การใช้หนี้ครั้งที่ 10 : หน้าที่ใหม่ ที่ไม่อยากเป็น
“ วันนี้ที่บ้านมีงานอะไรคะน้องปัน ทุกคนดูวุ่นๆ ”คำถามดังขึ้นทันทีที่ก้าวเท้าลงจากรถลีมูซีน หลังจากกลับมาจากโรงเรียน
“ งานวันเกิดพี่ปูน พี่บอสรีบมาแต่งตัวเถอะ เดี๋ยวไม่ทัน ” ผมหันขวับมองยัยตัวแสบที่กำลังส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้
“ ไม่มีทาง ” ปฏิเสธเสียงแข็ง ครั้งนี้ผมไม่ยอมแน่ ถ้าต้องแลกกับการแต่งตัวเป็นผู้หญิง ผมยอมใช้หนี้ตลอดชีวิตเลย ไม่ใช่เพราะคำขู่ของเจ้าหนี้ที่โรงพยาบาลแต่หากเป็นใจผมเอง ผมไม่โดนมองเป็นตัวแทนของใครอีกต่อไป
“ ฮ่าๆ หน้าซีดเลย พี่บอสคิดว่าปันจะทำอะไร วันนี้ปันไม่จับพี่บอสใส่กระโปรงหรอก ” ผมจ้องเด็กสาวตัวเล็กพลางเลิกคิ้วขึ้นถามอย่างสงสัย “ จริงนะ ”
“ สัญญา ”
น้องปันรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับผมด้วยการเตรียมชุดสูทสีขาวราคาแพงไว้ให้ แขกเรื่อที่มาร่วมงานเกินครึ่งเป็นไฮโซมีหน้ามีตาในสังคมที่ออกทีวีอยู่บ่อยๆ ที่มาไม่ใช่เพียงแค่เอาของขวัญมาอวยพรวันเกิดให้คุณปุณณัตต์หรอก แต่ยังถือเป็นโอกาสอันดีงามในการเจรจาขอผ่อนผันหนี้และขอลดดอกไปในคราวเดียวกัน ว่าง่ายๆ คือ คนเหล่านี้เป็นลูกค้ารายใหญ่ผู้ใช้บริการเงินกู้ของคุณปูนนั่นเอง
“ สามทุ่มกว่าแล้วนะคะ เจ้าของงานยังไม่มาเลย”
“ เรื่องปกติน่ะพี่บอส พี่ปูนขี้เกียจคุยกับลูกหนี้เลยเลือกที่จะมาช้าๆ ” ผมพยักหน้าเข้าใจ เจ้าหนี้ที่ไหนอยากจะฟังคำอ้อนวอนขอลดดอกเบี้ยกับลูกหนี้ แต่ก็อดเห็นอกเห็นใจเหล่าคุณหญิงคุณนายเซเลบทั้งหลายไม่ได้ ในฐานะคนหัวอกเดียวกัน
“ น้องปัน ” เสียงนุ่มอบอุ่นไม่คุ้นหูดังขึ้นมาจากด้านหลัง ผมและเจ้าของชื่อหันไปมองพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“ พี่อิฐ ” เด็กสาววัยสิบสี่โผลเข้ากอดชายหนุ่มตรงหน้า แวบแรกที่เห็นผมอดใจหายวูบไม่ได้คิดว่าผู้ชายที่ถูกผมพูดถึงเมื่อ 5 นาทีก่อน แต่พอมองดูให้ชัดๆ จึงรู้ว่าไม่ใช่ บวกกับการได้ยินชื่อจากน้องปันยิ่งเพิ่มความมั่นใจเข้าไปอีก
‘ พี่อิฐ ’ ผู้ชายอายุอานามพอๆ กับเจ้าหนี้ ใส่เสื้อเชิ้ตสีเขียวอ่อนปลดกระดุม 3 เม็ดเพื่อเปิดอกขาวอวดสายตาคนทั้งงาน แล้วคลุมทับด้วยเสื้อสูทสีดำแขน 3 ส่วน ไม่ผูกไท ท่อนล่างสวมกางเกงยีนสีอ่อนและเข็มขัดสีครีม รองเท้าหนังสีดำยิ่งเสริมบุคลิกให้คนตรงหน้าดูดีเป็นกอง หน้าตาคล้ายเจ้าหนี้ราวกับฝาแฝด แต่ถ้ามองดีๆ จะรู้ถึงความแตกต่าง นัยต์ตาสีนิลคู่นั้นไม่ดุดันเหมือนคุณชาย แต่ก็เต็มไปด้วยเสน่ห์ หากใครได้มองเป็นต้องติดกับผู้ชายคนนี้เป็นแน่ ดูจากลักษณะท่าทางเขาคงเป็นคนขี้เล่นไม่เบา เห็นพูดคุยหยอกล้อน้องปันไม่หยุดปากตั้งแต่ทั้งสองพบกัน
“ พี่ว่าจะถาม ผู้ชายคนนี้ใครหรอ อย่าบอกนะว่าแฟนน้องปัน ” สายตาคู่นั้นเป็นประกายยามจับจ้องมาที่ผม มันดูเป็นมิตรเกินไปกว่าคนที่เพิ่งพบกันครั้งแรก
“ มั่วจริงพี่อิฐ ฟงแฟนอะไรล่ะ ” ผมสังเกตเห็นว่าคนถามทำหน้าโล่งอกเมื่อรู้คำตอบ “ นี่พี่บอส พี่บอสนี่พี่อิฐเป็นลูกพี่ลูกน้องของปัน อายุเท่าพี่ปูน ”เด็กสาวแนะนำเราสองคนด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่คนตรงหน้าจะยื่นมือออกมาผมเลยต้องยกขึ้นจับตามมารยาท
“ สวัสดีครับ น้องบอส ยินดีที่ได้รู้จัก ” รอยยิ้มสวยบวกกับสายตาเจ้าชู้ที่มองมาเหมือนกับว่าได้เจออาหารจานโปรดยังไงยังงั้น
“ ย..ยินดีเช่นกันครับ คุณอิฐ ” เสียงพูดติดขัดด้วยความเขิน ยอมรับเลยว่าไม่กล้าสบตาคนตัวสูงแม้แต่น้อย เลยต้องรีบก้มมองพื้นสนามหญ้าหน้าบ้านสถานที่จัดงานแทน
“ เรียกพี่อิฐดีกว่านะ ” ผมเงยหน้ามองเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ สายตาคู่นั้นเว้าวอนจนยากจะปฏิเสธ
“ ค..ครับ พี่อิฐ ”
“ อย่างนี้ซิเด็กดี ” ผมยิ้มแกนๆ ให้พลางพยายามแกะมือหนานุ่มของคนตรงหน้าออก แต่ดูเหมือนจะยิ่งเพิ่มความแน่นให้มือคู่นั้นซะมากกว่า
“ ไอ้อิฐ ” เสียงทุ้มดุทำเอาผมเสียวสันหลังวาบ แต่ก็ถือว่าดังได้ถูกจังหวะเมื่อมือคู่นั้นปล่อยผมให้เป็นอิสระอีกครั้ง เจ้าหนี้ผมปรากฏตัวในชุดสูทเรียบหรูสีควันบุหรี่มีเนคไทและรองเท้ามันวาวเข้าชุด พร้อมด้วยใบหน้าหล่อเหลาแต่ไม่เป็นมิตรเช่นที่ผ่านมา
“ ไม่เจอกันนานนะ ไอ้ปูน ” ผมถอยสามก้าวเพื่อมายืนดูสถานการณ์ข้างน้องปัน เด็กสาวยังคงยิ้มสดใสยินดีกับการเจอกันของคนทั้งสอง แต่ผมคิดว่ามันไม่ได้น่ายินดีขนาดนั้น ในเมื่อสายตาของทั้งคู่กำลังฟาดฟันกันอยู่ในขณะนี้ ถึงพี่อิฐจะจ้องคุณปูนด้วยรอยยิ้มก็เถอะ
“ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ว่ะ นึกว่าตายไปแล้วซะอีก ”
“ โห ทักโหดไปหน่อยมั้ยเพื่อน ฉันไปเรียนต่อนะไม่ได้ไปรบ ” คนพูดตอบด้วยรอยยิ้มขี้เล่นเช่นเคย ก่อนจะเบนสายตากลับมาหาผมอีกครั้ง “เพิ่งกลับมาถึงเมื่อวาน คิดไม่ผิดจริงๆ ที่มางานวันเกิดแก ”
น้ำเสียงที่แฝงอะไรบางอย่างออกมาจากเรียวปากสีแดงอมคล้ำ เจ้าหนี้ผมมองตามสายตาของคู่สนทนามาปะทะผมอย่างจัง ก่อนจะใส่ความไม่พอใจลงไปเหมือนทุกทีที่เห็นหน้า ทว่าครั้งนี้ดูมันจะทวีความรุนแรงเข้าไปอีก
“ ถ้ากูจำไม่ผิด กูไม่ได้เชิญมึงมานะ ”
“ ปันให้พี่บอสมาเอง ถ้าพี่ปูนไล่พี่บอสปันโกรธพี่ปูนแน่ ” เจ้าหนี้ผมทำเสียงไม่พอใจผ่านลำคอ คนอะไรยิ่งรู้จักยิ่งไม่เข้าใจ
“ จะอยู่ก็ทำตัวให้มีประโยชน์หน่อย กูหิวน้ำ อยากได้ไวน์ซักแก้ว ”
“ ผมจะไปหยิบมาให้ครับ ” ผมรับคำแต่ก่อนที่ขาจะได้ก้าวออกไปก็ถูกรั้งจากผู้ชายอีกคน “ พี่ไปด้วย ”
พี่อิฐยิ้มให้ผมพลางเดินเข้ามาหา แต่ก็ถูกเจ้าหนี้ผมขวางไว้ “ จะไปไหนอยู่คุยกันก่อนซิ ส่วนมึงเอาไวน์มาให้มันด้วย ”
“ ค..ครับ ”
“ รู้แล้วก็รีบไป จะยืนรออะไรวะ! ” เป็นอีกครั้งที่ถูกตะวาทใส่ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรให้ไม่พอใจ แต่อย่างว่าแหละลูกหนี้อย่างผมแค่หายใจก็ผิดแล้ว
หลังจากเอาไวน์ไปเสิร์ฟให้สองหนุ่มเรียบร้อย ผมก็เดินออกมานั่งเล่นกับน้องปันและปีใหม่ที่ม้านั่งซึ่งห่างจากที่จัดงานพอสมควร
“ ดูคุณปูนกับพี่อิฐมีเรื่องคุยกันเยอะนะ ” เด็กสาวอุ้มเจ้าสัตว์เลี้ยงที่หลับมาวางบนตักแล้วตอบคำถาม
“ ตั้งแต่จำความได้ปันก็เห็นพี่อิฐอยู่บ้านเราแล้ว น้าอุ่นเล่าให้ฟังว่าคุณพ่อกับคุณแม่พี่อิฐมีปัญหาจนต้องหย่ากัน เลยให้คุณพ่อปันที่เป็นน้องชายแท้ๆ เป็นคนเลี้ยงพี่อิฐแทน ” ผมพยักหน้าเข้าใจและฟังน้องปันเล่าต่อ “ เวลาไปไหนมาไหนด้วย มีแต่คนอิจฉาปันที่มีพี่ชายสุดหล่อถึง 2 คน จนพี่อิฐไปเรียนต่อที่เมืองนอกเมื่อ 7 ปีก่อน เราก็ไม่เคยได้เจอกันอีกเลย ”
พอฟังเรื่องราวจากน้องปันแล้วผมก็อดคิดไม่ได้ว่า บางครั้งคนรวยก็ไม่ได้น่าอิจฉาเสมอไป ภายนอกที่เห็นผู้คนเหล่านั้นยิ้มแย้มดูมีครบทุกอย่างที่ต้องการ แต่ภายใจไม่มีใครรู้เลยว่าพวกเขาโหยหาเพียงใด และสิ่งที่เขาต้องการเงินล้นฟ้าก็ไม่อาจซื้อได้
" พี่บอสไปกันเถอะ ใกล้เวลาพี่ปูนตัดเค้กแล้ว "
ผมพยักหน้า ก่อนจะเดินตามเด็กสาวที่ยังคงอุ้มเจ้าขนปุยอยู่ในมือ
" พี่บอสเดินไปก่อนเลยนะ ปันเอาปีใหม่ไปนอนก่อนแล้วจะตามไป "
ผมเลยต้องเดินกลับเข้างานเพียงลำพัง เป็นไปตามที่น้องปันบอกบนเวทีเจ้าหนี้ผมกำลังยืนพูดขอบคุณแขกเรื่อที่มาในงาน โดยมีคุณพิทรับบทพิธีกรเช่นเคย
" มายืนทำอะไรตรงนี้ครับน้องบอส " เสียงนุ่มดังข้างหูจนผมที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ถึงกับสะดุ้งสุดตัวเกือบจะหงายหลัง โชคดีที่คนมาใหม่คว้าเอวไว้ได้ทัน
รอยยิ้มสวยของพี่อิฐฉายขึ้นพร้อมๆ กับที่เจ้าตัวดึงผมเข้าไปใกล้ จนหน้าผมชนกับอกกว้าง แล้วใช้มือข้างที่ว่างวูบหัวผมอย่างปลอบประโลม " ขวัญเอ๋ยขวัญมาเด็กน้อย "
ผมใช้มือสองข้างผลักอกกว้างเบาๆ แต่เพราะคำพูดของคนตรงหน้าทำให้ต้องหยุดการกระทำ
" รังเกียจอะไรพี่หนักหนา "
" ผมเปล่า " เสียงเบายิ่งกว่ากระซิบจนเกือบเป็นเพียงลมที่พ่นออกมา ตรงข้ามกับเสียงหัวใจที่เต้นโครมครามอยู่ภายในอก
" ถ้าเปล่าแล้วผลักพี่ทำไม ดูซิหน้าพี่ก็ไม่มอง พี่สังเกตตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว " เจอประโยคนี้ไปผมยิ่มก้มหน้าคางชิดอกไม่ตอบ ถามแบบนี้อยากได้คำตอบยังไงกันแน่
" สรุปว่าไง หื้ม? " พี่อิฐใช้มือเชยคางผมขึ้น ผมเห็นจัวเองตัวสั่นระริกอยู่ภายในดวงตาวาววับคู่นั้น
" ผม.. "
" ขอเรียนเชิญคุณยศภัทรขึ้นมาบนเวทีด้วยครับ " เสียงเลขาคนสนิทเรียกผมจากภวังค์ ด้วยความตกใจผมผลักคนตัวสูงกว่าก่อนจะก้มหน้าขอตัวเดินตรงไปบนเวที
แต่ละก้าวช่างยากลำบาก ผมต้องพยายามควบคุมสติไม่ให้คนอื่นเห็นว่าตัวเองสั่นแค่ไหน ในที่สุดผมก็มายืนบนเวทีข้างคุณพิสิฐถัดไปเป็นคุณปูนที่ยืนถือไมค์อยู่ในมือ
" ก่อนที่จะตัดเค้ก ผมขอประกาศตรงนี้อย่างเป็นทางการ ว่าตั้งแต่วันนี้ไปผู้ชายที่ยืนข้างผม " ผมหันมองทางซ้ายมือ แต่ไร้วี่แววคุณพิสิฐ อ้าวเห้ย งั้นผู้ชายที่เจ้าหนี้ว่าก็ ผ..ผมอ่ะดิ
" จะเป็นเลขาคนสนิทคนสนิทของผม แทนคุณพิท "
ผมคล้ายคนหูดับ ท่ามกลางเสียงอืออึ้งของคนทั้งงาน ลูกหนี้อย่างผมเนี่ยนะ กำลังจะกลายเป็นเลขาคนสนิทของเจ้าหนี้ แถมยังเป็นแทนคุณพิสิฐอีก โอ้ย เรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย !!!
ซวยอีกแล้วยศพัทธ
( มีต่อ ไม่แน่ใจว่าวันนี้จะเสร็จทันป่าวน้า >< )