ซ่อนรัก
บทที่ ๑๖
อีกไม่กี่สัปดาห์จะเป็นระยะเวลาของการสอบปลายภาค นิสิตหลาย ๆ คนเริ่มจับจองพื้นที่สำหรับอ่านหนังสือทั้งกลางวันและกลางคืนบริเวณหอสมุดกลางรวมถึงอาคารอเนกประสงค์ที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ในทีแรกภัทรชวนให้หลงมาอ่านหนังสือด้วยกันในตอนกลางคืน แต่คุณกรณ์ไม่อนุญาตด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง ดังนั้นเมื่อหกโมงเย็น รถยนต์คันเดิมจึงมาจอดรอรับไม่ใกล้ไม่ไกลจากสายตา
แม้หลงจะอึดอัดนิด ๆ แต่เสี้ยวความอบอุ่นที่เกิดขึ้นภายในใจกลับปลอบประโลมความขุ่นมัวทุกครั้งที่คุณกรณ์ทอดสายตามองมาอย่างเอ็นดู
ขณะเดียวกัน ในระยะเวลาเดือนที่ต้องสอบปลายภาคก็ไม่มีสิ่งใดมารบกวนหลงสักอย่าง แม้แต่คุณพฤทธิ์..เขาก็แทบไม่เจอหน้าอีกฝ่าย นับว่าเป็นโชคดีของหลงที่เด็กหนุ่มยังคงประคับประคองจิตใจของตัวเองได้
แต่ทว่าในบ่ายวันหนึ่ง หากจำไม่ผิด..มันเป็นวันที่ครึ้มฟ้าครึ้มฝน บรรยากาศชวนหดหู่และไม่ชวนให้นึกอยากทำอะไร ทางเดินที่ทอดยาวในตัวอาคารราวกับส่วนปลายของมันไม่มีที่สิ้นสุด ประตูไม้บานหนึ่งเปิดออกอย่างมีมารยาท พร้อมกับใครบางคนที่เดินออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมมากกว่าปกติ
ใบหน้าของหลงตื่นตระหนกจนอีกฝ่ายมองมาอย่างตำหนิ
พวกเขาหยุดชะงัก หยุดการกระทำทุกอย่างที่เกิดขึ้นขณะนั้น มองหน้ากันราวกับคนแปลกหน้า แต่เมื่อตระหนักได้ว่าพวกเขาคืออาจารย์และลูกศิษย์ที่ไม่ประสาวิชา เด็กหนุ่มก็ยกมือไหว้ทันที แม้ทำท่าจะเดินหนี แต่ปลายเท้าของคนตรงหน้ากลับตัดโอกาสหมดสิ้น
“สวัสดีครับ” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มเบาหวิว
“ครับ” พฤทธิ์ตอบรับเด็กหนุ่ม เขาไม่ได้พูดอะไรเกินความจำเป็นและเอาแต่เดินนำจนลับสายตาคนข้างหลัง
หลงไม่พยายามหาเหตุผลที่อีกฝ่ายปฏิบัติราวกับคนไม่เคยรู้จักกัน เพราะอย่างไรเขาก็หาข้ออ้างในการหมางเมินได้ร้อยแปดพันอย่าง หนำซ้ำการจมปลักอยู่ในห้วงความคิดกลับทำให้จิตใจใฝ่เรียนของเขาตกต่ำลง แต่ทว่าแผ่นหลังกว้างนั้นกลับตรึงเขาจนสุดสายตา
ยามเย็นที่พระอาทิตย์ยอแสงอ่อนล้าสาดส่องผ่านใบไม้บนต้นไม้ใหญ่ภายในบ้าน เมื่อลมพัดครั้งหนึ่งก็ปลิวไหวไม่ต่อต้าน
ภายในห้องรับประทานอาหาร สมาชิกในบ้านทุกคนพร้อมหน้า แม้แต่ลดาที่หายหน้าไปในบางครั้งยังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตำแหน่งคุณผู้หญิงของบ้าน ใบหน้าของหล่อนแต่งแต้มด้วยสีสัน แผ่นหลังเหยียดตรง จริตมารยาที่มองอย่างไรก็เกินงามทำให้หลงรู้สึกผิดอย่างไม่น่าให้อภัย กระนั้นบรรยากาศกลับไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด เมื่อหลาย ๆ คนไม่ได้มุ่งความสนใจไปยังความเป็นอยู่ของหล่อนในที่แห่งนี้
“ช่วงนี้หลงผอมเกินไปแล้ว อ่านหนังสือเยอะหรือ” วุฒิเอ่ยถาม พลางหยิบช้อนกลางตักกับข้าวให้เด็กหนุ่มจนพูนด้วยความเอ็นดู
“ครับ”
“ช่วงสอบทีไรก็เห็นกรณ์อ้วนขึ้นทุกที ไม่มีปีไหนที่ผอมลงเลย”
“คุณพ่อ ไม่พูดเรื่องแบบนั้นสิครับ!” กรณ์แย้งขึ้นทันควัน
“เรียนหนักอย่างไรก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีนะหลง” ใบหน้าของเด็กหนุ่มซีดเซียวลงอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายผ่ายผอมลงกว่าเดิม แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่ก็ทำให้เด็กหนุ่มเปลี่ยนไปมากพอสมควร “ไว้ปิดเทอม พ่อจะพาไปบ้านพักที่เขาใหญ่”
“แต่ครั้งก่อนเราไปแล้วนะครับ”
“แบบนั้นไปหัวหินดีกว่า อาหารทะเลอร่อยเชียว”
หลงรับประทานอาหารเย็นเงียบ ๆ และไม่ได้พูดสักประโยค
ระยะเวลาสามสัปดาห์ผ่านไปอย่างเงียบเชียบ ทิ้งความสบสนวุ่นวายไว้เบื้องหลังเมื่อย่างเข้าเดือนธันวาคมบรรยากาศในมหาวิทยาลัยตลบอบอวลด้วยความเย็นชืด ไร้ชีวิตชีวา ใบหน้าอ่อนเยาว์เคล้าด้วยความกังวลและอึดอัดใจ ร่องรอยความสดใสมลายหายไปไม่ต่างอะไรจากฝุ่นหมอก หน้าผากปรากฏรอยย่นเล็ก ๆ บนใบหน้าบางคน และใต้ตาสีช้ำก็ยืนยันถึงความทรหดได้เป็นอย่างดี
บางคนอยู่อ่านหนังสือที่มหาวิทยาลัยจนรุ่งเช้าและไปเข้าสอบ บางคนมาแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวสอบในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
เช้าวันนี้แม้อากาศค่อนข้างสดใส แต่ภายในจิตใจของเด็กหนุ่มกลับถูกกดทับอย่างรุนแรง ใบหน้าของเขาซีดเซียวและริมฝีปากแห้งแตก แม้ได้รับการอวยพรจากผู้ใหญ่ภายในบ้าน ความกังวลเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ได้หายไปแต่อย่างไร กลับเพิ่มพูนทับถมอยู่ในจิตใจจนยากจะผลักออก
กรณ์สังเกตเห็นเด็กหนุ่มตั้งแต่เช้า หลงรับประทานอาหารน้อยลง ภายในจานข้าวเหลืออาหารจำนวนมาก ยิ่งในวันสอบ เจ้าตัวก็แทบไม่แตะต้องอะไรที่อยู่ตรงหน้า
“เครียดหรือหลง ไม่มีอะไรเกินความสามารถหรอก”
“เปล่าครับ”
“หน้าซีดขนาดนี้ยังจะบอกว่าเปล่าอีก” ฝ่ามืออบอุ่นของกรณ์ลูบหน้าเด็กหนุ่ม เขามองเข้าไปในดวงตาที่แสนซื่อบริสุทธิ์แล้วนึกสงสาร ภายในจิตใจของเด็กหนุ่มมีอะไรกำลังเติบโตและทำลายความเยาว์วัยนี้อยู่หรือเปล่า
“เมื่อเช้าไม่ได้กินอะไรเลยใช่ไหม เดี๋ยวถึงอาคารสอบแล้วไปกินข้าวเช้าให้เรียบร้อย”
“ครับ”
“เลิกสอบตอนเที่ยงใช่ไหม กลับบ้านไปพักผ่อน ไม่ต้องอยู่อ่านหนังสือที่นี่”
“แต่ภัทร..”
“ภัทรเองก็คงไม่ไหวเหมือนกัน เชื่อพี่สักครั้งนะเด็กดี”
“ครับ”
หลงไม่คิดไม่ฝันว่าจะเจออาจารย์พฤทธิ์ในวันที่เขาสอบวิชาแรก อีกฝ่ายสวมเสื้อเชิ้ตสีกรมท่าและกางเกงขายาวสีดำสนิทยืนอยู่หน้าประตูห้องที่เปิดเพียงประตูเดียว การพูดคุยระหว่างอาจารย์ด้วยกันเป็นไปอย่างกระชับและรวดเร็ว ก่อนอีกฝ่ายจะเดินเข้าไปภายในห้องบรรยายที่จุขนาดหนึ่งร้อยคน
เขาไม่มีอารมณ์จะสนใจสภาพแวดล้อมเท่าใดนัก เมื่อเข้ามาภายในห้องจึงรีบหาที่นั่งสอบและรอเวลาอีกไม่ถึงสิบห้านาที
เมื่ออาจารย์ในห้องให้สัญญาณการเริ่มทำข้อสอบ เสียงพลิกกระดาษก็ดังขึ้น กระดาษแผ่นแรกเป็นใบปะหน้ากล่าวถึงข้อตกลงในการสอบและการให้คำมั่นสัญญาว่าการสอบครั้งนี้จะไม่มีการทุจริตเกิดขึ้น เมื่อเด็กหนุ่มจรดปลายปากกาเรียบร้อยแล้ว กระดาษแผ่นที่สองจึงเป็นคำสั่งและการอธิบายวิธีการทำข้อสอบ และแผ่นที่สามจึงเป็นข้อสอบจริง
หลงอ่านคำชี้แจงเรียบร้อยแล้ว เมื่อค่อย ๆ เปิดกระดาษแผ่นที่สาม เสียงพลิกของมันไม่ต่างอะไรจากหวีดร้องที่ก้องในหู เขาหูอื้อตาลายสักพักก่อนตั้งสติในการอ่านข้อสอบข้อนั้น แม้รู้ดีว่าอ่านมาแล้ว แต่ภายในหัวกลับว่างเปล่าราวกับค่ำคืนใต้แสงโคมไฟเป็นเพียงความฝัน
เขาพลิกกระดาษหน้าต่อไป เมื่อเขียนชื่อและรหัสนิสิตเรียบร้อยแล้วจึงอ่านข้อสอบครบทุกหน้า ความว่างเปล่าเกิดขึ้นภายในจิตใจ ปลายปากกาแห้งซึมทีละน้อย เมื่อเริ่มต้นเขียนมันจึงติดขัดอยู่สักพัก
ความเสียดเสียวบริเวณช่องท้องทำให้เด็กหนุ่มชะงักจนเกือบทำปากกาหลุดมือไปหลายครั้ง แม้เวลาสอบจะมีเพียงสามชั่วโมงเท่านั้น แต่กลับให้ความรู้สึกราวกับชั่วกัลป์
ใบหน้าน่าเอ็นดูผุดซึมไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ แม้อากาศภายในห้องจะเย็นราวกับห้องแช่แข็งก็ตาม เมื่อสัญญาณการหมดเวลาสอบดังขึ้น ปากกาทุกด้ามวางอยู่บนโต๊ะ รอคอยการหยิบชุดกระดาษขึ้นมาเก็บจนครบ
ลมหายใจของเด็กหนุ่มสะท้าน เขาหายใจเข้าออกอย่างค่อยเป็นค่อยไป อาการปวดท้องเริ่มหวนกลับมาอีกครั้ง มันขยายความทรมานจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งกระทั่งหลงทนไม่ไหว เขายืนขึ้น โงนเงนอยู่ตรงบันไดทางลง รอบตัวเขาเหมือนทุกอย่างกำลังหมุนไปหมุนมา
ปลายนิ้วและฝ่ามือเย็นจัดยันกำแพงด้านข้างไว้ไม่ให้ล้มลงไปบนพื้น เขายืนหลับตา รอคอยเสียงรองเท้าที่เบาลงทุกขณะ
“นิสิตไหวไหมครับ” เสียงทุ้มดังขึ้น ฝ่ามือของอาจารย์คนหนึ่งจับต้นแขนเด็กหนุ่มไว้อย่างมั่นคง “เดี๋ยวครูให้นิสิตคนอื่นพาคุณไปพัก ท่าทางคุณจะไม่ไหวแล้ว”
“ผมเวียนหน้านิดหน่อยครับอาจารย์”
“ปากคุณซีด เอาลูกอมไปกินหน่อยไหม”
เด็กหนุ่มยกมือไหว้และรับมาลูกอมรสช็อกโกแลตมาถือไว้ในมือ
ชั่วขณะหนึ่งที่เผลอมองหาใครบางคน อีกฝ่ายตีหน้าขรึมจนกลายเป็นดุ ในขณะที่หลงหาต้นตอความไม่พึงใจไม่เจอ
หลงสอบเสร็จแล้ว แต่ต้องรอให้กรณ์จัดการตรวจข้อสอบและประเมินผลให้เสร็จภายในหนึ่งอาทิตย์จึงจะสามารถเดินทางไปหัวหินได้
เสียงโทรทัศน์ดังขึ้นภายในห้องรับแขกและตรงหน้ากำลังฉายความบันเทิงอย่างยิ่งยวดใจ แม้กระทั่งข่าวการเมืองยังทำเด็กหนุ่มไม่ยอมละสายตาไปไหน ทั้งคุณวุฒิเองก็ดูชอบใจการในพักผ่อนในครั้งนี้ ยกเว้นคุณกรณ์ที่นั่งตรวจข้อสอบด้วยสีหน้าเรียบตึง
“กรณ์ใกล้เสร็จหรือยัง”
“ยังครับ” เขาตอบสั้น ๆ ความขุ่นมัวคล้ายตะกอนในจิตใจ ยิ่งเห็นนิสิตที่พร่ำสอนเขียนนอกเรื่องลงมาเขาก็ยิ่งหงุดหงิดจนอยากเผากระดาษทิ้ง
“แบบนั้นหลงก็ได้ไปหัวหินช้าน่ะสิ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้” หลงพูด เพราะไม่อยากให้คุณกรณ์หักโหมจนเกินไป
“ชวนคุณพฤทธิ์ไปหรือยังน่ะกรณ์ อาจารย์ฉลองขวัญด้วยนะ”
“ป่านนี้คุณพฤทธิ์ก็ประสบชะตากรรมเดียวกันกับผมนั่นแหละครับ เผลอ ๆ จะน่าโมโหยิ่งกว่า” กรณ์เหลือบมองเด็กหนุ่มก่อนหันกลับมาสนใจกระดาษตรงหน้าต่อ
“พ่อไม่เคยเห็นคุณพฤทธิ์โมโหสักครั้ง มีแต่กรณ์นั่นแหละที่โมโหทุกที”
สถานีโทรทัศน์ฉายละครเรื่องหนึ่ง บทสนทนาจึงหยุดไปชั่วขณะ ปลายปากกาสีแดงนิ่งค้าง และสายตายังจดจ้องไปยังหน้าจอสี่เหลี่ยมอย่างตั้งอกตั้งใจ
คืนนั้นกรณ์ตรวจข้อสอบจนถึงเช้าก่อนออกจากบ้านด้วยการดื่มกาแฟเพียงแก้วเดียว
ร่องรอยความอ่อนล้าฉายชัด บรรยากาศเจือด้วยกลิ่นกาแฟเข้มข้น และเสียงพูดคุยกระซิบกระซาบดังขึ้นเป็นระยะเคล้ากับเสียงตำหนิ
“นิสิตเขียนอะไรมาไม่รู้ ทำเหมือนไม่เคยเรียนมาก่อน”
“หนูจำได้ว่าตอนเรียนหนูก็เขียนอะไรมาไม่รู้เหมือนกันค่ะ อาจารย์คงจะเคยบ่นแบบนี้”
กรณ์กลั้นขำ เขาเดินผ่านทางเดินที่ทอดยาวไปยังห้องที่อยู่ไม่ไกล
เมื่อครู่ยังเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยเป็นระยะ แต่บรรยากาศห้องพักอาจารย์ของคุณพฤทธิ์กลับแตกต่างอออกไป มันเงียบสงบ ไม่มีเสียงรบกวน มีเพียงเสียงแป้นพิมพ์ที่ดังขึ้นอย่างเครียดขึงและสายตาใต้กรอบแว่นที่ไม่สบอารมณ์
กรณ์ลอบมองอยู่ข้างนอกห้อง แม้จะเติบโตมาด้วยกันในระยะหนึ่ง แต่ญาติผู้พี่คนนี้กลับมีบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าต้องเกรงใจ แม้อีกฝ่ายจะทำผิดแค่ไหน..กรณ์ก็ต้องกลั่นกรองคำพูดเป็นอย่างดี
“มาหาอาจารย์พฤทธิ์หรือครับ” เสียงจากใครคนหนึ่งดังขึ้น เขาหันกลับไปหา ยกมือไหว้และยิ้มให้ แต่ในใจกลับนึกอยากต่อว่าคน ๆ นี้เหลือเกิน
“ครับ”
“อาจารย์กำลังตรวจข้อสอบพอดีเลยครับ น่าจะเข้าไปได้”
เพราะอีกฝ่ายกำลังตรวจข้อสอบ เขาถึงไม่กล้ายกมือเคาะประตูห้องอย่างที่ควรจะเป็น “ขอบคุณครับ อีกสักครู่..”
เสียงประตูเปิดออก พร้อมเจ้าของห้องที่ยืนนิ่งอยู่หน้าห้อง พร้อมแววตาตำหนิอยู่ลึก ๆ
“เชิญครับ”
ความกดดันแผ่ขยาย ยามเมื่อหันมองใบหน้าเรียบตึงที่ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ กรณ์ก็ยิ่งรู้สึกผิดอย่างยิ่งยวด
“อาจารย์พฤทธิ์ ขอบคุณครับ” กรณ์หันไปหาใครบางคนที่เอ่ยทักเขา แต่เจ้าตัวกลับเดินหายไปเสียแล้ว
พวกเขาเดินเข้ามาภายในห้อง เครื่องปรับอากาศอยู่ที่ยี่สิบห้าองศาพอดี แต่กรณ์กลับรู้สึกว่าอุณหภูมิภายในห้องต่ำกว่านั้น
พฤทธิ์ไม่ได้พูดอะไรเมื่อนั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน
“พี่พฤทธิ์ บ้านผมจะไปพักผ่อนที่หัวหิน คุณพ่ออยากให้ไปด้วยกันครับ” อีกฝ่ายนั่งฟังเงียบ ๆ “พี่ขวัญไปด้วยก็ได้ ถ้าพี่พฤทธิ์อยากให้ไป”
“ขอบคุณครับ เดี๋ยวเย็นนี้ผมจะแวะไปหา”
กรณ์คิดว่าการโทรศัพท์มาหาน่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่านี้ แต่ในเมื่อมีเอกสารที่เขาต้องนำมาให้ใครสักคน ก็เป็นการดีจะขึ้นมาพูดคุยกับอีกฝ่าย
พฤทธิ์มาหาอย่างที่บอกไว้จริง ๆ แต่ก็ค่อนข้างดึกแล้ว ดังนั้นการพูดคุยจึงเป็นไปอย่างกระชับและรวดเร็วเท่าที่จะทำได้ เมื่อวุฒิลอบสังเกตใบหน้าของหลานชายตนเอง ความเฉยเมย ความตึงเครียด และความกดดันฉายชัดบนใบหน้า รวมถึงความรู้สึกหลากหลายที่ตีรวนทำให้เด็กหนุ่มในวันวานดูสุขุมขึ้นตามกาลเวลา
“เห็นว่าคุณอาจะไปหัวหินหรือครับ”
“ใช่คุณพฤทธิ์ ไปพักผ่อนด้วยกันนะ อาคุณพฤทธิ์เครียดแล้วนึกถึงเมื่อสิบปีก่อน”
ชายหนุ่มนั่งเงียบ รอคอยให้อีกฝ่ายเล่าประสบการณ์ในอดีตที่เขาแทบจะลืมไปหมดเมื่อเริ่มทำงาน
“ตอนนั้นคุณพฤทธิ์ก็เป็นแบบนี้ จนคุณแม่ต้องพาไปหาหมอเพราะเกรงว่าคุณพฤทธิ์จะเครียดเกินไป”
“ปลายเทอมก็แบบนี้ครับ อีกไม่นานก็คงเสร็จ”
“อาเห็นของกรณ์แล้วไม่เสร็จสักที นั่งตรวจไปด้วยดูทีวีกับหลงไปด้วยไม่รู้จะได้ไปหัวหินเมื่อไหร่”
พฤทธิ์เงียบขณะลอบมองไปยังห้องรับแขกที่มีเสียงพูดคุยและเสียงโทรทัศน์เป็นระยะ
ป้ากิ่งนำน้ำมาเสิร์ฟให้ ‘เทพบุตร’ ของหล่อนด้วยสีหน้าแช่มชื่น น้ำเย็นจัดเกาะแก้วเป็นหยดน้ำ ไหลสู่เบื้องล่างกระทบแผ่นรองแก้ว
“ขอบคุณครับ” เขายกมือไหว้ แล้วหันไปถามเจ้าของบ้านต่อ “ไปเมื่อไหร่หรือครับ”
“พฤหัสบดีนี้เป็นอย่างไร ชวนคู่หมั้นคุณพฤทธิ์ไปด้วยก็ได้นะ”
“ขอบคุณครับ ผมจะชวนฉลองขวัญดู”
ค่ำวันนั้น เบอร์โทรศัพท์เบอร์หนึ่งเปิดข้างไว้ พร้อมความรู้สึกไม่พึงใจที่ก่อตัวขึ้นช้า ๆ กระนั้นเขาก็รู้ดีว่าอะไรควรทำและอะไรไม่ควรทำ