(ต่อตรงนี้)
แล้วลมหนาวก็พัดมาอีกครั้งและอีกครั้งจนหมุนเวียนมาเป็นครั้งที่สี่
บนคอนโดหรูย่านใจกลางเมืองหลวงของประเทศไทยที่ขึ้นว่าเป็นมหานครที่ไม่เคยหลับใหล หากตอนนี้ใครบางคนใต้ผ้าห่มผืนหนายังนอนหลับอุตุทั้งที่นาฬิกาปลุกหัวเตียงร้องเตือนเป็นครั้งที่ห้าแล้ว
“หมอปืนตื่นได้แล้ว” คนผมน้ำตาลที่กำลังแปรงฟันอยู่ในห้องน้ำตะโกนเรียกออกมาหลังจากเสียงปลุกดับลงอย่างอ่อนแรง
“ขออีกห้านาที”
เสียงงัวเงียของคนที่ยังไม่ตื่นดีดังออกมาจากโปงผ้าบนเตียง ทำให้ภาวัฒน์ต้องเดินเข้ามากระชากผ้าห่มออก
ร่างสูงในชุดนอนลายทางนอนกอดหมอนข้างแน่นช่างเป็นภาพที่น่ารัก จนเขาอดขำไม่ได้ว่านี่เป็นคนๆ เดียวกับคุณหมอหนุ่มสุดเท่ประจำห้องฉุกเฉิน มันนานเหลือเกินจนเหมือนกับฝันไปว่าในที่สุดจะมีวันที่พวกเขาสามารถข้ามผ่านเส้นอายุและระยะทางหลายร้อยไมล์มาอยู่ด้วยกันจนได้
ภาวัฒน์คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนเตียงและรั้งแขนคนขี้เซาให้ลุกขึ้นมานั่ง “เดี๋ยวไปทำงานสายนะครับ”
“รู้แล้วน่า” ปาวัสม์งึมงัมอ้าปากหาวพลางใช้หลังมือขยี้ตา ถึงเมื่อคืนจะไม่ได้เลิกงานดึกแต่คนบางคนก็พายุ่งจนได้นอนเมื่อตอนใกล้รุ่งสางนี่เอง
“วันนี้จะกลับมากินข้าวเย็นด้วยกันหรือเปล่า”
“ไม่ล่ะวันนี้อยู่เวร แล้วนี่ก็วันหยุดด้วยสงสัยจะโต้รุ่ง” บ่นพลางคลำมือไปรอบๆ เพื่อหาแว่นตา
ภาวัฒน์หันไปหยิบแว่นตาบนโต๊ะข้างเตียงที่เขาเป็นคนถอดออกเองเมื่อคืนมาวางลงบนสันจมูก “แต่เสาร์อาทิตย์นี้อาจจะไม่ยุ่งก็ได้นะครับ ก็พรุ่งนี้เป็นวันวาเลนไทน์นี่”
คิ้วเข้มตวัดฉับเข้าหากัน “คนป่วยเขามีเลือกวันได้ด้วยเหรอ”
“อ้าววว วันสำคัญแบบนี้ ถ้าเป็นผมนะต่อให้ป่วยใกล้ตายก็ไม่ไปโรงพยาบาลหาหมอหรอก ไปหาแฟนดีกว่า” คนหน้าเป็นลอยหน้าลอยตาตอบ
“จะดีกว่าได้ไง ไปหาแฟนช่วยอะไรได้ ป่วยก็ต้องไปหาหมอสิถึงจะหาย”
“โธ่! แล้วหมอให้อ้อนได้เหมือนแฟนป่ะล่ะ” ภาวัฒน์เป่าลมเข้าแก้มจนป่องดูน่าหมั่นไส้
คนอายุมากกว่าอดใจไม่ไหวต้องเอื้อมมือไปขยี้หัวกลมๆ แล้วดึงเข้ามากดริมฝีปากหนักๆ ลงบนหน้าผากไล่ลงมาตามแนวสันจมูก “แต่ถ้าเป็นแฟนหมอก็จะยอมให้อ้อนอยู่หรอกนะ” เขากระซิบกับริมฝีปากคนตรงหน้า ในขณะที่มือใหญ่รุกรานเข้าหาความอบอุ่นของผิวกายใต้สาบเสื้อ
ภาวัฒน์ขืนตัวออกห่างเพราะถ้าเขายอมตามน้ำอีกฝ่ายได้ไปทำงานสายแน่ๆ “ตกลงวันนี้ไม่กลับบ้านแน่นะ”
“ไม่”
“แล้วพรุ่งนี้ล่ะ”
ปาวัสม์นิ่งคิดอยู่อึดใจ “ก็อยู่เวรต่อเลย กลับกี่โมงเดี๋ยวจะบอกอีกที”
ภาวัฒน์โบกมือส่งคุณหมอหนุ่มไปทำงานที่หน้าลิฟต์ แล้วรีบวิ่งกลับเข้าห้องไปสลัดชุดอยู่บ้านออกเปลี่ยนจากเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเป็นกางเกงส์ยีนส์สวมทับด้วยแจ๊คเก็ตหนังตัวเก่ง เขาไม่สนใจหรอกว่าปาวัสม์จะเข้าเวรอะไรหรือเลิกงานกี่โมงกี่ยามเพราะเขามีแผนการที่เตรียมไว้ตั้งแต่สี่ปีที่แล้ว
น่าเสียดายดอกบลูซัลเวียต้นนั้นที่เขาไม่อาจเอามันข้ามน้ำข้ามทะเลกลับมาด้วยได้ ภาวัฒน์จึงย้ายมันออกจากกระถางไปปลูกลงดินไว้ในสวนหลังหอพักที่มหาวิทยาลัยก่อนเดินทางกลับมาเมืองไทย
วันนั้นปาวัสม์เซอร์ไพรส์เขาโดยไม่ทันตั้งตัว วันนี้แหละเขาจะขอเป็นฝ่ายชิงลงมือทำเซอร์ไพรส์ก่อน
ภาวัฒน์ขับมอเตอร์ไซค์คู่ใจออกไปร้านดอกไม้ เพราะเป็นช่วงวันแห่งความรักทุกๆ ร้านจึงมีแต่ดอกกุหลาบหลากสีขายยากนักที่จะหาดอกไม้ที่ต้องการซึ่งไม่เป็นที่นิยม ทว่าเขาก็ไม่ละความตั้งใจ หลังจากขับวนรถหาอยู่หลายร้านจนบ่ายคล้อย ในที่สุดก็เจอร้านที่ขายดอกบลูซัลเวียสีม่วงอมน้ำเงินเหมือนต้นนั้น
จะให้ดอกกุหลาบก็คิดว่าหวานเกินไปสำหรับคุณหมอ ER หน้าดุ ดอกไม้ชนิดอื่นความหมายดีๆ ก็มีอีกเยอะ แต่เขาอยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าวันนี้เมื่อสี่ปีก่อนเขาดีใจมากแค่ไหนที่ได้รับของขวัญชิ้นนี้มา
เพราะไม่มีแบบเป็นต้นขาย ภาวัฒน์จึงให้ทางร้านจัดเป็นช่อห่อด้วยถุงกระสอบผูกโบสีฟ้าดูสวยเก๋เข้ากับสีของกลีบดอกไม้... และที่สำคัญหมอปืนชอบสีฟ้า... น่าจะนะ เขาเดาจากที่เจ้าตัวชอบโดเรมอน
“จะรับการ์ดด้วยไหมคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมอยากบอกกับเจ้าตัวเองมากกว่า”
พนักงานสาวประจำร้านดอกไม้เสใช้มือทัดผมเหน็บข้างหู นัยน์ตาเปื้อนยิ้มกับรอยยิ้มละมุนบนริมฝีปากลูกค้าหนุ่มตรงหน้าทำเอาเธออายม้วนและนึกอิจฉาคนที่จะได้รับความรักของเขาไป
ภาวัฒน์รับช่อดอกไม้มาไว้ในอ้อมแขน เขาก้มลงแตะปลายจมูกโด่งข้างกลีบบางสูดกลิ่นหอมอ่อนจางแล้วเดินออกไปขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ขับออกไป
ก่อนกลับก็แวะซื้อของสดสำหรับทำเมนูโปรดของปาวัสม์ที่แอบศึกษาจากยูทูปมาหลายวัน
“ไข่ทรงเครื่อง ห่อหมกทะเล ปีกไก่อบซอส กุ้งเทมปุระ” ภาวัฒน์นึกทวนเมนูในใจพลางนับนิ้วเมื่อเห็นว่าไม่มีผักเลยคิ้วเรียวก็มุ่นเข้าหากัน ...วันนี้เป็นวันพิเศษจะละเว้นให้วันนึงละกัน
พอตกเย็นอาหารทั้งของคาวและขนมที่ไม่ได้หวานมากเพราะปาวัสม์ไม่กินหวานก็ถูกจัดใส่กล่องเรียบร้อยวางคู่กันกับช่อดอกไม้เตรียมออกเดินทางไปห้องฉุกเฉิน
เขาอมยิ้มภูมิใจกับผลงานของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องหยุดหรือออกไปเที่ยวไหนๆ แค่ได้อยู่ด้วยกันก็มีความสุขแล้วแม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม
แต่ก่อนจะออกรถ เขาก็ต้องแน่ใจว่าเป้าหมายจะไม่ยุ่งจนเกินไปและไม่เป็นการรบกวน ภาวัฒน์เปลี่ยนไปสวมชุดนอน ขยี้ผมให้ยุ่งแล้วมุดขึ้นเตียง ถึงจะเผื่อใจไว้แล้วว่าจะไม่รับแต่ถ้าเกิดรับแล้วกดเป็นวีดีโอคอลขึ้นมาจะได้ไม่เสียแผน จัดแจงต่อสายเพียงแค่อึดใจปาวัสม์ก็กดรับ
“หมอปืนทำอะไรอยู่”
“ทำงานน่ะสิถามได้”
...ถ้ายังรับโทรศัพท์ได้แสดงว่าไม่ยุ่ง...
“มีอะไร”
“แค่จะโทรมาถามว่าวันนี้ไม่กลับแน่นะ”
“อือ”
“งั้นผมนอนแล้วนะ”
“นอนเร็วจังเพิ่งจะสองทุ่มเอง”
“ก็เมื่อคืนไม่ค่อยได้นอนนี่นา วันนี้ว่างเลยต้องซัดให้เต็มอิ่ม”
“ดีแล้ว อย่าให้จับได้นะว่าแอบออกไปไหนกับเจ้าเทมส์น่ะ”
“จะไปได้ไง หมอนั่นไปเที่ยวกับแฟนแล้ว”
“อ้าว หมอนั่นหนีไปมีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็ตอนที่หมอปืนไม่รู้น่ะแหละ... หาววว ไม่เอาไม่คุยแล้ว แค่นี้นะครับ” ภาวัฒน์แกล้งทำเสียงงึมงัมเหมือนคนง่วงจัดแล้วกดวางสาย
ล็อกเป้าหมายเรียบร้อย เขาก็กระโดดลุกจากเตียงเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อเชิ้ตกางเกงสแลค หวีผมเรียบร้อย จัดของใส่เป้แล้วคว้ากุญแจรถเดินผิวปากฮัมเพลงออกไปอย่างอารมณ์ดี
OOOOOO
“สวัสดีครับพี่สาวคนสวย วันนี้งานยุ่งไหมครับ” ภาวัฒน์เท้าแขนลงบนเคาน์เตอร์พลางส่งยิ้มหวานให้พยาบาลสาวที่นั่งหน้ามุ่ยอยู่กับงานเอกสาร
นัยน์ตากรีดอายไลเนอร์คมกริบที่กำลังจับจ้องอยู่บนหน้ากระดาษตวัดมองเขียวปัดให้คนปากกล้า แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใครแววตาก็กลับอ่อนโยนลงทันที “อ้าว น้องพลุมาทำอะไรจ๊ะ ไม่สบายเหรอ”
“เปล่าครับ” ภาวัฒน์รีบบอก “ผมสบายดีแค่ผ่านมาทางนี้เลยอยากแวะมาทักทายน่ะครับ”
ชโลธรขมวดคิ้วพลางพินิจดูร่างสูงโปร่งตรงหน้า หลังกลับมาจากเรียนต่อภาวัฒน์ก็ยังแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนที่นี่บ่อยๆ ถึงจะคุ้นเคยกับมาดทนายหนุ่มใส่สูทผูกไทแต่รู้สึกว่าวันนี้จะดูหล่อเป็นพิเศษ ไหนจะยังดอกไม้ช่อสวยในมืออีก “มาหาใครจ๊ะ”
“หมอปืนอยู่ไหมครับ”
ชโลธรย่นย่นคิ้วก่อนจะหันไปดูตารางแพทย์เวรบนบอร์ดที่ด้านหลังให้แน่ใจว่าไม่ได้จำผิด “วันนี้หมอปืนไม่อยู่เวรนะ เห็นรีบเก็บข้าวของออกไปกับหมอจิวตั้งแต่สี่โมงแล้วคงนัดไปกินเหล้ากันละมั้งท่าทางลัลลาน่าดู แล้วพรุ่งนี้ก็หยุดด้วยเห็นว่าจะไปธุระนะ มาเวรอีกทีก็วันจันทร์เลย”
“ไม่อยู่เวรเหรอครับ?” ภาวัฒน์ทวนคำอย่างไม่เชื่อหูในเมื่อเขาเพิ่งจะวางสายไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงนี่เอง
“ใช่จ๊ะ” นัยน์ตากรีดอายไลเนอร์คมกริบเหลือบมองซ้ายขวาก่อนพยาบาลสาวจะชะโงกตัวข้ามเคาน์เตอร์มาป้องปากกระซิบกระซาบ “สงสัยจะไปเที่ยวกับแฟนน่ะ หมู่นี้หมอปืนอินเลิฟน่าดู ไม่รู้อีกฝ่ายเป็นใครแต่เลิกงานนี่รีบตรงดิ่งกลับบ้านทุกวันเลย”
“เหรอครับ"
“น้องพลุกับหมอปืนสนิทกันไม่เคยได้ยินเลยเหรอ”
“ไม่ครับ”
“ว้า แย่จัง พี่ก็นึกว่าเราจะรู้ซะอีก แอบถามกับหมอจิวก็ไม่ยอมบอก”
“ผมไปก่อนนะครับ” ภาวัฒน์กระซิบ “ขอโทษนะครับ พอดีไม่รู้ว่าพี่มิลค์อยู่เวรเลยไม่ได้ซื้ออะไรติดมือมาฝาก”
“ไม่เป็นไรจ้าแฮปปี้วาเลนไทน์ เที่ยวให้สนุกเผื่อพี่ด้วยน้า~... อ้าว ก็กำลังจะไปหาแฟนไม่ใช่เหรอ” รีบต่อตอนท้ายเมื่อเห็นชายหนุ่มชะงักและหันมาทำหน้างงๆ
ภาวัฒน์ก้มลงมองดอกไม้ในมือ “ครับ”
“อิจฉาคนได้หยุดจังมีฉลองล่วงหน้าด้วย พรุ่งนี้พี่ต้องอยู่เวรเช้าบ่าย นี่ตั้งใจว่าจะโทรตามให้แฟนเอาข้าวมาส่งที่นี่จะได้กินด้วยกัน เวลาเรามีน้อยก็แบบนี้แหละต้องใช้ให้คุ้มค่า”
“ครับ”
“แล้วนี่น้องพลุจะพาแฟนไปไหน”
“ไม่รู้สิครับ เห็นเขาบอกว่าต้องทำงาน แต่ก็เหมือนจะโกหก สงสัยคงไม่อยากอยู่กับผม”
หน้าหวานเจื่อนไปเล็กน้อย “คิดมากไปหรือเปล่า ทั้งหล่อแถมยังนิสัยดีอย่างน้องพลุมีใครบ้างไม่อยากอยู่ด้วย”
“จริงเหรอครับ” ภาวัฒน์พยายามฝืนยิ้มให้ดูดีที่สุดก่อนจะบอกลาอีกครั้ง “ผมไปนะครับ”
“ขับรถดีๆ นะจ๊ะ”
ภาวัฒน์เดินกลับมายืนพิงรถมอเตอร์ไซค์ เขาวางช่อดอกไม้ลงบนอานแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก ปลายสายรับโทรศัพท์ทันทีซ้ำยังตอบเสียงใส
“ว่าไง”
“ตอนนี้หมอปืนอยู่ไหนครับ”
“ก็อยู่ที่โรงพยาบาลน่ะสิ ทำงานอยู่”
นัยน์ตาสีดำขลับจ้องมองป้ายที่เขียนว่า ‘ห้องฉุกเฉิน’ ตรงหน้า “จริงเหรอครับ”
ปลายสายเงียบไปอึดใจ “ทำไมถามแบบนั้นล่ะ”
‘ผมยืนอยู่หน้าห้องฉุกเฉินออกมาหาหน่อยสิ’
ได้แต่คิดในใจและตอบออกไปว่า “เปล่าครับ หมอปืนทำงานเถอะผมไม่กวนแล้ว” ถ้าอีกฝ่ายไม่อยากบอกเขาก็ไม่อยากถาม
ภาวัฒน์ก้าวขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์และขับออกไป แต่เขาไม่ได้กลับไปห้องที่คอนโดของปาวัสม์ จะไปทำไมในเมื่อเจ้าของห้องไม่อยู่ เขาบิดเร่งเครื่องยนต์ให้ดังเพื่อกลบเสียงกระซิบลึกๆ ที่แสนอ่อนแอในหัวใจแล้วเลี้ยวรถไปยังหอพักของตัวเอง
OOOOOO
เสียงโทรศัพท์ดังซ้ำๆ กันทำให้ภาวัฒน์สะดุ้งลืมตามองนาฬิกาบนฝาผนัง ตอนนี้เที่ยงคืนกว่าแล้วและคนที่จะโทรมาหาเวลานี้ก็มีแค่คนเดียว เขาหยิบโทรศัพท์มามองดูชื่อคนโทรเข้าอยู่อึดใจก่อนจะกดรับ “มีอะไรครับ”
“ไม่ต้องมาถามว่ามีอะไร!” เสียงทุ้มดุมาตามสายจนเขาต้องยกหูออกห่าง “ตอนนี้อยู่ที่ไหน แล้วเสียงแบบนั้นคืออะไร... เมา? ไหนบอกว่าจะนอนอยู่บ้านไงแล้วนี่ออกไปกินเหล้ากับใคร ทำไมต้องโกหกด้วย”
“ใครกันแน่ที่โกหก” ภาวัฒน์ย้อนถามเสียงห้วน
“นายพูดเรื่องอะไร”
“ผมอยู่ที่ห้อง ไม่ได้ไปไหน เหล้าก็กินอยู่ที่ห้องคนเดียวนี่แหละ”
“แล้วกินทำไม”
“แค่อยากกิน” ตอบเสียงดังฟังชัด “ผมตอบคำถามแล้วนะ ถึงตาหมอปืนตอบผมบ้างแล้วว่าโกหกผมทำไม”
“ฉันโกหกนายเรื่องอะไร”
“วันนี้หมอปืนไม่ได้อยู่เวร” คำตอบที่ส่งไปทำเอาคนฟังเงียบไปทันที “พรุ่งนี้ก็หยุด”
“นายรู้ได้ไง”
“เพราะผมไปหาหมอปืนที่โรงพยาบาลมาน่ะสิ... มีธุระ อยากไปเที่ยวกับคนอื่นหรือแค่ไม่อยากอยู่กับผมก็บอกกันดีๆ ก็ได้ครับ ทำไมต้องโกหกแล้วให้ผมจับได้ด้วย”
ปลายสายเงียบไปอึดใจก่อนจะตอบกลับมา “นายอยู่หอใช่ไหม”
“ทำไมครับ”
“เอาให้แน่นะ อยู่ตรงนั้นเลยนะห้ามไปไหนอีกครึ่งชั่วโมงฉันจะไปหา” แล้วปาวัสม์ก็กดตัดสาย
“เดี๋ยวหมอปืน... โธ่! อะไรเนี่ยยังคุยไม่รู้เรื่องเลย” ภาวัฒน์ยกมือขึ้นเสยผมที่ลู่ลงปรกหน้าก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งนวดข้างขมับ ยังมึนๆ อยู่เล็กน้อยจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มไปเมื่อหัวค่ำเพราะอยากนอนให้หลับจะได้ไม่ต้องคิดอะไรเรื่อยเปื่อย พลางกวาดตามองกระป๋องเบียร์เปล่าที่ล้มกลิ้งอยู่บนโต๊ะ เขาดื่มไปแค่ไม่กี่กระป๋องก็จริงแต่เป็นเพราะท้องว่างเลยเมาเร็วและเผลอหลับไปบนโซฟานั่นเอง
นั่งงงๆ ยังไม่ทันจะลุกไปไหน เสียงออดที่หน้าประตูก็ดังรัวขึ้นติดๆ กัน
ติ๊งต่อง! ติ๊งต่อง! ติ๊งต่อง!
“มาเร็วจัง”
ร่างโปร่งรีบเดินไปเปิดประตู ในใจคิดหาคำต่อว่าไว้ร้อยแปด แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีคำไหนได้ใช้จริงสักคำ
เพราะเมื่อประตูเปิดออกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ร่างสูงที่คุ้นเคย แต่กลับกลายเป็นดอกกุหลาบจำนวนนับไม่ถ้วนที่อัดแน่นอยู่เต็มกรอบประตูจนมองไม่เห็นคนถือ กลีบเนียนละเอียดดั่งกำมะหยี่สีแดงสดชูช่อไสวกรุ่นกลิ่นหอมฟุ้งและถูกจัดเป็นช่อด้วยกระดาษแก้วสีฟ้าอ่อนผูกโบสีน้ำเงินเข้ม
“อะไรเนี่ย”
“ยังจะถามอีก” เสียงของปาวัสม์ดังมาจากหลังช่อกุหลาบ เขาต้องใช้สองมือเพื่อประคองมันไว้ในอ้อมแขน “ขอเข้าไปหน่อยได้ไหม”
ภาวัฒน์ดึงประตูเปิดจนสุดและเบี่ยงตัวหลบให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาและปิดประตู
“หมอปืนซื้อมาทำไมเยอะแยะ”
“แล้ววันนี้มันวันอะไรล่ะ”
แม้จะรู้อยู่เต็มอกแต่ภาวัฒน์ยังเหลือบตามองปฏิทินให้แน่ใจ
“ให้อุ้มกับจิวพาไปซื้อที่ปากคลองตลาดมา” ปาวัสม์ขยายความ
“ทำไมต้องลงทุนถึงขนาดนั้น ร้านขายดอกไม้แถวนี้ก็มีนี่ครับ”
“ฉันกลัวซื้อแบบที่อยากได้ไม่ถึงจำนวนที่ตั้งใจไว้น่ะ”
จริงอยู่ว่าปาวัสม์เป็นคนง่ายๆ แต่เพราะงานที่หนักทำให้แค่ห้างสรรพสินค้ายังขี้เกียจไปเดิน ถ้าไม่ใช่เพราะสำคัญจริงๆ บางทีเขาคงไม่รู้ดวยซ้ำว่ามันมีตลาดสด ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขอบคุณวิทยาที่พาไป แล้วก็อีกคนที่ลืมไม่ได้เลยก็คือนุชนันท์ที่อุตส่าห์สละเวลาปั่นยอดMV โอป้าไปเดินเลือกเป็นเพื่อน
“แล้วซื้อมากี่ดอกครับ”
“อยากรู้ก็เอาไปนับเองสิ”
“ให้ผมหมดนี่เลยเหรอ” ภาวัฒน์ถามย้ำให้แน่ใจ “ไม่ได้จะเอาไปแจกใครที่ไหนนะ”
“จะบ้าเหรอ ดอกกุหลาบเขาเอาไว้ซื้อให้แฟน ถ้าไม่ให้นายแล้วจะฉันจะเอาไปให้ใครล่ะ” ปาวัสม์ว่าก่อนจะเว้นวรรคไปเล็กน้อย “ฉันไม่ได้ตั้งใจโกหกนะ ก็ไม่รู้จริงๆ นี่นาว่าจะซื้อเสร็จกี่โมงไหนจะต้องริดหนามจัดช่ออีก... ขอโทษนะที่ทำให้ไม่สบายใจ”
ภาวัฒน์ไม่ตอบ ตาก็เหลือบไปมองมือใหญ่ ที่มีพลาสเตอร์ปิดไว้จนเกือบครบทุกนิ้ว เขาเบียดตัวแทรกผ่านกลุ่มดอกกุหลาบเข้าไปยืนตรงหน้าเพื่อสบตากันให้ชัดๆ อยู่อึดใจก่อนจะโถมทั้งตัวเข้ากอดคนถือเต็มวงแขนเมื่อบทสนทนาที่น่าจะปลิวหายไปกับสายลมดังขึ้นในหัว
‘เอาไว้อีกสี่ปีมาอยู่ด้วยกันฉันจะซื้อกุหลาบให้นายนะ’
ไม่ใช่แค่ไม่คาดหวังว่าจะได้รับ แต่เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะจำเรื่องที่คุยเล่นกันวันนั้นได้ด้วยซ้ำ ไหนจะความตั้งใจที่สัมผัสได้ จริงอยู่ว่าเรื่องที่กำลังโกรธมันคนละเรื่องกัน แต่เขาก็ยอมยกโทษให้ทั้งหมดตั้งแต่เห็นมายืนอยู่หน้าประตูแล้ว
ปาวัสม์กดศีรษะเข้าแนบแก้มแล้วเลื่อนมือข้างที่ว่างอยู่โอบรอบแผ่นหลังพลางลูบหนักๆ “หายโกรธแล้วนะ”
“เห็นแบบนี้แล้วใครมันจะไปกล้าโกรธล่ะครับ” ภาวัฒน์สอดแขนเข้ารอบเอวแล้วซุกหน้าลงบนบ่ากว้างเพื่อซึมซับความรู้สึกให้ทั่วทุกตารางนิ้วของร่างกาย ทั้งที่เพิ่งจากกันเมื่อเช้าแต่ทำไมนะถึงรู้สึกว่ามันช่างยาวนานเหลือเกินที่ห่างจากไออุ่นของอ้อมกอดนี้
เนิ่นนานหลายนาทีที่ปล่อยให้เสียงเต้นของหัวใจพูดแทนกัน แต่มันคงจะดีกว่านี้ถ้าจะได้เอ่ยผ่านริมฝีปากให้ได้ยิน ปาวัสม์ขยับตัวเล็กน้อยเพื่อกระซิบถามที่ข้างหู “ชอบไหม”
“ชอบครับ”
“แล้วชอบอะไรมากกว่ากัน ระหว่างฉันกับกุหลาบ”
“กุหลาบ”
“อะไรกันนี่ฉันแพ้กุหลาบเหรอเนี่ย” ปาวัสม์แกล้งถอนหายใจเสียงดังเมื่อเสียงอู้อี้ดังออกมาจากไหล่
“แต่ชนะใจผมนะ” ทันทีที่สิ้นเสียงศีรษะที่ประกอบด้วยเรือนผมสีน้ำตาลก็แทบจะจมหายลงไปในอ้อมอก
ปาวัสม์กรีดยิ้มกว้างแล้วกดริมฝีปากเข้าข้างขมับคนปากแข็งหากอีกฝ่ายก็ไม่ยอมน้อยหน้าผงกศีรษะขึ้นมาขโมยหอมแก้มคืนไปฟอดใหญ่
“หมอปืนอะ ทำเอาเซอร์ไพรส์ของผมเป็นเด็กๆ ไปเลย”
ปาวัสม์นึกขึ้นได้ เขาเบี่ยงศีรษะออกเล็กน้อยเพื่อสบตาคนในอ้อมแขน “เออใช่ นายไปหาฉันที่โรงพยาบาลมานี่นา ไหนมีอะไรจะให้ขอฉันดูหน่อยสิ”
ภาวัฒน์หน้าเจื่อนไปทันที “ผมทิ้งไปแล้ว”
“จริงเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ คนมันโกรธนี่นาเรื่องอะไรจะเก็บไว้ล่ะ”
“นายเอาไปทิ้งที่ไหน” ปาวัสม์เสียงเข้มขึ้นทันที “ถังขยะหน้าหอหรือเปล่า”
“ใช่ครับ”
สิ้นคำตอบคุณหมอหนุ่มก็ปล่อยอีกฝ่ายออกจากวงแขนแล้วเดินไปที่ประตูพลางพับชายแขนเสื้อขึ้นจนถึงข้อศอก
“หมอปืนจะไปไหน”
“ก็จะลงไปหาไง ฉันอยากรู้ว่านายจะเซอร์ไพรส์อะไรฉัน ทิ้งไปเมื่อหัวค่ำใช่ไหมนี่เพิ่งตีหนึ่งกว่าๆ รถเก็บขยะคงยังไม่มาเอาไปหรอก”
“เดี๋ยวครับ” ภาวัฒน์เดินตามมาคว้าตัวไว้ได้ทัน “ผมโกหก”
“ยังไงเอาให้แน่”
“ยังไม่ได้ทิ้ง... แต่มันคงใช้ไม่ได้แล้วล่ะ” บอกเสียงอ้อมแอ้ม
“เอามาดูก่อน คนที่จะตัดสินว่าเป็นยังไงมันฉันต่างหาก”
ภาวัฒน์คว้ามือจูงเดินเข้าไปในโซนทำครัว ที่ๆ เขาวางของทั้งหมดกองรวมกันไว้ ปาวัสม์หยิบช่อดอกบลูซัลเวียขึ้นมาดู
นัยน์ตาสีดำขลับหลุบลงต่ำเมื่อเห็นดอกไม้น่าสงสารที่ตรงปลายกลีบเริ่มช้ำเป็นสีน้ำตาลเพราะโดนลมแรงตอนเขาขี่มอเตอร์ไซค์กลับมา คุณหมอหนุ่มวางมันลงแล้วเปิดดูข้าวกล่องทีละชั้นโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“ดอกไม้มันเหี่ยวแล้ว แล้วกับข้าวนี่ก็ชืดหมดแล้ว ถึงจะกินได้แต่ก็ไม่อร่อยแล้วล่ะ”
ปาวัสม์ไม่ว่าอะไรแต่หยิบกุ้งเทมปุระใส่ปากเคี้ยวหยับๆ “รสชาติไม่เลวนี่”
“หมอปืนไม่ต้องฝืนกินหรอกเดี๋ยวผมทำให้ใหม่” ภาวัฒน์ห้ามเมื่อคุณหมอหนุ่มหยิบตัวที่สองยัดตามเข้าไปจนแก้มตุ่ยแล้วดึงเก้าอี้นั่งลงทำท่าเตรียมจะกินข้าวเต็มที่
“หน้าตาฉันดูเหมือนคนฝืนเหรอ” ถามยิ้มๆ พลางหยิบช้อนส้อมขึ้นมา “มานั่งกินด้วยกันสิ ฉันยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เย็นกำลังหิวพอดีเลย” แล้วกัดกุ้งให้ขาดกลางตัวก่อนจะยื่นไปจ่อที่ริมฝีปาก
นัยน์ตาคมพราวระยับกับปลายนิ้วโป้งที่แกล้งแตะสะกิดมุมปากให้รีบชิมทำให้ภาวัฒน์ต้องงับกุ้งเข้าปากแล้วเสมองไปทางอื่น
“งั้นก็เอาไปอุ่นก่อน”
“ให้ไวเลย หิวจะแย่แล้วเนี่ย” คุณหมอหนุ่มดูดนิ้วที่ติดเศษแป้งดังจ๊วบ หากสายตาไม่ได้มองอาหารสักนิด
ภาวัฒน์วางช่อกุหลาบที่ได้รับมาลงเคียงข้างกับช่อดอกบลูซัลเวียบนโต๊ะก่อนจะลำเลียงอาหารเข้าไมโครเวฟจนครบแล้วนำมานั่งทานด้วยกัน และเพียงแค่อึดใจอาหารทุกอย่างก็ถูกจัดการเรียบ
“แล้วไม่มีของหวานเหรอ” ปาวัสม์ยกมือลูบท้อง
“มีเยลลี่ผลไม้ผมเอาไปแช่ไว้ในตู้เย็น เดี๋ยวผมไปเอามาให้นะ”
ร่างสูงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางเฝ้ามองภาวัฒน์เดินไปก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าประตูตู้เย็น เรือนผมสีน้ำตาลด้านหลังยุ่งเหยิงเป็นตูดเป็ดของคนเพิ่งตื่นนอนดูน่ามันเขี้ยวจนนึกอยากเดินเข้าไปช่วยลูบให้เรียบ ชายเสื้อเชิ้ตหลุดลุ่ยจากขอบกางเกงและถูกจับยัดลวกๆ เข้าไปใหม่ทำให้เห็นเนื้ออ่อนวับแวมตอนก้มตัวลงจนนึกอยากจะ...
ริมฝีปากเม้มสนิทอยู่อึดใจก่อนปาวัสม์จะผุดลุกจากเก้าอี้แล้วเดินเข้าไปยืนซ้อนหลังเงียบๆ
“หมอปืนจะเอาอะไรครับ”
“วาเลนไทน์ใครเขากินเยลลี่ มันต้องช็อคโกแลตสิ”
คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน “หมอปืนไม่ชอบของหวานไม่ใช่เหรอ”
“แต่ของหวานบางอย่างฉันก็กินนะ อย่างอันนี้ไง” ปาวัสม์ดันประตูปิดตู้เย็นปิด ก่อนจะสอดมือใหญ่เข้ารั้งรอบเอวสอบแล้วซุกหน้าลงบนเรือนผมสีน้ำตาลนุ่มสูดกลิ่นแชมพูที่แสนชอบ “ขอบใจนะพลุ”
ภาวัฒน์ใช้สองมือโอบทับท่อนแขนถือเป็นการอนุญาตให้คนที่กอดไว้โถมน้ำหนักหนักตัวใส่เต็มที่ “ผมก็เหมือนกัน”
“แล้วตกลงนายอยากได้อะไร” ปาวัสม์วางคางเกยลงบนไหล่แล้วกระซิบถามคำถามที่ยังคงไม่ได้รับคำตอบตั้งแต่สี่ปีที่แล้ว “นายสัญญาว่าถ้าเจอหน้ากันแล้วจะบอกไง”
ภาวัฒน์ย่นคิ้ว คนอะไรความจำดีชะมัด “อยากรู้จริงๆ เหรอครับ”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“ไม่บอก”
“ขี้โกง” ปาวัสม์บ่นก่อนจะแกล้งงับแรงๆ ลงบนซอกคอขาวจนเป็นรอยฟัน “บอกมาเดี๋ยวนี้ ไม่บอกจะกินแล้วนะ”
ภาวัฒน์หัวเราะคิก “งั้นไม่บอกดีกว่า”
“บอกมาเร็ว” แล้วเปลี่ยนไปกดริมฝีปากเข้าข้างแก้มจนบุ๋มแต่คนบางคนก็ยังคงเล่นตัว
“ไม่!”
“บอกมานะ!” ปาวัสม์แกล้งเป่าลมอุ่นเข้าหูแล้วขบเม้มเล่นตรงปลายจนขึ้นสี
“หมอปืนอย่ามันจั๊กจี้” ภาวัฒน์พยายามดิ้นหนีแต่ฝ่ามือใหญ่กลับรัดแน่นขึ้นอีก “ไม่เอา”
“งั้นก็บอกสิ” แล้วหันไปเป่าลมใส่หูอีกข้างอย่างเท่าเทียม
เพราะหัวเราะจนเหนื่อย เขาจึงยอมตอบคำถามในที่สุด “หมอปืนก็ให้ผมมาแล้วไง”
“อะไร” ปาวัสม์ถามย้ำ “ตกลงนายอยากได้กุหลาบจริงๆ ใช่ไหม”
ภาวัฒน์ส่ายหน้า
“ตกลงมันอะไรเล่า” คนรอฟังคำตอบหน้ามุ่ย
“เอาหูมาสิครับ”
ปาวัสม์เขยิบหน้าเข้าไปใกล้มากขึ้นอีก และเงี่ยหูรอฟังอย่างใจจดใจจ่อเมื่อมือหยาบเลื่อนมากุมที่ข้างแก้มก่อนที่ภาวัฒน์จะเอียงหน้ามากระซิบคำตอบที่ได้จะยินกันแค่สองคน
นัยน์ตาคนฟังพราวระยับในขณะที่คนพูดยั่วยิ้มมุมปาก มือใหญ่จับตัวร่างโปร่งพลิกตัวกลับมาเบียดกับอกกว้างพร้อมกับกดจูบลงบนริมฝีปากที่ตอบรับสัมผัสทันที ต่างฝ่ายต่างเริ่มต้นแตะอยากหยอกเย้าคล้ายจะละเลียดชิมก่อนจะค่อยแทะเล็มด้วยคำที่ใหญ่ขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแทบจะละลายอยู่ในอ้อมแขนของกันและกัน
“ช็อคโกแลตชิ้นนี้หวานจัง”
ภาวัฒน์คล้องมือลงรอบคอร่างสูงแล้วประสานกันไว้ด้านหลังศีรษะ “กินให้หมด อย่าให้เหลือนะครับ”
OOOOOO
ลมหนาวที่พัดผ่านหน้าต่างเข้ามาต้องผิวเนื้อที่ไร้อาภรณ์ปกปิดทำให้ร่างสูงบนเตียงนุ่มพลิกตัวหาหมอนข้างอุ่นข้างกาย แต่เมื่อพบว่าใครบางคนไม่นอนอยู่ตรงนั้นเปลือกตาก็เปิดพรึ่บขึ้นทันที
ปาวัสม์เหลียวมองซ้ายขวารวดเร็วครั้นเห็นร่างโปร่งนั่งกองอยู่บนพื้นข้างเตียงจึงค่อยเบาใจ เขาเอื้อมมือไปหยิบแว่นมาสวมเพื่อมองภาพตรงหน้าให้ชัด
ภาวัฒน์กำลังง่วนทำอะไรบางอย่าง ในแสงสลัวของยามเช้าทำให้เห็นผิวขาวเนียนที่โผล่พ้นเสื้อนอนตัวหลวมซึ่งเจ้าตัวสวมไว้ลวกๆ โดยไม่ติดกระดุมสักเม็ดตัดกับสีแดงอ่อนนุ่มของกลีบกุหลาบที่กองอยู่เต็มหน้าตัก
“ทำอะไรอยู่น่ะ”
“ก็หมอปืนบอกให้นับว่ามีกี่ดอกผมก็กำลังทำอยู่นี่ไงครับ” ตอบโดยไม่หันมา
คุณหมอหนุ่มพลิกตัวนอนตะแคงข้างใช้มือหนุนต่างหมอนเฝ้าดูคนผมน้ำตาลค่อยพลิกช่อดอกไม้ไปมาและนับอย่างตั้งใจ “แล้วเสร็จหรือยังล่ะ”
“หมอปืนอย่างเพิ่งขัดสิ” ภาวัฒน์ว่า “ถึงไหนแล้วนะ... 996 997 998 ทั้งหมดมี 999 ดอกครับ”
“เยอะเนอะ”
“ครับ เยอะมากเลย”
“พลุ” ปาวัสม์เอ่ยเรียกเบาๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่จิ้มนิ้วลงบนหน้าจอโทรศัพท์และเงียบไปนานสองนาน
“ครับ”
“กุหลาบแดง 999 ดอกมันแปลว่า ‘รักนะ’ นายรู้ใช่ไหม”
ภาวัฒน์วางโทรศัพท์ในมือลงและค่อยหันหน้ามา “ไม่ใช่สักหน่อย” เว้นวรรคไปเล็กน้อย นัยน์ตาสองคู่สบกันนิ่งก่อนเขาจะพูดต่อ “กุหลาบไร้หนามคือ ‘รักแรกพบ’ และจำนวน 999 ดอกหมายถึง ‘ผมจะรักคุณจนวินาทีสุดท้าย’... ตอนนี้ผมรู้แล้ว แล้วหมอปืนล่ะรู้หรือยัง”
คิ้วหนาย่นเข้าหากัน “ตกลงว่านั่นเป็นประโยคบอกเล่าหรือประโยคคำถาม”
ภาวัฒน์ลุกขึ้นจากพื้น วางช่อกุหลาบลงบนโต๊ะหัวเตียงก่อนจะใช้มือดันไหล่ปาวัสม์ให้นอนหงายแล้วตวัดขาขึ้นนั่งคร่อมลงบนหน้าอก
มือใหญ่เลื่อนขึ้นวางบนหน้าขา นัยน์ตาคมพราวระยับขึ้นจนน่าหมั่นไส้ ในขณะที่คนหน้าเป็นจุดยิ้มทะเล้นลงบนมุมปาก ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความภาวัฒน์คว้าผ้านวมดึงขึ้นคลุมตัวทั้งคู่เพื่อหนีให้พ้นจากแสงอาทิตย์ยามเช้าที่ส่องผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาพร้อมกับก้มลงกระซิบที่ข้างหู
“เป็นประโยคบอกรักครับ”
คำว่า ‘รัก’ ไม่ว่ามันจะอยู่ในประโยคแบบใด มันก็ดีทั้งนั้นถ้าได้เอ่ยบอกออกไปกับใครสักคน~
Thank you all for your LO❤E
Happy Valentine Day Ka
leGGyDan