ซ่อนรัก
บทที่ ๑๓
กรณ์ไม่รู้ว่าเขาจะะทำหน้าอย่างไรเมื่อเดินออกจากห้องพักอาจารย์หลังคุยกับคุณพฤทธิ์เสร็จ ในส่วนลึกของเขาโล่งใจอย่างน่าประหลาด แต่เมื่อคิดดูอีกครั้ง..ไม่มีส่วนใดเลยที่น่าโล่งใจ ทั้งครอบครัวของคุณพฤทธิ์ ฉลองขวัญ และครอบครัวของเขาต่างก็ไม่เคยเกิดเรื่องราวแบบนี้ขึ้น สำหรับกรณ์..เขาไม่มีปัญหาถ้าน้องจะรักใครชอบใคร แต่คนๆ นั้นคือคุณพฤทธิ์..คนที่ใครๆ ต่างคาดหวังให้เดินไปตามแบบแผนอันควร และเขาเองก็ไม่อยากจินตนาการว่าหากคุณป้าและคุณยายรู้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
เสียงฝนตก เสียงฟ้าร้อง หรือเสียงทักทายจากนิสิตดังเข้ามาเป็นระลอก ทว่ากรณ์ทำได้เพียงยิ้มรับและพยักหน้าเท่านั้น สติของเขา หัวใจของเขา เสียงที่ก้องในหูมีเพียงหนึ่งเดียวคือเสียงของคุณพฤทธิ์เมื่อหลายนาทีก่อนดังสะท้อนไปมาราวกับลูกตุ้มนาฬิกาที่แกว่งไปมาไม่หยุด
กรณ์เคยคิดว่าการรู้ความจริงย่อมดีกว่าการปล่อยให้ตัวเองเพ้อฝันไปกับการหลอกลวง
แต่อันที่จริงแล้ว..เขากลับคิดว่าการไม่รู้อะไรเลยดีกว่าการเก็บงำความลับของผู้อื่น ไม่ใช่เพราะเขายอมรับความจริงข้อนี้ไม่ได้ แต่เป็นเพราะเขาเองก็หาทางออกที่ดีไม่ได้เหมือนกัน ไม่ว่าใครต่างก็ซ่อนความรักของตัวเองไว้ทั้งนั้น ไม่ว่าใครต่างก็ไม่สามารถแสดงออกได้อย่างชัดเจน
ต่างคนต่างอึดอัดกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยกันทั้งนั้น
และยิ่งสำหรับกรณ์ เขาในตอนนี้..ไม่ต่างอะไรจากคนที่จมน้ำ ในทุกครั้งที่เหมือนจะขาดใจก็มีบางอย่างฉุดรั้งให้ขึ้นมารับอากาศก่อนจะถูกผลักตกลงไปในวังวนเช่นเดิม
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขากลับมานั่งเก้าอี้ในห้องพักอาจารย์และเปิดเอกสารที่ค้างไว้ด้วยใจเหม่อลอย
“กรณ์” เสียงๆ หนึ่งเรียกเขาให้ตื่นจากภวังค์
“ครับ”
“อะไรทำให้เธอเหม่อลอยได้ขนาดนี้” อาจารย์ผู้ใหญ่คนหนึ่งในภาควิชาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ผมขอโทษครับ ผมไม่เห็นว่ามีคนมา”
“ไม่เห็นได้อย่างไร ครูมายืนมองเธอตั้งนานสองนานแล้ว” รอยยิ้มของคนตรงหน้าอบอุ่นไม่ต่างอะไรจากเมื่อสมัยสิบปีก่อน ในตอนที่เขายังเป็นนิสิต..ตัวเองก็ชอบมองไปนอกหน้าต่างแบบนี้และโดนตำหนิอยู่เรื่อยๆ แต่ตอนนี้เขาเป็นอาจารย์และไม่ควรปล่อยให้มันเกิดขึ้น “เป็นอาจารย์ใหม่ๆ งานก็เยอะเป็นปกติ เดี๋ยวไม่นานก็ชินเอง”
“ครับ”
“เป็นครูบาอาจารย์ก็เหนื่อยแบบนี้ทั้งนั้น ถ้าไม่มีสอนหรือไม่ไหวก็กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ..ครูยังไม่อยากให้ลูกศิษย์เป็นอะไรไปก่อน” อาจารย์ยิ้มให้เขา ก่อนเดินจากไปเงียบๆ
เขารู้ตัวดีว่าในเวลางาน..ไม่ควรปล่อยให้เรื่องอื่นมากระทบกระเทือนจิตใจ
เวลาบ่อยคล้อย ดวงอาทิตย์ทอแสงอ่อนโยนลอดมู่ลี่หน้าต่าง เขามองออกไปบริเวณช่องว่างที่เหลืออยู่ก่อนเหลือบมองนาฬิกาบนผนังแล้วรีบเก็บเอกสารใส่กระเป๋า เย็นแล้ว..แต่ยังมีอาจารย์นั่งสะสางงานอยู่สองสามคน สำหรับกรณ์ เขาเหนื่อยเกินกว่าจะอยู่ภายในห้องสี่เหลี่ยมนี้จริงๆ
“ผมกลับก่อนนะครับ” กรณ์ยกมือไหว้เพื่อนร่วมงาน
อีกฝ่ายเงยหน้ามองเขาพร้อมแว่นตากลมโตที่ร่วงหล่นจากใบหน้า “ครับๆ”
เขาเดินไปยังอาคารจอดรถที่อยู่ติดกับอาคารเรียนแล้วรีบขับรถออกไปรับใครบางคนที่รออยู่ ไม่นานนัก เขาก็ขับรถมารับเด็กหนุ่มที่ยืนรออยู่ริมฟุตบาท
“สวัสดีครับ” หลงทักอีกฝ่ายสั้นๆ แล้วเดินเข้ามานั่งในรถเงียบๆ ราวกับไม่มีตัวตน
กรณ์มองน้อง ร่องรอยความบอบช้ำชัดเจนบนใบหน้าและดวงตา หัวใจของเขาบีบรัดจนเจ็บเพียงเพราะคิดว่าเขาเป็นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำลายความอ่อนเยาว์ของอีกฝ่าย ทั้งที่เคยบอกว่ารักน้องหนักหนา แต่พอเอาเข้าจริง..เขาเองกลับทิ้งให้เด็กหนุ่มเดียวดายอย่างไม่น่าให้อภัย
เขาควรจะเข้าใจน้องมากกว่าใครอื่น
อันที่จริง..คนที่น่าโมโหควรจะเป็นคุณพฤทธิ์มากกว่า มีอย่างที่ไหนมาทำกับน้องชายของเขาแบบนี้
“หลง” เขาเรียกเด็กหนุ่ม แต่น้องกลับก้มหน้าไม่ยอมสบตา
“หลง..มองพี่” กรณ์เรียกอีกครั้ง
หลงเม้มปาก เสียงทุ้มต่ำๆ ที่เคยได้ยินทำให้เขาอยากร้องไห้ขึ้นมาดื้อๆ
ความอบอุ่นบริเวณปลายนิ้วมือทำให้หลงปล่อยน้ำตาอย่างไม่อาย ภายในห้องโดยสายขนาดเล็กเต็มไปด้วยเสียงสะอื้นของใครบางคนที่ชวนปวดใจ
กรณ์มองน้อง หลง..คนที่แสดงท่าทางกระด้างกระเดื่องใส่คนรอบข้างกลับร้องไห้อย่างน่าสงสาร เขาไม่อยากคิดว่าในตอนที่เขาไม่เห็น..เด็กคนนี้จะต้องทุกข์ใจแค่ไหน “พี่ขอโทษ ต่อไปพี่จะไม่ปล่อยให้หลงอยู่คนเดียวแล้ว เพราะฉะนั้นอย่าคิดมากเลยนะ”
เด็กหนุ่มพยักหน้า ฝ่ามือใหญ่ยังคงลูบมือหลงราวกับเป็นสิ่งที่น่าถนอม ก่อนที่หลงจะเป็นฝ่ายกุมมือนั้นไว้เงียบๆ
“คุณไม่เกลียดผมใช่ไหมครับ” หลงยอมโดนเกลียด ดีกว่าปล่อยให้กรณ์ไม่สนใจกัน
“จะเกลียดได้อย่างไร น้องชายพี่ทั้งคน”
เป็นเวลาเกือบสิบนาทีที่พวกเขานั่งเงียบๆ ภายในห้องโดยสาร ก่อนที่หลงจะเอ่ยปากเรื่องที่ทำให้กรณ์กลุ้มใจมาตลอดหลายสัปดาห์
“เรื่องคุณพฤทธิ์”
ใบหน้าของชายหนุ่มขรึมลงทันที ทั้งที่รู้ความในใจของคุณพฤทธิ์แล้ว แต่กรณ์ยังไม่เห็นด้วยหากจะต้องเก็บทุกอย่างไว้เป็นความลับ “หลงคิดว่าควรจะทำอย่างไร”
“ผม..”
เด็กหนุ่มเม้มปาก ความเฉยชา หมางเมิน และสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังมันทำให้เขาปวดใจอย่างไม่น่าเชื่อ
“พี่อยากให้หลงตัดสินใจด้วยตัวเอง และอยากให้หลงรู้ว่าคุณพ่อกับพี่สนับสนุนหลงทุกอย่างในทางที่ถูกต้อง”
ถ้าหากหลงตีความไม่ผิด ความรักของเขาและคุณพฤทธิ์ต่างก็เป็นไปในทางที่ไม่ถูกต้อง หนึ่งเป็นความรักระหว่างผู้ชายกับผู้ชาย ยากที่คนในครอบครัวจะยอมรับ ไม่ว่าครอบครัวของคุณพฤทธิ์หรือครอบครัวของเขา ไม่ว่าใครก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น และสอง..คุณพฤทธิ์มีคู่หมั้นแล้วคืออาจารย์ฉลองขวัญ ความรักระหว่างพวกเขาจึงเป็นความรักต้องห้ามอย่างสมบูรณ์แบบ
และเขารู้ดีว่าวิธีแก้ปัญหาที่ว่ามีเพียงทางเดียวคือการเลิกรัก
“คุณกรณ์หมายถึงให้ผมตัดใจใช่ไหมครับ”
“พี่ให้หลงเป็นคนตัดสินใจว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ”
“ครับ..ผมจะตัดใจจากคุณพฤทธิ์” หลงรู้ดีว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพยายาม แต่หลายๆ ครั้งความรู้สึกเดิมๆ ก็หวนกลับมาเพียงเพราะใครบางคนเรียกชื่อของเขา
“ใช่..แบบนั้นน่ะถูกต้องแล้ว”
กรณ์หลุบตามองน้อง ประกายฉ่ำๆ ใต้เปลือกทำให้หัวใจของเขาอ่อนยวบไม่ยาก
ความสัมพันธ์ของเขาและหลงดีขึ้นจนเกือบเป็นปกติ แต่ความบอบช้ำใต้ตาของเด็กหนุ่มทำให้กรณ์ต้องคิดหนัก หลงอาจจะเรียนหนักและใกล้สอบ แต่ดวงตาที่เหลือบมองเขาบ่อยครั้งกลับเจือด้วยความหม่นหมอง ไม่สบายใจ และไม่มีความสุข
กรณ์รู้ดีว่าเพราะอะไร
เย็นวันนั้น ดวงอาทิตย์กลมโตทอแสงอย่างอ่อนล้าก่อนเมฆฝนก้อนมหึมาบดบัง ไม่นานนัก..ข้างนอกคงเต็มไปด้วยหยดน้ำฟ้า
เขาทำงานต่อได้สักชั่วโมงจึงเก็บกระเป๋า เตรียมตัวไปรับน้องและเดินทางกลับบ้าน ทว่าเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่เขานึกชังในตอนนี้กลับวิ่งพรวดพราดเข้ามาด้วยสีหน้าแตกตื่น
“อาจารย์!” เจ้าของแว่นตากลมโตบดบังกรอบหน้าเกือบครึ่งเรียกเขาด้วยน้ำเสียงตื่นๆ “คือ..คือว่ามีประชุมด่วนครับ”
กรณ์เลิกคิ้ว พลางมองผู้มาใหม่อย่างไม่สบอารมณ์ จริงๆ นะ..น้อยครั้งที่เขาจะรู้สึกว่าอยากลาออกจากงานแล้วกลับไปเลี้ยงน้องเฉยๆ “ตอนนี้หรือครับ”
“ครับ” อีกฝ่ายคงวิ่งมาจากไหนสักแห่งในตึกและท่าเดาไม่ผิด เพราะเพิ่งเป็นอาจารย์ได้ไม่นาน ใครหลายๆ คนจึงเอ็นดูด้วยการให้ทำงานสารพัด
“อาจารย์พอจะทราบไหมครับว่าเลิกประชุมประมาณกี่โมง”
“ไม่ทราบครับ”
นาฬิกาบนผนังบอกเวลาเกือบห้าโมงแล้ว กรณ์คิดว่าหากเป็นการเรียกประชุมด่วนแบบนี้คงใช้เวลาไม่นานนัก แต่ใครจะคิดว่าเอาเข้าจริงเกือบหกโมงเย็น..เขาแทบไม่มีโอกาสลุกไปไหนเลย
โดยปกติแล้ว อาจารย์ทุกคนจะงดใช้โทรศัพท์ เพราะเป็นการรบกวนสมาธิอาจารย์ท่านอื่น ทว่าสำหรับกรณ์ในตอนนี้..เขากระวนกระวายใจแทบบ้า และยิ่งมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าเปลี่ยนสี ความหมองมัวของอากาศปกคลุมไปทั่ว ก่อนเม็ดฝนจะเทลงมาราวกับพายุคลั่ง
ทันทีที่ได้เวลาพัก เขาเร่งฝีเท้ากลับไปยังห้องทำงาน แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา พบว่าเกือบห้าสายที่ไม่ได้รับ หัวใจของเขาเต้นรัวเพราะความกังวล มืดแล้ว..น้องจะเป็นอย่างไร ไม่รอช้า..คนเป็นพี่รีบต่อโทรศัพท์หาคนปลายสายด้วยความร้อนใจ
“หลง!” เขากรอกเสียงผ่านโทรศัพท์ “ตอนนี้อยู่ไหนครับ ยังอยู่ที่เดิมไหม”
‘ยังอยู่ครับ ผมเห็นว่าคุณยังไม่มาเลยโทรศัพท์หา ถ้าคุณไม่ว่าง..’
“พี่มีประชุมด่วน หลงรอสักครึ่งชั่วโมงได้ไหม เดี๋ยวพี่ติดต่อคนขับรถให้มารับ”
‘ผมกลับบ้านเองก็ได้ครับ ไม่ลำบากอะไร’
กรณ์คุยกับน้องได้ไม่กี่ประโยค เจ้าของแว่นตากลมโตก็เดินเข้ามาภายในห้องแล้วชวนเขากลับเข้าไปประชุมในห้องสี่เหลี่ยมที่แสนอึดอัด
เพราะเชื่อว่าพยากรณ์อากาศวันนี้จะฝนตกเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่เท่านั้น หลงจึงไม่คิดว่าเมฆก้อนมหึมาตรงหน้ากำลังจะกลายเป็นพายุขนาดย่อมในไม่ช้า ใบหน้าน่าเอ็นดูเงยมองท้องฟ้า ไม่นานนักหยาดน้ำฝนคงตกลงมาบดบังทัศนียภาพข้างนอก
เขาถอนหายใจ ความอ่อนล้าและอ่อนเพลียฉายชัดในแววตา ไม่นานมันคงส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเขา หลายๆ ครั้งที่คิดว่าการตัดใจจากใครสักคนไม่ใช่เรื่องยาก แต่เอาเข้าจริงการตัดใจไม่ใช่การตัดกระดาษ ต่อให้เขาพยายามแค่ไหน เสี้ยวความรู้สึกบางอย่างที่หลงเหลือกลับเข้มข้นและรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น แน่นอนว่าหลงไม่สามารถหลีกหนีจากคนๆ นั้นไปได้ ยิ่งเห็นใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มตามมารยาทมากขึ้นเท่าใด..หลงกลับยิ่งโหยหามากขึ้นเท่านั้น
พื้นดินและพื้นซีเมนต์ข้างนอกชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำฝน บ้างกระเซ็นเข้ามาเปียกในอาคารจะเขาต้องลุกหนีย้ายที่บ่อยครั้ง
รอได้เพียงสิบนาที หลงก็มั่นใจแล้วว่าฝนคงไม่หยุดตกง่ายๆ
ร่มคันน้อยในกระเป๋าถูกใช้เป็นเครื่องกันหยดน้ำที่ไหลลงมาไม่หยุด บ่อยครั้งที่ลมพัดแรงเสียจนเขานึกหวาดหวั่น ไม่เพียงร่มจะสั่นไหวไปตามแรงลม แต่กิ่งไม้เหนือหัวก็สั่นไหวไปด้วย
ตามทางเดินไม่มีคนอยู่แล้ว เพราะห่าฝนที่ตกลงมาไม่หยุดไม่หย่อน มีเพียงเขาที่เดินฝ่าไปในขณะที่กระแสน้ำรุนแรง
หลงอาจจะเป็นคนที่โชคร้ายที่สุดในตอนนี้ เขาเดินออกจากอาคารเรียนไม่ถึงสิบนาที ฝนที่ตกหนักอยู่แล้วกลับรุนแรงกว่าเดิมจนเขาไม่กล้าเดินฝ่าไป ในขณะที่ยืนรอใต้กันสาดที่ยื่นออกมาเพียงน้อยนิด รถคันคุ้นตากลับแล่นผ่านไป แน่นอนว่าเจ้าของรถเป็น
ใครก็ช่าง..หลงภาวนาให้รถคันนั้นขับผ่านไปโดยไม่สังเกตเห็นเขา
แต่เหมือนโชคไม่เคยเข้าข้างหลง รถคันนั้นเปิดไฟขอทางพร้อมประตูที่เปิดออกมา
ใครบางคนที่สวมใส่ชุดรื่นตาเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับร่มสีน้ำเงินคันใหญ่ ใบหน้าภายใต้ร่มคันนั้นดูถมึงทึงจนเขาถอยเท้าหนี ไม่ใช่ว่ากลัว..แต่รู้ตัวดีว่ามีอะไรอยู่ในใจ
“จะกลับบ้านหรือ” คนมาใหม่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ถ้าเขาไม่ได้คิดไปเอง..มันคงเจือด้วยความเป็นห่วงไม่น้อย
เขาส่ายหน้า แต่เมื่ออีกฝ่ายก้มมองนาฬิกาพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก หลงก็รู้แล้วว่าเขาไม่ต่างอะไรจากนกน้อยในอุ้งมือนายพราน
“หกโมงกว่าแล้ว ไม่กลับบ้านอีกหรือครับ”
“ผมจะไปเรียนพิเศษครับ”
ดวงตาสีเข้มหลุบมองเสื้อนิสิตของเด็กหนุ่ม หยาดน้ำยังชุ่มฉ่ำที่ปลายผมหยดลงกระทบเสื้อสีขาวเป็นวงกว้าง หนำซ้ำ..ร่องรอยบางอย่างยังเด่นชัดจนเขาต้องขมวดคิ้วมองอย่างไม่สบอารมณ์
“เสื้อคุณเปียก จะไปเรียนสภาพนี้หรือ”
“เดี๋ยวก็แห้งครับ”
พฤทธิ์มองเด็กหนุ่มอย่างจับผิด เขารู้ดีว่าอีกคนกำลังโกหกและแสดงความดื้อรั้นออกมาอย่างปิดไม่มิด และเป็นเขาที่ไม่กล้าพอจะปล่อยให้เด็กหนุ่มอยู่ตามลำพัง
“ขึ้นรถเถอะ คุณไม่มีเรียนพิเศษ”
“ผมกลับเองได้ครับอาจารย์” เขาตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ก่อนจะกระชับร่มในมือที่ดูเหมือนจะพังในไม่ช้า
“ถ้าแบบนั้นถือเป็นความอนุเคราะห์จากอาจารย์แบบผมก็แล้วกัน”
ใบหน้าใต้ร่มคันใหญ่นิ่งสนิท ไม่บ่งบอกอารมณ์และความนึกคิด ก่อนอีกฝ่ายจะเดินหันหลังไปยังรถที่จอดข้างทาง พร้อมเปิดประตูรอเขาอย่างกดดัน
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็หนีผู้ชายคนนี้ไม่พ้น
เด็กหนุ่มเม้มปาก เขาเดินอย่างเอื่อยเฉื่อย ท่ามกลางกระแสกดดันที่มาจากใครบางคน
“เชิญครับ”
อาจารย์พฤทธิ์ขับรถออกไปจนถึงประตูทางออก ทว่าเพราะฝนตกจึงส่งผลให้การจราจรติดขัด
“อาจารย์ครับ” อีกฝ่ายหันมามองเขาเชิงตั้งคำถาม “ส่งผมตรงป้ายรถเมล์ข้างหน้าได้ไหมครับ”
ไม่รู้เพราะอากาศข้างนอกเย็นหรือเพราะเจ้าของรถเปิดแอร์เกินไปทำให้เขาไม่สบายตัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
พฤทธิ์เงียบ เขาหลุบมองเด็กหนุ่มที่นั่งตัวสั่นอยู่ข้างๆ ก่อนหยิบเสื้อสูทส่งให้โดยไม่พูดอะไรเกินจำเป็น “ผมขับไปถึงป้ายรถเมล์ที่คุณว่าได้ แต่ผมเห็นว่าคงไม่ดีถ้าคุณจะนั่งรถสาธารณะทั้งที่ตัวเปียกแบบนี้”