Chapter 9 “ครับ ขอบคุณครับ คุณเลขา”
เด็กหนุ่มกดวางสายพร้อมกับส่งโทรศัพท์คืนให้กับแม่บ้าน “ขอบคุณครับ”
“มีข่าวดีเหรอคะ คุณคิมุระถึงยิ้มได้แบบนี้”
เร็นยิ้มกว้าง “ครับ คุณเลขาโทรมาบอกว่าคุณแม่ของผมที่เพิ่งผ่าตัดไป อาการดีขึ้นมากเลยล่ะครับ”
“ดีใจด้วยนะคะ” แม่บ้านยิ้มตาม “...ว่าแต่... แหม คุณคิมุระนี่เป็นคนที่ยิ้มสวย... ยิ้มแล้วมีเสน่ห์มากๆ เลยค่ะ”
“อ้าว คุณแม่บ้าน! จู่ๆ มาชมกันแบบนี้ ผมเขินนะครับ” เด็กหนุ่มยกมือขึ้นลูบท้ายทอย “จริงสิ... ของที่ผมฝากซื้อไปเมื่อเช้า...”
“ให้ตาลุงไปซื้อเรียบร้อยแล้วค่ะ เดี๋ยวอีกสักพักคงจะมาถึง”
“ขอบคุณครับ”
แม่บ้านผงกศีรษะรับ ก่อนจะเดินเข้าห้องครัวไป แล้วกลับออกมาจัดวางอาหารมื้อเย็นลงบนโต๊ะให้กับร่างสูง
เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “หืม วันนี้จัดโต๊ะเร็วจังครับ”
“วันนี้คุณท่านจะมาเร็ว ประมาณทุ่มนึงค่ะ ท่านฝากมาบอกว่าให้ดิฉันพาคุณคิมุระไปรอที่ศาลาในสวนนะคะ”
“เจ้านายจะมาเร็วเหรอครับ” ดวงตาสีเข้มเบิกกว้าง
แม่บ้านถอยออกไปยืนรออยู่ห่างๆ เธอหัวเราะเบาๆ “ดิฉันดีใจที่คุณคิมุระปรับตัวเข้ากับคุณท่านได้ ปกติก็ไม่เห็นท่านจะเปิดใจให้กับใครเท่าไหร่นัก”
“งั้นเหรอครับ” พอได้ยินแบบนั้นหัวใจของเด็กหนุ่มก็เต้นรัว เขานึกลำพองในใจว่าตนเองเป็นคนพิเศษสุดๆ ของเจ้านาย
...แต่ว่า
“...คุณจะมาตอนท้องฟ้ายังสว่างก็ยังได้ ผมสัญญาว่าจะปิดตาไว้ตลอดเลย...”คำพูดที่เขาบอกกับเจ้านายเมื่อวานบนชายหาดแล่นแวบเข้ามาในความคิด เป็นแค่เรื่องบังเอิญหรือว่าเจ้านายได้ยินกันนะ... ถ้าเป็นอย่างหลัง เจ้านายอาจจะแกล้งหลับเพื่อทดลองใจเขาก็เป็นได้
“คุณคิมุระทานเถอะค่ะ ถ้าต้องการอะไรเพิ่มก็บอกดิฉันได้ค่ะ” แม่บ้านเหลือบมองเด็กหนุ่มจัดการกับอาหารของเขาไปอย่างเอ็นดู
เมื่อใกล้เวลานัดหมายในตอนพลบค่ำซึ่งยังคงมองเห็นได้ด้วยแสงสลัว ท้องฟ้าเป็นสีหม่นและตรงปลายฟ้าฉาบไว้ด้วยแสงสีส้มทองของดวงอาทิตย์ สายลมเย็นสบายพัดเอื่อย แม่บ้านกับเร็นจึงพากันเดินไปยังศาลากลางสวน ซึ่งตรงกลางมีโต๊ะตัวโต มีม้านั่งสองตัวตั้งตรงข้ามกัน และมีชั้นวางเครื่องดื่มแบบมีล้อเลื่อนวางอยู่ชิดกับโต๊ะ บนชั้นนั้นมีเครื่องดื่มและขนมจัดวางไว้พร้อมสรรพ
สิ่งแรกที่นัยน์ตาคมกริบมองเห็นคือช่อดอกกุหลาบสีแดงขนาดเล็กที่เขาขอให้แม่บ้านช่วยจัดการซื้อมาให้ เขาอยากจะทำอะไรให้เจ้านายประทับใจ แม้จะไม่ได้เห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายก็ตามที
“ยังพอมีแสงสว่างอยู่แบบนี้ ดิฉันขอปิดตาคุณคิมุระไว้สักหน่อยนะคะ”
“โอเคครับ” เด็กหนุ่มถอดเสื้อแจ็กเกตออกพาดที่วางแขน แล้วนั่งนิ่งให้แม่บ้านช่วยใส่ผ้าปิดตาให้
“ดิฉันจัดเครื่องดื่มกับขนมไว้ให้ เผื่อว่าคุณคิมุระกับคุณท่านจะหิว แต่อีกสักเดี๋ยวก็จะถึงเวลาปิดไฟละค่ะ พบกันพรุ่งนี้เช้านะคะ”
“ขอบคุณมากคร้าบ” เร็นเอนหลังพิงพนักม้านั่ง เวลาของการรอคอยช่างผ่านไปช้าเสียเหลือเกิน เขาอยากพบเจ้านายจะแย่อยู่แล้ว
เสียงฝีเท้าที่เดินผ่านสนามหญ้าตรงเข้ามายังศาลาเรียกให้เด็กหนุ่มหันมองไปยังต้นเสียง เขาไม่รู้หรอกว่าใช่เจ้านายรึเปล่า จึงได้แต่รอจนกว่าอีกฝ่ายจะส่งเสียงมา
เจ้าของเสียงฝีเท้านั้นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะ “เร็น”
ร่างสูงยิ้มกว้าง พร้อมลุกขึ้นพรวด “เจ้านาย สวัสดีครับ” เขาเอื้อมมือออกไปควานหาเจ้านาย พอเจอตัวก็ถือวิสาสะดึงอีกฝ่ายเข้ามากอด “เจ้านาย”
ชายหนุ่มหัวเราะเสียงใส “คิดถึงผมมากเลยรึไง”
“ครับ คิดถึงมากเลย” เร็นหันกลับไปทางด้านหลังเพื่อเอื้อมมือไปหยิบช่อดอกกุหลาบสีแดงสดขึ้นมาส่งให้กับเจ้านาย “...ให้เจ้านายครับ”
“...นึกยังไงเนี่ย”
“อ่าว ทำไมทำเสียงแบบนั้นล่ะครับ ไม่ชอบเหรอ”
ผู้เป็นนายนิ่งไปแวบหนึ่ง “...ก็ชอบ”
...ฟังน้ำเสียงแล้วไม่ค่อยน่าเชื่อถือเลยแฮะ เร็นทำหน้าสลดเมื่อไม่ได้ผลอย่างที่ใจหวัง “เจ้านายยิ้มอยู่รึเปล่าครับ”
“ยิ้ม”
“อย่าหลอกผมนะ”
ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ ก่อนจะจับมือเร็นขึ้นมาสัมผัสริมฝีปากของตน “เชื่อรึยัง”
ปลายนิ้วหยาบลูบไล้กลีบปากนุ่มนิ่ม เขายิ้มกว้าง “เชื่อแล้วครับ” เมื่อรู้ตำแหน่งของริมฝีปากแสนหวานนั้นแล้วจึงโน้มใบหน้าเข้าไปแต้มจูบ พร้อมกับเคลื่อนมือไปประกบท้ายทอยไว้ไม่ให้ชายหนุ่มถอยหนีไปได้ ริมฝีปากของทั้งสองสัมผัสกันอย่างแผ่วเบา เมื่อเด็กหนุ่มสอดลิ้นเข้าไปหาลิ้นเล็ก สองลิ้นก็กอดเกี่ยวกันอย่างรู้งาน
ร่างผอมบางผละออกเล็กน้อย “เจ้าเล่ห์จริงๆ เลย... แต่ก็ขอบใจนะ สำหรับดอกกุหลาบนี่”
ฝ่ามือหยาบที่ลูบเคล้นหัวไหล่เล็กอยู่สักพักเลื่อนลงมาช้าๆ เขาต้องการจะกุมมือนุ่มข้างที่ว่าง แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะถืออะไรสักอย่างอยู่ในมือ “อื๋อ? อะไรอะครับ เจ้านายถือกระเป๋าใส่ปืนมายิงผมเหรอ”
“จะยิงไปทำไม จะเอาคุณไปเลี้ยงฉลาม แถวนี้ก็ไม่มีซะด้วย” ชายหนุ่มพูดขณะที่วางช่อดอกไม้และกระเป๋านั้นลงบนโต๊ะ แล้วเปิดกระเป๋าออก จากนั้นจึงหันไปผลักเบาๆ ให้เด็กหนุ่มนั่งลง ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำตามอย่างว่าง่าย
“ว่าแต่เอาดอกไม้มาจากไหนกันน่ะ”
“ฝากคุณแม่บ้านซื้อมาครับ... ผมเป็นคนเลือกดอกไม้เองเลยด้วยนะครับ!”
“กุหลาบสีแดงนี่น่ะเหรอ” ร่างผอมบางถาม แล้วนิ่งไปชั่วครู่ “...ทำไมถึงเลือกกุหลาบสีแดงล่ะ”
มือหยาบยกขึ้นเกาปลายจมูก “ผมเดาเอาว่าเจ้านายคงจะเหมาะกับสีแดง...” ...ที่จริงนั้น เขาเลือกกุหลาบแดงเพราะเป็นดอกไม้ที่บรรดาแฟนเก่าชอบร้องให้เขาซื้อให้ ดังนั้นก็น่าจะเป็นดอกไม้ชนิดพื้นฐานที่ทำให้คนรับดีใจ
“งั้นเหรอ”
...เสียงเจ้านายฟังดูเหมือนจะผิดหวังเล็กน้อย เร็นขมวดคิ้ว... เขาพูดอะไรผิดไปรึเปล่าเนี่ย?
“ช่างเถอะ” ชายหนุ่มพึมพำเสียงเบา ก่อนจะหันไปหยิบบางสิ่งบางอย่างออกมาจากกระเป๋าที่เปิดค้างไว้ เสียงของไม้กระทบกันคละเคล้ากับเสียงของสายเส้นเอ็นที่ขึงไว้ตึงดังแว่ว เขานั่งลงเคียงข้างร่างสูง แล้วลงมือหมุนแกนขึงเอ็นเพื่อปรับเสียง
เร็นเงี่ยหูฟังอย่างสนใจ “อะไรน่ะครับ กีต้าร์เหรอ”
“ไวโอลิน”
“โอ้โห! เจ้านายเล่นไวโอลินด้วย! สุดยอด!”
มือขาวจับตรงคอไวโอลินยกขึ้น วางบนหัวไหล่แล้วใช้คางหนีบไว้ จากนั้นจึงลองเล่นเพลงสั้นๆ ดู เสียงของการเสียดสีกังวานใส จังหวะของเพลงเนิบนาบวนซ้ำกันเป็นระยะ
“ว้าว! เพราะดีจังครับ เพลงอะไรเหรอครับ... เอ้อ... คือปกติผมไม่ค่อยได้ฟังเพลง”
“เพลงคลาสสิกน่ะ Canon in D ผมชอบเพลงนี้ ฟังแล้วรู้สึกสบายใจดี”
“ผมไม่เคยได้ยินเสียงไวโอลินสดๆ เลย ยิ่งพวกเพลงคลาสสิก ยิ่งไม่เคยเข้าไปใหญ่” เร็นโน้มใบหน้าไปทางที่ชายหนุ่มนั่งอย่างสนใจ “เจ้านายเก่งจังครับ หัดสีมานานรึยังครับเนี่ย”
“...ตั้งแต่สมัยเด็กน่ะ แต่ผมเลิกเล่นไปสักเกือบสิบปีได้แล้ว”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “เกือบสิบปีเลยเหรอครับ... ถ้างั้น ทำไมจู่ๆ...”
“เอ่อ... ก็...” ร่างผอมบางเบือนหน้าหลบไปอีกทาง “...ก็ไม่ได้เล่นนานแล้ว แต่นึกอยากเล่นขึ้นมา”
มือหยาบเอื้อมออกไปหาชายหนุ่ม เขาแตะลงบนตัก ค่อยๆ ขยับหาท่อนแขน เรื่อยไปจนถึงมือที่จับไม้สีไวโอลินอยู่ “...เพราะเจ้านายอยากเล่นให้ผมฟังใช่มั้ยครับ...” เร็นดึงไม้สีไวโอนลินในมือขาวออกช้าๆ แล้วจับมือนั้นไปวางทาบลงบนแผ่นอกด้านซ้ายของตน เพื่อให้อีกฝ่ายได้รู้สึกถึงหัวใจที่เต้นรัวแรง “...เจ้านายรู้สึกมั้ยครับ... ช่วยยืนยันกับผมที ว่าผมเข้าใจถูกต้องแล้ว”
ผู้เป็นนายดึงมือกลับ พร้อมกับคว้าไม้สีไวโอลินกลับคืนมาด้วย จากนั้นจึงหันไปทดลองเสียงของเครื่องดนตรีในมือ เขาเริ่มบรรเลงเพลงบทที่สอง ซึ่งเล่นไปได้เพียงแค่ครึ่งเพลงเท่านั้นแล้วก็หยุดลงกลางคัน
เร็นยิ้มบาง เขารู้ว่าเจ้านายคงไม่ยอมรับง่ายๆ หรอก เด็กหนุ่มจึงเงียบฟังเสียงเพลงจากเจ้านายต่อ หากบทเพลงนี้ เสียงของไวโอลินแหลมสูงราวกับเสียงของใครบางคนกำลังร่ำไห้ กรีดร้องโหยหวน ฟังแล้วรู้สึกหดหู่พิกล เมื่ออีกฝ่ายหยุดลงกลางคันแล้วถอนหายใจหนักๆ เขาจึงเงยหน้าขึ้น “เจ้านาย?”
“...เพลงแต่ละเพลงเล่าถึงเรื่องราวจากใจของผู้ประพันธ์ เพราะงั้นเมื่อฟังแล้วจึงให้ความรู้สึกแตกต่างกันไป... อย่างเพลง Canon ที่เล่นไปเพลงแรก เป็นเพลงที่ฟังแล้วรู้สึกเพลินๆ อารมณ์ดีใช่มั้ยล่ะ เพลงนี้เลยนิยมใช้ในงานเฉลิมฉลองหรืองานแต่งงาน” ชายหนุ่มหยุดสักพักก่อนพูดต่อ “ส่วนเพลงเมื่อกี้... เป็นเพลงที่ฟังดูเศร้า เพลงชื่อ Chaconne คนที่แต่งเพลงนี้ เขาแต่งให้กับภรรยาที่ตายไปในตอนที่เขาไม่ได้อยู่เคียงข้างเธอ”
ร่างสูงพยักหน้าหงึกหงัก “ครับ น่าสนใจดีนะครับ... ผมเองตอนที่ฟังเสียงเพลงของเจ้านาย ก็รู้สึกแบบเดียวกันเลย ผมดีใจที่คุณเล่าให้ฟัง” ...เขาไม่ค่อยได้ยินเจ้านายพูดประโยคยาวๆ สักเท่าไหร่ เจ้านายพูดน้อยจนเขาแทบจะจำเสียงไม่ได้ หากพอได้ยินแบบนี้แล้ว จะว่าไป... เสียงของชายหนุ่มนั้นไพเราะมากเลยทีเดียว “...เล่าให้ผมฟังอีกได้มั้ยครับ... สีไวโอลินให้ผมฟังอีกนะ อะ หืม?” จู่ๆ ผ้าที่พันรอบดวงตาไว้ก็ถูกถอดออก ดวงตาสีเข้มกะพริบปริบๆ อย่างงุนงง
“มืดแล้ว คืนนี้ท้องฟ้ามีแต่เมฆ... ไม่ต้องผูกผ้าปิดตาก็ได้”
เร็นยิ้มกว้าง “ขอบคุณครับ ได้เห็นเงาของเจ้านายสีไวโอลินก็ยังดี”
“...อืม... ถ้าเป็นเพลงนี้ อาจจะเคยได้ยินเวลาดูโทรทัศน์บ้าง” ชายหนุ่มลุกขึ้นบรรเลงเพลงใหม่ คราวนี้เป็นเพลงของ Vivaldi ท่อนของฤดูใบไม้ผลิ เมื่อเล่นจบท่อนหนึ่งก็หันไปถาม “เคยได้ยินมั้ย”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “คุ้นๆ นะครับ เหมือนได้ยินในโฆษณา ผมเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าเป็นเพลงคลาสสิก”
“เพลงนี้ชื่อ 4 Seasons มีสำหรับสี่ฤดู ที่เล่นเมื่อกี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ”
“เจ้านายจำแม่นจัง คุณไม่ได้เล่นมาเป็นสิบปีแล้วจริงเหรอครับเนี่ย”
ร่างผอมบางชะงัก “.....”
อาการอึกอักของเจ้านายทำให้เร็นยิ่งนึกสงสัย “เจ้านาย...”
“...มันก็เหมือนขับรถหรือว่ายน้ำนั่นแหละ พอเล่นเป็นแล้วก็ไม่ลืมหรอก”
“งั้นเหรอครับ” เร็นยิ้มมุมปาก “...เจ้านายของผมเก่งจริงๆ แล้วก็ต้องความจำแม่นมากๆ เลยด้วย”
ผู้เป็นนายสะบัดหน้าพรืด “...พูดมากนัก อย่าฟังต่อเลย”
“โอ๊ะๆ ผมล้อเล่น!” ร่างสูงคว้าเอวบางเข้ามาสวมกอด “...เจ้านาย... ขอโทษนะครับ ผมดีใจมากไปหน่อย... ก็วันนี้คุณมาเร็ว แล้วยังเอาไวโอลินนี่มาสีให้ผมฟังอีก” ใบหน้าคมสันเงยขึ้นมองคนในอ้อมกอด ในเมื่ออีกฝ่ายนิ่งไม่ได้ขัดขืน ดังนั้นเขาน่าจะยังอ้อนต่อไปได้ จนกว่าจะได้ฟังคำตอบ “เจ้านาย... คุณตั้งใจจะมาสีไวโอลินนี่ให้ผมฟังใช่มั้ยครับ”
“ก็รู้อยู่แล้วนี่” ชายหนุ่มพึมพำ “...ผม... เมื่อสิบปีก่อนเคยชอบไวโอลินมาก แต่เพราะต้องเรียนหนักเลยต้องเลิกไป... ไวโอลินนี่ทำให้ผมนึกถึงตัวเองสมัยที่ไม่ต้องคิดมาก ไม่มีความกังวลใดๆ” ...ช่วงเวลาแห่งความสุขเมื่อครั้งยังเยาว์
เร็นเอื้อมมือไปสัมผัสไวโอลินในมือเจ้านาย ซึ่งผิวสัมผัสเป็นไม้เรียบลื่น “ถ้างั้น... ไวโอลินของเจ้านายคงจะพิเศษมาก”
“...แค่ไวโอลินธรรมดา ไม่ได้พิเศษอะไร... ไม่ใช่สตราดิวาริอุสหรอกน่า”
“สตราดิวาริอุส? คืออะไรครับ?”
ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ “...ไวโอลินในฝันของนักไวโอลินหลายๆ คนละมั้ง”
“มันดีมากเลยเหรอครับ”
“ไม่รู้สิ... แต่มันเป็นยี่ห้อเก่าแก่หายาก แล้วในโลกนี้ก็มีอยู่ไม่เยอะซะด้วย”
“โอ้โห ถ้างั้นคงแพงน่าดู”
“...ไวโอลินของผม เป็นของขวัญจากคุณตา มันก็แค่ไวโอลินธรรมดาๆ เท่านั้นเอง...”
มือหยาบลูบผ่านผิวของไม้ที่เย็นเยือกไปวางประกบบนหลังมือขาว “เป็นไวโอลินที่วิเศษมากต่างหากล่ะครับ... เพราะมันทำให้เจ้านายมีความสุข” เขายิ้มกว้าง “ผมชักจะอิจฉาไวโอลินนี่ซะแล้วสิ”
ผู้เป็นนายดึงมือออกแล้วทุบลงไปบนไหล่หนาอย่างไม่เบาแรงนัก “...ช่างพูดซะจริง”
เร็นเอื้อมมือขึ้นไปแตะริมฝีปากนุ่ม เพื่อสัมผัสดูว่าเจ้านายของเขากำลังยิ้มอยู่หรือไม่ พร้อมกับจินตนาการภาพของใบหน้าเรียวเล็กนั้นไปด้วย เจ้านายคงจะน่ารักมากเลยทีเดียว เวลาที่ยิ้มแบบนี้
ผู้เป็นนายวางมือประกบมือหยาบแล้วจูบลงไปเบาๆ บนปลายนิ้วมือนั้น “...ไม่จำเป็นต้องอิจฉาอะไร... ไวโอลินนี่ ผมไม่คิดว่าจะเล่นให้ใครฟังอีกแล้ว”
หัวใจของเด็กหนุ่มพองโต วันนี้เจ้านาย... เปลี่ยนไปเล็กน้อย ดูจะแสดงความรู้สึกและเปิดใจให้กับเขามากขึ้น “เจ้านายกำลังจะบอกว่า เจ้านายสีไวโอลินนี่ให้ผมฟังคนเดียวเท่านั้นใช่มั้ยครับ”
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบ หากหยิบไวโอลินขึ้นวางพาดบนไหล่ มือที่ถือไม้สีตวัดขึ้น แล้วเริ่มต้นบรรเลงเพลงต่อไป เสียงเพลงใสแจ๋วกับจังหวะที่ฟังดูสดใส ดังกังวานไปทั่วทั้งบริเวณ
เร็นนั่งฟังอย่างตั้งใจ บทเพลงนี้... ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวแบบแปลกๆ ท่วงท่าในความมืดนั่น เขารู้สึกว่าเจ้านายกำลังมองมาที่ตนเอง... ราวกับจะบอกว่า... บทเพลงนี้มอบให้กับเขา
เมื่อเพลงจบลง เร็นจึงรีบถามขึ้น “เพลงอะไรน่ะครับ”
“Salut d'amour... เพลงนี้ ผมเล่นให้กับคุณโดยเฉพาะ”
“เล่นให้ผม? เจ้านายบอกว่าแต่ละเพลงมีความหมายของมัน... ถ้างั้นเพลงนี้ หมายความว่ายังไงเหรอครับ”
“นั่นสิ”
“อ่าว...” เร็นขมวดคิ้ว “...แต่ว่า... ทำนองเพราะๆ แบบนี้ ยังไงก็น่าจะความหมายดีแน่ๆ”
ชายหนุ่มหัวเราะ เขานั่งลงแล้ววางไวโอลินลงบนโต๊ะ จากนั้นก็เอนหลังพิงพนักพิง เขาเงยหน้ามองขึ้นไปยังหลังคาของศาลาแล้วนิ่งค้างอยู่เช่นนั้น
“เจ้านายเหนื่อยแล้วเหรอครับ”
“เปล่าหรอก นึกเพลงไม่ออกแล้วล่ะ... ผมไม่ได้ความจำดีอย่างที่คุณคิดหรอกนะ”
“เล่นได้ตั้งหลายเพลงแบบนี้ เรียกว่าดีมากแล้วล่ะครับ... ถ้างั้น ผมขอฟังเพลงสุดท้ายที่คุณเล่นอีกสักครั้งได้มั้ย”
“ชอบเหรอ”
“ชอบครับ ฟังแล้วหัวใจเต้นตึกตักเลย... เพลงที่เจ้านายเลือกให้ผม”
ชายหนุ่มหันไปทางที่เร็นนั่งอยู่ จากนั้นจึงค่อยๆ ขยับเข้าไปหา มือนุ่มยกขึ้นประกบแก้ม แล้วโน้มใบหน้าเข้าไปแนบจูบเด็กหนุ่มอย่างแผ่วเบา
เร็นยกมือข้างหนึ่งขึ้นวางบนท้ายทอยของศีรษะเล็ก มืออีกข้างโอบเอวบางเข้าหาตัว เขาเปิดปากรับลิ้นเล็กที่เข้ามาทักทาย ก่อนจะกระชับริมฝีปากหนักหน่วงขึ้นและส่งลิ้นเรียวไปกอดเกี่ยวโต้ตอบ เขาดูดกลืนปลายลิ้นเล็กที่หอมหวานพลางดุนดันกลับเข้าไปในโพรงปากนุ่ม
“อืม” ผู้เป็นนายครางอย่างพอใจ
ขณะที่ทั้งสองลิ้นยังเกี่ยวกระหวัดกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ฝ่ามือหยาบก็ดึงชายเสื้อเชิ้ตขึ้น แล้วค่อยๆ สอดเข้าไปสัมผัสผิวเนียน
ร่างผอมบางละริมฝีปากออก ซึ่งเรียวปากหยักนั้นก็เคลื่อนตามไปไม่ยอมห่าง ชายหนุ่มจึงยกมือขึ้นแตะเรียวปากนั้นไว้ “เดี๋ยวก่อนสิ ไหนว่าอยากจะฟังเพลงอีกยังไงล่ะ”
“ก็อยากครับ แต่ก็อยากกอด อยากจูบเจ้านายด้วย”
“เอาไว้ทีหลังนะ ฟังเพลงก่อน... เพราะผมอยากให้คุณจำเพลงนี้ไว้ให้แม่นๆ” ชายหนุ่มกระซิบชิดเรียวปากบาง
“จะมีสอบมั้ยครับเนี่ย”
“ถ้าจำไม่ได้จะให้นอนที่ศาลานี่แหละ”
เด็กหนุ่มหัวเราะพร้อมรีบปล่อยมือจากอีกฝ่าย “งั้นเจ้านายเล่นหลายๆ รอบเลยนะครับ ผมจะตั้งใจฟัง”
ผู้เป็นนายลุกขึ้น หยิบไวโอลินแล้วเดินวนไปยืนพิงกับโต๊ะอีกฝั่ง เขายืนนิ่งคล้ายทำสมาธิ สักพักจึงยกไวโอลินขึ้นวางบนไหล่แล้วเริ่มบรรเลงเพลงอีกครั้ง
เร็นจ้องมองภาพเงาของเจ้านายในความมืด บทเพลงสั้นๆ แต่น่าประทับใจ ประกอบกับท่วงท่าการสีไวโอลินช่างสง่างาม ราวกับเจ้าชายจริงๆ เด็กหนุ่มอมยิ้มเมื่อนึกถึงว่าเขาคิดเช่นเดียวกันกับแม่บ้าน ระหว่างที่ฟังบทเพลงไปด้วยนั้นก็เอื้อมมือไปหยิบของออกมาจากกระเป๋าเสื้อแจ็กเกตโดยระวังไม่ให้เกิดเสียง
เมื่อบทเพลงจบลง ชายหนุ่มก็เริ่มต้นบรรเลงเพลงเดียวกันนี้ใหม่อีกครั้ง และอีกครั้ง เขาก้าวไปยืนชิดกับขอบรั้วล้อมภายในศาลา นัยน์ตาปิดลงสนิท พาตัวเองดิ่งลึกลงไปในบทเพลงบรรเลงของตน จนไม่ทันได้สนใจเสียงฝ่าเท้าที่ก้าวเข้ามาจากทางด้านหลัง
เด็กหนุ่มฮัมเพลงคลอไปเบาๆ ขณะก้าวเข้าไปยืนแนบชิดแผ่นหลัง สองแขนยกขึ้นโอบเอวบาง จรดปลายจมูกโด่งลงบนลำคอขาวแล้วไล้ลงไปจนถึงซอกคอ เขากดส่วนร้อนรุ่มกลางร่างกับสะโพกเล็ก
ชายหนุ่มชะงัก “เร็น”
ร่างสูงฮัมเพลงต่อไปอีกเล็กน้อย จากนั้นจึงเคลื่อนเรียวปากไปจูบใบหูนิ่ม “ผมจำได้แล้ว เก่งมั้ยครับ... ขอรางวัลให้คนเก่งหน่อยนะครับ”
“เดี๋ยวก่อนสิ”
“ผมรอไม่ไหวแล้วล่ะ ก็วันนี้เจ้านายน่ารักมาก” เร็นจับอีกฝ่ายให้หมุนตัวหันหน้าเข้าหากัน หยิบไวโอลินจากมือชายหนุ่มแล้ววางลงไปบนม้านั่ง เขากดส่วนที่ขยายตัวจนคับแน่นภายในกางเกงกับต้นขาของเจ้านาย “คุณทำให้ผมเป็นแบบนี้อีกแล้ว”
“ผมยังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” ผู้เป็นนายพูดเสียงเบา มือขาววางทาบแผ่นอกกว้างไว้เพื่อขืนตัวออก
มือหยาบเชยคางเรียวขึ้นแล้วบดจูบ ความปรารถนาที่เพิ่มขึ้นมีมากจนหัวใจสูบฉีดรุนแรง เลือดในกายวิ่งพล่าน แขนแกร่งโอบกระชับร่างผอมบางไว้แนบสนิทร่างกายตน
จุมพิตแสนหวานทำให้ผู้เป็นนายอ่อนระทวยราวกับขี้ผึ้งที่ถูกไฟลน เขาเคลื่อนมือขึ้นไปโอบลำคอใหญ่ไว้เพื่อประคองตัว “เร็น...”
เด็กหนุ่มอุ้มร่างผอมบางขึ้นนั่งบนโต๊ะ ก่อนจะจัดการปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตและถอดกางเกงของอีกฝ่ายออกอย่างร้อนรน จากนั้นจึงจัดการปลดซิปกางเกงของตนออกบ้าง
“เร็น เดี๋ยวก่อนสิ! อ๊ะ! เดี๋ยว!”
เร็นกดร่างผอมบางให้นอนราบลงไปกับโต๊ะ เขาจูบปิดริมฝีปากนุ่มไว้ไม่ให้เจ้านายบ่ายเบี่ยงได้ ฝ่ามือหยาบคลึงเคล้นไปบนผิวกายละเอียด แล้วไปหยุดบดขยี้บนยอดอกที่แข็งเป็นไต
“เร็น อื้อ! อ๊ะ ไม่ตรงนี้... อา....”
ร่างสูงไม่สนใจเสียงห้ามที่แหบพร่า มือหยาบขยับไปกอบกุมส่วนไวสัมผัสของเจ้านายที่เริ่มตื่นตัวตอบสนองกับความร้อนรุ่มในกาย ซึ่งทำให้เขารู้ว่าเจ้านายเองก็กำลังมีอารมณ์เช่นกัน เขาขยับมือขึ้นลงเพียงชั่วครู่ เจ้านายก็หลั่งน้ำหล่อลื่นออกมาจนเปียกชุ่มฝ่ามือ เด็กหนุ่มจึงย้ายเป้าหมายไปที่ช่องทางที่พวกเขาจะใช้ในการร่วมรัก เขาเคลื่อนศีรษะลงต่ำ จับขาเรียวแยกออก จากนั้นจึงยกสะโพกเล็กขึ้นเล็กน้อย แล้วสอดปลายลิ้นเข้าไปไล้วนตรงปากทางอุ่น
“อ๊ะ! เร็น! ไม่... อ๊ะ...” ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก แต่ปลายลิ้นร้อนนั้นก็สอดลึก ขยับเข้าออกจนที่ตรงนั้นชุ่มไปด้วยน้ำเหนียวใส
เร็นสอดนิ้วเข้าไปขยับขยายช่องทางนั้นสลับกับปลายลิ้นที่ให้ความชุ่มชื้น ระหว่างนั้นก็คอยเงี่ยหูฟังเสียงครวญครางของเจ้านาย สะโพกเล็กตรงหน้าเขานั้นส่ายไปมาอย่างเย้ายวน ส่งผลให้เขาไม่สามารถยับยั้งความปรารถนาของตนไว้ได้อีก
“เร็น... อา... เรา... เข้าไปข้างในกันเถอะ”
“ผมรอไม่ไหวแล้ว” เร็นตอบเสียงกระเส่า
“แต่... ถุงยาง...”
ร่างสูงละเรียวปากออกมาเล็กน้อย “ไม่ต้องห่วงครับ ผมเตรียมมาหมดแล้ว” เขาเอื้อมไปหยิบหลอดเจลหล่อลื่นกับถุงยางอนามัยออกมาให้เจ้านายดู เมื่อสวมถุงยางและชโลมเจลจนชุ่มแล้ว เขาก็จับท่อนเนื้อร้อนไปจ่อตรงปากทางตรงร่องสะโพก แล้วกดเข้าไปช้าๆ
“ซี้ด... เจ้านาย... อา...” ผนังในช่องทางอ่อนนุ่มนั้นอุ่นร้อนและตอดรัดดีจนเร็นแทบจะอดใจไม่ให้รุนแรงกับเจ้านายไม่ไหว
“อา... เร็น ช้าๆ ก่อน... มันคับ”
“แต่ไม่เจ็บแล้วใช่มั้ยครับ”
ศีรษะเล็กส่ายไปมา “ไม่เจ็บ แต่มันคับมากเลย”
“อีกเดี๋ยวเจ้านายจะรู้สึกดีขึ้น... ผมจะทำให้คุณสุขสุดๆ ไปเลย” เร็นโน้มตัวไปกระซิบชิดกลีบปากหอมหวาน จากนั้นจึงกระแทกกายเข้าไปจนสุดความยาว
“อ๊า!” มือขาวจิกลงบนไหล่หนา
ร่างสูงแช่กายค้างไว้ชั่วครู่เพื่อให้ผิวเยื่อบุภายในช่องทางร่วมรักปรับตัวให้พอดีกับขนาดความใหญ่โตของตน ก่อนจะเริ่มขยับตัว
“เดี๋ยว! ฮึก!”
เร็นจับต้นขาขาวยกขึ้น แยกออกกว้างแล้วสอดใส่เข้าออกช้าๆ “อา... ข้างในของเจ้านาย เยี่ยมสุดๆ ไปเลย”
“อะ... อื้อ...”
เด็กหนุ่มรู้ดีว่าต้องทำอย่างไรจึงจะทำให้เจ้านายครางเสียงหวาน เขากดสะโพกลึกแล้วควานวน
“อา... อ๊า...”
“แบบนี้ อา... ดีใช่มั้ยครับ” แม้จะมองไม่เห็นว่าใบหน้าของเจ้านายแสดงอารมณ์ออกมาเช่นไร แต่เสียงครางหวานก็พอที่จะเดาอารมณ์ได้ว่าคงจะรู้สึกร่วมไปกับเขาไม่ใช่น้อย ไฟอารมณ์ร้อนแรงที่ลุกโหม พาให้ร่างสูงโถมกายเข้าใส่ร่างผอมบางไม่ยั้ง เขากดย้ำซ้ำตรงจุดสำคัญ พร้อมกับมือหยาบที่ช่วยปรนเปรอด้านหน้าให้
กึก กึก กึก โต๊ะตัวเล็กลั่นเอี๊ยดอ๊าดไปตามแรงโหมกระแทกอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของร่างสูงใหญ่
มือขาวจิกลงไปบนหัวไหล่กว้างเต็มแรง ร่างขาวบิดเร่าไปมาด้วยความเสียวซ่าน "อ๊า... ไม่ไหวแล้ว"
ช่องทางอ่อนนุ่มบีบรัดแก่นกายที่แข็งขึงรุนแรงเป็นจังหวะถี่ๆ เป็นสัญญาณบอกว่าผู้เป็นนายกำลังจะเดินทางไปสู่จุดหมายในไม่ช้า เร็นยิ่งเพิ่มจังหวะกระแทกกายรัวเร็ว มือหยาบช้อนสะโพกเล็กขึ้น เขารอจนเจ้านายปลดปล่อยอารมณ์ออกมา จึงกระแทกกายเข้าไปลึกสุดในจังหวะสุดท้าย แล้วฉีดพุ่งของเหลวขุ่นข้นออกมาในเครื่องป้องกันที่ใส่ไว้
“อา...” เร็นหอบหนักๆ เขาถอนกายออกมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงโน้มตัวทาบทับร่างที่นอนหอบหายใจอย่างอ่อนแรงบนโต๊ะ “เจ้านาย...”
...ความรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างชัดเจนมากขึ้นทุกที โดยที่เด็กหนุ่มไม่สามารถห้ามใจไว้ได้ เขาซุกใบหน้าลงบนซอกคอขาวเพื่อพรมจูบลงไปเบาๆ
“ผมรู้สึกดีมากเลย... ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน...”
มือขาวยกขึ้นประกบแก้มเด็กหนุ่ม “ปากหวานอีกแล้ว”
“ผมพูดจริงนะครับ... เจ้านาย... ผม...” ...คงจะชอบคุณเข้าซะแล้วสิครับ
ชายหนุ่มเคลื่อนมือไปปิดเรียวปากหยักไว้ “เร็น... เรากลับเข้าไปต่อข้างในกันดีกว่านะ อุ้มผมไปหน่อยได้มั้ย”
เร็นจูบตรงปลายนิ้วเรียวยาว “ทุกอย่างที่เจ้านายต้องการครับ” จากนั้นจึงอุ้มร่างผอมบางขึ้นแนบกาย แล้วสาวเท้ายาวๆ กลับเข้าตัวบ้านไป
ค่ำคืนที่เงียบสงบ เมฆสีขุ่นมัวบดบังดวงจันทร์ให้เห็นเพียงแค่เงาเลือนราง ทว่ายังมีลำแสงบางๆ ให้พอมองเห็นได้ เฉกเช่นเดียวกับความรู้สึกของทั้งสองฝ่าย ซึ่งแม้พวกเขาจะพยายามปกปิดไว้ให้มิดชิดเพียงไหน หากก็ไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกที่ก่อขึ้นภายในหัวใจ
TBC~*หวานๆ กันนิดๆ หน่อยๆ ค่ะ น้องเร็นตกหลุมรักแบบถอนตัวไม่ขึ้นสุด ส่วนเจ้านาย... ก็ยังคงเป็นความลับต่อไป 5555 อีกไม่กี่ตอนน้องเร็นจะได้ยลโฉมแล้วค่ะ (สปอยล์นิดนุง ฮ่าาา)
ขอบคุณนักอ่านที่น่ารักทุกคนที่แวะมาให้กำลังใจฮัสกี้นะคะ
อย่าลืมแวะไปอ่าน "เบลอ" กับ "นิสรีน" บ้างน้า