันแล้ว" อีกคนเถียงกลับ
"เมื่อวานไม่ได้วิ่งก็ไม่ทันเหมือนกัน"
"นั่นมันส่วนเมื่อวาน"
"แต่เมื่อวานถ้าวิ่งอาจจะทันก็ได้ เพราะงั้นวันนี้ถึงได้วิ่ง" คนที่ต่อแถวอยู่ด้านหลังพวกเราสองคนเริ่มมอง คงกำลังคิดว่าไอสองคนนี้มันเถียงเรื่องอะไรของมันกัน
เอกขมวดคิ้ว คนๆนี้ขมวดคิ้วบ่อยจนบางครั้งก็เคยนึกอยากเอานิ้วจิ้มหว่างคิ้วแล้วยืดออกให้คลายจากปมสักที
เป็นคนที่ขมวดคิ้วได้สิ้นเปลืองมาก
หน้าต้องแก่ก่อนวัยแน่ๆ"ถามจริง?" รอยยิ้มที่มุมปากผุดขึ้นบนใบหน้าของอีกคน จนเผลอเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
"ว่า?"
"เจ้าของชื่อชโรดิงเจอร์หรอ?" คำพูดของอีกฝ่ายทำเอาชะงัก จะว่าไปที่คุยกันเมื่อกี้นี้มันก็คือทฤษฎีแมวของชโรดิงเจอร์นั่นแหละ แต่ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเอามาเล่นมุก
"ไม่ใช่แมวสักหน่อย" เถียงอีกฝ่ายกลับหลังจากสมองผ่านการประมวลผลได้สักพัก จะว่าไม่เข้าใจมุกก็คงจะไม่ใช่ เพียงแต่สมองค่อนข้างจะประมวลผลช้ากับอะไรประเภทนี้เสียมากกว่า นั่นเลยเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ถูกลุงรหัสและคนอื่นๆทั้งในคณะและชมรมแกล้งเป็นประจำ แม้ว่าจะเข้าใจ แต่ก็ดูจะช้าไป เพราะเผลอเต้นไปตามเกมของทุกคนหมดแล้ว
"บอกว่าไม่ใช่แมวแต่ยอมให้ใครๆเรียกว่าแมวเนี่ยนะ?" อีกฝ่ายทำหน้าบูด คงไม่ค่อยพอใจกับคำตอบที่ได้รับ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ทุกคนลดสกุลPhanteraของสิงโตเจ้าป่าน่าเกรงขามให้ลงมาเหลือเพียงแค่สกุลFelisของแมว ถึงจะขอร้องว่าให้เลิกเรียกว่าแมวสักที แต่ก็คงไม่มีใครฟัง เลยทำได้เพียงปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปแล้วทำใจให้ชินว่านั่นคือชื่อเล่นใหม่ของตัวเอง
"ก็ได้" ถอนหายใจกับคนตรงหน้า ขืนเถียงต่อไปคงไม่จบสิ้นแน่ๆ ยอมจำนนต่ออีกฝ่ายเลยตอบแบบส่งๆกลับไป
"ถึงจะเป็นแมว แต่ก็ไม่มีเจ้าของหรอก"
แต่ก็ไม่คิดว่าประโยคถัดมาจากอีกฝ่ายจะทำเอาไปต่ออะไรไม่เป็นเลย
"แล้วอยากได้เจ้าของบ้างไหมล่ะ?"
"อ้าว ลีโอไม่สบายหรอ ทำไมหน้าแดงแบบนั้น" ปรายฟ้ากับเพื่อนคนอื่นๆถามขึ้นหลังจากที่หย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้แล้ว
"เปล่า" ตอบกลับไปสั้นๆเพียงแค่นั้น หยิบสมุดกับปากกามาวางไว้บนโต๊ะเลคเชอร์เตรียมพร้อมที่จะเริ่มเรียนในคาบแรกของวันนี้ ในหัวก็พลันนึกถึงเรื่องที่คุยกับเอกตรงป้ายรถเมล์
แมวของชโรดิงเจอร์ ไม่รู้ว่าควรจะโกรธใครดีระหว่างชโรดิงเจอร์ที่ดันคิดทฤษฎีนี้ขึ้นมา หรือ คนข้างๆที่เกาะราวเหล็กของรถบัสยืนยิ้มทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
รู้สึกคิดผิดมากที่ดันมีความคิดในตอนแรกว่าอยากให้เอกยิ้มบ่อยๆ ถ้ารู้ว่ายิ้มแล้วจะน่าหมั่นไส้ขนาดนี้อยากให้กลับไปทำหน้าเครียดขมวดคิ้วแบบเดิมยังดีกว่า
"เลิกยิ้มแบบนั้นเถอะ" สุดท้ายก็ทนความน่าหมั่นไส้ไม่ไหวเลยต้องพูดออกไป อีกฝ่ายยักคิ้วให้หนึ่งทีแต่ก็ยังไม่ยอมเลิกยิ้ม
"ถ้าเมื่อกี้ไม่พูดแบบนั้นออกมา ก็คงไม่ได้เห็นแมวหน้าบูดแบบนี้"
"เงียบน่า" ก้มหน้ามองพื้นไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย
"ชโรดิงเจอร์จริงๆด้วย"
"..."
"ชโรดิงเจอร์~" น้ำเสียงล้อๆนี่มันอะไร
"..."
"ชโรดิงเจอร์~"
"..."
"ชโรดิงเจอร์~"
"..."
ทำไมวันนี้ถึงรู้สึกเกลียดเออร์วิน ชโรดิงเจอร์ขึ้นมากันนะ...---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อีกทางด้านหนึ่ง
หลังจากแยกกับลีโอมาได้สักพัก นึกถึงเรื่องที่คุยกันแล้วอยากจะหัวเราะออกมา พอจะเข้าใจว่าทำไมคนอื่นในชมรมว่ายน้ำถึงชอบแกล้งลีโอกันขนาดนี้ ก็มันสนุกจริงๆนี่นะ แล้วก็ได้เข้าใจด้วยว่าทำไมไอภพถึงได้ชอบแกล้งชาวบ้านเขาไปทั่ว ก็คงเป็นเหตุผลเดียวกัน
แต่ไอประโยคน่าอายที่เผลอพูดไปเนี่ยสิ'แล้วอยากได้เจ้าของบ้างไหมล่ะ?'
พูดไปได้ไงวะ!?พอนึกถึงประโยคนั้น หน้าก็ดันเห่อร้อนขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ
"อ้าว เพื่อนเอกไม่สบายหรอ ทำไมหน้าแดงแบบนั้น" แซนดี้ถามขึ้นเมื่อเดินเข้ามาในห้องเลคเชอร์ เลื่อนเก้าอี้วางกระเป๋าแล้วนั่งลงข้างเพื่อนสาวที่จองที่นั่งไว้ให้ก่อนแล้ว ก่อนหันไปตอบคำถามเมื่อสักครู่
"เปล่า"
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
"ทายสิ ใครกล้ามใหญ่ที่สุดในปฐพี"
"กล้ามพ่อแกสิไอโปร หยุดเลย!"
นั่งดูคนไม่รู้จักโตสองคนทะเลาะกันท่ามกลางเพื่อนคนอื่นที่กำลังจับกลุ่มทำรายงาน ปรายฟ้าและคนอื่นๆกำลังแบ่งหัวข้อเพื่อให้คนที่เหลือไปทำต่อ คนที่ว่างงานสองคนเลยหาเรื่องทะเลาะกันเสียอย่างนั้น แล้วตอนนี้ก็กำลังลงไม้ลงมือกันแล้วด้วย
"โอ้ย! ตีทำไมวะ ไอนักกล้าม" คนถูกตีโวยวาย ทำท่าปัดแขนราวกับว่ารังเกียจเหลือเกิน
"นักกล้ามพ่อแกดิ เล่นแขนกูอยู่ได้"
"ก็ไขมันตรงแขนมึงมันน่าบีบนี่วะ" ว่าแล้วก็ไม่พูดเปล่า โปรเอื้อมมือไปบีบต้นแขนน้ำตาลทันที
น้ำตาลเป็นเพื่อนในกลุ่มอีกคนหนึ่งที่รู้จักกันตอนรับน้องของคณะ เพราะโปรดันไปก่อวีรกรรมทำน้ำในถังไว้สำหรับให้ทุกคนกินหกใส่ และแน่นอนว่าโปรได้รับของตอบแทนเป็นแก้มแดงช้ำเพราะโดนเธอต่อย
"ถ้ายังไม่หยุดเล่นกูจะเอาชื่อมึงออกจากกลุ่ม" น้ำตาลพูดขู่
"ขอโทษครับคุณนักกล้ามผู้ยิ่งใหญ่"
“ลีโอ ลบชื่อนายพิรัชต์ออกจากกลุ่มหน่อย" พยักหน้าตอบกลับไปพร้อมกับทำท่าจะหยิบลิควิดบนโต๊ะแต่ก็ถูกแย่งไปซะก่อน
"แมว! มึงหยุดเลย ถ้ามึงลบชื่อ กูไม่เลี้ยงไอติมมึง!"
กระพริบตาปริบๆมองหน้าเพื่อนโปร อยากจะบอกเหลือเกินว่าสัญญาที่ว่าจะเลี้ยงไอติมนี้ มันตั้งแต่เทอมหนึ่งจนตอนนี้เทอมสองแล้วก็ยังคงไม่เห็นเป็นรูปธรรมเลย
"เอานี่! แบ่งหัวข้อเสร็จแล้ว ลีโอเอาเรื่องนี้ไปทำนะ" เหมือนเสียงระฆังในโบสถ์มาโปรด เมื่อปรายฟ้ายื่นกระดาษรายละเอียดหัวข้อรายงานมาให้แต่ละคน
"คราวนี้ขอข้อมูลแน่นๆนะ เราไม่อยากโดนจวกแล้ว" ปรายฟ้าโอดครวญ รายงานเรื่องที่แล้วของกลุ่มไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เลยโดนหักคะแนนไปเยอะพอสมควร
"เออจริง แต่คราวที่แล้วก็จับได้หัวข้อยากด้วยนั่นแหละ เลยโดนอาจารย์จวกซะน่วมเลย"
ก้มอ่านหัวข้อสักพักก่อนจะเอาเก็บใส่ไว้กับแฟ้มเอกสาร ลุกออกจากโต๊ะเตรียมสะพายกระเป๋าไปซ้อม
"จะไปแล้วหรอลีโอ?" ปรายฟ้าถาม คนอื่นๆเองก็หันมาจ้องมองเป็นตาเดียว
"อือ"
"แข่งเมื่อไหร่หรอ เดี๋ยวไว้พวกเราไปเชียร์วันแข่ง"
"วันพุธนี้น่ะ"
"อ๋อ สู้ๆนะ ไปเถอะๆ เดี๋ยวมีงานอะไรเพิ่มเติมเราไลน์ไปบอก" ปรายฟ้าโบกไม้โบกมือให้ ส่วนน้ำตาลก็เดินเข้ามาเขย่าแขน
"สู้ๆนะลีโอ ไว้แข่งเสร็จติวเคมีให้เราหน่อยน้า"
"ได้สิ ขอบคุณนะ"
“สู้ๆเว้ยมึง!”
“ขอบใจ”
'เดี๋ยวไว้พวกเราไปเชียร์วันแข่ง'
เป็นประโยคที่ดีจังนะ...เดินลอดอุโมงค์ข้ามถนนใต้ดินจากหน้าคณะวิทยาศาสตร์มาโผล่ยังอีกฝั่งหนึ่งของถนน ช่วงเวลายามเย็นที่ท้องฟ้ากำลังกลายเป็นสีส้มแบบนี้ก็ดูสวยไปอีกแบบ
ท้องฟ้าในเวลานี้ไร้เมฆมาบดบัง บ่งบอกได้ว่าวันนี้อากาศดี
แล้วก็เหมาะกับการดูดาว
ก้มหน้าก้มตาเดินกดมือถือไปตามทางเดิน ผ่านหน้าคณะครุศาสตร์และคณะนิเทศศาสตร์ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน มีคนเดินสวนกันไปมาบ้างแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร
แต่แล้วก็ต้องเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะซุบซิบและประโยคพูดคุยของนิสิตสาวสองคนที่เดินสวนไปเมื่อสักครู่
"โอ้ย น่ารักมากเลยอะแก"
อะไรน่ารัก?ภาพที่เห็นตรงหน้า ฉุดให้ฝีเท้าที่กำลังก้าวเดินอยู่ต้องหยุดลง
คนตรงหน้าที่คุ้นเคยกำลังยืนเล่นกับหมาสีน้ำตาลตัวหนึ่งอยู่โดยไม่ได้สนใจสายตาหลายคู่ที่ผ่านไปผ่านมาแถวนั้นเลย
รองเท้าหนังสีดำมันเรียบตอนนี้ชุ่มไปด้วยน้ำลายของเจ้าหมาสี่ขา เจ้าของรองเท้าแกว่งเท้าหลบไปมาเป็นเชิงแหย่มัน จนต้องเอาขาหน้าคอยตะปบไว้ เสียงหัวเราะและรอยยิ้มชอบใจที่ได้เห็น ตัดกับแสงสีส้มของดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่
ที่ตัวเราเผลอยิ้มออกมา
พร้อมกับชัตเตอร์ของกล้องในโทรศัพท์มือถือ
ที่ลั่นออกไป“อ้าว! ลีโอ” โทรศัพท์มือถือที่เผลอยกขึ้นมาเมื่อสักครู่ถูกยัดเก็บลงในส่วนที่ลึกที่สุดของกระเป๋ากางเกงทันที
วันนี้ซ้อมไม่หนักสักเท่าไหร่ เพราะอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันแข่งแล้ว ถอดหมวกซีลิโคนว่ายน้ำวางไว้ริมสระ เพราะใส่ติดต่อกันเป็นชั่วโมงเลยทำให้รู้สึกเจ็บตรงหน้าผากอยู่พอสมควร ตอนนี้มันคงจะแดงและขึ้นเป็นรอยรูปหมวกบ้างแล้ว
ดันตัวขึ้นนั่งพักเหนื่อยอยู่ริมขอบสระ หยิบขวดน้ำที่พกมาด้วยขึ้นจิบ ลมเย็นเหนือสระว่ายน้ำพัดผ่านกระทบผิวเป็นระยะ น่าแปลกที่รู้สึกหนาว แต่กลับไม่อยากลงไปแช่น้ำอีก
สระว่ายน้ำกลางแจ้งไร้หลังคามีฉากหลังเป็นท้องฟ้าสีดำเกือบสนิท...ใช่ มันไม่มืดสนิท เพราะแสงจากผืนแผ่นดินใหญ่สะท้อนขึ้นไปยังท้องฟ้าเสมอ แสงเหล่านี้มักจะแย่งความสว่างของดวงดาว
‘ไม่ชอบแสงพวกนี้เลย’
‘อ้าว ทำไมล่ะ?’
‘มันแย่งแสงของดาวไปหมด’
‘ก็จริงนะ… แต่ลีโอรู้อะไรไหม? การที่แสงจากแผ่นดินสะท้อนขึ้นไปบนท้องฟ้ามันก็มีข้อดีนะ’
‘ข้อดี?’
‘ใช่แล้ว เพราะถ้าหากเราไปเริ่มต้นดูดาวในที่ที่มืดสนิทดำปิ๊ดปี๋ไปหมด จนเห็นดาวได้เต็มท้องฟ้า เราจะแยกแทบไม่ออกเลย ว่ากลุ่มดาวนี้คือกลุ่มดาวอะไร กลุ่มดาวนั้นคือกลุ่มดาวอะไร’
‘เพราะฉะนั้น ที่นี่มันดีนะ เหมาะกับการหัดดูดาวมากๆ’
‘ต้องขอบคุณทุกคนที่เปิดไฟนะ’ นึกแล้วก็ตลกกับคำอธิบายของพ่อ พ่อมักจะมองเห็นข้อดีของทุกอย่างเสมอ
!!!
ตู้ม!!
จู่ๆก็ถูกใครบางคนดึงขาให้หล่นกลับลงมาในสระ เพราะไม่ทันได้ตั้งตัว น้ำจึงพากันไหลทะลักเข้าจมูกและตาจนแสบไปหมด หลังจากที่ตั้งตัวได้แล้วก็พยายามว่ายกลับฝั่งทั้งที่ตายังปิดสนิทอยู่อย่างนั้น หลับตาอยู่พักใหญ่ ได้ยินเสียงคนหัวเราะอยู่ข้างๆ จนเมื่อลืมตาขึ้นก็เจอกับใบหน้าของตะวันในระยะประชิด
“เฮ้ย เราขอโทษ แกล้งแรงไปหน่อย ไม่คิดว่าจะสำลัก”
“ไม่เป็นไร” ใจจริงอยากจะพูดต่อ ว่าทีหลังอย่าทำอีก แต่ก็โดนขัดขึ้นก่อน
“ไม่เป็นไรแน่นะ ตาแดงหมดแล้วเนี่ย จมูกก็แดง ขอโทษจริงๆว่ะ” คนตรงหน้าไม่พูดเปล่าซ้ำยังยกมือขึ้นมาจับแก้มให้หันไปมา อยากจะปัดออกอยู่เหมือนกัน
“ไม่เป็นไรจริงๆ”
“เอ้า! ขึ้นกันได้แล้ว เขาจะปิดสระแล้- เฮ้ย! มึง! ไอตะวัน มึงทำอะไรน้องกู ห๊ะ!”
สุดท้ายตะวันก็โดนบ่นไปตามระเบียบ...
สม...19.10 น.เวลาปกติที่คนตรงหน้าจะมานั่งรออยู่ที่ม้านั่งหน้าสระว่ายน้ำ
“กลับกันเถอะ” เอกในชุดเสื้อยืดสกรีนลายคณะกับกางเกงวอร์มสีดำยืนขึ้นแล้วเดินนำออกไปเหมือนกับทุกครั้ง…
ตลอดหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา ทุกอย่างเป็นตามแบบแผนนี้ไปเสียหมด
ความแน่นอนนี่มันดีจังนะ
คาดการณ์ได้ตลอด เมื่อถึงเวลานี้ อาจารย์จะเดินเข้ามา เมื่อหมดเวลาจะต้องไปเรียนในวิชาถัดไป เมื่อถึงตอนเย็นจะต้องไปซ้อมเอื้อมมือไปดึงชายเสื้อของเอกเบาๆ คนตรงหน้าหยุดเดินแล้วหันมามองด้วยความสงสัย
“หืม?”
“วันนี้…”
“วันนี้ทำไมหรอ?” และแน่นอนว่าเมื่อเอกสงสัยอะไร เอกจะขมวดคิ้ว
“มีอิริเดียม84”
หนึ่งในปรากฏการณ์บนท้องฟ้าที่ชอบที่สุด
หนึ่งในความแน่นอนที่สามารถคำนวณได้…“อิริเดียม…?” คิ้วของเอกยิ่งขมวดกันเป็นปมหนักขึ้น ถ้าเอานิ้วจิ้มจะโดนด่าหรือเปล่า?
“ทำอะไรเนี่ย?” เอกทำหน้าเหรอหรา ยืนตัวแข็งทื่อเมื่อเอานิ้วกดไปที่หว่างคิ้วของเจ้าตัว คิ้วที่เคยขมวดกันคลายออกเพราะความตกใจ
ปกติแล้วจะไม่ชอบสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้ แต่กลับชอบท่าทางของเอกในตอนนี้ มันนอกเหนือจากที่คิดไว้
นึกว่าจะโกรธแล้วปัดมือออกเสียอีก“ไม่รู้จักอิริเดียมหรอเนี่ย?” ยังคงเอานิ้วจิ้มหว่างคิ้วของอีกคนเล่นอยู่อย่างนั้น
“ก็ไม่รู้น่ะสิ”
“อิริเดียมแฟร์ คือแสงสว่างวาบจากดาวเทียมสื่อสารของสหรัฐชื่ออิริเดียม เอียงทำมุมสะท้อนแสงของดวงอาทิตย์ มีอยู่66ดวงโคจรรอบโลก”
“แล้ว?”
“วันนี้มีอิริเดียมเบอร์84ไง”
“มี66ดวงแล้วทำไม84”
“มันเป็นหมายเลข ไม่ใช่ลำดับที่”
“ทำไมไม่มี77ดวงให้ตรงตามเลขอะตอมของธาตุอิริเดียมในตารางธาตุล่ะ” ได้ยินประโยคกวนโอ้ยจากคนตรงหน้าเลยดีดหน้าผากไปหนึ่งที
“โอ้ย! ดีดทำไมวะเนี่ย !?”
“เงินไม่พอไง มันจะมีกี่ดวงก็ช่างมันดิ”
“ก็ไม่เห็นต้องดีดกันเลยนี่วะ” เอกทำหน้างอ เหนือความคาดหมายนิดหน่อยที่เจ้าตัวเดินหนี จนต้องรีบก้าวตามไปให้ทัน
“เดี๋ยวสิ อยู่ดูก่อนไม่ได้หรอ?”
“แล้วเมื่อกี้ทำอะไรไว้ล่ะ?” คนที่ก้าวหนีฉับๆพูดโดยที่ไม่หันมามอง ท่าทางจะงอนจริง
“เฮ้ย! แค่นี้ก็งอนเนี่ยนะ”
“ไม่ได้งอนเว้ย!”
“งั้นหยุดดูก่อน”
“ไม่เว้ย!” ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายกับคนที่เดินหนีไปไกล ยกมือขึ้นดูนาฬิกาที่ข้อมือบอกเวลาหนึ่งทุ่มกว่า แล้วนั่งลงกลางถนนตรงนั้นทันที เอกที่ดูเหมือนจะเพิ่งรู้ตัวว่าไม่มีใครเดินตาม หันกลับมาด้วยสีหน้าที่ดูตกใจก่อนจะรีบเดินเข้ามาหา
“นั่งตรงนี้เดี๋ยวรถก็ทับหรอก”
“ทับอะไรตรงนี้มีป้ายห้ามเข้า” พร้อมกับชี้นิ้วไปยังป้ายห้ามเข้าขนาดใหญ่ที่ถูกต้องอยู่กลางถนน คนยืนอยู่ชักสีหน้า ก่อนจะนั่งจุ่มปุ๊กลงข้างๆ
“แล้วเมื่อไหร่จะมา” เอกถามขึ้นด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ซ้ำยังไม่หันมามองหน้า ทำเอานึกถึงครั้งแรกที่เจอกันในวันนั้นขึ้นมา
“อีก1นาที” มองนาฬิกาข้อมือก่อนจะบอกออกไป อีกฝ่ายพยักหน้ารับรู้
ต่างฝ่ายต่างเงียบ มีเพียงเสียงลมพัดและเสียงใบไม้แห้งกลิ้งไปตามพื้นเท่านั้นที่คอยคั่นกลางอยู่ระหว่างความเงียบของเราสองคน
“10”
“9”
“8”
เอกหันมาเลิกคิ้วมองแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ความเงียบที่ถูกทำลายลงท่ามกลางเสียงลมและใบไม้แห้งเกลือกกลิ้งไปตามพื้นถนน มีเพียงเสียงที่คอยนับเวลาถอยหลังดังขึ้นตามจังหวะเข็มวินาที
“7”
“6”
ชี้นิ้วไปยังท้องฟ้าตรงหน้าที่พวกเรานั่งกันอยู่ คนข้างๆเองก็มองไปยังจุดเดียวกันตรงนั้น
“5”
ไฮเซนเบิร์กได้กล่าวไว้
‘เราไม่สามารถระบุตำแหน่งและโมเมนตัมของอนุภาคได้แม่นยำพร้อมกัน’
‘หากเราวัดตำแหน่งอนุภาคได้อย่างแม่นยำแล้วนั้น เราย่อมจะไม่มีทางบอกโมเมนตัมของอนุภาคนั้นได้ว่าเป็นเท่าใด และในทางกลับกันก็เป็นเช่นนั้น’
ทุกอย่างย่อมมีทั้งสิ่งที่แน่นอนและไม่แน่นอน
และ ‘ความไม่แน่นอน’ นั่นแหละที่น่ากลัว…
เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า ณ เวลานั้นหรือต่อจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น
“4”
การที่แมวของชโรดิงเจอร์ถูกจับใส่ไว้ในกล่อง รอจนแก๊สพิษที่ใส่ไว้ถูกปล่อยออกมาเมื่อถึงเวลาครึ่งชีวิตของธาตุกัมมันตรังสี
ถ้าหากตอนนั้นเราเปิดกล่องออก
แมวที่กำลังจะตาย อาจจะไม่ตายก็ได้ “3”
แล้วถ้าหาก ณ เวลานั้นเราไม่เปิดกล่อง
มันอาจจะตาย หรือ ณ ตอนนั้น มันอาจจะไม่ตายก็ได้เหมือนกัน“2”
ไม่มีอะไรแน่นอน…“1”
ยกเว้น…
แสงสว่างวาบตัดกับท้องฟ้าสีเทาอมดำตรงหน้า ที่เรียกว่า
‘อิริเดียมแฟร์’
☆
TBC
/สไลด์เข้ามา/ สวัสดีค่ะ พอดีสอบเสร็จไป3วิชา
แล้วพอมีเวลาช่วงระยะห่างก่อนถึงสอบ2วิชาสุดท้าย เลยแว๊บมาแปะค่า
ตอนนี้ยาวมากที่สุดเทาที่เราเคยเขียนมาเลยค่ะ ที่ยาวเพราะไม่อยากตัดแยกกันด้วย เรารู้สึกว่ามันต่อเนื่องกันน่ะค่ะ
แล้วก็ตอนนี้อาจจะงงๆนะคะ เราพยายามจะอธิบายกับเล่นมุก(แป้กๆ)ของเราให้ดีที่สุดแล้ว แต่ดูเหมือนจะได้แค่นี้

ที่สองคนนี้คุยกันตอนแรกเป็นเรื่องทฤษฎีแมวของชโรดิงเจอร์ เป็นการทดลองในจินตนาการ(ไม่ได้ทำจริงๆนะคะ ถ้าทำจริงๆสงสารแมว แงงงงง) โดยการจับแมวใส่กล่องที่มีแก๊สพิษอยู่ข้างใน ตั้งเวลาโดยใช้ธาตุกัมตรังสีค่ะ พอถึงธาตุกัมตรังสีลดลงเหลือครึ่งนึงก็มีกลไกอะไรสักอย่าง ทำให้แก๊สพิษออกมาในกล่อง รมแก๊สพิษใส่แมวพูดถึงเรื่องที่ว่าไม่มีอะไรที่แน่นอน ทุกอย่างมีโอกาส50 50 เราไม่มีทางรู้ว่า ณ ตอนนั้นแมวตายแล้วหรือยังจนกว่าเราจะไปเปิดกล่องออก แต่การที่เราไปเปิดกล่องก็ไปรบกวนสมดุลในตอนนั้นด้วย ทำให้บางทีตอนนั้นแมวมันควรจะตาย มันก็ไม่ตายแทน (ประมาณว่า ถ้าตอนนั้นลีโอวิ่งอาจจะทันหรือไม่ทันก็ได้ ประมาณนั้นน่ะค่ะ 5555 แงงง เราอธิบายได้ห่วยสินะคะ orz)
ส่วนเรื่องอิริเดียมแฟร์ เป็นแสงสว่างวาบบนท้องฟ้าค่ะ เราแนะนำว่าเป็นอะไรที่น่าดูมากพอๆกับการดูดาวเลยล่ะค่ะ ข้อดีคือ มีบอกเวลาแน่นอนว่าจะมีแสงอิริเดียมตอนไหน คือคาดการณ์ได้ตลอด (แต่บางทีก็คาดการณ์พวกความสว่างผิดพลาดไปบ้าง) แต่เป็นแสงสว่างที่วาบขึ้นมาไม่นานค่ะ ไม่ถึงนาที แนะนำว่าน่าดูมากๆเลย ในเพจสมาคมดาราศาสตร์ไทยจะคอยบอกอยู่ตลอดค่ะว่าวันไหนมีแสงอิริเดียมให้ดู เผื่อใครสนใจอยากลองไปดูนะคะ เป็นอะไรที่ตื่นเต้นมากๆ

วันนี้เขียนซะยาวเลย ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ
รักคนอ่านทุกท่านมากๆๆๆๆๆ

ปล. สนุกหรือไม่สนุกยังไงบอกได้นะคะ น้อมรับคำติชมและแก้ไขค่า