❤ Special Moment : You are my Valentine ❤
“หมอปืน~ รู้ไหมวันนี้ วันอะไร?” เสียงคำถามกรอกเข้ามาในโทรศัพท์
“วันพุธ”
แอบได้ยินเสียง ‘หึ’ ดังมาตามสายทันทีที่พูดจบ คนในชุดกาวน์อีกฝั่งของโทรศัพท์อมยิ้มมุมปาก ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการได้ยินคำตอบว่าอะไร แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องตามใจให้เคยตัว
ปาวัสม์นั่งลงบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานก่อนจะเหยียดขาออกเต็มที่เพื่อไล่ความเมื่อยล้า ทำงานมาตั้งแต่เช้าเพิ่งจะมีเวลาว่างก็ตอนนี้แล้วคนบางคนก็โทรมาได้จังหวะพอดี
“ไม่เอา ตอบดีๆ สิ วันนี้วันอะไรครับ”
ปาวัสม์เงยหน้าขึ้นมองวันที่บนปฏิทินของเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งเขาใช้ปากกาไฮไลท์เขียนรูปหัวใจทับไว้ “อ๋อ! วันนี้วันวาเลนไทน์”
“แล้ว...”
“มิน่าสิ เช้ามามีแต่คนเอาช็อคโกแลตมาให้ เรามันก็คนไม่กินหวานไม่รู้จะทำยังไงดี” คุณหมอหนุ่มแกล้งทำเสียงหนักใจพลางหยิบกล่องขนมหลากสีหลายขนาดบนโต๊ะขยับวางซ้อนกันไปมาให้เกิดเสียงกุกกักประกอบเรื่องเล่าของตน
“ไม่กินแล้วรับมาทำไมล่ะ”
“กลัวเขาเสียน้ำใจ”
“ว่าแต่ผมปากหวานอัธยาศัยดี แต่รู้สึกว่าคนบางคนจะใจดีมากกว่าผมอีกนะ”
“แล้วพ่อคนอัธยาศัยดีได้มากี่กล่องล่ะ”
“ถึงมีคนให้ก็ไม่รับหรอก”
“ทำไมล่ะ”
“ก็รอคนบางคนให้”
ปาวัสม์หัวเราะลงคอ “ที่นู่นมืดแล้วเหรอทำไมฝันไวจัง... ตกลงโทรมามีอะไร คงไม่ได้จะแค่โทรมาถามว่าวันนี้วันอะไรใช่ไหม”
“เอ่อ... คือ...”
“อ้าว เงียบไปทำไมล่ะมีอะไรก็พูดมาสิ”
“ผมแค่...”
“เร็วสิ รอฟังอยู่นะ”
“ผมแค่จะบอกว่า...” ภาวัฒน์ลุกจากโต๊ะหนังสือเดินไปนั่งลงบนเตียง ริมฝีปากเม้มสนิทรวบรวมความกล้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเอ่ยออกไป “ผมคิด...”
ยังพูดไม่ทันจบเสียงหญิงสาวคนหนึ่งดังแทรกเข้ามาในสาย
“Excuse me Dr.Pawat , we need you immediately.”
“I’m coming.” ปาวัสม์หันไปตะโกนตอบพลางหนีบโทรศัพท์เข้าข้างหูพร้อมกับคว้าหูฟังคล้องรอบคอและออกวิ่งเหยาะๆ ตามหลังพยาบาลสาวไปห้องฉุกเฉิน “ว่าไง”
“ผมแค่จะบอกว่า อาทิตย์หน้ามีสอบและผมคิดว่าผมต้องทำได้คะแนนดีไม่สอบตกแบบคราวที่แล้วแน่ๆ เลย”
“ดีมาก มีอะไรอีกไหม”
“ผม... ไม่มีแล้วครับ”
“งั้นแค่นี้นะ”
“โธ่เอ๊ย!” ภาวัฒน์มองโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายไปแล้วก่อนจะใช้มือขยี้ผมน้ำตาลจนยุ่งแล้วล้มตัวลงนอนแผ่หลาบนเตียง นัยน์ตาสีดำเหม่อมองฝ้าเพดานเหนือหัว แต่ใจกลับลอยไปไกลถึงคนที่เพิ่งวางสาย ก่อนจะถอนหายใจเสียงดังให้กับความไม่ได้เรื่องของตัวเอง อุตส่าห์รวบรวมความกล้าเป็นวันๆ คิดคำสวยๆ เตรียมไว้มากมายเพื่อใช้สิทธิ์พิเศษของวันวาเลนไทน์เพื่อที่จะบอกความในใจแต่สุดท้ายเขาก็พูดไม่ออกอยู่ดี
เมื่อก่อนก็ยังแซวกันขำๆ เรื่องเรียกคำแสดงความเป็นเจ้าของหรือแกล้งหยอดคำหวานใส่ได้ไม่อายปาก แต่ครั้นพอได้ขยับสถานะขึ้นมาอีกขั้นนี่แค่คำพื้นๆ อย่าง ‘คิดถึง’ ยังตบปากตัวเองแทบตาย คำว่า ‘รัก’ นี่ลืมไปได้เลยต่อให้พ้นสัญญาสี่ปีก็ไม่ยอมพูดให้ได้ยินหรอกแค่คิดก็เขินจะตายอยู่แล้ว
ภาวัฒน์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเบอร์โทรออกที่ยังคงค้างอยู่ ภาพโปรไฟล์ที่ตั้งไว้เป็นภาพถ่ายคู่กันตอนไปเที่ยวดอยสุเทพด้วยกันเมื่อปีที่แล้ว
...คิดถึง อยากเจอ...
สองคำนี้ผุดขึ้นมาในหัวซ้ำแล้วซ้ำอีก มือหยาบดึงโทรศัพท์มาแตะที่ริมฝีปากก่อนจะวางลงแนบอก อยากบอกว่ารัก อยากตะโกนให้ได้ยินดังๆ ว่าคิดถึง แต่ด้วยระยะทางตอนนี้คงทำได้แค่คิดสินะ
ยิ่งคิดยิ่งฟุ้งซ่าน รายงานการบ้านก็ทำจนเสร็จหมดแล้วไม่รู้จะทำอะไรต่อ ครั้นจะออกไปเดินเล่นในเมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นมหานครแห่งความรักในวันแห่งความรักเช่นนี้ถือว่าเป็นการฆ่าตัวตายเดี่ยวแบบน่าอดสูสุดๆ คิดได้ดังนั้นภาวัฒน์ก็ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมหน้าพร้อมกับปิดตาลง ตื่นมาอีกทีขอให้เป็นเช้าวันพรุ่งนี้เลยละกัน
ภาวัฒน์มาสะดุ้งรู้ตัวอีกก็ตอนเสียงโทรศัพท์ดัง เขารีบคว้ามากดรับพลางเหลียวมองรอบกายที่มืดสนิทมีเพียงแสงไฟสีอมส้มจากไฟดวงกลมริมถนนที่หน้าหอพักส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาเท่านั้น นึกสงสัยจับใจว่าคนโทรมีธุระสำคัญอะไรดึกๆ ดื่นๆ เช่นนี้
“สวัสดีครับ”
“ทำไมรับช้าจังโทรตั้งนานแล้วนะ”
“ผมหลับอยู่ ขอโทษทีครับ หมอปืนมีอะไรโทรมาซะดึกเชียว” ถามพลางใช้หลังมือขยี้ตาและลุกไปเปิดไฟ
“โทษทีลืมไป ก็ที่นี่มันยังไม่มืดนี่นา” ปาวัสม์ว่า “มีเรื่องให้ช่วยหน่อย”
“เรื่องอะไรครับ”
“พอดีเพื่อนหมอที่นี่บ้านอยู่ฝรั่งเศส แล้วทีนี้เขาส่งไปรษณีย์ไปให้แม่แต่ดันจ่าหน้าผิดไปส่งอีกที่น่ะ เพิ่งติดตามของได้ ที่อยู่มันใกล้ๆ มหา’ลัยนายพอดี นายช่วยออกไปเอาแล้วส่งไปให้ใหม่หน่อยได้ไหม”
ภาวัฒน์เหลือบตาดูนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้ว “ไว้พรุ่งนี้ได้ไหมครับ ผมเกรงใจเจ้าของบ้านแล้วรถเที่ยวสุดท้ายที่ผ่านหน้ามหาวิทยาลัยของผมมีแค่เที่ยงคืนด้วย”
“ไปตอนนี้เลยไม่ได้เหรอของสำคัญจริงๆ นะ เดี๋ยวฉันจะส่งเมลไปบอกเขาให้ว่าจะมีคนไปเอาคืนนี้ แล้วที่นั่นก็ห่างไปแค่ช่วงถนนเดียวเองต่อให้รถหมดก็เดินไปก็ได้นี่ เดี๋ยวส่งที่อยู่ไปให้ดูนะ”
เสียงข้อความเข้าดัง ภาวัฒน์ลดโทรศัพท์ลงเปิดดูบ้านเลขที่ที่ปาวัสม์ส่งมาให้และพบว่ามันอยู่บนถนนเส้นที่เขารู้จัก กะคร่าวๆ น่าจะใช้เวลาเดินแค่สิบห้านาทีจึงยอมรับปาก เขาเดินไปคว้าโอเวอร์โคตมาสวมทับพลางอ่านรายละเอียดที่แนบมาให้อีกครั้ง ก่อนสายตาจะไปหยุดลงตรงบรรทัดสุดท้ายที่เป็นภาษาฝรั่งเศสที่เขาไม่เข้าใจ เขามาเรียนภาคอินเตอร์ ภาษาที่ใช้เป็นหลักคือภาษาอังกฤษ อาศัยครูพักลักจำทำให้ตอนนี้พอรู้ภาษาฝรั่งเศสแค่ซื้อข้าวและถามทางได้
Tu me manques.
“อะไรน่ะ... ชื่อคนเหรอ ไม่ใช่มั้งสงสัยจะเป็นชื่อร้าน”
ร่างโปร่งในโอเวอร์โคตสีน้ำตาลพันผ้าพันคอไหมพรมหนาจนถึงครี่งหน้าออกมายืนบนถนนตากลมหนาวของเดือนกุมภาพันธ์กับความหวานของวันวาเลนไทน์ซึ่งเต็มไปด้วยชายหนุ่มหญิงสาวที่ออกมาเดินพลอดรักกันในยามราตรีดูร้านรวงและสองข้างทางที่ประดับประดับด้วยดอกไม้ซึ่งเน้นกุหลาบแดงที่เป็นตัวแทนของความรักเป็นหลัก หัวใจและกามเทพแผลงศรมีอยู่ให้เห็นทุกหัวมุมถนน เสียงเพลงท่วงทำนองหวานดังมาจากลำโพงหน้าร้านขายซีดี
I wonder how
I wonder why
I wonder where they are
The days we had
The songs we sang together
Oh yeah
And oh my love
We’re holding on forever
Reaching for the love that seems so far
*My Love - Westlife https://www.youtube.com/watch?v=ulOb9gIGGd0
ทั้งที่เป็นเพลงรักแต่ทำไมยิ่งฟังหัวใจยิ่งเหงา สายตาก็กวาดมองไปรอบๆ ก่อนจะไปสะดุดตรงคู่รักคู่หนึ่งที่ยืนจูบกันอย่างดูดดื่มอยู่หน้าร้านอาหาร ทั้งคู่เป็นผู้ชาย หนึ่งในนั้นลืมตาขึ้นมาสบตาเขาพอดีแต่แทนที่จะหยุดกลับยักยิ้วให้แถมยังรุกเร้าคู่ของตน ภาวัฒน์รีบก้มหน้ามองถนนและเร่งฝีเท้าเดินผ่านไป
ทั้งที่ไม่ไกลแต่ดูใช้เวลายาวนานเหลือเกินกว่าจะมาถึงที่หมาย ภาวัฒน์เงยหน้ามองที่อยู่ที่ตั้งค่าไว้ใน GPRS สลับกับสิ่งปลูกสร้างตรงหน้าซึ่งเป็นร้านขายต้นไม้ขนาดสองคูหาตกแต่งหน้าร้านสวยงามด้วยกระถางต้นคริสมาสต์สีแดงสดสวยกับกุหลาบขาวทำเป็นซุ้มรูปหัวใจ เจ้าของร้านเป็นหญิงสาวผมบรอนด์หน้าตายิ้มแย้มผูกผมหางม้าสวมผ้ากันเปื้อนดูทะมัดทะแมง เธอกำลังทยอยเก็บกระถางต้นไม้เข้าด้านในเมื่อใกล้ถึงเวลาปิดร้าน เขาจึงวิ่งเข้าไปหา
“Excuse me, I come for receive my friend’s post. He writes wrong address and postman sent it to your home” (ขอโทษนะครับ ผมมารับพัสดุให้เพื่อนเขาจ่าหน้าที่อยู่ผิดบุรุษไปรษณีย์เลยมาส่งให้ที่บ้านคุณน่ะครับ”
อธิบายเสียยาวเหยียดแต่เจ้าของร้านสาวกลับเอียงคอมองเขางงๆ ภาวัฒน์จึงเปิดหน้าจอโทรศัพท์ที่ปาวัสม์ส่งมาให้ดู
“This is your address.” (นี่ใช่ที่อยู่ที่นี่หรือเปล่าครับ)
เธออ่านอยู่อึดใจก่อนจะทุบกำปั้นลงบนฝ่ามือทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ “Are you Mr. Pawat” (คุณภาวัฒน์ใช่ไหมคะ)
“yes madam.” (ใช่ครับ) ถอนหายใจอย่างโล่งอกดูท่าเธอคงได้รับข้อความของปาวัสม์แล้ว
เจ้าของร้านกวาดตามองเขาทั้งรอยยิ้มก่อนจะบอกให้รอแล้วเดินหายเข้าไปหลังร้าน ห้านาทีต่อมาเธอก็กลับออกมาพร้อมกระถางต้นไม้ผูกโบอันใหญ่สีแดงและวางมันลงบนโต๊ะ
ภาวัฒน์พินิจดูดอกไม้แสนสวยในกระถางเซรามิคใบโตตรงหน้า ลักษณะของมันเป็นต้นเดี่ยวมีใบยาวเรียวสีเขียวสดตรงโคนต้นออกดอกเล็กๆ เป็นช่อยาวสีม่วงอมน้ำเงิน มันไม่น่าใช่พัสดุที่เขาต้องมารับไป “I think we have something wrong. I don’t want to buy any flower.”(ผมคิดว่าคุณคงเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะครับ ผมไม่ได้มาซื้อดอกไม้)
“No”(ไม่ผิดหรอกค่ะ) เจ้าของร้านยืนยัน “This is a gift for you from Dr.Pawat” (นี่ของขวัญของคุณจากคุณหมอปาวัสม์) พลางส่งใบสั่งซื้อของออนไลน์ที่จ่ายเงินเรียบร้อยแล้วให้ดู
“Ahh”
เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลยังไม่มีทีท่าว่าจะเข้าใจเธอจึงชี้ไปที่หน้าจอโทรศัพท์ของเขาและอ่านออกเสียงประโยคที่ลงท้ายในข้อความให้ฟัง
“ตู เมอ มองก์” แล้วชี้ไปที่ดอกไม้ในกระถาง “Blue Salvia… I think someone want to say ‘I miss you’. Happy valentine day.” (ดอกบลูซัลเวีย... ฉันคิดว่าใครบางคนคงอยากบอกคุณว่า ‘คิดถึง’ น่ะค่ะ สุขสันต์วันแห่งความรักนะคะ)
แก้มขาวซับสีเลือดฝาดขึ้นทันทีที่รู้ความหมายของคำลงท้ายที่พ้องกับภาษาดอกไม้ของดอกไม้ชนิดนี้ ภาวัฒน์ค้อมศีรษะขอบคุณ เขาเซ็นรับของบนใบเสร็จแล้วรีบคว้ากระถางต้นไม้เดินออกจากร้าน ทันทีที่ขายาวก้าวพ้นกรอบประตูโทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขึ้นพอดี
“เล่นอะไรเนี่ย” ไม่ต้องดูชื่อคนโทรหรือรอให้อีกฝ่ายพูดเขาก็รู้ว่าเป็นใคร
“ทำเสียงแบบนี้แสดงว่าได้รับแล้ว” ปลายสายหัวเราะคิกคักและฟังดูมีความสุขมากทีเดียว ปาวัสม์ถอดหูฟังวางลงบนโต๊ะที่ตอนนี้กล่องช็อคโกแลตเมื่อเช้าอันตรธานไปหมดแล้ว อันที่จริงเขาไม่ได้รับมาสักกล่องหรอกทั้งหมดนั่นเป็นของที่ตัวเองซื้อไว้หลอกล่อเด็กที่มาห้องฉุกเฉินในวันนี้ต่างหาก “ชอบไหม”
“หนัก” ภาวัฒน์แกล้งทำเป็นบ่นทั้งที่ยิ้มจนแก้มแทบปริ เขาประคองกระถางต้นไม้ไว้ในอ้อมแขนข้างหนึ่งเพื่อคุยโทรศัพท์ให้ถนัด
“ก็ต้องหนักสิ นั่นความคิดถึงของฉันนี่นา”
ถ้อยคำที่ได้ยินทำเอาคนฟังหยุดฝีเท้า หัวใจเต้นแรงไม่เป็นส่ำก้าวขาแทบไม่ออกในขณะที่คนพูดยังจ้อไม่หยุด
ร่างสูงในชุดกาวน์ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนจะหมุนตัวหันหลังให้ประตูและทอดสายตามองผ่านหน้าต่างหลังโต๊ะทำงานออกไปยังท้องฟ้ากว้างด้านนอก ก่อนจะจุดยิ้มกว้างขอบคุณสายลมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่รับฝากข้อความจากหัวใจส่งไปถึงคนไกลที่อยู่อีกฟากของขอบฟ้า
“นี่แค่เสี้ยวเดียวนะ อันที่จริงอยากจะส่งไปให้ทั้งสวนด้วยซ้ำแต่กลัวคนบางคนจะรับไปไม่ไหว... พลุ... อ้าว... เงียบไปซะล่ะ ไม่มีสัญญาณเหรอ พลุ เฮ้! ได้ยินไหม”
คนอีกฝั่งของโทรศัพท์สะดุ้งเบาๆ นัยน์ตาสีดำคู่สวยละจากหมู่ดาวสีทองบนแผ่นฟ้าก่อนจะกะพริบถี่ๆ สามสี่ครั้ง “ฟะ ฟังอยู่ครับ”
“แล้วเงียบทำไม นึกว่าสายหลุด”
“ไม่ได้เงียบเสียหน่อย ออกจะดังไม่ได้ยินเหรอ” ภาวัฒน์กระซิบอ้อมแอ้ม อุณหภูมิที่ลดลงเหลือแค่เลขหลักเดียวทำให้ลมหายใจกลายเป็นไอจางๆ ลอยวนขึ้นในอากาศ เขาดึงผ้าพันคอขึ้นปิดจนถึงสันจมูกแกล้งทำเป็นซุกหน้าหนีความหนาวเพื่อไม่ให้คนเดินผ่านไปผ่านมาสังเกตเห็นแก้มที่แดงไปจนถึงใบหู
“อะไรดัง ไม่เห็นได้ยินอะไรเลย”
“เสียงหัวใจผมไง” ภาวัฒน์ได้ยินเสียงครางเบาๆ ในลำคอคาดว่าคนฟังก็คงกำลังเขินไม่แพ้กันก่อนเสียงทุ้มจะปรับให้เป็นปกติและตอบกลับมา
“แล้วมันพูดว่าไง”
“คิดถึง... เหมือนกันครับ” พูดได้เท่านั้นก็ยกมือปิดหน้าอายตัวเองที่พูดอะไรออกไปก็ไม่รู้ สงสัยจะเป็นเพราะบรรยากาศหวานๆ รอบตัว ที่มอบความกล้าให้เขาพูดความรู้สึกที่เอ่อล้นอยู่ในใจนี้ออกไป
คู่รักที่เขาเจอหน้าร้านอาหารเดินสวนมาทั้งสองเดินแนบชิดอิงไหล่ให้พ้นจากความหนาว ภาวัฒน์ส่งยิ้มกว้างให้พวกเขาพลางกระชับ ‘ความคิดถึง’ ในอ้อมแขนของตนแน่นขึ้นอีกพร้อมกับออกเดินอีกครั้ง
“ทำไมหมอปืนเลือกต้นนี้ล่ะ วาเลนไทน์ต้องเป็นกุหลาบสิ”
“ก็ไม่อยากเหมือนใครนี่นา เอางี้ นายอยากได้อะไรล่ะ”
“ลองทายดูสิครับ”
เสียงหัวเราะร่วนดังแว่วออกมาจากโทรศัพท์เคล้าคลอไปกับสายลมหนาวสุดท้ายที่พัดมาต้องผิวเนื้อให้เย็นยะเยือกแต่อุณหภูมิหัวใจกลับอบอุ่น เสียงเพลงเดิมดังแว่วมาและเป็นฮุกสุดท้ายพอดี
So I say a little prayer
And hope my dreams will take me there
Where the skies are blue, to see you once again… my love.
Overseas from coast to coast
To find the place I Love The Most
Where the fields are green, to see you once again…
To hold you in my arms
To promise you my love
To tell you from the heart
You’re all I’m thinking of
ริมฝีปากจุดรอยยิ้มกว้างมากขึ้นอีก
...ไม่ใช่แค่นับวันแต่ผมนับทุกวินาทีที่เราจะได้เจอกันอีกครั้ง และเมื่อวันนั้นมาถึงผมจะกอดคุณให้แน่นด้วยสองแขนของผมและจะบอกความในจากใจทั้งหมดนี้ให้คุณฟังแต่เพียงผู้เดียว...
(ต่อด้านล่างค่ะ)
(ต่อตรงนี้)
แล้วลมหนาวก็พัดมาอีกครั้งและอีกครั้งจนหมุนเวียนมาเป็นครั้งที่สี่
บนคอนโดหรูย่านใจกลางเมืองหลวงของประเทศไทยที่ขึ้นว่าเป็นมหานครที่ไม่เคยหลับใหล หากตอนนี้ใครบางคนใต้ผ้าห่มผืนหนายังนอนหลับอุตุทั้งที่นาฬิกาปลุกหัวเตียงร้องเตือนเป็นครั้งที่ห้าแล้ว
“หมอปืนตื่นได้แล้ว” คนผมน้ำตาลที่กำลังแปรงฟันอยู่ในห้องน้ำตะโกนเรียกออกมาหลังจากเสียงปลุกดับลงอย่างอ่อนแรง
“ขออีกห้านาที”
เสียงงัวเงียของคนที่ยังไม่ตื่นดีดังออกมาจากโปงผ้าบนเตียง ทำให้ภาวัฒน์ต้องเดินเข้ามากระชากผ้าห่มออก
ร่างสูงในชุดนอนลายทางนอนกอดหมอนข้างแน่นช่างเป็นภาพที่น่ารัก จนเขาอดขำไม่ได้ว่านี่เป็นคนๆ เดียวกับคุณหมอหนุ่มสุดเท่ประจำห้องฉุกเฉิน มันนานเหลือเกินจนเหมือนกับฝันไปว่าในที่สุดจะมีวันที่พวกเขาสามารถข้ามผ่านเส้นอายุและระยะทางหลายร้อยไมล์มาอยู่ด้วยกันจนได้
ภาวัฒน์คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนเตียงและรั้งแขนคนขี้เซาให้ลุกขึ้นมานั่ง “เดี๋ยวไปทำงานสายนะครับ”
“รู้แล้วน่า” ปาวัสม์งึมงัมอ้าปากหาวพลางใช้หลังมือขยี้ตา ถึงเมื่อคืนจะไม่ได้เลิกงานดึกแต่คนบางคนก็พายุ่งจนได้นอนเมื่อตอนใกล้รุ่งสางนี่เอง
“วันนี้จะกลับมากินข้าวเย็นด้วยกันหรือเปล่า”
“ไม่ล่ะวันนี้อยู่เวร แล้วนี่ก็วันหยุดด้วยสงสัยจะโต้รุ่ง” บ่นพลางคลำมือไปรอบๆ เพื่อหาแว่นตา
ภาวัฒน์หันไปหยิบแว่นตาบนโต๊ะข้างเตียงที่เขาเป็นคนถอดออกเองเมื่อคืนมาวางลงบนสันจมูก “แต่เสาร์อาทิตย์นี้อาจจะไม่ยุ่งก็ได้นะครับ ก็พรุ่งนี้เป็นวันวาเลนไทน์นี่”
คิ้วเข้มตวัดฉับเข้าหากัน “คนป่วยเขามีเลือกวันได้ด้วยเหรอ”
“อ้าววว วันสำคัญแบบนี้ ถ้าเป็นผมนะต่อให้ป่วยใกล้ตายก็ไม่ไปโรงพยาบาลหาหมอหรอก ไปหาแฟนดีกว่า” คนหน้าเป็นลอยหน้าลอยตาตอบ
“จะดีกว่าได้ไง ไปหาแฟนช่วยอะไรได้ ป่วยก็ต้องไปหาหมอสิถึงจะหาย”
“โธ่! แล้วหมอให้อ้อนได้เหมือนแฟนป่ะล่ะ” ภาวัฒน์เป่าลมเข้าแก้มจนป่องดูน่าหมั่นไส้
คนอายุมากกว่าอดใจไม่ไหวต้องเอื้อมมือไปขยี้หัวกลมๆ แล้วดึงเข้ามากดริมฝีปากหนักๆ ลงบนหน้าผากไล่ลงมาตามแนวสันจมูก “แต่ถ้าเป็นแฟนหมอก็จะยอมให้อ้อนอยู่หรอกนะ” เขากระซิบกับริมฝีปากคนตรงหน้า ในขณะที่มือใหญ่รุกรานเข้าหาความอบอุ่นของผิวกายใต้สาบเสื้อ
ภาวัฒน์ขืนตัวออกห่างเพราะถ้าเขายอมตามน้ำอีกฝ่ายได้ไปทำงานสายแน่ๆ “ตกลงวันนี้ไม่กลับบ้านแน่นะ”
“ไม่”
“แล้วพรุ่งนี้ล่ะ”
ปาวัสม์นิ่งคิดอยู่อึดใจ “ก็อยู่เวรต่อเลย กลับกี่โมงเดี๋ยวจะบอกอีกที”
ภาวัฒน์โบกมือส่งคุณหมอหนุ่มไปทำงานที่หน้าลิฟต์ แล้วรีบวิ่งกลับเข้าห้องไปสลัดชุดอยู่บ้านออกเปลี่ยนจากเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเป็นกางเกงส์ยีนส์สวมทับด้วยแจ๊คเก็ตหนังตัวเก่ง เขาไม่สนใจหรอกว่าปาวัสม์จะเข้าเวรอะไรหรือเลิกงานกี่โมงกี่ยามเพราะเขามีแผนการที่เตรียมไว้ตั้งแต่สี่ปีที่แล้ว
น่าเสียดายดอกบลูซัลเวียต้นนั้นที่เขาไม่อาจเอามันข้ามน้ำข้ามทะเลกลับมาด้วยได้ ภาวัฒน์จึงย้ายมันออกจากกระถางไปปลูกลงดินไว้ในสวนหลังหอพักที่มหาวิทยาลัยก่อนเดินทางกลับมาเมืองไทย
วันนั้นปาวัสม์เซอร์ไพรส์เขาโดยไม่ทันตั้งตัว วันนี้แหละเขาจะขอเป็นฝ่ายชิงลงมือทำเซอร์ไพรส์ก่อน
ภาวัฒน์ขับมอเตอร์ไซค์คู่ใจออกไปร้านดอกไม้ เพราะเป็นช่วงวันแห่งความรักทุกๆ ร้านจึงมีแต่ดอกกุหลาบหลากสีขายยากนักที่จะหาดอกไม้ที่ต้องการซึ่งไม่เป็นที่นิยม ทว่าเขาก็ไม่ละความตั้งใจ หลังจากขับวนรถหาอยู่หลายร้านจนบ่ายคล้อย ในที่สุดก็เจอร้านที่ขายดอกบลูซัลเวียสีม่วงอมน้ำเงินเหมือนต้นนั้น
จะให้ดอกกุหลาบก็คิดว่าหวานเกินไปสำหรับคุณหมอ ER หน้าดุ ดอกไม้ชนิดอื่นความหมายดีๆ ก็มีอีกเยอะ แต่เขาอยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าวันนี้เมื่อสี่ปีก่อนเขาดีใจมากแค่ไหนที่ได้รับของขวัญชิ้นนี้มา
เพราะไม่มีแบบเป็นต้นขาย ภาวัฒน์จึงให้ทางร้านจัดเป็นช่อห่อด้วยถุงกระสอบผูกโบสีฟ้าดูสวยเก๋เข้ากับสีของกลีบดอกไม้... และที่สำคัญหมอปืนชอบสีฟ้า... น่าจะนะ เขาเดาจากที่เจ้าตัวชอบโดเรมอน
“จะรับการ์ดด้วยไหมคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมอยากบอกกับเจ้าตัวเองมากกว่า”
พนักงานสาวประจำร้านดอกไม้เสใช้มือทัดผมเหน็บข้างหู นัยน์ตาเปื้อนยิ้มกับรอยยิ้มละมุนบนริมฝีปากลูกค้าหนุ่มตรงหน้าทำเอาเธออายม้วนและนึกอิจฉาคนที่จะได้รับความรักของเขาไป
ภาวัฒน์รับช่อดอกไม้มาไว้ในอ้อมแขน เขาก้มลงแตะปลายจมูกโด่งข้างกลีบบางสูดกลิ่นหอมอ่อนจางแล้วเดินออกไปขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ขับออกไป
ก่อนกลับก็แวะซื้อของสดสำหรับทำเมนูโปรดของปาวัสม์ที่แอบศึกษาจากยูทูปมาหลายวัน
“ไข่ทรงเครื่อง ห่อหมกทะเล ปีกไก่อบซอส กุ้งเทมปุระ” ภาวัฒน์นึกทวนเมนูในใจพลางนับนิ้วเมื่อเห็นว่าไม่มีผักเลยคิ้วเรียวก็มุ่นเข้าหากัน ...วันนี้เป็นวันพิเศษจะละเว้นให้วันนึงละกัน
พอตกเย็นอาหารทั้งของคาวและขนมที่ไม่ได้หวานมากเพราะปาวัสม์ไม่กินหวานก็ถูกจัดใส่กล่องเรียบร้อยวางคู่กันกับช่อดอกไม้เตรียมออกเดินทางไปห้องฉุกเฉิน
เขาอมยิ้มภูมิใจกับผลงานของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องหยุดหรือออกไปเที่ยวไหนๆ แค่ได้อยู่ด้วยกันก็มีความสุขแล้วแม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม
แต่ก่อนจะออกรถ เขาก็ต้องแน่ใจว่าเป้าหมายจะไม่ยุ่งจนเกินไปและไม่เป็นการรบกวน ภาวัฒน์เปลี่ยนไปสวมชุดนอน ขยี้ผมให้ยุ่งแล้วมุดขึ้นเตียง ถึงจะเผื่อใจไว้แล้วว่าจะไม่รับแต่ถ้าเกิดรับแล้วกดเป็นวีดีโอคอลขึ้นมาจะได้ไม่เสียแผน จัดแจงต่อสายเพียงแค่อึดใจปาวัสม์ก็กดรับ
“หมอปืนทำอะไรอยู่”
“ทำงานน่ะสิถามได้”
...ถ้ายังรับโทรศัพท์ได้แสดงว่าไม่ยุ่ง...
“มีอะไร”
“แค่จะโทรมาถามว่าวันนี้ไม่กลับแน่นะ”
“อือ”
“งั้นผมนอนแล้วนะ”
“นอนเร็วจังเพิ่งจะสองทุ่มเอง”
“ก็เมื่อคืนไม่ค่อยได้นอนนี่นา วันนี้ว่างเลยต้องซัดให้เต็มอิ่ม”
“ดีแล้ว อย่าให้จับได้นะว่าแอบออกไปไหนกับเจ้าเทมส์น่ะ”
“จะไปได้ไง หมอนั่นไปเที่ยวกับแฟนแล้ว”
“อ้าว หมอนั่นหนีไปมีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็ตอนที่หมอปืนไม่รู้น่ะแหละ... หาววว ไม่เอาไม่คุยแล้ว แค่นี้นะครับ” ภาวัฒน์แกล้งทำเสียงงึมงัมเหมือนคนง่วงจัดแล้วกดวางสาย
ล็อกเป้าหมายเรียบร้อย เขาก็กระโดดลุกจากเตียงเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อเชิ้ตกางเกงสแลค หวีผมเรียบร้อย จัดของใส่เป้แล้วคว้ากุญแจรถเดินผิวปากฮัมเพลงออกไปอย่างอารมณ์ดี
OOOOOO
“สวัสดีครับพี่สาวคนสวย วันนี้งานยุ่งไหมครับ” ภาวัฒน์เท้าแขนลงบนเคาน์เตอร์พลางส่งยิ้มหวานให้พยาบาลสาวที่นั่งหน้ามุ่ยอยู่กับงานเอกสาร
นัยน์ตากรีดอายไลเนอร์คมกริบที่กำลังจับจ้องอยู่บนหน้ากระดาษตวัดมองเขียวปัดให้คนปากกล้า แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใครแววตาก็กลับอ่อนโยนลงทันที “อ้าว น้องพลุมาทำอะไรจ๊ะ ไม่สบายเหรอ”
“เปล่าครับ” ภาวัฒน์รีบบอก “ผมสบายดีแค่ผ่านมาทางนี้เลยอยากแวะมาทักทายน่ะครับ”
ชโลธรขมวดคิ้วพลางพินิจดูร่างสูงโปร่งตรงหน้า หลังกลับมาจากเรียนต่อภาวัฒน์ก็ยังแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนที่นี่บ่อยๆ ถึงจะคุ้นเคยกับมาดทนายหนุ่มใส่สูทผูกไทแต่รู้สึกว่าวันนี้จะดูหล่อเป็นพิเศษ ไหนจะยังดอกไม้ช่อสวยในมืออีก “มาหาใครจ๊ะ”
“หมอปืนอยู่ไหมครับ”
ชโลธรย่นย่นคิ้วก่อนจะหันไปดูตารางแพทย์เวรบนบอร์ดที่ด้านหลังให้แน่ใจว่าไม่ได้จำผิด “วันนี้หมอปืนไม่อยู่เวรนะ เห็นรีบเก็บข้าวของออกไปกับหมอจิวตั้งแต่สี่โมงแล้วคงนัดไปกินเหล้ากันละมั้งท่าทางลัลลาน่าดู แล้วพรุ่งนี้ก็หยุดด้วยเห็นว่าจะไปธุระนะ มาเวรอีกทีก็วันจันทร์เลย”
“ไม่อยู่เวรเหรอครับ?” ภาวัฒน์ทวนคำอย่างไม่เชื่อหูในเมื่อเขาเพิ่งจะวางสายไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงนี่เอง
“ใช่จ๊ะ” นัยน์ตากรีดอายไลเนอร์คมกริบเหลือบมองซ้ายขวาก่อนพยาบาลสาวจะชะโงกตัวข้ามเคาน์เตอร์มาป้องปากกระซิบกระซาบ “สงสัยจะไปเที่ยวกับแฟนน่ะ หมู่นี้หมอปืนอินเลิฟน่าดู ไม่รู้อีกฝ่ายเป็นใครแต่เลิกงานนี่รีบตรงดิ่งกลับบ้านทุกวันเลย”
“เหรอครับ"
“น้องพลุกับหมอปืนสนิทกันไม่เคยได้ยินเลยเหรอ”
“ไม่ครับ”
“ว้า แย่จัง พี่ก็นึกว่าเราจะรู้ซะอีก แอบถามกับหมอจิวก็ไม่ยอมบอก”
“ผมไปก่อนนะครับ” ภาวัฒน์กระซิบ “ขอโทษนะครับ พอดีไม่รู้ว่าพี่มิลค์อยู่เวรเลยไม่ได้ซื้ออะไรติดมือมาฝาก”
“ไม่เป็นไรจ้าแฮปปี้วาเลนไทน์ เที่ยวให้สนุกเผื่อพี่ด้วยน้า~... อ้าว ก็กำลังจะไปหาแฟนไม่ใช่เหรอ” รีบต่อตอนท้ายเมื่อเห็นชายหนุ่มชะงักและหันมาทำหน้างงๆ
ภาวัฒน์ก้มลงมองดอกไม้ในมือ “ครับ”
“อิจฉาคนได้หยุดจังมีฉลองล่วงหน้าด้วย พรุ่งนี้พี่ต้องอยู่เวรเช้าบ่าย นี่ตั้งใจว่าจะโทรตามให้แฟนเอาข้าวมาส่งที่นี่จะได้กินด้วยกัน เวลาเรามีน้อยก็แบบนี้แหละต้องใช้ให้คุ้มค่า”
“ครับ”
“แล้วนี่น้องพลุจะพาแฟนไปไหน”
“ไม่รู้สิครับ เห็นเขาบอกว่าต้องทำงาน แต่ก็เหมือนจะโกหก สงสัยคงไม่อยากอยู่กับผม”
หน้าหวานเจื่อนไปเล็กน้อย “คิดมากไปหรือเปล่า ทั้งหล่อแถมยังนิสัยดีอย่างน้องพลุมีใครบ้างไม่อยากอยู่ด้วย”
“จริงเหรอครับ” ภาวัฒน์พยายามฝืนยิ้มให้ดูดีที่สุดก่อนจะบอกลาอีกครั้ง “ผมไปนะครับ”
“ขับรถดีๆ นะจ๊ะ”
ภาวัฒน์เดินกลับมายืนพิงรถมอเตอร์ไซค์ เขาวางช่อดอกไม้ลงบนอานแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก ปลายสายรับโทรศัพท์ทันทีซ้ำยังตอบเสียงใส
“ว่าไง”
“ตอนนี้หมอปืนอยู่ไหนครับ”
“ก็อยู่ที่โรงพยาบาลน่ะสิ ทำงานอยู่”
นัยน์ตาสีดำขลับจ้องมองป้ายที่เขียนว่า ‘ห้องฉุกเฉิน’ ตรงหน้า “จริงเหรอครับ”
ปลายสายเงียบไปอึดใจ “ทำไมถามแบบนั้นล่ะ”
‘ผมยืนอยู่หน้าห้องฉุกเฉินออกมาหาหน่อยสิ’
ได้แต่คิดในใจและตอบออกไปว่า “เปล่าครับ หมอปืนทำงานเถอะผมไม่กวนแล้ว” ถ้าอีกฝ่ายไม่อยากบอกเขาก็ไม่อยากถาม
ภาวัฒน์ก้าวขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์และขับออกไป แต่เขาไม่ได้กลับไปห้องที่คอนโดของปาวัสม์ จะไปทำไมในเมื่อเจ้าของห้องไม่อยู่ เขาบิดเร่งเครื่องยนต์ให้ดังเพื่อกลบเสียงกระซิบลึกๆ ที่แสนอ่อนแอในหัวใจแล้วเลี้ยวรถไปยังหอพักของตัวเอง
OOOOOO
เสียงโทรศัพท์ดังซ้ำๆ กันทำให้ภาวัฒน์สะดุ้งลืมตามองนาฬิกาบนฝาผนัง ตอนนี้เที่ยงคืนกว่าแล้วและคนที่จะโทรมาหาเวลานี้ก็มีแค่คนเดียว เขาหยิบโทรศัพท์มามองดูชื่อคนโทรเข้าอยู่อึดใจก่อนจะกดรับ “มีอะไรครับ”
“ไม่ต้องมาถามว่ามีอะไร!” เสียงทุ้มดุมาตามสายจนเขาต้องยกหูออกห่าง “ตอนนี้อยู่ที่ไหน แล้วเสียงแบบนั้นคืออะไร... เมา? ไหนบอกว่าจะนอนอยู่บ้านไงแล้วนี่ออกไปกินเหล้ากับใคร ทำไมต้องโกหกด้วย”
“ใครกันแน่ที่โกหก” ภาวัฒน์ย้อนถามเสียงห้วน
“นายพูดเรื่องอะไร”
“ผมอยู่ที่ห้อง ไม่ได้ไปไหน เหล้าก็กินอยู่ที่ห้องคนเดียวนี่แหละ”
“แล้วกินทำไม”
“แค่อยากกิน” ตอบเสียงดังฟังชัด “ผมตอบคำถามแล้วนะ ถึงตาหมอปืนตอบผมบ้างแล้วว่าโกหกผมทำไม”
“ฉันโกหกนายเรื่องอะไร”
“วันนี้หมอปืนไม่ได้อยู่เวร” คำตอบที่ส่งไปทำเอาคนฟังเงียบไปทันที “พรุ่งนี้ก็หยุด”
“นายรู้ได้ไง”
“เพราะผมไปหาหมอปืนที่โรงพยาบาลมาน่ะสิ... มีธุระ อยากไปเที่ยวกับคนอื่นหรือแค่ไม่อยากอยู่กับผมก็บอกกันดีๆ ก็ได้ครับ ทำไมต้องโกหกแล้วให้ผมจับได้ด้วย”
ปลายสายเงียบไปอึดใจก่อนจะตอบกลับมา “นายอยู่หอใช่ไหม”
“ทำไมครับ”
“เอาให้แน่นะ อยู่ตรงนั้นเลยนะห้ามไปไหนอีกครึ่งชั่วโมงฉันจะไปหา” แล้วปาวัสม์ก็กดตัดสาย
“เดี๋ยวหมอปืน... โธ่! อะไรเนี่ยยังคุยไม่รู้เรื่องเลย” ภาวัฒน์ยกมือขึ้นเสยผมที่ลู่ลงปรกหน้าก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งนวดข้างขมับ ยังมึนๆ อยู่เล็กน้อยจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มไปเมื่อหัวค่ำเพราะอยากนอนให้หลับจะได้ไม่ต้องคิดอะไรเรื่อยเปื่อย พลางกวาดตามองกระป๋องเบียร์เปล่าที่ล้มกลิ้งอยู่บนโต๊ะ เขาดื่มไปแค่ไม่กี่กระป๋องก็จริงแต่เป็นเพราะท้องว่างเลยเมาเร็วและเผลอหลับไปบนโซฟานั่นเอง
นั่งงงๆ ยังไม่ทันจะลุกไปไหน เสียงออดที่หน้าประตูก็ดังรัวขึ้นติดๆ กัน
ติ๊งต่อง! ติ๊งต่อง! ติ๊งต่อง!
“มาเร็วจัง”
ร่างโปร่งรีบเดินไปเปิดประตู ในใจคิดหาคำต่อว่าไว้ร้อยแปด แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีคำไหนได้ใช้จริงสักคำ
เพราะเมื่อประตูเปิดออกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ร่างสูงที่คุ้นเคย แต่กลับกลายเป็นดอกกุหลาบจำนวนนับไม่ถ้วนที่อัดแน่นอยู่เต็มกรอบประตูจนมองไม่เห็นคนถือ กลีบเนียนละเอียดดั่งกำมะหยี่สีแดงสดชูช่อไสวกรุ่นกลิ่นหอมฟุ้งและถูกจัดเป็นช่อด้วยกระดาษแก้วสีฟ้าอ่อนผูกโบสีน้ำเงินเข้ม
“อะไรเนี่ย”
“ยังจะถามอีก” เสียงของปาวัสม์ดังมาจากหลังช่อกุหลาบ เขาต้องใช้สองมือเพื่อประคองมันไว้ในอ้อมแขน “ขอเข้าไปหน่อยได้ไหม”
ภาวัฒน์ดึงประตูเปิดจนสุดและเบี่ยงตัวหลบให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาและปิดประตู
“หมอปืนซื้อมาทำไมเยอะแยะ”
“แล้ววันนี้มันวันอะไรล่ะ”
แม้จะรู้อยู่เต็มอกแต่ภาวัฒน์ยังเหลือบตามองปฏิทินให้แน่ใจ
“ให้อุ้มกับจิวพาไปซื้อที่ปากคลองตลาดมา” ปาวัสม์ขยายความ
“ทำไมต้องลงทุนถึงขนาดนั้น ร้านขายดอกไม้แถวนี้ก็มีนี่ครับ”
“ฉันกลัวซื้อแบบที่อยากได้ไม่ถึงจำนวนที่ตั้งใจไว้น่ะ”
จริงอยู่ว่าปาวัสม์เป็นคนง่ายๆ แต่เพราะงานที่หนักทำให้แค่ห้างสรรพสินค้ายังขี้เกียจไปเดิน ถ้าไม่ใช่เพราะสำคัญจริงๆ บางทีเขาคงไม่รู้ดวยซ้ำว่ามันมีตลาดสด ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขอบคุณวิทยาที่พาไป แล้วก็อีกคนที่ลืมไม่ได้เลยก็คือนุชนันท์ที่อุตส่าห์สละเวลาปั่นยอดMV โอป้าไปเดินเลือกเป็นเพื่อน
“แล้วซื้อมากี่ดอกครับ”
“อยากรู้ก็เอาไปนับเองสิ”
“ให้ผมหมดนี่เลยเหรอ” ภาวัฒน์ถามย้ำให้แน่ใจ “ไม่ได้จะเอาไปแจกใครที่ไหนนะ”
“จะบ้าเหรอ ดอกกุหลาบเขาเอาไว้ซื้อให้แฟน ถ้าไม่ให้นายแล้วจะฉันจะเอาไปให้ใครล่ะ” ปาวัสม์ว่าก่อนจะเว้นวรรคไปเล็กน้อย “ฉันไม่ได้ตั้งใจโกหกนะ ก็ไม่รู้จริงๆ นี่นาว่าจะซื้อเสร็จกี่โมงไหนจะต้องริดหนามจัดช่ออีก... ขอโทษนะที่ทำให้ไม่สบายใจ”
ภาวัฒน์ไม่ตอบ ตาก็เหลือบไปมองมือใหญ่ ที่มีพลาสเตอร์ปิดไว้จนเกือบครบทุกนิ้ว เขาเบียดตัวแทรกผ่านกลุ่มดอกกุหลาบเข้าไปยืนตรงหน้าเพื่อสบตากันให้ชัดๆ อยู่อึดใจก่อนจะโถมทั้งตัวเข้ากอดคนถือเต็มวงแขนเมื่อบทสนทนาที่น่าจะปลิวหายไปกับสายลมดังขึ้นในหัว
‘เอาไว้อีกสี่ปีมาอยู่ด้วยกันฉันจะซื้อกุหลาบให้นายนะ’
ไม่ใช่แค่ไม่คาดหวังว่าจะได้รับ แต่เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะจำเรื่องที่คุยเล่นกันวันนั้นได้ด้วยซ้ำ ไหนจะความตั้งใจที่สัมผัสได้ จริงอยู่ว่าเรื่องที่กำลังโกรธมันคนละเรื่องกัน แต่เขาก็ยอมยกโทษให้ทั้งหมดตั้งแต่เห็นมายืนอยู่หน้าประตูแล้ว
ปาวัสม์กดศีรษะเข้าแนบแก้มแล้วเลื่อนมือข้างที่ว่างอยู่โอบรอบแผ่นหลังพลางลูบหนักๆ “หายโกรธแล้วนะ”
“เห็นแบบนี้แล้วใครมันจะไปกล้าโกรธล่ะครับ” ภาวัฒน์สอดแขนเข้ารอบเอวแล้วซุกหน้าลงบนบ่ากว้างเพื่อซึมซับความรู้สึกให้ทั่วทุกตารางนิ้วของร่างกาย ทั้งที่เพิ่งจากกันเมื่อเช้าแต่ทำไมนะถึงรู้สึกว่ามันช่างยาวนานเหลือเกินที่ห่างจากไออุ่นของอ้อมกอดนี้
เนิ่นนานหลายนาทีที่ปล่อยให้เสียงเต้นของหัวใจพูดแทนกัน แต่มันคงจะดีกว่านี้ถ้าจะได้เอ่ยผ่านริมฝีปากให้ได้ยิน ปาวัสม์ขยับตัวเล็กน้อยเพื่อกระซิบถามที่ข้างหู “ชอบไหม”
“ชอบครับ”
“แล้วชอบอะไรมากกว่ากัน ระหว่างฉันกับกุหลาบ”
“กุหลาบ”
“อะไรกันนี่ฉันแพ้กุหลาบเหรอเนี่ย” ปาวัสม์แกล้งถอนหายใจเสียงดังเมื่อเสียงอู้อี้ดังออกมาจากไหล่
“แต่ชนะใจผมนะ” ทันทีที่สิ้นเสียงศีรษะที่ประกอบด้วยเรือนผมสีน้ำตาลก็แทบจะจมหายลงไปในอ้อมอก
ปาวัสม์กรีดยิ้มกว้างแล้วกดริมฝีปากเข้าข้างขมับคนปากแข็งหากอีกฝ่ายก็ไม่ยอมน้อยหน้าผงกศีรษะขึ้นมาขโมยหอมแก้มคืนไปฟอดใหญ่
“หมอปืนอะ ทำเอาเซอร์ไพรส์ของผมเป็นเด็กๆ ไปเลย”
ปาวัสม์นึกขึ้นได้ เขาเบี่ยงศีรษะออกเล็กน้อยเพื่อสบตาคนในอ้อมแขน “เออใช่ นายไปหาฉันที่โรงพยาบาลมานี่นา ไหนมีอะไรจะให้ขอฉันดูหน่อยสิ”
ภาวัฒน์หน้าเจื่อนไปทันที “ผมทิ้งไปแล้ว”
“จริงเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ คนมันโกรธนี่นาเรื่องอะไรจะเก็บไว้ล่ะ”
“นายเอาไปทิ้งที่ไหน” ปาวัสม์เสียงเข้มขึ้นทันที “ถังขยะหน้าหอหรือเปล่า”
“ใช่ครับ”
สิ้นคำตอบคุณหมอหนุ่มก็ปล่อยอีกฝ่ายออกจากวงแขนแล้วเดินไปที่ประตูพลางพับชายแขนเสื้อขึ้นจนถึงข้อศอก
“หมอปืนจะไปไหน”
“ก็จะลงไปหาไง ฉันอยากรู้ว่านายจะเซอร์ไพรส์อะไรฉัน ทิ้งไปเมื่อหัวค่ำใช่ไหมนี่เพิ่งตีหนึ่งกว่าๆ รถเก็บขยะคงยังไม่มาเอาไปหรอก”
“เดี๋ยวครับ” ภาวัฒน์เดินตามมาคว้าตัวไว้ได้ทัน “ผมโกหก”
“ยังไงเอาให้แน่”
“ยังไม่ได้ทิ้ง... แต่มันคงใช้ไม่ได้แล้วล่ะ” บอกเสียงอ้อมแอ้ม
“เอามาดูก่อน คนที่จะตัดสินว่าเป็นยังไงมันฉันต่างหาก”
ภาวัฒน์คว้ามือจูงเดินเข้าไปในโซนทำครัว ที่ๆ เขาวางของทั้งหมดกองรวมกันไว้ ปาวัสม์หยิบช่อดอกบลูซัลเวียขึ้นมาดู
นัยน์ตาสีดำขลับหลุบลงต่ำเมื่อเห็นดอกไม้น่าสงสารที่ตรงปลายกลีบเริ่มช้ำเป็นสีน้ำตาลเพราะโดนลมแรงตอนเขาขี่มอเตอร์ไซค์กลับมา คุณหมอหนุ่มวางมันลงแล้วเปิดดูข้าวกล่องทีละชั้นโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“ดอกไม้มันเหี่ยวแล้ว แล้วกับข้าวนี่ก็ชืดหมดแล้ว ถึงจะกินได้แต่ก็ไม่อร่อยแล้วล่ะ”
ปาวัสม์ไม่ว่าอะไรแต่หยิบกุ้งเทมปุระใส่ปากเคี้ยวหยับๆ “รสชาติไม่เลวนี่”
“หมอปืนไม่ต้องฝืนกินหรอกเดี๋ยวผมทำให้ใหม่” ภาวัฒน์ห้ามเมื่อคุณหมอหนุ่มหยิบตัวที่สองยัดตามเข้าไปจนแก้มตุ่ยแล้วดึงเก้าอี้นั่งลงทำท่าเตรียมจะกินข้าวเต็มที่
“หน้าตาฉันดูเหมือนคนฝืนเหรอ” ถามยิ้มๆ พลางหยิบช้อนส้อมขึ้นมา “มานั่งกินด้วยกันสิ ฉันยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เย็นกำลังหิวพอดีเลย” แล้วกัดกุ้งให้ขาดกลางตัวก่อนจะยื่นไปจ่อที่ริมฝีปาก
นัยน์ตาคมพราวระยับกับปลายนิ้วโป้งที่แกล้งแตะสะกิดมุมปากให้รีบชิมทำให้ภาวัฒน์ต้องงับกุ้งเข้าปากแล้วเสมองไปทางอื่น
“งั้นก็เอาไปอุ่นก่อน”
“ให้ไวเลย หิวจะแย่แล้วเนี่ย” คุณหมอหนุ่มดูดนิ้วที่ติดเศษแป้งดังจ๊วบ หากสายตาไม่ได้มองอาหารสักนิด
ภาวัฒน์วางช่อกุหลาบที่ได้รับมาลงเคียงข้างกับช่อดอกบลูซัลเวียบนโต๊ะก่อนจะลำเลียงอาหารเข้าไมโครเวฟจนครบแล้วนำมานั่งทานด้วยกัน และเพียงแค่อึดใจอาหารทุกอย่างก็ถูกจัดการเรียบ
“แล้วไม่มีของหวานเหรอ” ปาวัสม์ยกมือลูบท้อง
“มีเยลลี่ผลไม้ผมเอาไปแช่ไว้ในตู้เย็น เดี๋ยวผมไปเอามาให้นะ”
ร่างสูงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางเฝ้ามองภาวัฒน์เดินไปก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าประตูตู้เย็น เรือนผมสีน้ำตาลด้านหลังยุ่งเหยิงเป็นตูดเป็ดของคนเพิ่งตื่นนอนดูน่ามันเขี้ยวจนนึกอยากเดินเข้าไปช่วยลูบให้เรียบ ชายเสื้อเชิ้ตหลุดลุ่ยจากขอบกางเกงและถูกจับยัดลวกๆ เข้าไปใหม่ทำให้เห็นเนื้ออ่อนวับแวมตอนก้มตัวลงจนนึกอยากจะ...
ริมฝีปากเม้มสนิทอยู่อึดใจก่อนปาวัสม์จะผุดลุกจากเก้าอี้แล้วเดินเข้าไปยืนซ้อนหลังเงียบๆ
“หมอปืนจะเอาอะไรครับ”
“วาเลนไทน์ใครเขากินเยลลี่ มันต้องช็อคโกแลตสิ”
คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน “หมอปืนไม่ชอบของหวานไม่ใช่เหรอ”
“แต่ของหวานบางอย่างฉันก็กินนะ อย่างอันนี้ไง” ปาวัสม์ดันประตูปิดตู้เย็นปิด ก่อนจะสอดมือใหญ่เข้ารั้งรอบเอวสอบแล้วซุกหน้าลงบนเรือนผมสีน้ำตาลนุ่มสูดกลิ่นแชมพูที่แสนชอบ “ขอบใจนะพลุ”
ภาวัฒน์ใช้สองมือโอบทับท่อนแขนถือเป็นการอนุญาตให้คนที่กอดไว้โถมน้ำหนักหนักตัวใส่เต็มที่ “ผมก็เหมือนกัน”
“แล้วตกลงนายอยากได้อะไร” ปาวัสม์วางคางเกยลงบนไหล่แล้วกระซิบถามคำถามที่ยังคงไม่ได้รับคำตอบตั้งแต่สี่ปีที่แล้ว “นายสัญญาว่าถ้าเจอหน้ากันแล้วจะบอกไง”
ภาวัฒน์ย่นคิ้ว คนอะไรความจำดีชะมัด “อยากรู้จริงๆ เหรอครับ”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“ไม่บอก”
“ขี้โกง” ปาวัสม์บ่นก่อนจะแกล้งงับแรงๆ ลงบนซอกคอขาวจนเป็นรอยฟัน “บอกมาเดี๋ยวนี้ ไม่บอกจะกินแล้วนะ”
ภาวัฒน์หัวเราะคิก “งั้นไม่บอกดีกว่า”
“บอกมาเร็ว” แล้วเปลี่ยนไปกดริมฝีปากเข้าข้างแก้มจนบุ๋มแต่คนบางคนก็ยังคงเล่นตัว
“ไม่!”
“บอกมานะ!” ปาวัสม์แกล้งเป่าลมอุ่นเข้าหูแล้วขบเม้มเล่นตรงปลายจนขึ้นสี
“หมอปืนอย่ามันจั๊กจี้” ภาวัฒน์พยายามดิ้นหนีแต่ฝ่ามือใหญ่กลับรัดแน่นขึ้นอีก “ไม่เอา”
“งั้นก็บอกสิ” แล้วหันไปเป่าลมใส่หูอีกข้างอย่างเท่าเทียม
เพราะหัวเราะจนเหนื่อย เขาจึงยอมตอบคำถามในที่สุด “หมอปืนก็ให้ผมมาแล้วไง”
“อะไร” ปาวัสม์ถามย้ำ “ตกลงนายอยากได้กุหลาบจริงๆ ใช่ไหม”
ภาวัฒน์ส่ายหน้า
“ตกลงมันอะไรเล่า” คนรอฟังคำตอบหน้ามุ่ย
“เอาหูมาสิครับ”
ปาวัสม์เขยิบหน้าเข้าไปใกล้มากขึ้นอีก และเงี่ยหูรอฟังอย่างใจจดใจจ่อเมื่อมือหยาบเลื่อนมากุมที่ข้างแก้มก่อนที่ภาวัฒน์จะเอียงหน้ามากระซิบคำตอบที่ได้จะยินกันแค่สองคน
นัยน์ตาคนฟังพราวระยับในขณะที่คนพูดยั่วยิ้มมุมปาก มือใหญ่จับตัวร่างโปร่งพลิกตัวกลับมาเบียดกับอกกว้างพร้อมกับกดจูบลงบนริมฝีปากที่ตอบรับสัมผัสทันที ต่างฝ่ายต่างเริ่มต้นแตะอยากหยอกเย้าคล้ายจะละเลียดชิมก่อนจะค่อยแทะเล็มด้วยคำที่ใหญ่ขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแทบจะละลายอยู่ในอ้อมแขนของกันและกัน
“ช็อคโกแลตชิ้นนี้หวานจัง”
ภาวัฒน์คล้องมือลงรอบคอร่างสูงแล้วประสานกันไว้ด้านหลังศีรษะ “กินให้หมด อย่าให้เหลือนะครับ”
OOOOOO
ลมหนาวที่พัดผ่านหน้าต่างเข้ามาต้องผิวเนื้อที่ไร้อาภรณ์ปกปิดทำให้ร่างสูงบนเตียงนุ่มพลิกตัวหาหมอนข้างอุ่นข้างกาย แต่เมื่อพบว่าใครบางคนไม่นอนอยู่ตรงนั้นเปลือกตาก็เปิดพรึ่บขึ้นทันที
ปาวัสม์เหลียวมองซ้ายขวารวดเร็วครั้นเห็นร่างโปร่งนั่งกองอยู่บนพื้นข้างเตียงจึงค่อยเบาใจ เขาเอื้อมมือไปหยิบแว่นมาสวมเพื่อมองภาพตรงหน้าให้ชัด
ภาวัฒน์กำลังง่วนทำอะไรบางอย่าง ในแสงสลัวของยามเช้าทำให้เห็นผิวขาวเนียนที่โผล่พ้นเสื้อนอนตัวหลวมซึ่งเจ้าตัวสวมไว้ลวกๆ โดยไม่ติดกระดุมสักเม็ดตัดกับสีแดงอ่อนนุ่มของกลีบกุหลาบที่กองอยู่เต็มหน้าตัก
“ทำอะไรอยู่น่ะ”
“ก็หมอปืนบอกให้นับว่ามีกี่ดอกผมก็กำลังทำอยู่นี่ไงครับ” ตอบโดยไม่หันมา
คุณหมอหนุ่มพลิกตัวนอนตะแคงข้างใช้มือหนุนต่างหมอนเฝ้าดูคนผมน้ำตาลค่อยพลิกช่อดอกไม้ไปมาและนับอย่างตั้งใจ “แล้วเสร็จหรือยังล่ะ”
“หมอปืนอย่างเพิ่งขัดสิ” ภาวัฒน์ว่า “ถึงไหนแล้วนะ... 996 997 998 ทั้งหมดมี 999 ดอกครับ”
“เยอะเนอะ”
“ครับ เยอะมากเลย”
“พลุ” ปาวัสม์เอ่ยเรียกเบาๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่จิ้มนิ้วลงบนหน้าจอโทรศัพท์และเงียบไปนานสองนาน
“ครับ”
“กุหลาบแดง 999 ดอกมันแปลว่า ‘รักนะ’ นายรู้ใช่ไหม”
ภาวัฒน์วางโทรศัพท์ในมือลงและค่อยหันหน้ามา “ไม่ใช่สักหน่อย” เว้นวรรคไปเล็กน้อย นัยน์ตาสองคู่สบกันนิ่งก่อนเขาจะพูดต่อ “กุหลาบไร้หนามคือ ‘รักแรกพบ’ และจำนวน 999 ดอกหมายถึง ‘ผมจะรักคุณจนวินาทีสุดท้าย’... ตอนนี้ผมรู้แล้ว แล้วหมอปืนล่ะรู้หรือยัง”
คิ้วหนาย่นเข้าหากัน “ตกลงว่านั่นเป็นประโยคบอกเล่าหรือประโยคคำถาม”
ภาวัฒน์ลุกขึ้นจากพื้น วางช่อกุหลาบลงบนโต๊ะหัวเตียงก่อนจะใช้มือดันไหล่ปาวัสม์ให้นอนหงายแล้วตวัดขาขึ้นนั่งคร่อมลงบนหน้าอก
มือใหญ่เลื่อนขึ้นวางบนหน้าขา นัยน์ตาคมพราวระยับขึ้นจนน่าหมั่นไส้ ในขณะที่คนหน้าเป็นจุดยิ้มทะเล้นลงบนมุมปาก ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความภาวัฒน์คว้าผ้านวมดึงขึ้นคลุมตัวทั้งคู่เพื่อหนีให้พ้นจากแสงอาทิตย์ยามเช้าที่ส่องผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาพร้อมกับก้มลงกระซิบที่ข้างหู
“เป็นประโยคบอกรักครับ”
คำว่า ‘รัก’ ไม่ว่ามันจะอยู่ในประโยคแบบใด มันก็ดีทั้งนั้นถ้าได้เอ่ยบอกออกไปกับใครสักคน~
Thank you all for your LO❤E
Happy Valentine Day Ka
leGGyDan
(ต่อตรงนี้)
ทั้งสองนั่งลงตรงข้ามกันในกระเช้า
“วิวสวยเนอะ” รติพัทธแกล้งพูด เมื่อคนที่ปากบอกว่าไม่อยากขึ้นเอาแต่มองออกไปข้างนอกตาเป็นประกายเมื่อกระเช้าค่อยๆ ไต่ความสูงขึ้นไปในอากาศเห็นบรรยากาศภายในงานโดยรอบชัดเจนโดยไม่มีอะไรมาบดบัง และแม้จะอยู่ท่ามกลางตึกที่สูงระฟ้าแต่ดวงดาราก็ยังกะพริบแสงสู้ไฟนีออนเห็นจุดแสงสีทองวับแวบอยู่บนพื้นสีกำมะหยี่
“อือ” ตอบโดยไม่หันมามอง
คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง รติพัทธแกล้งทำเป็นชะเง้อคอมองตามออกไปอย่างสนอกสนใจก่อนจะตีเนียนลุกย้ายมานั่งข้างๆ กัน
“อะไรเนี่ย! กลับไปนั่งฝั่งโน้นเลยนะมันเอียงแล้วเห็นไหม” วิทยาเอ็ดพลางกระเถิบตัวหนี
“อยู่นิ่งๆ สิคุณเดี๋ยวก็ตกหรอก” รติพัทธว่าพลางเอื้อมมือโอบรอบไหล่ร่างโปร่งให้นั่งนิ่งๆ เพราะกระเช้าเริ่มแกว่งแรงขึ้นทุกที
วิทยานั่งตัวแข็งทื่ออยู่ในอ้อมแขนแกร่งเพราะวัสดุที่ทำแอบดูเก่า มีสนิมเกาะเขรอะและตามข้อต่อก็ส่งเสียงร้องดังเอี๊ยดอ๊าดน่าขนลุก จริงๆ แล้วมันอาจจะเป็นเรื่องปกติก็ได้ แต่เขาไม่ชินนี่นา
เมื่ออีกฝ่ายนิ่งไปรติพัทธจึงลดมือลงประคองหลวมๆ ไว้ที่รอบเอว และชวนคุยเรื่อยๆ “ขนมครกหมดแล้วเหรอ”
“ยัง” วิทยาบอกพลางยกกระทงใบตองในมือขึ้นตรงหน้า
“ผมไม่กินแล้ว คุณกินสิ”
“ทำไมล่ะ นี่ชิ้นสุดท้ายแล้วนะหมดแล้วหมดเลยฉันไม่เดินไปซื้อให้ใหม่หรอกนะ”
“คุณไม่เคยได้ยินเหรอว่าชิ้นสุดท้ายแฟนหล่อ คุณกินผมจะได้หล่อ”
หนุ่มหน้าตี๋ย่นปาก “งั้นทิ้งไปดีกว่า” พร้อมทั้งทำท่าจะโยนทิ้ง ผู้กองหนุ่มจึงต้องรีบคว้ามือหมับ
“อย่านะคุณเสียดายของ”
“ก็ฉันไม่กินนี่”
“งั้นคนละครึ่งนะ”
“ไม่!”
“ไม่เป็นไร งั้นผมกินเองก็ได้ ผมกินคุณก็หล่อ”
หนุ่มหน้าตี๋เอียงคอมองคนตรงหน้าที่ยัดขนมครกใส่ปากทั้งชิ้นแล้วเคี้ยวหยับๆ อยู่อึดใจ “ถามจริง มีอะไรหรือเปล่าทำไมวันนี้นายดู ‘พยายาม’ แปลกๆ แล้วก็เล่นมุกอะไรตลอดเลย”
“ไม่ขำเหรอ”
วิทยาส่ายหน้า
ผู้กองหนุ่มผ่อนลมหายใจออกจมูก “ว่าแล้วเชียววิธีนี้ใช้กับคุณไม่ได้ผลจริงๆ ด้วย... ผมแค่อยากเห็นคุณยิ้มน่ะ”
“หมายความว่าไง ฉันก็ไม่ได้หงุดหงิดอะไรนี่ หรือว่าหน้าตาฉันมัน...”
“ผมไม่ได้ว่าคุณนะ” รติพัทธรีบพูด “ผมรู้คุณสนุก ผมเห็นคุณยิ้ม คุณหัวเราะ”
“แล้วนายยังต้องการอะไรอีก”
“ต้องการเป็นเหตุผลของรอยยิ้มและเสียงหัวเราะนั่นไง” รติพัทธบอก “คุณหัวเราะกับพี่อุ้ม คุณยิ้มกับพี่วี คุณมีความสุขกับขนม แต่ไม่มีอันไหนเลยที่เป็นเพราะผม... แม้แต่ตุ๊กตาหมีนี่ก็... ขอโทษนะที่ผมคิดอะไรไร้สาระ”
“มากด้วย” วิทยาว่า “ถ้าปืนมาก็คงพาลมันด้วยอีกคนใช่ไหม”
“ผมขอโทษ”
ความเงียบอึดอัดโรยตัวลงมาพร้อมๆ กับกระเช้าที่ขยับไปอย่างเชื่องช้า วิทยาไม่ได้โกรธคนตรงหน้า อันที่จริงเขาแค่ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้อีกฝ่ายเข้าใจ
นัยน์ตาเล็กตี่เหลือบมองตุ๊กตาหมีที่นั่งตาแป๋วมองพวกเขาอยู่ตรงข้ามราวกับจะให้กำลังใจก่อนจะละสายตากลับมายังคนที่นั่งอยู่เคียงข้าง ฝ่ามืออุ่นประคองหลวมๆ อยู่รอบเอว ใบหน้าด้านข้างเห็นเพียงเลือนลางเมื่อแสงไฟจางด้านนอกเริ่มน้อยลงเพราะกระเช้าเคลื่อนตัวขึ้นจนเกือบถึงจุดสูงสุด
เขาขยับเข้าไปใกล้เพื่อดูหน้าอีกฝ่ายให้ชัดอยากรู้ว่ากำลังทำหน้าแบบไหน กลิ่นน้ำหอมจางๆ ที่เจ้าตัวชอบใช้ประจำลอยมาแตะจมูก วิทยาขยับตัวอีกครั้ง แต่เขาคงจะขยับตัวมากไปหน่อยเมื่อปลายจมูกแตะลงข้างแก้มจนอีกฝ่ายสะดุ้งเบาๆ และเหลียวมามอง
“คุณ”
“เงียบสิ” วิทยากระซิบ นัยน์ตาเล็กตี่กวาดมองสีหน้าตกประหม่าของอีกฝ่ายอยู่อึดใจก่อนจะยกมือขึ้นคว้าคอเสื้อพร้อมกับขยับตัวเข้าไปใกล้อีกครั้ง
ภายใต้แสงสลัวของจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้า รติพัทธเห็นเพียงเงาของคนที่อยู่ข้างๆ ทาบทับลงบนตัวก่อนที่ริมฝีปากอุ่นจะประทับลงบนหน้าผากและกดจูบซ้ำๆ ราวกับจะย้ำให้แน่ใจ ก่อนจะถอนออกหากยังรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากปลายสันจมูกโด่งที่ไล้ไปตามผิวแก้มก่อนที่เจ้าตัวจะฝังใบหน้าลงข้างซอกคอ
“คุณ” ผู้กองหนุ่มกระซิบกับเรือนผมที่คลอเคลียอยู่ปลายจมูก เมื่อคนข้างๆ ขยับซุกหน้าพร้อมกับสอดแขนเข้ารอบเอวเบียดตัวแนบกับอกกว้าง
“ไม่ห็นต้องทำอะไรเลย แค่อยู่เฉยๆ แล้วให้ฉันกอดไปเงียบๆ ก็พอ” วิทยาบอก และเขาต้องการแค่นั้นจริงๆ แค่ได้อยู่ข้างๆ กันแบบนี้ก็พอแล้ว
ผู้กองหนุ่มนั่งตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ หัวใจเต้นแรง ไม่เคยมีใครทำให้เขาเป็นได้ถึงขนาดนี้ ผู้ชายที่คาดเดาอะไรไม่ได้และเพราะแบบนี้แหละเขาถึงกลายเป็นเสือสิ้นลาย เหมือนลูกไก่ในกำมือจะบีบก็ตายจะคลายก็ไม่มีแรงคลานหนีไปไหนอยู่ดี
“กอดได้ไหม” พร้อมกับยกมือขึ้นแตะที่กลางหลัง
“ก็บอกให้นั่งเฉยๆ”
เสียงเอ็ดเบาๆ ทำเอารติพัทธวางมือกลับลงบนตักแทบไม่ทัน
วิทยาหลุดขำออกมาเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้นแตะริมฝีปากที่แนวกรามก่อนจะซุกหน้าลงบนบ่าตามเดิม “แค่กอดอย่างเดียวนะ”
มือใหญ่โอบเข้ารอบเอวแทบจะทันทีที่สิ้นคำอนุญาต พร้อมกับวางมือข้างหนึ่งลงบนศีรษะ สอดเข้าใต้เรือนผมนุ่มพลางลูบไล้เบาๆ
นึกอยากให้เวลาเดินช้าลงสักร้อยพันเท่า แต่มันคงเป็นไม่ได้เมื่อกระเช้าเริ่มไต่ระดับลงต่ำเรื่อยๆ
“ปล่อยได้แล้วมั้งครับ เดี๋ยวคนอื่นเห็นนะ”
“ช่างเขาสิ” วิทยาว่า “ไหนว่าแฟนหวงไม่ใช่เหรอ แล้วยังกล้าไปก้อร่อก้อติกกับสาวๆ อีก”
รติพัทธตาโต “เห็นด้วยเหรอครับ”
“ฉันแค่ตาตี่นะไม่ได้ตาบอดสักหน่อย เด่นซะขนาดนั้น” หนุ่มหน้าตี๋คว้ามือใหญ่ที่ขยุ้มอยู่บนศีรษะตนลงมาวางบนตักแล้ววางมือของตนทับ ถึงจะดูบอบบางกว่าแต่ขนาดก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ “นายชอบคนตัวเล็กๆ ขาวๆ ที่อายุน้อยกว่าสินะ”
“จู่ๆ ก็พูดเรื่องอะไรเนี่ย”
“น้องแม็กซ์นั่นก็ตัวเล็กเหมือนลูกกระต่าย”
“นั่นแกล้งจีบเพราะไปทำคดีครับ”
“สาวๆ กลุ่มเมื่อกี้ก็เหมือนลูกนก หยิกแกมหยอกกันน่ารักเชียว”
“นั่นน้องเขาแค่มาขอถ่ายรูปด้วย”
“น่าเบื่อชะมัด”
“ตกลงอยากจะพูดอะไรกันแน่ครับ หึง?” คุณหมอหนุ่มสอดเรียวนิ้วเข้าระหว่างนิ้วใหญ่แล้วกุมไว้ “ฉันก็ขาวนะ ตัวไม่เล็กแต่ก็กอดเต็มมือ แต่เรื่องอายุนี่ฉันคงโกงให้ไม่ได้จริงๆ”
“แก่กว่านี้ก็รักครับ” รติพัทธขโมยหอมแก้มไปอีกครั้งพร้อมกับสะกิดไหล่ “เดี๋ยวชิงช้าจะถึงพื้นแล้วเราเตรียมลงกันเถอะ ชักช้าเดี๋ยวไอ้หนุ่มนั่นจะบ่นเอา”
“เขาไม่กล้าบ่นหรอก” วิทยาว่า “เพราะฉันแถมไปอีกห้าร้อย ค่าขึ้นกระเช้าคนละยี่สิบใช่ไหม ฉันยังนั่งได้อีก12รอบครึ่งเชียวนะ”
“คุณนี่มันจริงๆ เลย”
“ก็มันร้อนนี่ ชุดก็หนา ขี้เกียจเดินแล้วด้วย วันนี้ก็ยุ่งเดินจนขาแทบหลุดแล้ว อุตส่าห์ได้หยุดทั้งทีฉันก็แค่อยากนั่งสบายๆ ให้นายกอดแบบนี้... ไม่ได้เหรอ” น้ำเสียงที่อ่อนลงพร้อมกับนัยน์ตาเล็กที่ตวัดมองขึ้นมาอย่างออดอ้อนทำเอาคนที่กอดอยู่เผลอกดริมฝีปากเข้าข้างแก้มไปฟอดใหญ่
“แล้วทำไมคุณไม่บอกผมล่ะ ผมก็หลงคิดวางแผนนู่นนี่นั่นซะมากมาย เพราะแทบไม่เคยพาคุณไปเที่ยวไหนเลยก็กลัวจะเบื่อ”
“ฉันจำไม่ได้นะว่าเคยบ่นสักคำว่าเบื่อน่ะ มีแต่นายน่ะแหละที่ชอบคิดเองเออเอง”
“งั้นกลับบ้านกันไหมครับ”
“แต่นายยังพาฉันเดินไม่ทั่วงานเลยนะ เดี๋ยวไม่เป็นไปตามแผนก็มาบ่นฉันอีก”
ผู้กองหนุ่มหัวเราะลงคอพร้อมกับบิดจมูกคนช่างย้อนครั้งหนึ่ง “เรื่องนั้นช่างมันเถอะครับ กลับกันเถอะ”
ทั้งสองกลับมายืนบนถนนที่คราคร่ำไปด้วยผู้คนอีกครั้ง รติพัทธเอาเจ้าหมียักษ์เข้าข้างเอวเพื่อถือให้ถนัด ชักรู้สึกว่าคิดผิดนิดๆ ที่ไปชนะเดิมพันเอาเจ้าตัวนี้มา
“คุณจอดรถไว้ที่ไหนผมจะเดินไปส่ง”
“ฉันไม่ได้เอามา”
“แล้วคุณมายังไง”
“โบกแท๊กซี่จากบ้านมาต่อสถานีรถไฟฟ้า แล้วก็เดินมา” วิทยาอธิบายการเดินทางของตน “ก็รถมันติดนี่นา ฉันไม่รู้จะจอดรถตรงไหน แล้วก็...” จู่ๆ แก้มขาวแต้มสีเข้มขึ้นเล็กน้อยจนรติพัทธนึกประหลาดใจแต่พอวิทยาต่อประโยคจนจบก็กลับกลายเป็นเขาเองที่เขินจนแทบมุดดินหนี “วันนี้นายไม่ได้ตั้งใจจะไปส่งฉันที่ห้องหรอกเหรอ... พรุ่งนี้ฉันหยุดนะ”
“คุณ!” รติพัทธพูดเพียงเท่านั้นแล้วคว้าข้อมือบางก่อนจะดึงจนตัวปลิวทำให้วิทยาต้องออกวิ่งเหยาะๆ เพื่อตามให้ทัน
“ช้าๆ ก็ได้จะรีบร้อนไปไหนเนี่ย”
“กลับบ้าน”
“รู้แล้ว ไม่เห็นต้องรีบร้อนขนาดนี้เลย”
“ก็ผมอยากกอดคุณ และผมจะไม่รออะไรอีกแล้ว!”
OOOOOO
“ใจเย็นๆ สิขอฉันถอดเสื้อก่อน” คุณหมอหนุ่มดุคนที่แทบจะอุ้มเขาขึ้นมาถึงห้อง และพอเปิดประตูเข้ามาได้ก็ระดมจูบใส่ไปทั่วโดยไม่ยอมให้หยุดพักหายใจหายคอ
“มาถึงขนาดนี้แล้วใครมันจะไปเย็นลงล่ะครับ” ไม่พูดเปล่ายังสอดมือใหญ่เข้าใต้ขอบโจงกระเบน ทั้งด้านหน้าและด้านหลังจนคนที่ถูกสัมผัสสะดุ้งเฮือกเผลอฟาดเข้าที่ต้นเแขนล่ำๆ นั่นไปครั้งหนึ่ง
“นายน์!”
เสียงที่เข้มขึ้นทันทีทำเอาผู้กองหนุ่มหน้าจ๋อยไปถนัด “นั่นสินะ ชุดนี้คุณเช่ามานี่นา ถ้าเปื้อนไปล่ะแย่เลย”
“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาเสียหน่อย”
คิ้วเข้มย่นเข้าหากันและโดยไม่ทันตั้งตัว มือเรียวยันเข้าที่กลางอก ผลักร่างสูงให้หงายหลังล้มลงนอนแผ่หราบนเตียง ก่อนที่เจ้าตัวจะก้าวตามขึ้นมาคุกเข่าคร่อมอยู่บนปลายขา
“ฉันแค่อยากจะชวนอาบน้ำด้วยกันก่อน แต่ถ้านายไม่แคร์ว่าจะเหม็นเหงื่อฉันก็ไม่มีปัญหาหรอกนะ”
ยังไม่ทันจะกะพริบตา เสื้อตัวนอกก็ถูกถอดออกโยนลงมากองข้างตัว นัยน์ตาของผู้กองหนุ่มพราวระยับและกวาดไล่ไปทั่วเรือนร่างขาวเนียนที่ทาบทับอยู่บนตัว
“เหล้าก็ไม่ได้กินแท้ๆ แต่ทำไมวันนี้ทำตัวน่ารักจัง”
“แล้วไม่ชอบเหรอ”
“ไม่ครับ”
“เอ๊ะ...”
คำตอบจริงจังทำเอาวิทยาหน้าเจื่อนไปถนัด เมื่อคนที่นอนอยู่คว้าเข้าที่หัวไหล่แล้วพลิกกลับเป็นฝ่ายขึ้นคร่อมไว้แทน
“ไม่ปฏิเสธ” รติพัทธต่อคำพูดสุดท้ายจนจบแล้วก้มลงปิดปากคนที่นอนยั่วยิ้มอยู่ข้างล่าง
...
...
...
“หนัก”
เสียงอู้อี้ที่ดังมาจากคนที่นอนอยู่ใต้ร่างทำให้ผู้กองหนุ่มขยับตัวเล็กน้อย หากยังไม่ยอมเปลี่ยนอิริยาบทและสอดแขนกอดแน่นขึ้นอีก
“ขอผมอยู่แบบนี้อีกแป๊บไม่ได้เหรอ”
วิทยาทั้งตีทั้งข่วนเข้าที่แผ่นหลังก่อนจะรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลือพยายามดันอกคนตัวโตกว่าออกไป แต่ยิ่งผลักแรงเท่าใดคนที่กอดไว้ยิ่งรัดวงแขนแน่นซ้ำยังแกล้งซุกไซร้ลงบนหน้าอกที่เจ้าตัวฝากร่องรอยไว้เต็มไปหมด
“นายน์ ฉันหายใจไม่ออก”
เมื่อเสียงคนที่อยู่ข้างล่างเหมือนจะเริ่มขาดใจจริงๆ ผู้กองหนุ่มจึงยอมพลิกตัวกลับพร้อมทั้งดึงร่างเขาตามขึ้นมานอนทับอยู่บนแผงอกกว้าง รู้สึกไม่เสียชาติเกิดที่เข้ายิมเน้นกล้ามอกเป็นพิเศษ เพราะถึงไม่เคยเอ่ยให้ได้ยินแต่เขาสังเกตได้ว่าคนรักของเขาชอบที่จะหนุนนอนแทนหมอนจนหลับไปทุกคืน
วันนี้ก็เช่นกัน ทั้งที่บ่นว่าอึดอัด แต่พอได้พลิกมาอยู่ข้างบนกลับเป็นฝ่ายก่ายเกยขึ้นมาบนตัวเขาเต็มที่ ทิ้งศีรษะซุกไว้แถวๆ แนวไหปลาร้า แล้วแกล้งปล่อยให้เขาอดทนกับเรือนผมนุ่มที่คลอเคลียอยู่ปลายจมูกกับลมหายใจอุ่นที่รดลงเหนือยอดอกพอดิบพอดี
“ไม่ร้อน ไม่อึดอัดแล้วนะครับ”
ศีรษะที่ประกอบด้วยเรือนผมสีน้ำตาลทองขยับเบาๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนที่เสียงทุ้มจะกระซิบตอบกลับมา “หนาว”
รติพัทธหัวเราะหึอย่างเอ็นดู ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นคลุมให้ถึงต้นคอแล้วกระชับวงแขนแน่นขึ้นอีก “ดีขึ้นไหมครับ”
“อือ”
“ให้กี่คะแนน”
“ยังไม่เลิกถามอีก”
“ไหนๆ วันนี้ก็เลือกมาทางนี้แล้ว เห็นทีผมต้องเอาให้สุด ว่าไงครับ ตกลงผมได้กี่คะแนน”
“สิบ”
“จริงอะ”
“จริงสิ แต่คะแนนเต็มร้อยนะ”
“ปากดีจัง แฟนใครเนี่ย” แล้วรติพัทธก็ก้มลงงับข้างหูครั้งหนึ่งข้อหาหมั่นไส้ “แล้วเมื่อกี้ใครกันนะ ที่กอดผมซะแน่นเลยน่ะ หืมมม ตอบมาสิครับ”
“อ้าว นี่คบกันมาตั้งนานฉันไม่เคยบอกนายเหรอว่าจบเอกแพทยศาสตร์ โทการแสดงน่ะ”
“ดูพูดเข้า”
“ก็จริงๆ นี่ไม่งั้นฉันจะเล่นละครหลอกเป็นเพื่อนกับใครคนหนึ่งมาได้ตั้งเกือบยี่สิบปีเหรอ”
“แล้วตอนนี้ล่ะ คุณกำลังเล่นละครหลอกว่ารักผมอยู่หรือเปล่า” ถามพลางไล้ปลายนิ้วเบาๆ ไปบนแก้มนิ่มราวกับจะตัดพ้อ
หนุ่มหน้าตี๋ตะแคงหน้าขึ้นมามอง “แล้วนายคิดว่าไงล่ะ”
“ไม่เอาหรอก ผมไม่อยากคิดเองเออเอง คุณบอกมาเลยดีกว่า”
วิทยาเงียบไปอึดใจ “นายถามว่าต้องทำยังไงฉันถึงจะให้คะแนนเต็มใช่ไหม งั้นลองทายดูสิ ถ้าทายถูกนายก็จะรู้คำตอบเอง”
รติพัทธย่นปากครุ่นคิดอยู่อึดใจ “ไม่พูดมากแล้วยอมให้คุณกอดเฉยๆ”
“แปดคะแนน”
“งั้นจูบอะ”
“ห้าคะแนน”
“บอกรักคุณทุกวัน”
“สามคะแนน”
“เอ้า! ไหงยิ่งทายคะแนนยิ่งลดละคุณ แกล้งกันหรือเปล่าเนี่ย”
“ช่วยไม่ได้ ก็นายทายไม่ถูกเอง”
“ไม่เอาผมไม่ทายแล้วคุณเฉลยมาเลยดีกว่า”
“ไปเอาน้ำให้หน่อย”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง “แล้ว...”
“ก็แค่นั้นแหละ ไปเอาน้ำให้หน่อย ฉันคอแห้งไปหมดแล้วเนี่ย”
“มันน่าตีจริงๆ เชียว” แล้วผู้กองหนุ่มก็ลงโทษด้วยการใช้ริมฝีปากตีแรงๆ เข้าที่กลางหน้าผากครั้งหนึ่ง “เอาน้ำอุ่นหรือน้ำเย็นครับ”
วิทยาหลับตารับรอยจูบก่อนจะพลิกตัวลงนอนบนหมอนอีกใบ “น้ำเย็น” แล้วเฝ้ามองดูร่างสูงลุกขึ้นพันผ้าเช็ดตัวเข้ารอบเอวก่อนจะเดินออกประตูห้องนอนไป
“ใส่น้ำแข็งมาด้วยนะ”
“รับทราบคร้าบบบ” รติพัทธหยิบแก้วทรงสูงจากชั้นวางแล้วดึงประตูตู้เย็นเปิดออก
เขาเอื้อมมือเข้าไปควานหาถาดใส่น้ำแข็ง กำลังจะบิดมันออกมาจากบล๊อกเมื่อสังเกตเห็นว่ามันถูกทำให้เป็นรอยตัวอักษรภาษาอังกฤษบนผิวหน้าน้ำแข็ง ช่องละ 1 ตัวอักษร
ผู้กองหนุ่มมองกลับไปยังทางที่ทอดนำสู่ห้องนอน ก่อนจะหยักยิ้มมุมปากครั้งหนึ่งแล้วยกถาดน้ำแข็งขึ้นส่องกับแสงไฟเพื่อดูข้อความให้ชัด
T-E-R-R-A-C-E
“ระเบียง?” เมื่อได้คำตอบก็แกะน้ำแข็งใส่แก้วจนเต็มแล้วเดินออกไปตามคำใบ้ นึกสนุกว่าวิทยาวางแผนอะไรไว้นี่เอง... ถึงว่าสิ ปกติต้องไปคอนโดเขาแต่วันนี้กลับยืนกรานจะกลับมาห้องตัวเอง
ร่างสูงดันบานประตูเลื่อนเปิดออกแล้วกวาดตามองไปรอบๆ ระเบียงแคบๆ เพียงแค่อึดใจเขาเห็นขวดแก้วใบหนึ่งวางแอบไว้ตรงมุมในสุด
ถึงตรงนี้ก็อดจะหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้ ด้วยว่ามันเป็นแบล็ค เลเบิล หนึ่งในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เขาโปรดปรานมากที่สุด
“รู้ใจซะด้วยนะว่าชอบกินกับน้ำแข็งเยอะๆ”
ผู้กองหนุ่มหยิบขวดเหล้าเดินกลับเข้ามาในห้องและเปิดเทลงไปแบบเพียวๆ ใช้ปลายนิ้วคนเบาๆ ให้เข้ากัน ก่อนจะยกขึ้นจิบ พลันสายตาเหลือบไปเห็นฉลากใบน้อยที่ห้อยอยู่ตรงคอขวดเหมือนจะเขียนอะไรไว้จึงจับพลิกดู
ลายมือหวัดๆ ที่เขาจำได้ดีเขียนไว้ว่า
เลิกกินแล้วเดินไปเอากับแกล้มในตู้มาด้วย
“นี่เป็นญาติฝ่ายไหนกับริวจิตสัมผัสหรือเปล่าเนี่ย”
รติพัทธเดินกลับไปในครัวและเปิดชั้นวางของทีละตู้ ๆ แต่ก็ไม่เจออะไรสักอย่าง เขาพลิกฉลากใบนั้นมาอ่านอีกครั้ง
“ฉลาก... label?... หรือมันจะเป็นคำใบ้... ของอยู่ใน ‘ตู้’... Black label... หมายถึงตู้หรือกล่องอะไรสีดำเหรอ”
เขากวาดตามองไปรอบๆ อีกครั้ง และเจอสิ่งที่ตามหาทันที ถึงจะดูไม่น่าใช่แต่มันก็มีลักษณะตรงกับคำใบ้พอดี
รติพัทธเดินไปนั่งยองๆ ลงหน้าตู้อบขนมที่อยู่ใต้เตาไฟฟ้า และดึงฝาเปิดออก
แล้วคำตอบที่ตามหาก็วางอยู่ข้างใน
เขายิ้มกว้างอย่างควบคุมไม่ได้
มีการ์ดใบเล็กวางไว้ด้านข้าง มันเป็นแค่กระดาษโน้ตสีขาวเรียบๆ หากตัวอักษรที่เขียนไว้มีความหมายมากมายนัก
Happy Birthday
(อย่ามัวแต่ยิ้ม ไม่ต้องเชลฟี่ แล้วรีบกลับมาที่เตียงได้แล้ว)
อ่านจบ มือใหญ่ก็ค่อยประคองถาดใส่เค้กครีมสดที่ใครบางคนซ่อนเอาไว้ออกมา หนีบขวดเหล้าไว้ที่ข้างแขนแล้วหยิบแก้วใส่น้ำแข็งเดินกลับไปที่ห้องนอน
“เล่นอะไรครับเนี่ย”
ยิ้มจนตาหยีได้พอๆ กับหนุ่มเชื้อสายจีนที่นั่งอมยิ้มอยู่บนเตียง ในมือถือกุหลาบแดงดอกโตไว้หนึ่งดอก แต่กลีบและใบของมันแห้งกรอบจนออกสีน้ำตาล
“หายไปนานจัง นึกว่าจะคิดไม่ออกซะแล้ว”
ผู้กองหนุ่มวางของทั้งหมดลงบนโต๊ะข้างเตียงแล้วนั่งลงเคียงข้าง “ขอบคุณนะครับที่ยังจำกันได้”
“ฉันจะลืมวันเกิดนายได้ยังไง แต่บอกไว้ก่อนนะว่าฉันไม่ร้องเพลงให้เด็ดขาด” วิทยาว่า
“แล้วกุหลาบดอกนั้นล่ะครับ นั่นที่ผมให้เมื่อตอนวาเลนไทน์หรือเปล่า”
คุณหมอหนุ่มพยักหน้า
“แล้วเอาออกมาทำไมครับ”
“ก็นอกจากจะเป็นวันเกิดนายแล้ววันนี้ยังเป็นวันไวท์เดย์ด้วยนี่นา อะ! เอาไปสิ”
“ตามธรรมเนียมเขาให้ให้ของขวัญคืนกับคนที่ให้ครับ ไม่ใช่ให้คืนของขวัญ”
“แต่ไหนๆ ฉันก็เอามาแล้วนายก็รับไปเถอะน่า”
เพราะรอยยิ้มเขินที่กว้างไปถึงตาทำให้เขาไร้สิ้นถ้อยคำจะขัดขืน รติพัทธยื่นมือออกไปตรงหน้าส่งดอกกุหลาบคืนมาพร้อมกับที่มือเรียวปล่อยวัตถุสีเงินไหลตามก้านกุหลาบลงมาใส่มือ
หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดจากอก เขามองแหวนเงินสองวงในมืออย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาคนตรงหน้าเต็มที่ “มันคืออะไรครับ”
“อ้าว ไม่รู้จักแหวนเหรอ” แล้วแก้มขาวก็แต้มสีแดงระเรื่อก่อนจะเห่อลามไปจนถึงใบหู
“ผมรู้ครับว่ามันเป็นแหวน แต่ว่ามันมีสองวง แถมยังคนละขนาด แบบนี้มันมีความหมายพิเศษอะไรหรือเปล่าครับ”
“จะมีความหมายพิเศษอะไรล่ะ ก็แค่แหวน” วิทยาว่า “แต่ถ้านายอยากให้มีก็ใส่สิ” ไม่พูดเปล่ายังยื่นมือของตนออกมาตรงหน้า
รติพัทธหยิบแหวนวงที่เล็กกว่าขึ้นมาสอดผ่านเข้าไปในเรียวนิ้วนาง
“ทำไมถึงใส่นิ้วนั้น”
“เหตุผลเดียวกับที่คุณส่งมือซ้ายให้ผมแหละครับ” พร้อมกับกดริมฝีปากย้ำลงไปบนหลังมือครั้งหนึ่ง “ใส่ให้ผมบ้างสิ”
วิทยาใส่แหวนให้อีกฝ่ายที่ตำแหน่งเดียวกัน “ใส่แล้วห้ามถอดนะ”
“นี่คือการใส่ปลอกคอให้ผมเหรอครับ” ปากแซวไปอย่างนั้นทั้งที่ใบหน้าระบายยิ้มกว้างจนหุบไม่ลง
“ใครๆ จะได้รู้ไงว่านายมีเจ้าของ แล้วเจ้าตัวก็จะได้รู้ตัวด้วยว่าไม่ควรหนีไปเพ่นพ่านที่ไหนอีก”
เขามองกวาดมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกท่วมท้น และมันไม่ใช่แค่คำว่าความสุข แต่เขาก็ไม่รู้จะสรรหาถ้อยคำไหนมาอธิบายได้ดีว่านี้อีกแล้ว “จิว รักนะครับ”
“คนเดียวด้วยนะ”
“ครับ”
นัยน์ตาเล็กตี่เหลือบดูคนที่มองเขาตาไม่กะพริบ รู้ดีว่ารติพัทธกำลังรออะไร แต่ในเมื่ออีกฝ่ายพูดคำนั้นออกมาแล้ว ถ้าพูดตามก็เดี๋ยวจะโดนกล่าวหาว่าเลียนแบบสินะ “แล้วตกลงรู้หรือยังว่าต้องทำอะไรถึงจะได้คะแนนเต็ม”
รติพัทธส่ายหน้าเบาๆ ครั้งหนึ่ง
“งั้นจะบอกให้ก็ได้” วิทยาบอกพลางชูสองแขนขึ้นพาดบนบ่ากว้างของคนตรงหน้า “ก็ทำทุกอย่างที่นายว่ามาไงล่ะ”
“แล้วเค้กล่ะครับ” รติพัทธแสร้งทำเป็นลังเล
“โตแล้วก็หัดคิดเองบ้างสิ ว่าจะทำอะไรก่อนหลัง หรือว่า...” แล้วใช้ปลายนิ้วปาดครีมสดบนหน้าเค้กแตะลงบนริมฝีปาก “ถ้านายอยากจะกินพร้อมๆ กันฉันก็ไม่ว่าหรอกนะ”
The End
Talk
ทันวันwhite day แบบฉิวเฉียด! (ปรบมือให้เค้าหน่อยยยย~)
สำหรับแม่ยกคู่ นายน์×จิว โดยเฉพาะหวังว่าจะถูกใจทุกคนนะคะ
ปล.เราเปิดเรื่องใหม่แล้วนะ เป็นภาคต่อของ ER (เน้นว่าภาคต่อไม่ใช่ภาคสอง พระ-นาย คู่ใหม่นะคะ)
ลองแวะเวียนไปเยี่ยมชมกันได้น้าาาาา❤
Text_book (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51214.0;topicseen)