ซ่อนรัก
บทที่ ๑๒
หลงปฏิเสธไม่ได้ว่าช่วงเวลาที่พักผ่อนอยู่เขาใหญ่เขามีความสุขมากเพราะทั้งพ่อและกรณ์ต่างดูแลเขาเป็นอย่างดีอย่างที่คนๆ หนึ่งไม่เคยได้รับมาก่อน แต่จะพูดเต็มปากว่ามีความสุขทั้งหมดก็ไม่ใช่ เพราะทั้งทุกครั้งที่เผลอมองคุณพฤทธิ์ก็พบว่ามีอาจารย์ฉลองขวัญอยู่ข้างกายไม่ห่าง
หลังกลับมาจากเขาใหญ่หลงก็แทบไม่ได้ติดต่อกับคุณพฤทธิ์อีกเลย แม้จะพบกันที่มหาวิทยาลัยตอนชั่วโมงเรียน แต่อาจารย์พฤทธิ์ก็ยังเป็นอาจารย์พฤทธิ์อยู่วันยังค่ำ อีกฝ่ายยังคงแจกจ่ายรอยยิ้มตามมารยาทและทำหน้าที่อาจารย์ได้ดีเหมือนเดิม
เขานั่งเรียนจนหมดคาบ แต่ยังไม่ยอมลุกไปไหนเมื่อเห็นว่าอาจารย์พฤทธิ์ยังพูดคุยกับนิสิต ‘ขี้สงสัย’ หลายๆ คนอยู่
“อ้าว! ลุกสิหลง จะนั่งทำอะไร เรามีเรียนตอนบ่ายนะ”
“คนเยอะ” หลงตอบสั้นๆ
“จริง..คนต้องไปต่อแถวหน้าลิฟต์แน่ๆ” ภัทรยอมนั่งลงข้างๆ เพื่อนพลางมองไปยังเวทีข้างล่าง อาจารย์พฤทธิ์..คนๆ นี้ไม่ว่ามองจากมุมไหนก็สมบูรณ์แบบไปเสียหมด
พวกเขารอจนกระทั่งไม่มีใครอยู่ในห้องจึงออกไปข้างนอกบ้าง
บริเวณทางเดินยังมีนิสิตอยู่ประปราย แต่สุดทางเดินนั่นกลับมีคนที่หลงยังไม่พร้อมจะเจอหน้ามากที่สุดยืนคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ไม่นานนักอีกฝ่ายกลับหันมองมาพร้อมใบหน้าที่ดุดันกว่าเดิม
หลงมั่นใจว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ขาเจ้ากรรมดันยืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับถูกตอกตะปู
“เดินสิหลง เป็นอะไรไป”
“เรา..” หัวใจของหลงเต้นรัว ขณะที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาเรื่อยๆ และภัทรดึงเขาให้เดินด้วยแรงทั้งหมดที่มี ระยะห่างระหว่างกันลดน้อยถอยร่น..ใกล้เสียจนหลงอยากวิ่งหนีไปดื้อๆ
ความกว้างของทางเดินคล้ายจะร่นระยะลงจนหลงและคุณพฤทธิ์เดินใกล้กัน ใบหน้าของอีกฝ่ายนั้นดุดันเคร่งขรึมราวกับมีเรื่องรบกวนจิตใจ แต่สัมผัสน้อยๆ บริเวณปลายนิ้วกลับชัดเจนราวไฟลามผิวเนื้อ
กรณ์เฝ้ามองหลงอยู่ห่างๆ เขารู้ดีว่าเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของคนอื่นไม่ควรเข้าไปยุ่ง แต่ก็อดเป็นห่วงน้องไม่ได้ เมื่อคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างหลงกับคุณพฤทธิ์ สำหรับเขาแล้ว..ความรักเป็นเรื่องของคนสองคนก็จริง แต่สำหรับคุณพฤทธิ์..มันไม่ใช่แค่เรื่องของคนสองคน แต่มีคนที่สามและสี่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย กับพ่อของเขา..แน่นอนว่าไม่มีปัญหาหากหลงรักใครชอบใคร แต่กับคุณเพ็ญแข หล่อนไม่มีทางปล่อยให้ลูกชายคนเดียวทำตามใจตัวเองแน่ๆ
ช่วงหลังสอบกลางภาค อะไรๆ ก็ดูจะเข้าร่องเข้ารอยมากขึ้น แต่ไม่ใช่สำหรับอาจารย์กรณ์ที่นั่งหัวหมุนกับการตรวจข้อสอบครั้งแล้วครั้งเล่า เขาเป็นอาจารย์ใหม่..อายุยังน้อย การถูกใช้งานในเรื่องบางเรื่องก็เป็นธรรมดา ทั้งที่อยากเจียดเวลาไปสอดส่องดูแลน้องชายคนเดียว แต่กลับต้องมานั่งอยู่ภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ กับกองกระดาษสูงเสียดเพดาน
“อาจารย์กรณ์กลับบ้านเถอะนะครับ ข้อสอบพวกนี้เดี๋ยวผมช่วยตรวจก็ได้”
เขายิ้ม แม้จะเป็นยิ้มที่ฝืนใจตัวเองก็ตาม “ขอบคุณครับ ผมไม่อยากรบกวน เดี๋ยวผมจัดการตรวจเองดีกว่า อีกไม่กี่ชุดก็เสร็จแล้ว”
เขาทำงานอีกครึ่งชั่วโมงก็รู้สึกล้าเสียแล้ว อันที่จริง..ต่อให้เขาอายุน้อยที่สุดในภาควิชา แต่ก็ไม่ได้หมายถึงความว่าร่างกายของเขายังหนุ่มยังแน่นเหมือนสมัยเป็นนิสิตเสียหน่อย กระนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า..เขาน่ะเด็กที่สุดและสมควรทำงานมากที่สุดเพื่อหาประสบการณ์
เย็นวันนั้นกรณ์หอบข้อสอบที่ต้องตรวจทั้งหมดกลับบ้าน ทั้งที่รู้แก่ใจว่าถึงบ้านเมื่อไหร่..ก็ไม่มีทางจะหยิบมันมาดูเป็นครั้งที่สอง
กรณ์เหลือบตามองแสงไฟที่ลอดจากบานหน้าต่างห้องของหลง เขาถอนหายใจแล้วกระชับกระเป๋าใส่เอกสาร เร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในบ้านเมื่อมองเห็นใครบางคนกำลังยืนมองอยู่
“สวัสดีครับคุณพ่อ” เขายกมือไหว้
รอยช้ำใต้ตาของเขาคงไปสะดุดใจคนตรงหน้า อีกฝ่ายจึงเอ่ยปากถามอย่างเป็นห่วง “งานหนักหรือ”
“ครับ” เขาเงียบไปสักพัก ความเงียบทำให้เขาอยากเดินเข้าไปกอดวุฒิเงียบๆ เหมือนสมัยยังเด็กๆ เวลามีเรื่องไม่สบายใจ..พ่อเป็นคนแรกที่จะรับรู้ปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้น
อันที่จริง..เขาเองก็โตแล้ว โตพอที่จะเข้มแข็งและจัดการทุกอย่างโดยไม่ต้องให้ใครคนอื่นแบกรับความรู้สึกช้ำใจเหล่านี้
“ช่วงนี้ต้องเร่งตรวจข้อสอบครับ สภาพของผมเลยดูไม่ค่อยได้”
“มีอะไรให้ไม่สบายใจหรือเปล่ากรณ์” ชายหนุ่มในตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากเด็กหนุ่มเมื่อสิบกว่าปีก่อน เขารู้ว่าลูกชายเป็นแบบไหนถึงได้ถามออกไปทั้งรู้ว่าจะไม่มีทางได้รับคำตอบ
“ไม่มีครับ”
“ไม่มีก็ไม่มี แต่รู้กรณ์รู้ใช่ไหมว่าพ่อเป็นห่วงกรณ์พอๆ กับหลง”
‘หลง’ เหมือนระยะห่างระหว่างพวกเขาจะมากขึ้น ส่วนหนึ่งก็เพราะงานของกรณ์มากเกินกว่าจะเข้าไปคุยกับน้องเหมือนเมื่อก่อน พอมาคิดทบทวนดีๆ หน้าที่ของเขาไม่ต่างอะไรจากคนขับรถ ตอนเช้าไปส่งน้อง ถ้าตอนเย็นว่างก็มารับ น้อยครั้งที่จะคุยกันเหมือนเมื่อก่อน
“ผมทราบครับ ไม่มีอะไรจริงๆ”
“กินข้าวมาหรือยัง” พ่อถาม ฝ่ามืออุ่นลูบใบหน้าของเขาเหมือนตอนเด็กไม่มีผิด
“ยังครับ”
“เอาหน่อยไหม”
“ยังเหลือหรือครับ”
“ไม่เหลือหรอก แต่พ่อจะทำให้” รอยยิ้มของวุฒิไม่ต่างอะไรจากหยดน้ำกลางผืนทราย มันชุ่มฉ่ำและบรรเทาความรวดร้าวได้เป็นปลิดทิ้ง
อันที่จริงมันก็เป็นแค่ไข่เจียวธรรมดา แต่กรณ์จำไม่ได้แล้วว่าครั้งล่าสุดที่เขารู้สึกแบบนี้มันตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจจะตอนอายุสิบขวบที่ทำแจกันใบโปรดของคุณย่าแตกแล้วคุณพ่อเดินเข้ามาปลอบใจ หรือจะเป็นตอนที่ลองสูบบุหรี่ครั้งแรกแล้วถูกจับได้และโดนคุณพ่อตักเตือนด้วยคำพูดที่แสนอบอุ่น
หลงไม่รู้ว่าการเข้าหาใครสักคนมันยากขนาดนี้ หรือบางทีอาจเป็นเพราะตัวเขาเองที่ขาดมนุษยสัมพันธ์ บ่อยครั้งที่เขาอยากล้มเลิกความตั้งใจนี้เสีย แล้วกลับไปทำอะไรเดิมๆ แต่ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้หลงเรียนรู้ว่าไม่ง่ายเลยที่จะอยู่แบบนั้นหรือทำตัวแบบเดิม
เขาเดินไปเดินมาอยู่หน้าห้องคุณกรณ์นานสองนานแล้ว บางครั้งก็หยุดมองแสงไฟที่ลอดออกมาแล้วเฝ้าถามตัวเองว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป อันที่จริงการยกมือเคาะประตูไม้ตรงหน้าไม่ได้ยากอะไรหนักหนาเลย แต่ทุกครั้งที่หลงหยุดอยู่ตรงหน้าก็ไม่ต่างอะไรจากการเผชิญหน้าก้อนหินขนาดใหญ่
เสียงประตูเปิดออกมาทำให้เขาสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะหลุบมองรองเท้าผ้าสีขาวบนพื้น
“มีอะไรหรือเปล่า”
เด็กหนุ่มส่ายหน้าแล้วทำท่าจะเดินกลับเข้าห้องตัวเอง
“พี่ได้ยินเสียงข้างนอกตั้งนาน นึกว่าหลงมีอะไรจะคุยกับพี่”
เขามองเข้าไปภายในห้อง บนโต๊ะของกรณ์เต็มไปด้วยกระดาษ “ไม่มีครับ”
พวกเขายืนเงียบนานสองนาน ความอึดอัดทำให้เด็กหนุ่มอยากจมหายไปดื้อๆ
“หลง” น้ำเสียงของกรณ์ไม่ได้เจือความเอ็นดูเหมือนเมื่อก่อน หลงไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ก็ทำให้เขาปวดใจได้ไม่ยาก
บางครั้งเขาก็รู้สึกว่ากำลังสูญเสียสิ่งที่สำคัญ..
“ครับ”
กรณ์ขมวดคิ้ว ร่องรอยความกังวลปรากฏฉายชัดบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม “เข้ามาก่อนสิ”
“ครับ”
ภายในห้องมีแสงสว่างบนโต๊ะทำงานและบริเวณประตูเท่านั้น
เขาพาน้องเข้ามานั่งตรงโซฟาตรงหน้าโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยกระดาษคำตอบ เด็กหนุ่มดูประหม่า อึดอัด และชวนให้รู้สึกอยากถนอม แต่ความรู้สึกของเขากลับหน่วงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนทุกครั้งที่มองน้อง
ความเงียบชวนให้ต่างคนต่างอึดอัด บรรยากาศแปลกประหลาดชวนให้รู้สึกอยากร้องไห้ โดยเฉพาะแสงไฟที่ส่องให้เห็นเสี้ยวหน้าของคุณกรณ์เพียงครึ่งเดียวยิ่งทำให้อากาศโดยรอบหนาวเหน็บเข้าไปอีก
กรณ์รอน้องไม่ไหวเหมือนกัน เขาเกลียดความรู้สึกแบบนี้ ความไม่เข้าใจ ความสงสัยเคลือบแคลง และการปกปิดความลับ
“หลง” ดวงตาสีเข้มของเขามองน้อง ข้างหน้าสว่าง มองเห็นรายละเอียดบนใบหน้าทุกอย่างที่ชวนให้รู้สึกเอ็นดู
“ครับ”
ห้องทำงานของกรณ์เหมือนจะแคบลงไปทุกขณะ ทั้งอึดอัดและบีบรัดราวกับจะทำให้เขาเป็นฝ่ายที่ขาดอากาศหายใจเสียเอง “กับคุณพฤทธิ์น่ะ..ไปถึงไหนแล้ว”
หัวใจของเด็กหนุ่มกระตุกวูบ ‘ไปถึงไหน’ หมายความว่าอย่างไร มีนัยอะไรหรือเปล่า หรือเป็นคำถามแค่อยากรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ดีขึ้นหรือไม่ หัวใจของหลงทำงานหนักพอๆ กับสมอง เขาครุ่นคิดคำตอบที่ไม่ทำให้คนตรงหน้าผิดหวังและไม่ทำให้ตัวเองไร้ศักดิ์ศรีจนเกินไป
“ไม่ต้องคิดมากหรอก”
“ผม..” เขาอึกอัก คำพูดติดอยู่เพียงปลายริมฝีปาก แต่จะพูดหรือไม่พูดก็เป็นอีกเรื่องที่เขายังไม่กล้าตัดสินใจ “หมายถึงอะไรครับ”
“คุณพฤทธิ์ดีกับหลงหรือเปล่า” กรณ์เปลี่ยนคำถามเมื่อสีหน้าของน้องซีดเผือก
“อาจารย์..ดีกับผมครับ” ถ้าพูดถึงอาจารย์พฤทธิ์ ไม่มีส่วนใดเลยที่เรียกว่าแย่ อีกฝ่ายปฏิบัติตัวเป็นแบบอย่างที่ดีและให้ความรู้อย่างดีที่สุดโดยไม่ขาดตกบกพร่อง
“ถ้าแบบที่ไม่ใช่อาจารย์ล่ะ..พี่พฤทธิ์ดีกับหลงหรือเปล่า”
“คุณพฤทธิ์เป็นพี่ที่ดีครับ”
กรณ์ไม่อยากได้คำตอบแบบนั้น “แล้วถ้าในฐานะผู้ชายคนหนึ่งล่ะ..เขาดีกับหลงหรือเปล่า”
เด็กหนุ่มเม้มปาก ความรู้สึกของเขาตีรวนขึ้นมาจนจุกอก
“เขาดูแลหลงดีหรือเปล่า”
หลงยังหาคำตอบไม่ได้เหมือนกัน การดูแลที่คุณกรณ์ว่ามันมีนิยามว่าอย่างไร เขาเองก็ไม่รู้..แต่ทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้คุณพฤทธิ์เขาก็ตอบได้ไม่เต็มปากว่าได้รับการดูแลปกป้องจากผู้ชายที่ชื่อพฤทธิ์เป็นอย่างดี ทว่าเมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ของพวกเขาแล้วก็คลุมเครือเหมือนเมฆหมอกไม่มีผิด
เสี้ยวหน้าที่มืดสนิททำให้หลงไม่รู้ว่าคุณกรณ์คิดอะไรอยู่ แต่ถ้าให้เดา..มันคงเป็นความผิดหวังอย่างหาทางประเมินค่าไม่ได้
“ผมทำผิดมากใช่ไหมครับ”
กรณ์เม้มปาก เขาไม่สามารถให้คำตอบน้องได้ เพราะเหตุผลใดๆ ก็ดูเหมือนจะไม่เข้าท่าสักอย่างในเมื่อคนทั้งสองต่างก็เป็นคนที่เขารัก
หลงไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังเผชิญกับอะไรอยู่ ไม่เป็นตัวของตัวเอง ในขณะที่กินข้าวเช้า เขารู้สึกอาหารตรงหน้าไม่ถูกปากทั้งที่เป็นอาหารเหมือนทุกวัน เขามองสลับคุณวุฒิและแม่ของตัวเอง ความรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ทั้งโลกที่มีแต่สิ่งดีงามและโลกที่เต็มไปด้วยความโสมมกระทบจิตใจเขาอย่างรุนแรง
บางที..เพราะเขามาจากครอบครัวที่ไม่ดี เลยนำพาสิ่งไม่ดีเข้ามาในครอบครัวใหม่ด้วย
อันที่จริงหากคืนก่อนเขาถูกต่อว่าด้วยคำพูดที่รุนแรงมันอาจจะไม่ทุรนทุรายขนาดนี้ ทว่าคุณกรณ์ทำเพียงถามคำถามเขาสั้นๆ ไม่กี่ประโยค ทว่าล้วนแต่ชวนให้หลงเกลียดชังตัวเองมากขึ้นเท่านั้น
เขาก็เป็นแค่เด็กใจง่ายที่ไม่รู้จักระวังตัวเอง..
บรรยากาศในบ้านยังคงเหมือนเดิม แม่ยังทำตัวเหมือนคุณหญิงคุณนายของบ้าน คุณวุฒิยังทำหน้าที่พ่อได้ดีเหมือนเดิม คำถามทุกคำถามล้วนทิ่มแทงใจของหลง ตอนนี้เขาเหมือนคนที่ถือมีดแล้วจ่อข้างหลังคนที่หวังดีกับเขา “เราไม่ได้ไปกินข้าวนอกบ้านนานแล้ว วันนี้หลงเลิกเรียนกี่โมง”
เด็กหนุ่มสะดุ้ง เขาเม้มปากพลางมองกรณ์ที่นั่งข้างหน้า อีกฝ่ายไม่เงยหน้ามองเขาเหมือนทุกที ภายใต้เปลือกตาที่หลุบต่ำ หลงไม่มีทางรู้ว่าส่วนลึกของจิตใจยังปรารถนาให้หลงเป็นน้องชายเหมือนเดิมหรือเปล่า
“ห้าโมงเย็นครับ”
“เลิกเย็น อย่างนั้นไปรอพ่อที่ร้านกับกรณ์เลยแล้วกัน” วุฒิยิ้ม รอยยิ้มแบบนี้ทำให้หลงอยากร้องไห้ขึ้นมาดื้อๆ “กรณ์ชวนคุณพฤทธิ์ไปด้วยนะ ไม่เจอกันตั้งนาน พ่อคิดถึง”
“ครับ” กรณ์ตอบสั้นๆ เขารู้สึกอาหารตรงหน้าขมคอขึ้นมาดื้อๆ
ปลายฝนต้นหนาว อากาศยังคงร้อนอยู่ พื้นถนนยังคงเปียก ทั่วทั้งมหาวิทยาลัยยังคงมีสีเขียวตอบรับหยาดฝนที่ตกลงมาในช่วงกลางคืนและช่วงเย็น บรรยากาศร่มรื่นผกผันกับสภาพจิตใจของคนในรถ คุณกรณ์มาส่งเข้าถึงตึกเรียน ระหว่างทางพวกเขาแทบไม่มีบทสนทนาอะไรกันเลย
จริงอยู่ที่หลงคิดว่ากรณ์เป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดี เขาหลงใหลและชื่นชมอยู่ในใจเงียบๆ แต่อันที่จริงเขาต้องยอมรับว่ามนุษย์ทุกคนมีสองด้านที่แตกต่าง ด้านนี้อาจจะเป็นด้านที่หลงไม่คาดคิดว่าจะมีโอกาสได้เห็น และถ้าเป็นไปได้เขาคงเรียกร้องวันเวลากลับคืนมาทั้งหมดและไม่ไปในจุดเริ่มต้นของความไม่ไว้ใจ
“เลิกเรียนแล้วรอพี่ตรงนี้”
“ครับ” เด็กหนุ่มยกมือไหว้ แล้วเปิดประตูรถยนต์สีดำออกไป เขามองจนอีกฝ่ายเลี้ยวรถตรงมุมถนนก่อนจะเดินเข้าไปข้างในอาคารเรียน
เขารู้ดีว่าในวัยของตัวเอง การเรียนเป็นสิ่งที่ควรปรารถนา แต่เบื้องลึกในจิตใจของเขาไม่สามารถตอบรับความปรารถนานี้ได้ ภายในจิตใจของหลงเต็มไปด้วยความสับสน ความหวาดกลัว ความไม่มั่นคง และความสูญเสีย ในระยะเวลาหนึ่งเขาเคยดีใจที่ตัวเองมีครอบครัวในแบบที่คนอื่นมี แต่เอาเข้าจริง..หลงอ่อนแอยิ่งกว่าเดิม เขาก็แค่กลัวว่าคนอื่นจะผิดหวังแล้วผลักไสเขาออกไปเหมือนเมื่อก่อน
วันนี้ทั้งวันหลงรู้สึกเสียดายเวลาขึ้นมาดื้อๆ
หลงเลิกเรียนแล้ว เขาได้แต่นั่งรอคุณกรณ์มารับด้วยความรู้สึกกังวล อีกฝ่ายมองเขาไม่เหมือนเดิมแน่นอน ไม่ว่าจะด้วยการกระทำหรือคำพูดต่างก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ชั่วขณะหนึ่งที่เขาหวนคิดถึงเวลาที่ถูกอีกฝ่ายเอาใจ แต่ตัวเองเพิกเฉยมิตรภาพเหล่านั้น