แจ้งข่าวค่ะ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: แจ้งข่าวค่ะ  (อ่าน 53752 ครั้ง)

ออฟไลน์ maii

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 222
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-2
พึ่งเข้ามาอ่านค่ะ
เรื่องน่ารักมาก อ่านแล้ว feel good สุดๆ อยากไปเที่ยวฮ่องกงเลย ^^
พี่เชนเจอน้องแล้วรีบจีบเลยนะคะ  :katai2-1:
รอฟินตอนต่อไป

 :pig4:

ออฟไลน์ maew189870

  • รักทุกคนนะคับ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 736
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
เรื่องออกจะเศร้าๆนะ แต่ก็น่ารักอ่ะ 


ออฟไลน์ minenat

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1661
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
ชอบเรื่องนี้เชอบๆๆๆๆๆๆ :katai1:

ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ตอนที่ 17


Matt Part

          การที่ผมไม่ได้พูดอะไรออกมาไม่ได้หมายความผมไม่รู้สึกอะไร ตอนนั้นในหัวมันอึ้งไปหมด ผมไม่ใช่พ่อมดหรือผู้วิเศษที่คิดถึงใครแล้วจะได้เจอดั่งใจนึก ผมตกใจไม่น้อยที่เห็นพี่เชน ใครจะไปคิดว่าคนที่กำลังนึกถึงจะมายืนอยู่ตรงหน้า ผมพูดอะไรไม่ออก ความคิดแรกที่เข้ามาในหัวคือดีใจ อยากลุกขึ้นไปกอด พอเจอหน้าพี่เชนแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองอ่อนแอกว่าเดิม ผมลืมไปเลยว่าก่อนหน้านี้อยากเจอพี่มัทแค่ไหน ลืมไปซะสนิทเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้คนที่คนที่อยู่ตรงหน้าตอบโจทย์ความคิดผมได้มากกว่าพี่มัทและไม่ว่าพี่เชนจะแค่ผ่านมาแล้วบังเอิญเจอหรือจะมาเพื่อทวงสัญญาก็ช่าง ผมดีใจมาก แม้ว่านับจากวินาทีนี้ไปจะมีเรื่องให้ยุ่งยากมากกว่านี้ผมก็ยอม

          ตอนที่เดินตามหลังโอ้ตมาที่ห้องอาหาร ผมก็ทำแค่หันไปมองหน้าพี่เชนอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่กลัวว่ามันจะเป็นความฝันนะ แค่อยากจดจำเอาไว้ มองให้หายคิดถึง

"ผมไปตามแมทมาแล้วครับคุณเม เพื่อนคุณยังไม่มาอีกเหรอครับ"       โอ้ตเปิดประตูเข้าไปแล้วบอกคุณเมที่คงจะอยู่ในห้อง

"ขอบคุณครับ"       ผมหันไปบอกขอบคุณพี่เชนที่เปิดประตูให้ มองไปที่โต๊ะก็เห็นว่าอาหารถูกสั่งมาแล้วหลายจาน

"ไหนว่ารอกูมาสั่งให้"       ผมถามโอ้ต

"ถ้าไม่บอกงั้นมึงจะรีบมาเหรอแมท"       ผมโดนมันหลอกงั้นสิ

"เชน มาพอดีเลย หายไปไหนมาตั้งนาน ไปหาที่ห้องน้ำก็ไม่เจอ"       เดี๋ยวนะ นี่พี่เชนคือคนที่มากับคุณเมเหรอ

"ผมไปร้านกาแฟข้างๆมา ขอโทษทีนะเม"       ผมหันไปมองหน้าพี่เชนสลับกับคุณเมด้วยความสงสัย

"นี่คุณเมรู้จักกับพี่เชนเหรอครับ"       โอ้ตถามขึ้นมาเช่นเดียวกับความสงสัยของผม

"อ่อค่ะ เรามาด้วยกัน มานั่งทานกันดีกว่าค่ะ มัวแต่ยืนคุย อาหารเย็นชืดหมดแล้วนะคะ"

"โลกกลมจังเลยนะครับ"       ผมก็คิดอย่างโอ้ตนะ

"นั่นสิคะ คุณโอ้ตก็รู้จักกับเชนด้วยเหรอคะ"

"รู้จักสิครับ"       แหมไอ้โอ้ต เพิ่งจะทำความรู้จักกันเมื่อกี้เองนะ

"คุณแมทมานั่งนี่ดีกว่าค่ะ ตรงกับไก่ทอดซอสมะนาวพอดีเลย เห็นคุณโอ้ตบอกว่าเป็นของโปรดคุณแมท"       ยังไม่ทันได้หย่อนตัวนั่งเธอก็จัดการที่นั่งให้ตัวเองและทุกคนเสร็จสรรพ และด้วยโต๊ะที่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าเลยกลายเป็นผมที่นั่งตรงข้ามคุณเม ข้างผมเป็นโอ้ตที่นั่งตรงข้ามกับพี่เชน

"คุณเมทราบชื่อผม"       หลังจากนั่งลงผมก็ถามคุณเม

"ค่ะ คุณโอ้ตบอกค่ะ"       เธอตอบคำถามผมด้วยรอยยิ้ม

"อาหารที่นี่อร่อยมากเลยนะคะคุณโอ้ต เมเป็นลูกค้าประจำเลยละคะ เชนลองชิมนี่สิ อร่อยมากๆ"

"ขอบคุณครับ"       แว่บแรกที่เห็นบอกตรงๆว่าผมคิดว่าเขาสองคนเป็นแฟนกัน ทั้งๆที่คุณเมและพี่เชนไม่ได้แสดงออกชัดเจนให้ต้องคิดอย่างนั้นเลยสักนิด แต่มันก็อดคิดไม่ได้จริงๆ แล้วผมก็ชักจะเกลียดความคิดและสมองตัวเองแล้วนะที่กำลังคิดไปว่าคนทั้งคู่ดูเหมาะสมกัน

"ดูท่าทางแมทชอบทานผักนะครับ"       พี่เชนเงยหน้าจากจานขึ้นมาถามในจังหวะที่ผมกำลังมองอยู่พอดี

"ไอ้นี่มันโรคจิตครับ กำลังกายไม่ออกแต่ถ้าน้ำหนักเพิ่มก็จะทานแต่ผัก"       ไอ้โอ้ตก็พูดเกินไป มันเป็นเรื่องปกติของทุกคนนะผมว่า ถ้าเราเป็นคนชอบกิน หยุดกินไม่ได้ แล้วยังไม่ชอบออกกำลังกาย เราก็ควรจะเลือกกิน

"แต่เมว่าคุณแมทก็ตัวเล็กอยู่แล้วนะคะ"

"ไม่ใช่ตัวเล็กครับ มันเตี้ย ไอ้นี่มันเกิดในยุคที่ยาฆ่าแมลงเฟื่องฟู"

"เดี๋ยวนะคะ เมเริ่มงงแล้วค่ะว่ามันเกี่ยวอะไรกัน"       หน้าคุณเมบ่งบอกว่างงอย่างที่พูดจริงๆ

"ก็แมทมันชอบกินผักไงครับ แล้วมันก็เกิดในยุคที่ยาฆ่าแมลงกำลังฮิต มันเลยหยุดการเจริญเติบโตเหลือตัวแค่นี้เพราะผักยุคนั้นเต็มไปด้วยยาฆ่าแมลง ฮ่าๆๆๆ"       ไอ้เพื่อนชั่ว ทำไมไม่ประจานว่าผมสูงเท่าไหร่ไปด้วยเลยหล่ะ

"หึๆ"       เสียงหัวเราะแบบนี้มันเหมือนเยาะเย้ยทำให้ผมต้องมองหาต้นเสียง แล้วก็พบว่าพี่เชนกำลังยกยิ้มแล้วมองมาทางผมพอดี จากนั้นเสียงรอบตัวผมก็เงียบ ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ในสายตาผมตอนนี้ก็มีแค่หน้าพี่เชน ผมกำลังถามตัวเองย้ำๆว่านี่ใช่ไหมคนที่มัวแต่คิดถึง

"เฮ้ย! ไอ้แมท"

"หือ ว่าไง"       เสียงเรียกของโอ้ตดึงสติผมออกมาจากภาพนั้น

"พี่เมเขาถามว่าเรียกมึงว่าน้องได้ไหม"

"ครับ?!?"       ผมหันไปหาคุณเมทันทีพร้อมสีหน้าที่มีคำถาม

"คือเมื่อกี้น้องแมทคงไม่ทันฟัง พี่บอกน้องโอ้ตว่าสงสัยเราคงเกิดกันคนละยุค เลยถามว่าเราสองคนอายุเท่าไหร่ น้องโอ้ตเลยบอกอายุมา พี่เห็นว่าเราสองคนอายุน้อยกว่าเลยอยากเปลี่ยนการเรียกที่ไม่เป็นทางการเกินไป จะได้ไม่อึดอัดค่ะ"       นี่ผมเอาสติหลุดไปกับใบหน้าพี่เชนไปนานแค่ไหนกัน

"อ่อได้ครับ"

"งั้นก็เปลี่ยนมาเรียกว่าพี่เมกับพี่เชนเลยด้วยละกันเนอะ"       ผมจะกลายเป็นคนนิสัยไม่ดีเกินไปไหมที่จะไม่อยากได้ยินเสียงคุณเมเรียกชื่อพี่เชน

"น้องแมทไม่ค่อยคุยเลยคะ พูดน้อยจัง"

"ใช่ พูดน้อย"       แล้วการที่ต้องพูดจารับกันแบบนี้ผมก็ยิ่งไม่ชอบ ผมคงเป็นคนนิสัยไม่ดีไปแล้วจริงๆ

"เพิ่งเจอกันมั้งครับ เลยไม่รู้จะคุยอะไร"     แต่ไม่ใช่กับพี่เชนที่ผมมีเรื่องจะพูดให้ฟังเต็มไปหมด

"นั่นสินะคะ พี่เข้าใจค่ะ ว่าแต่น้องสองคนไม่โกรธที่พี่เดินชนแล้วใช่ไหมคะ"

"เรื่องเล็กครับ โชคดีที่มีเสื้อยืดแมทอยู่หลังรถ ผมเลยเปลี่ยนเรียบร้อยแล้ว"

"ยังไงพี่ก็ต้องขอโทษอีกครั้งนะคะ"

"ไม่เป็นไรครับ อย่างที่ผมกับโอ้ตบอกแต่แรก"

"งั้นมื้อนี้พี่ขอเลี้ยงนะคะ"

"ไม่ๆพี่ คือร้านนี้"       ผมพยายามโบกมือและจะบอกว่านี่ร้านของบ้านผม ไม่ต้องจ่าย อีกอย่างก็ถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้เลี้ยงข้าวพี่เชนด้วย แต่ผมพูดไม่ทันพี่เมจริงๆ

"ไม่ต้องขัดเลยค่ะ พี่จ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว ถือว่าเป็นคำขอโทษจากพี่อีกครั้งนะคะ"     ดันทุรังจะพยายามอธิบายก็คงไม่จบ อีกอย่างพี่เมไม่เว้นช่องว่างให้ผมพูดสักนิด ปล่อยเลยตามเลยไปก็แล้วกัน

"ขอบคุณครับ แล้วนี่พวกพี่ไปไหนกันต่อครับ"       โอ้ตถาม

"ต้องไปส่งเชนไปเอารถที่โรงแรมก่อนแล้วก็กลับบ้านกันเลย น้องๆหล่ะ"       อย่างนี้ก็แปลว่าอยู่ด้วยกันเหรอ 'ไม่ๆแมทอย่าคิดไปเอง' ผมพยายามบอกตัวเองในใจอย่างนั้น

"เอ้อ แมทเมื่อกี้กูเจอพี่มัท เจ้แกบอกว่าจะเอารถไปงานวันเกิดเพื่อนนะ กลับดึกฝากบอกแม่ด้วย แล้วก็ให้กูพามึงไปส่งบ้าน"

"แต่มึงมารถกู จะไปส่งได้ไง งั้นกูไปบอกพี่มัทก่อน"

"ไม่ต้องๆ กูโทรบอกม๊าละ ม๊ากูไปงานแต่งงานเดียวกับแม่มึง ทางผ่านพอดีเดี๋ยวม๊าจะมาแวะรับเราสองคนไปส่งที่บ้านมึง"

"อืม"

"เอ่อ พี่เสียมารยาทถามนิดนึงนะคะ บ้านน้องแมทอยู่แถวไหนคะ ให้พี่ไปส่งไหม"

"ไม่เป็นไรครับพี่เม ผมบอกม๊าไว้แล้ว งานคงใกล้จะเลิกแล้วละครับ"

"ให้พี่ไปส่งที่โรงแรมก็ได้นะคะ พี่ต้องไปโรงแรมนั้นพอดี จะได้ไม่ต้องนั่งรอที่ร้านดีไหมคะ"

"เอ่อ ว่าไงมึง"       โอ้ตหันมาถามความเห็นจากผม

"แล้วพี่เมทราบได้ไงครับว่าผมจะไปโรงแรมเดียวกัน"

"เออ นั่นสิ อ่อ พอดีพี่เห็นป้ายงานแต่งหน้าโรงแรมตอนที่ไปรับเชน เลยเดาเอา ใช่โรงแรม x หรือเปล่า"       ผมพยักหน้ารับแต่ก็พลางคิดว่ามันมีป้ายด้วยเหรอ ทำไมผมไม่เห็น แต่ก็ช่างเถอะ ผมอาจจะไม่เห็นจริงๆ

"เอางั้นก็ได้ครับ ขอบคุณมากนะครับ"

"ยินดีค่ะ งั้นพี่ไปเอารถก่อน เราสองคนรอพี่ตรงนี้ก็ได้ค่ะ"

"เดินไปด้วยกันเลยก็ได้ครับ ลานจอดรถอยู่แค่นี้เอง"

"ก็ได้คะ ไปพร้อมกันเลยก็ได้"

.......................................................................


"น้องแมทมานั่งข้างหน้ากับพี่ก็ได้นะคะ ตัวเล็กๆจะได้ไม่บังกระจกข้างเหมือนคนตัวโตๆอย่างเชน"       มันเป็นแบบนั้นเหรอ ผมก็เพิ่งจะรู้นะว่าคนตัวโตตัวสูงนั่งข้างๆแล้วจะทำให้มองกระจกข้างไม่เห็น

"ครับๆ"       ทั้งผมและโอ้ตมองหน้ากันงง แต่ผมก็ยอมทำตามนะถึงแม้จะงง เพราะมันไม่ใช่เรื่องหนักหนากับแค่ตำแหน่งที่นั่ง อีกอย่างพวกผมกำลังเป็นฝ่ายขอความช่วยเหลือยิ่งไม่ควรทำตัวเรื่องมาก

"บ้านน้องโอ้ตกับน้องแมทอยู่แถวไหนเหรอค่ะ"       หลังจากออกรถพี่เมก็ถามถึงบ้านผมกับโอ้ต ผมไม่รู้นะว่าพี่เมจะถามเรื่องที่อยู่บ้านไปทำไม เลยเลือกที่จะไม่ตอบออกไป คงเสียมารยาทน่าดู

"เงียบกันทั้งคู่เลย พี่ไม่ไปปล้นบ้านเราสองคนหรอกค่ะ แค่ถามดู"       ผมก็ไม่ได้คิดว่าพี่จะไปปล้นหรอก ขับรถหรูราคาแพงขนาดนี้ คงมีฐานะอยู่พอสมควร แต่เพราะเพิ่งรู้จักกันมากกว่าผมเลยไม่อยากบอก

"แมทอยู่หมู่บ้านพฤกษ์พิมานครับ ส่วนบ้านผมอยู่แถวๆในเมืองเลยครับ"       แต่ไม่เคยทันคนปากไวอย่างไอ้โอ้ตหรอกครับ บอกบ้านเลขที่ได้มันทำไปแล้ว

"พฤกษ์พิมานพาร์คแกรนด์หรือพฤกษ์พิมานลากูนคะน้องแมท"

"พฤกษ์พิมานพาร์คแกรนด์ครับพี่"       นั่นไง ผมไม่ต้องพูดอะไรหรอกครับ นั่งอยู่เฉยๆข้อมูลส่วนตัวก็รั่วไหลได้

"บังเอิญจังเลยค่ะ หมู่บ้านเดียวกันเลย บ้านน้องแมทอยู่ซอยไหนคะ"

"อยู่ซอย 10 ครับ"

"ไอ้โอ้ต"       ไม่ใช่ว่าผมไม่ไว้ใจ แต่บางทีชีวิตส่วนตัวมันมีค่านะ เพิ่งเจอกันครั้งแรก รู้ข้อมูลกันมากไปก็ไม่ดี แม้แต่พี่เชนก็ตาม

"แหม น้องแมท อยู่หมู่บ้านเดียวกัน แถมยังซอยเดียวกันด้วย รู้จักกันไว้ดีกว่านะคะ แล้วน้องโอ้ตละคะ"       ดูเหมือนจะถามไปเพียงเพราะเราอยู่หมู่บ้านเดียวกัน เพราะตลอดเวลาที่นั่งกินข้าวจนถึงตอนนี้พี่เมดูมีคำถามกับโอ้ตเยอะแยะไปหมด จนผมแอบคิดว่าพี่เมสนใจโอ้ตด้วยซ้ำ แล้วบทสนทนาก็ดูจะผูกขาดระหว่างโอ้ตกับพี่เมไปตลอดทาง ในขณะที่ผมกับพี่เชนได้แต่เงียบฟัง ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกยินดีกับการที่ไม่ได้นั่งข้างพี่เชน เพราะถ้าได้นั่งข้างกันผมคงขัดเขินจนทำตัวไม่ถูกไม่รู้แม้กระทั่งจะวางมือไว้ตรงไหน

.......................................................................


"ผมขอโทรหาม๊าก่อนนะครับ ฮัลโหลม๊า"       แล้วโอ้ตก็เดินลงจากรถไปคุยโทรศัพท์ทันทีที่ถึงโรงแรม

"ยูไม่ต้องเอากระเป๋าลงนะ ขับตามไอไปบ้านเลยละกัน"       ผมควรจะพาตัวเองลงจากรถได้แล้ว ทำไมผมไม่ตามไอ้โอ้ตไปนะ นั่งรอทำตัวเป็นคนอยากรู้อยากเห็นอยู่ได้

"เอ่อ ผมขอตัวเลยละกันนะครับ"       จังหวะที่ผมจะลงก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่โอ้ตเปิดประตูฝั่งผมพอดี

"พี่เมครับ พี่ๆจะกลับบ้านกันเลยหรือเปล่าครับ"       ผมหันไปมองหน้าพี่เมเพื่อรอคำตอบทั้งที่ไม่รู้ว่าโอ้ตถามไปทำไม แล้วพี่เมก็พยักหน้า

"ไหนๆก็อยู่หมู่บ้านเดียวกัน ผมรบกวนติดรถไปบ้านแมทหน่อยนะครับ พอดีม๊าผมออกจากโรงแรมไปสักพักแล้ว สงสัยจะสวนทางกัน เห็นว่าจะไปสังสรรค์กันต่อ"

"ได้สิคะ งั้นพี่รบกวนโอ้ตไปนั่งเป็นเพื่อนเชนหน่อยนะ จะได้ช่วยบอกทาง"

"ยินดีครับ"       โอ้ตตอบ

"ให้ผมไปก็ได้นะครับ"       ผมบอกก่อนจะหันมองหน้าทุกคน

"ให้แมทไปกับผมก็ได้นะเม"       ผมดีใจนะที่พี่เชนพูดออกมา

"อย่างนี้แหละค่ะดีแล้ว น้องแมทจะได้ไม่ต้องขึ้นๆลงๆ ส่วนยูอยู่เฉยๆเถอะน่า ทำตามที่ไอบอกก็พอ"

"โอเคๆ"       ดูท่าทางพี่เชนจะเชื่อฟังพี่เมมาก สงสัยผมจะคิดไปเองรู้สึกไปเองอย่างที่พี่มัทว่าจริงๆ แต่ผมก็ชอบไปแล้วนี่หน่า ถึงจะหมดโอกาสและต้องเก็บความรู้สึกตัวเองเอาไว้ แต่ถึงยังไงตอนนี้ผมก็อยากไปกับพี่เชนอยู่ดี มีเรื่องที่อยากพูดเต็มไปหมด

.......................................................................


"น้องแมทกับน้องโอ้ตเป็นเพื่อนกันมานานหรือยังคะ"

"ครับ"

"ดูท่าทางสนิทกันมากเลยค่ะ"

"ครับ"

"ไม่ค่อยคุยเลย ท่าทางเป็นคนเงียบๆนะคะเนี่ย"

"ไม่นะครับ"

"งั้นพี่ถามต่อนะคะ"       ผมก็นึกว่าจะเลิกคุย แต่ดันยิ้มกว้างแล้วมีคำถามตามมาอีกมากมาย

"น้องแมทมีแฟนหรือยังคะเนี่ย"

"ยังครับ"

"แล้วน้องโอ้ตละคะ"

"เท่าที่รู้ก็น่าจะยังครับ"

"ดีจังเลยค่ะ"       พี่เมได้ยินคำตอบก็ยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ

"ทำไมถึงดีครับ"

"นึกว่าจะไม่ถามต่อซะแล้ว แสดงว่าพี่เลือกถามถูกเรื่อง"

"พี่เมสนใจเพื่อนผมเหรอครับ"       ผมพูดออกไปในขณะที่ตาก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่กระจกข้างของรถทั้งๆที่มองไม่เห็นรถพี่เชนก็ตาม

"ก็ไม่เชิงค่ะ"       ผู้หญิงเดี๋ยวนี้เขาพูดออกมาง่ายดายขนาดนี้เลยเหรอ ถึงจะไม่ชัดเจนแต่มันก็คงแปลเป็นอย่างอื่นไม่ได้ สงสัยว่านิยายของผมที่รอแต่ให้พระเอกเข้าหาคงจะล้าหลังในอีกไม่นาน

"โอ้ตเป็นคนน่ารักครับ"       ไม่แปลกนักที่โอ้ตจะถูกสนใจ เนื่องจากมันเป็นคนอัธยาศัยดีและเข้ากับคนง่าย ใครที่ได้อยู่ด้วยก็จะต้องมีความสุข

"พี่ก็คิดอย่างนั้นค่ะ"       อันนี้ผมเริ่มไม่เข้าใจนะ ในเมื่อสนใจโอ้ตแต่ทำไมถึงผลักไสให้มันไปกับพี่เชนหล่ะ

"มีอะไรให้ผมช่วยก็บอกได้นะครับ"       ในเมื่อพี่เมก็ดูเป็นคนน่ารัก มันคงไม่มีเหตุผมอะไรที่ผมต้องต่อต้าน

"พี่ดีใจที่ได้ยินอย่างนั้นนะคะ ยิ่งทราบว่าน้องโอ้ตไม่มีใครพี่ยิ่งต้องสนับสนุนให้เพื่อนเดินหน้าต่อ"       คำตอบของพี่เมบอกว่าผมกำลังเข้าใจผิด

"เพื่อน?!? ไม่ใช่พี่เมหรอกเหรอครับที่สนใจโอ้ต"

"ป่าวค่ะ พี่ดูเป็นคนที่สนใจน้องโอ้ตเหรอคะ ไม่ใช่ค่ะไม่ใช่ คนที่สนใจน้องโอ้ตคือเชนต่างหาก"

"พี่เชน?!? พี่เชนงั้นเหรอครับ"       สองคนนี้เพิ่งรู้จักกันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้เองนะ

"ใช่ค่ะ ตอนแรกพี่ก็ตกใจแบบน้องแมทแหละค่ะ ไม่คิดว่าเพื่อนที่ไม่เจอตั้งนานจะเปลี่ยนใจมาชอบผู้ชายด้วยกัน นี่ถึงกับลงทุนข้ามน้ำข้ามทะเลมาตามหาเลยนะคะ"       โอ้ตกับพี่เชนเนี่ยนะ เรื่องมันจะตลกร้ายเกินไปหน่อยไหม นี่ผมกำลังชอบคนที่สนใจเพื่อนตัวเองงั้นเหรอ

"ผมยอมรับครับว่าตกใจ ผมไม่คิดว่าจะเป็นพี่เชน"       นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมต้องมานั่งอยู่ข้างๆพี่เมสินะ ถ้าแบ่งความคิดเป็นฝั่งร้ายและดี ฝั่งหนึ่งผมก็อยากยินดีกับโอ้ตนะ เพราะผมรู้ว่าพี่เชนเป็นคนดีที่ยังใส่ใจรายละเอียดอีกด้วย แต่อีกฝั่งหนึ่งความคิดนั้นกำลังบอกผมว่า ทำไมถึงไม่เป็นผมหล่ะ

"ตอนที่เจอกันที่สนามบินเชนบอกพี่ว่าจะมาตามหาใครสักคนเขาพูดด้วยรอยยิ้มท่าทางดูมีความสุข พี่เลยเดาว่าเขาน่าจะมาตามหาคนที่เขาชอบ และพอพี่ถามวันนี้เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร พี่เลยคิดว่าน่าจะเดาไม่ผิด"       ถ้าพี่เมบอกอย่างนี้ก็แสดงว่าสองคนนี้ต้องเคยเจอกันมาก่อนสิ แล้วทำไมโอ้ตถึงทำเป็นไม่รู้จักพี่เชนตอนที่ผมแนะนำหล่ะ

"แล้วพี่เชนบอกเหรอครับว่าคนๆนั้นคือโอ้ต"       ผมถามออกไปแต่พี่เมกลับหัวเราะแทนคำตอบ

"ผมไม่น่าถามเลยนะครับ ถ้าไม่บอกพี่เมจะทราบได้ยังไง"

"โนๆๆ คะน้องแมท พี่ทราบเองค่ะ ตั้งแต่เจอที่โรงแรมแล้ว ตอนนั้นไม่รู้หรอกนะคะว่าเชนเห็นท่าทางแบบไหนระหว่างน้องสองคนถึงได้ทำหน้าผิดหวังเอามากๆ ดูเหมือนเขาจะเข้าใจไปว่าน้องโอ้ตกับน้องแมทเป็นแฟนกัน และสายตาเชนที่พี่เห็นก็ยังมองตามน้องโอ้ตจนขึ้นรถ"

"นี่พวกพี่เจอเราสองคนตั้งแต่ที่โรงแรมแล้วเหรอครับ"       ว่าทำไมถึงรู้ว่าพวกผมจะไปหาม๊าของโอ้ตที่โรงแรมไหน

"ใช่แล้วค่ะ พี่ก็พาเชนตามไปจนถึงห้างนั่นแหละค่ะ"

"แสดงว่าการที่เราเดินชนกันมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ"

"ตั้งใจล้วนๆเลยค่ะ ก็เชนมัวแต่เดินตามน้องสองคน ไม่มีอะไรคืบหน้าพี่เลยจัดการเอง พี่ต้องขอโทษนะคะที่ทำอะไรงี่เง่าแบบนั้นไป แค่อยากช่วยเพื่อน แต่ฟังแล้วคงเป็นข้อแก้ตัวที่ฟังดูแล้วไม่ดีเลยใช่ไหมคะ"       สรุปว่าเรื่องทั้งหมดคือความตั้งใจงั้นสิ ผมปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าพี่เชนมีความพยายาม

"อีกอย่างตอนที่ทุกคนเดินเข้ามาในห้องอาหารน้องโอ้ตตอบพี่ว่ารู้จักกับเชน พี่เลยยิ่งมั่นใจว่าเป็นน้องโอ้ตแน่ๆ"       อาจจะเป็นผมก็ได้ไง ดูความเห็นแก่ตัวของความคิดผมสิ

"พี่มีความสุขจังเลยค่ะวันนี้ ได้ทำเรื่องดีดี พาคนรักให้มาเจอกัน ผลบุญคงส่งให้พี่เจอเนื้อคู่กับเขาสักที"       ท่าทางพี่เมที่ดูมีความสุขมากทำให้ผมไม่อยากขัด แม้ในใจจะอยากจะบอกออกไปว่าพี่เมเข้าใจผิด พี่เมคิดไปเอง แต่ก็กลัวว่าคนที่คิดไปเองจะกลายเป็นผมแทน

"น้องโอ้ตเคยพูดถึงเชนให้ฟังบ้างไหมคะ"       ผมเองก็อยากถามนะว่าพี่เชนพูดอะไรเกี่ยวกับโอ้ตบ้าง

"ไม่เคยนะครับ"       ผมยังไม่เคยแม้แต่ได้ยินชื่อพี่เชนออกจากปากมัน และตอนนี้ผมไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น ในหัวคิดเพียงอย่างเดียวว่าที่ผมอยากได้ยินคือพี่เมเข้าใจผิด และคนคนนั้นคือผมไม่ใช่โอ้ต ผมคิดไม่ถึงเลยนะว่าความรู้สึกชอบใครสักคนจะทำให้ผมกลายเป็นคนมีความคิดที่เห็นแก่ตัวขนาดนี้ และถึงแม้เป็นแค่ความคิดผมก็รู้สึกได้ว่ามันร้ายกาจ ผมว่าผมเริ่มจะเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้เลย

.......................................................................

Chen Part


ภายในรถอีกคัน

"เอ่อ อึดอัดเนอะพี่"

"ขอโทษนะ พี่เองก็ไม่รู้จะชวนคุยอะไร"

"นึกถึงตอนทานข้าวผมละพูดไม่ทันพี่เมจริงๆ เดาว่าถ้าไอ้แมทมากับพี่คงมีเรื่องให้คุยกันมากกว่าผม"

"อย่างนั้นละมั้ง"

"แต่ในเมื่อเป็นผมแทนที่จะเป็นมัน พี่คงแก้ไขอะไรไม่ได้ งั้นเรามาหาเรื่องคุยกันดีกว่า ตอนนี้สี่ทุ่ม พี่ขับเร็วขนาดนี้เที่ยงคืนคงถึง พอดีเลยมีเวลาคุยตั้งสองชั่วโมง"

"พี่ว่าพี่ขับไม่เร็วนะ"

"ผมก็หมายความว่าอย่างนั้นแหละครับ พี่รีบตามหลังซะมองหารถพี่เมไม่เจอเลย"

"งั้นตอนนี้พี่ควรต้องเร่งความเร็วใช่ไหม"

"ก็ถ้าพี่ขับช้าแบบมีเหตุผลหรือมีเรื่องจะคุยคงไม่จำเป็น แต่ถ้าพี่ขับช้าเพราะไม่ชินทางก็เปลี่ยนมาให้ผมช่วยขับก็ได้ เพราะดูท่าทางพี่ไม่น่าจะเป็นคนขับรถแบบเต่าคลานขนาดนี้"       สำหรับผมโอ้ตดูเป็นคนฉลาดทั้งคำพูดและท่าทาง ผมรู้ว่าเขาสงสัยในตัวผม ซึ่งผมก็มีเหตุผลที่ขับช้าจริงๆและเหตุผลนั้นก็มากกว่าที่ผมมีเรื่องจะคุยซึ่งโอ้ตเข้าใจไม่ผิด

"จริงๆพี่มีเรื่องจะถาม เอ่อ เกี่ยวกับแมท"

"ว่าแล้วไง! ผมดูสายตาพี่ออก พี่ดูเหมือนต้องการอะไรสักอย่างจากมัน"       โอ้ตตบเข่าแล้วหันมามองหน้าผมทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น

"น่าจะเข้าใจผิดนะ"       ผมมาที่นี่ไม่ใช่เพราะต้องการอะไรจากแมท

"ไม่ผิดแน่ๆ พี่คอยมองหน้ามันตลอดมื้อค่ำที่ผ่านมา แล้วสายตาที่พี่มองมันเหมือนมีอะไรอยากจะพูด แต่ดูเหมือนพี่จะยังไม่มีโอกาสละสิ"       อย่างที่ผมบอก โอ้ตเป็นคนฉลาด

"นี่คงเป็นสาเหตุที่โอ้ตมากับพี่แทนที่จะเป็นแมท"

"ผมมากับพี่ก็เพราะพี่เมเสนอ แต่จริงๆผมก็อยากรู้ว่าพี่ต้องการอะไรจากเพื่อนผม ผมอยากรู้ว่าพี่จะพูดอะไรกับมัน ผมไม่อยากเห็นมันโดนหลอก ผมต้องปกป้องเพื่อน"

"พี่เข้าใจ เพราะแมทเป็นคนที่ดูเหมือนทันคน แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่เลยใช่ไหม"

"พี่พูดเหมือนรู้จักมันดี"

"พี่พูดอย่างที่พี่เห็น และพี่มาที่นี่เพื่อแสดงความรู้สึก ไม่ได้มาเพราะต้องการอะไรอย่างที่โอ้ตเดา"

"เฮ้ย! พี่ ความรู้สึกอะไร พี่พูดเหมือนจะจีบมัน"

"ดูท่าทางพี่คงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก"

"แต่เพื่อนผมเป็นผู้ชายนะเว้ย"

"พี่รู้"

"แล้วมันรู้อย่างพี่ไหม"       ผมส่ายหัว ผมเคยคิดว่าแมทรู้นะ แต่เอาจริงๆผมก็ไม่แน่ใจ

"พี่เป็นเกย์เหรอวะ"

"ก่อนหน้านี้ก็ไม่รู้นะ แต่ตอนนี้คงใช่"

"คือตอนนี้ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องมีปฏิกิริยากับเรื่องนี้ยังไง"

"พี่เข้าใจ"

"แต่ตอนนี้ผมต้องการคำอธิบาย"

"สำหรับอะไร"

"พี่รู้อยู่แล้วว่าควรพูดอะไรให้ผมรับรู้บ้าง แต่ผมบอกไว้ก่อนเลยนะว่าแมทมันไม่ได้เป็นอย่างที่พี่คิด แล้วการที่พี่ลงทุนข้ามประเทศมาหามันไม่ได้แปลว่าการกระทำพวกนี้จะทำให้พี่ดูดีน่าดึงดูดหรือมีความพยายามมากกว่าผมที่อยู่ข้างๆมันมามากกว่า 10 ปี"       ผมเองก็ไม่อยากคาดเดาความหมายของคำพูดโอ้ตนะ แต่ถ้ามันเป็นแบบนี้ผมก็เข้าใจเป็นอย่างอื่นไม่ได้

"นี่โอ้ตแค่หวงเพื่อนหรือรับความรักแบบนี้ไม่ได้"       ผมเข้าว่าความรักแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะยอมรับ

"อันนั้นก็แล้วแต่พี่จะตีความ แต่บอกไว้อย่างนะผมไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้นง่ายๆแน่ๆ"       ผมว่านี่มันคือสงครามที่อีกฝ่ายตั้งตัวเป็นศัตรูโดยที่ผมเพิ่งจะรู้ตัว

"จากที่ฟังโอ้ตกำลังประเมินพี่ต่ำไป"

"พี่เข้าใจอย่างนั้นถูกแล้ว"

"ถึงแม้พี่จะแค่ขอให้พี่ได้บอกในสิ่งที่พี่รู้สึกงั้นเหรอ"

"พี่อยากทำอะไรก็ทำเถอะ ผมคงห้ามไม่ได้ แต่จำไว้อย่างนะว่าผมจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องมันและความรู้สึกของมัน"       ยิ่งคุยกันมากขึ้นบทสนทนาก็ยิ่งบอกผมว่าโอ้ตกำลังต่อต้านโดยที่ผมเองก็ยังไม่เข้าใจเหตุผล

"โอ้ตปกป้องและทำในส่วนของโอ้ตและพี่ก็จะทำในส่วนของพี่ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับแมท ไม่ว่าแมทจะเลือกอะไร พี่จะยอมรับผลของมัน"

"ถ้าพี่สบายใจจะคิดแบบนั้นก็เอาเถอะ ผมไม่ห้าม แต่มันไม่ง่ายหรอกนะบอกไว้เลย ช่วยเลี้ยวซ้ายหมู่บ้านข้างหน้าแล้วเข้าซอยสิบด้วยครับ"       ผมยอมรับว่ากำลังใจที่เตรียมมาลดลงไปกว่าครึ่งเพียงเพราะคำพูดของโอ้ต แต่ผมไม่ยอมถอยแน่ๆ แม้ว่ามันคงไม่ง่ายอย่างที่ใจต้องการก็ตาม

"พี่รู้จักบ้านพี่เมใช่ไหม ไปที่นั่นก็ได้ เดี๋ยวผมเดินกลับบ้านแมทเอง"

"พี่เพิ่งเคยมาครั้งแรก"

"ไม่รู้แล้วทำไมพี่ขับช้าวะ โทรหาพี่เมสิ"       โอ้ตหันมาถามผมด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด แล้วนี่ผมกำลังโดนออกคำสั่งใช่ไหม

"ไม่ต้องแล้ว ผมว่านั่นน่าจะเป็นรถพี่เม "       ได้ยินอย่างนั้นผมก็พารถไปจอดต่อท้ายรถของเม

"ทำไมมึงไม่ระวังตัวเลยวะ"       ได้ยินโอ้ตพึมพัมคนเดียวเบาๆก่อนจะเปิดประตูลงจากรถโดยที่ไม่พูดอะไรกับผมสักคำ


.......................................................................


หลังจากโอ้ตลงไปผมก็พาตัวเองลงมาจากรถ พบว่าเมกำลังยืนคุยกับแมทอยู่แล้วโอ้ตก็เดินไปสมทบ

"ทำไมมาช้ากันจัง เข้าไปในบ้านพี่ก่อนไหมคะ"       เป็นเมที่เอ่ยทักขึ้นมาก่อน

"นี่บ้านพี่เหรอครับ"       โอ้ตเลิกคิ้วถาม

"ใช่ค่ะ น้องโอ้ตบอกบ้านน้องแมทอยู่ซอยนี้ หลังไหนคะ"

"บังเอิญมากอ่ะพี่ บ้านผม"       ก่อนที่แมทจะได้พูดอะไรก็โดนโอ้ตปิดปากเอาไว้ก่อน

"แมท! มึงกับกูมีเรื่องต้องคุยกัน"

"หือ"       ท่าทางแมทที่ดูงงๆไม่ต่างกับเม

"ผมจำซอยผิด บ้านแมทไม่ใช่ซอยนี้ พวกผมขอตัวก่อนนะครับพี่เม ขอบคุณมากครับสำหรับวันนี้"       โอ้ตพูดจบก็ลากแมทออกไปจากหน้าบ้าน

"เฮ้ย! ไปไหน เมาป่ะมึง ถูกแล้ว ทางนี้นี่ประตูบ้านกู"       แมทยื้อตัวไว้แล้วชี้ไปที่บ้านหลังข้างๆกันแต่กลับถูกโอ้ตที่กำลังลากมือไปอีกทางต้องปล่อยแล้วเปลี่ยนมาผลักหัวเบาๆ

"ควาย!!! นี่มึงจะโง่เอาโล่เลยใช่ไหม"       พูดจบก็ลากตัวแมทเข้าบ้าน ผมเดาว่าโอ้ตคงไม่อยากให้ผมรู้ว่าหลังถัดไปเป็นบ้านของแมท เลยพยายามลากแมทไปอีกทาง และพอไม่เป็นอย่างที่ต้องการ คงหงุดหงิดน่าดู ผมได้แต่นึกขำในใจ เห็นโอ้ตเป็นแบบนี้มันเหมือนกระจกเงาสะท้อนตัวผมเอง ถึงตอนนี้จะไม่มีอะไรคืบหน้าไปกว่าเดิมเลยสักนิด แต่อย่างน้อยผมก็อยู่ใกล้แมทมากขึ้น และแม้จะมีเกราะอย่างโอ้ตมาป้องกันแมทเอาไว้ แต่ผมก็ยังมีความมั่นใจว่าผมสามารถผ่านไปได้แน่นอน

"ขอบคุณนะเม"      ผมหันไปบอกเมพร้อมรอยยิ้มก่อนจะหมุนตัวไปหยิบกระเป๋าลงจากรถ ขอบคุณที่เราเจอกัน ขอบคุณที่บ้านเมอยู่ตรงนี้ ขอบคุณที่ทำให้อะไรๆง่ายขึ้นอีกเยอะ       


.......................................................................


❤ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^^*
❤ทุกอย่างมันมีเหตุมีผลนะ ทุกคนทำลงไปเพราะมีเหตุผลและความเข้าใจในแบบของตัวเองค่ะ 
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะคะ ขอบคุณค๊า


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-04-2015 00:47:20 โดย anana »

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
อิอิ สู้ๆนะ จะให้ดี อยากเห็นคู่โอ๊ตด้วย กลัวน้องเหงา 5555.

ออฟไลน์ 4559

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3978
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-8
เชนสู้ๆ

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
เมทำให้เรื่องง่ายขึ้นหรือยากขึ้นล่ะเนี่ย
ถ้าโอ๊ตรู้ว่าเมเข้าใจผิดเรื่องคนที่เชนชอบ
โอ๊ตจะไม่รีบรับสมอ้างเอาความตามนั้นเหรอ

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
จะเข้าใจกันยังไงละเนี่ยยย

ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ตอนที่ 18
 

"มึงจะลากกูมาบนห้องทำไม มีไรคุยกันข้างล่างก็ได้นี่"       โอ้ตไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน แปลกมาก ตอนนี้ผมคงทำได้แค่รีบเดินตาม อย่าฝืนหรือยื้อให้มันยิ่งหงุดหงิดไปกว่าเดิม

"กูยังสำคัญกับมึงอยู่ไหมวะ"       มึงบอกกูดีๆก็ได้โอ้ตว่าให้มานั่งบนเตียง ไม่ต้องเหนื่อยทุ่มกูหรอก

"ถามอะไรของมึงเนี่ยโอ้ต"       ผมหันไปมองหน้ามันที่ตามลงมานั่งข้างๆ

"กูถามก็มึงก็แค่ตอบ"

"แต่กูไม่เข้าใจว่าทำไมมึงต้องถาม กูงงไปหมดแล้วว่ามึงเป็นอะไร เมื่อกี้ก็อีก มึงเองที่เป็นคนบอกพี่เมว่าบ้านกูอยู่ซอยนี้ แล้วอยู่ๆก็ไปบอกว่าไม่ใช่ พอกูบอกว่านี่บ้านกูก็เสือกมาด่ากูว่าควาย มึงจะเอายังไงกับกูวะโอ้ต"       ผมบอกมันไปด้วยน้ำเสียงค่อนข้างหงุดหงิด แต่นั่นก็เพราะผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ

"กูอยากรู้แค่ว่ากูมีความสำคัญกับมึงบ้างไหม"       ผมสงสัยนะผู้ชายที่เป็นเพื่อนกันเขาถามคำถามแบบนี้กันด้วยเหรอ

"ทำไมฟังแล้วกูรู้สึกเหมือนกำลังโดนแฟนน้อยใจเลยวะ"        มันให้ความรู้สึกแบบนั้นจริงๆนะ เหมือนโดนงอนแบบที่คนเป็นแฟนกันเขาทำกัน

"สรุปว่า?!? "

"กูก็มีมึงเป็นเพื่อนสนิทที่สุดแค่คนเดียว และคนแรกที่กูคิดถึงในทุกๆเรื่องคือมึง อย่างนี้มึงว่ามึงสำคัญไหมหล่ะ"

"อธิบายมาแล้วก็ตอบ อย่ามาต่อท้ายด้วยคำถาม"

"เออๆ แม่ง สำคัญ"

"แต่กูว่าไม่หว่ะ เพราะถ้ากูยังสำคัญ มึงจะเล่าทุกอย่างที่มึงเจอมาให้กูฟังโดยที่กูไม่ต้องมานั่งถาม"

"อ่อ นี่มึงกำลังน้อยใจ"

"นั่นคือสิ่งที่มึงคิดเหรอวะแมท คิดได้แค่นี้?"       ใช่! เพียงแต่ไม่ได้พูดออกไปและค่อนข้างมั่นใจว่าคิดไม่ผิด

"กูรู้ว่ามึงเป็นห่วงกู แต่มึงก็รู้นี่ว่ากูไม่ใช่คนฉลาด บอกกูตรงๆสิวะ อย่าให้กูเข้าใจไปเอง อย่าให้กูต้องคิดเอง อีกอย่างเราต่างก็ต้องมีเรื่องที่ไม่ได้บอกไม่อยากบอกหรือไม่กล้าบอกกันบ้างดิวะ "       สำหรับบางคน 'เพื่อน' คือคนที่เราคุยทุกเรื่องเล่าทุกอย่างให้ฟัง แต่สำหรับผมเรื่องที่เราทุกข์ใจในบางครั้งเราก็ไม่ควรเอาไปใส่ในใจเพื่อนให้ทุกข์ไปกับเรา

"มึงคิดเรื่องของทุกคนได้ยกเว้นเรื่องกู ยกเว้นความรู้สึกกูสินะ"       แล้วนี่ไม่ใช่อาการของคนน้อยใจหรือไง

"กูชักเริ่มงงละ มึงมีอะไรอยากบอกกูหรือเปล่า แล้วมึงแน่ใจนะว่าน้อยใจกูในฐานะเพื่อน ไม่ใช่คิดอะไรเกินเลยกับกูนะโอ้ต"

"สัด!!! ขนลุก คิดอะไรควายๆ มึงแปลความเป็นห่วงของกูเป็นแบบนั้นเนี่ยนะ นี่กูจริงจังนะเว้ยแมท กูไม่ได้เล่นเหมือนทุกครั้ง มึงมีเรื่องที่ไม่อยากบอก แต่มึงรู้ไหมว่าสำหรับกํมึงเป็นคนเดียวที่กูอยากจะเล่าทุกเรื่องของกูให้ฟัง กูบอกมึงทุกอย่างมึงก็รู้"      เอะอะผมก็เป็นควายในสายตามันตลอด

"นั่นเพราะกูไม่ขี้เสือก"

"นี่มึงหาว่ากูเสือกเหรอวะ"   
   
"กูพูดอะไรไม่ชัดเจนสินะ แล้วตกลงมึงจะไม่บอกกูใช่ไหมว่ามึงกำลังเป็นบ้าอะไร"

"กูต้องการคำอธิบายเรื่องพี่เชน เมื่อตอนเย็นที่มึงเก็บเอาคำพูดแม่มากังวลเพราะเรื่องเกี่ยวกับพี่เขาใช่ไหม"

"มึงรู้จริงหรือมึงเดา"

"กูเพิ่งรู้จากพี่เชนเมื่อกี้"

"เขาพูดอะไรกับมึง"

"เขาบอกว่ามาหามึง มาเพื่อแสดงความรู้สึก แต่กูบอกเขาไปว่ากูจะกูจะปกป้องมึง กูไม่ยอมให้เขามาหลอกมึงแน่"

"มึงนี่นะ เห็นกูเป็นผู้หญิงหรือไง"

"แล้วความรู้สึกที่ว่าคืออะไร พี่เขาบอกมึงไหม"

"นั่นมันไม่สำคัญหรอกแมท ที่สำคัญคือมึงรู้สึกอะไรไหมต่างหาก"

"อือ"

"อือคือ?"

"กูรู้สึก"        ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องปิดบัง อย่างน้อยถ้ามีใครสักคนช่วยรับฟัง เรื่องที่เคยคิดว่ายากอาจจะง่ายขึ้น

"รู้สึกอะไร"

"รู้สึกดีตอนที่ได้อยู่ด้วยกัน รู้สึกใจหายตอนที่ไม่เจอ และกูก็คิดถึงเขาตลอดตั้งแต่กลับมา แม้กระทั่งทุกๆคืนก่อนนอน"

"นั่นแปลว่ามึงกำลังชอบพี่เขารึป่าววะ"       มันต้องเป็นคำถามของผมไม่ใช่เหรอ

"กูก็ถามตัวเองแบบนั้น"

"ในความคิดกูนะถ้าเราคิดถึงใครหรือเรื่องอะไรก่อนหลับตานอน แสดงว่าเขาคนนั้นหรือเรื่องนั้นต้องสำคัญกับเรามาก" มันพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนคนที่กำลังอยู่ในห้วงแห่งความรัก อารมณ์มึงเปลี่ยนไวมากโอ้ต

"กูก็ไม่รู้ แต่สมองซื่อบื้อของกูมันก็บอกกูอย่างนั้น และกูก็หยุดคิดถึงเขาไม่ได้"

"มีนักจิตวิทยาบอกไว้เว้ย ว่าถ้าเราหยุดคิดถึงใครไม่ได้ แสดงว่าเพราะเขาก็กำลังคิดถึงเรามากๆเหมือนกัน แล้วมันก็คงจะจริง เพราะถ้าเขาไม่คิดถึงมึง เขาคงจะไม่มาตามหามึงแบบนี้" มันคงลืมความโกรธความน้อยใจเมื่อสักครู่ไปหมดแล้วสินะ ถึงได้พูดเรื่องพวกนี้ออกมา

"กูก็อยากคิดเข้าข้างตัวเองแบบนั้นนะ"

"อย่างน้อยตอนนี้เขาก็มาตามหามึง ต้องดีใจดิวะ"       ผมส่ายหน้าเบาๆแทนคำพูดว่าไม่เห็นด้วย

"ถ้าเจอกันแล้วทำอะไรไม่ได้กูขอให้เราไม่เจอกันดีกว่า"

"นั่นสินะมันจะมีประโยชน์อะไรถ้าชอบแต่คบกันไม่ได้ ความรักนี่มันยากจริงๆ อึดอัดแทนทั้งมึงแล้วก็พี่เชนเลยหว่ะ"

"นี่ตกลงมึงจะสนับสนุนหรือต่อต้านเขากันแน่วะ"       ผมเลิกคิ้วมองมันด้วยสายตาสงสัย

"ตอนแรกก็กะจะเป็นศัตรูแหละ เพราะกูไม่อยากให้มึงต้องเจ็บ แต่ในเมื่อมึงเองก็รู้สึกเหมือนพี่เขากูก็ควรจะสนับสนุนไม่ใช่เหรอวะ"

"กูไม่กลัวที่ตัวเองจะต้องเจ็บหรอกเว้ยโอ้ต คนรอบข้างกูมากกว่าที่กูกลัวว่าเขาจะเจ็บปวดเพราะความรู้สึกของกู"       ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนจะหันไปมองหน้ามัน

"เฮ้อ มึงจะครองโสดไว้ให้ผู้ชายแดกก็ไม่บอกวะ กูจะได้ช่วยตัดไฟต้นลมให้ สัดเอ้ย! เสียของฉิบหาย!"       มันผลักหัวผมก่อนจะถอนหายใจแล้วเอามือสองข้างค้ำหลังไว้กับเตียง

"หมายความว่าไงวะ"

"ช่างเหอะ อธิบายไปควายอย่างมึงก็ไม่เข้าใจ"       อ้าว...ไอ้เพื่อนเวร

"เออ กูไม่อยากรู้แล้วก็ได้ ว่าแต่มึงเถอะ ไปรู้จักกับพี่เชนตั้งแต่เมื่อไหร่"

"ก็ตอนที่มึงแนะนำไง"

"แล้วทำไมพี่เมถึงบอกว่าพี่เชนสนใจมึงวะ"

"ไม่ใช่ละ เขาบอกมึงว่าไง"

"เขาบอกว่าพี่เชนมาตามหามึง ต้องเป็นมึงแน่ๆ"

"เจ้เมอะไรนั่นแม่งมั่วชัวร์ เห็นคิดเอาเองทุกเรื่องอ่ะ อ่อ เข้าใจละ กูก็ว่าทำไมคะยั้นคะยอให้กูอยู่ติดกะพี่เชนของมึงจัง"       พูดไปก็แบะปากไป ผมรู้สึกว่าเวลาคุยกับโอ้ตจริงจังทีไรให้ความรู้สึกเหมือนกำลังปรับทุกข์กับพี่สาวตัวเองยังไงอย่างงั้น

"ของกูที่ไหน"

"แหมๆ ของกูที่ไหน หน้าเปลี่ยนเป็นสีลูกปิงปองเลยนะมึง"       ผมเกลียดสายตามันเวลาเหยียดมองแล้วแบะปากท่าทางเหมือนล้อเลียน

"ลูกปิงปองบ้านมึงสิสีแดง มันสีส้มเว้ย"

"ฮ่าๆๆๆ ทำเขินเป็นเด็กแตกเนื้อสาว ทีอย่างนี้ละอวดฉลาดเชียวนะว่าลูกปิงปองสีส้ม สีขาวก็มีเหอะมึง"

"บางทีอารมณ์มึงก็เปลี่ยนไวไปนะโอ้ต จำได้ว่าเมื่อกี้ดราม่าน้อยใจกูอย่างกับตุ๊ด"

"เฮ้อ...ลำบากใจจริง มีเพื่อนเป็นผู้ชายแต่เสือกแรดอยากมีผอนะมึง"       ผมผลักมันล้มลงบนเตียงทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น ด้วยท่านั่งของมันที่ไม่ทันระวังจึงง่ายต่อการโจมตีของผม

"ปากเหรอที่พูด แรงไปละมึง เดี๋ยวโดนตีนกูนี่สัด!!!"

"ที่รักก็ แค่นี้ทำเป็นรับไม่ได้ นี่ย่อให้แล้วนะคะ รับความจริงหน่อยเถอะค่ะ"

"มึงล้อกูเหรอ อย่านอนสบายเลยมึงคืนนี้"       พูดจบผมก็เอาเข่ายันท้องมันไว้ กะว่าจะลงน้ำหนักตัวให้เต็มที่

"เฮ้ยๆ อย่าเอาเข่ามาทับที่ท้อง มันแหลม เชี้ยเจ็บ เอาออก!"       มันร้องออกมาด้วยสีหน้าเหยเก

"ไม่! ถ้าวันนี้มึงไม่เจ็บตัว อย่าเรียกกูว่าแมท"       เอามือสองข้างดึงหูมันไว้ แล้วลงน้ำหนักตัวไปที่ทัองมันเต็มๆ ผมไม่ยอมให้มันปากพล่อยแบบสบายตัวอีกแล้ว ต่อไปนี้เวลามันแซวผมมันจะสำนึกว่ามันอาจจะต้องเจ็บตัว

"เออๆกูยอมแล้ว เบาหน่อยมึง"       มันชูฝ่ามือสองข้างขึ้นมาตรงหน้าผม คงทำท่ายอมไปอย่างนั้นแหละ จริงๆถ้ามันจะสู้คงเป็นผมเองมากกว่าที่ต้องพูดคำนั้น
.
.
.
"เฮ้ย! ทำไรกันอ่ะ"       ยังไม่ทันได้แก้แค้นพี่มัทก็เดินเข้ามา

"แปลกแฮะ! วันนี้ไม่เคาะประตู"       ผมหันไปถามพี่มัทที่เอามือปิดตาตัวเองอยู่ที่หน้าประตู

"ก็แม่บอกโอ้ตมานอนนี่ มัทเลยคิดว่าแมทคงไม่ล็อกห้องหรอก แล้วก็ไม่ได้ล็อกจริงๆ"       พี่มัทพูดก็ถูก ปกติผมจะล็อคประตูทุกครั้งเวลาที่อยู่คนเดียวนั้นก็เพราะผมต้องการสมาธิและความสงบในการคิดงาน ทุกคนในบ้านจะรู้กันว่าถ้าหากผมอยู่คนเดียวประตูจะล็อกและทุกคนจะเคาะแค่สามครั้ง ถ้าได้ยินและไม่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดผมก็จะลุกมาเปิดให้เอง

"เจ้เปิดตาเถอะ ถ้าจะปิดแล้วกางนิ้วห่างขนาดนั้น"       พี่มัททำท่าเหมือนคนกำลังเห็นของแสลงหรือสิ่งที่ไม่ควรมอง

"มันเรื่องของฉันโอ้ต แมท! นี่แกกำลังทำอะไร"       ผมลุกออกจากตัวโอ้ตทันทีที่พี่มัทถาม ไม่ใช่เพราะกลัวว่าพี่มัทจะเข้าใจผิด แต่ผมไม่มีอารมณ์อยากจะเล่นต่อแล้วมากกว่า เห็นหน้าพี่มัทแล้วก็ต้องคิดถึงคำพูดแม่

"เจ้คิดไปถึงไหนเนี่ย ตีตั๋วกลับมาๆ"       มันลุกขึ้นจากเตียงตามผมแล้วย้ายตัวไปนั่งที่โซฟาข้างโต๊ะทำงาน

"โอ้ตหุบปาก! จะไม่ให้มัทคิดได้ไง ขึ้นไปคล่อมกันซะขนาดนั้น"       พี่มัทท้าวสะเอวพูดด้วยท่าทางจริงจัง

"ดูละครมากไปนะเจ้ เสื้อผ้ายังอยู่ครบเห็นไหม แล้วถ้าเราสองคนจะทำจริงๆนะ ล็อคประตูไปนานแล้วไม่ปล่อยให้เจ้เปิดมาเห็นภาพบาดใจจนละอายต่อชะตาชีวิตหรอกครับ"       ผมสังเกตมาหลายครั้งแล้วว่าโอ้ตนี่แหละที่ชอบเป็นคนแหย่พี่มัทให้ของขึ้นก่อน ซึ่งบางครั้งมันก็น่ารำคาญ

"ไอ้โอ้ต ไอ้ปากหมา!!!! นี่แกจะหาว่าฉันขึ้นคานเหรอห๊ะ"       ที่น่ารำคาญนั่นก็เพราะว่าพี่ผมเป็นผู้หญิง และด้วยอายุขนาดนี้แล้วเรื่องแต่งงานและคนรักจะเป็นเรื่องที่เปราะบางสำหรับพี่มัทมาก

"โห ความคิดพี่มึงนี่แม่งไวกว่าความเร็วแสงอีกหว่ะ"

"พอเลยๆ รู้ทั้งรู้ว่าปากมันไม่ดีก็ยังจะไปคุยกับมันนะพี่มัท"

"ทำไมแกไม่ด่าเพื่อนแกที่มาว่าฉันหล่ะ"

"เฮ้อ...ไหนว่าไปวันเกิดเพื่อนไง ทำไมกลับไว"       พาเปลี่ยนเรื่องดีกว่า ท่าทางจะไม่จบง่ายๆ

"งานน่าเบื่อกว่าที่คิด"

"แล้วแม่หล่ะ"

"เข้าห้องไปอาบน้ำแล้วมั้ง"

"มานี่เจ้ ยืนนานไม่เมื่อยเหรอ มานั่งนี่ มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง"       โอ้ตมันกวักมือเรียกให้พี่มัทมานั่งข้างๆ

"อะไร!"       พี่มัทตอบเสียงแข็ง แต่ก็ไปนั่งลงบนโซฟาข้างๆมันซึ่งอยู่ตรงข้ามกับผมที่นั่งอยู่บนเตียง

"น้องเจ้แตกเนื้อสาวจนจะมีคนมาจีบแล้วนะ เตรียมตัวรับมือไว้บ้างหรือยัง"       เห็นไหมผมบอกแล้ว ไอ้โอ้ตนี่แหละตัวเริ่มเลย

"ห้ามปากมึงนี่นะกูไปห้ามฝนไม่ให้ตกฟ้าไม่ให้ผ่ายังจะง่ายซะกว่า"

"หมายความว่ายังไง แกจะมีแฟนเหรอ แกจะมีความรักงั้นเหรอแมท กับใคร หลินเหรอ"       แล้วพี่มัทก็หันความสนใจจากหน้าไอ้โอ้ตมาที่ผมแทน

"พี่มึงนี่เข้าใจคำว่าแตกเนื้อสาวป่าววะ ไม่น่าคิดถึงหลินได้นะ"       นั่นสิ

"พี่กูคือมนุษย์มหัศจรรย์ที่สามารถทำให้ทุกมุกแป้กได้เว้ย มึงเพิ่งรู้เหรอ"

"เออ กูก็ว่างั้น นี่กูลืมหลินไปเลยนะ ไปถึงไหนแล้ววะ"       บางครั้งผมก็ไม่รู้ไง ไม่เจอกันตั้งแต่วันที่ไปซื้อของด้วยกัน

"ไม่รู้ กูไม่เจอมาสองสามวันแล้ว"

"กูว่าถ้ามึงชอบพี่เขามึงก็ควรจะจัดการเรื่องหลิน"

"อย่างที่เคยบอกว่ากูไม่ได้คิดกับหลินแบบเดิมแล้ว สำหรับกูหลินเป็นแค่เพื่อน"

"แล้วมึงบอกกับหลินอย่างที่บอกกูหรือเปล่า"

"ทำไมต้องบอก หลินไม่เคยถาม อีกอย่างหลินไม่ได้มาชอบมาจีบกูซะหน่อย"

"งั้นมึงก็ไม่ต้องคืนคำว่าควายมาให้กูหรอก เก็บไว้ในสมองมึงเหมือนเดิมนั่นแหละ หลินชอบมึง ดูไม่ออกเหรอไง"       ผมส่ายหัว

"นี่แหละไฟต้นลมที่กูหมายถึง และตอนนี้ใครก็ช่วยมึงดับไม่ได้"

"ใช่ มัทก็คิดอย่างนั้น"

"นี่ไงเห็นไหม เจ้ก็คิดเหมือนกัน เคลียร์ตัวเองให้ดีนะเว้ยก่อนที่จะหันไปหาคนที่ใช่"

"คนที่ใช่เหรอ"

"อืม กูก็แค่เดาเอานะว่าเขาอาจจะเป็นคนที่ใช่สำหรับมึง"

"ทำไมถึงคิดอย่างนั้น"

"เพราะนิยามคนที่ใช่สำหรับกู ไม่ใช่การตามหา ไม่ใช่คนที่เดินมาเจอกันแล้วบอกว่าใช่ แต่คือคนที่กูจะเลือกเขาจากสิ่งที่เขาเป็น ทำอะไรดีดีร่วมกันแล้วใช่ และตอนนี้พี่เขาก็กำลังทำให้กูรู้สึกว่าเขาเป็นอย่างนั้น แค่เขามองหน้ามึงแล้วไม่เห็นแม้แต่ความสวย แต่ยังรู้สึกรักหรือชอบ ก็แสดงว่ามึงใช่"       ผมรู้สึกขอบคุณนิยามคนที่ใช่ของโอ้ตนะ มันทำให้ผมหันมามองสิ่งที่ผมได้มองข้ามไป

"เดี๋ยวๆๆๆ มัทขอถาม"       พี่มัทยกมือขึ้นเป็นเชิงห้ามก่อนจะถามแล้วมองหน้าผมสลับกับโอ้ต

"ว่ามาเจ้"

"แมทมีคนที่ชอบ ถ้าคนคนนั้นไม่ใช่หลินแล้วเขาเป็นใคร แล้วทำไมเขาต้องมองแมทว่าสวยหรือไม่สวย"

"ชะโงกหน้าไปที่หน้าต่างสิ อยู่ข้างบ้านเนี่ย"

"ข้างไหน ฝั่งไหน อย่าบอกนะว่าพี่ที่แกพูดถึงคือพี่เม"       พี่มัทรีบกุลีกุจอลุกออกไปมองนอกหน้าต่าง

"พี่มัทรู้จักพี่เมด้วยเหรอ"       โอ้ตถาม

"ก็ต้องรู้จักสิ เป็นเพื่อนบ้านกันมาตั้งนาน เขากลับมาเหรอ"

"อืม งั้นมั้ง พอดีเราบังเอิญเจอกัน"       ผมบอก

"อย่าบอกนะว่าแมทเพิ่งเจอเขาแล้วก็ชอบ"

"ไปกันใหญ่แล้วเจ้ แค่พี่เมเป็นผู้หญิงไม่ใช่เหรอ หรือว่าเค้าเป็นทอมหรือไงที่จะมามองว่ามันสวยไม่สวยหน่ะ แค่นี่เจ้ยังตกใจ มีให้ช็อคกว่านี้อีกนะ"

"ยังไงๆ โอ้ตพูด"       พี่มัทตบเข่าโอ้ตซ้ำๆคงจะเร่งให้มันพูด

"เฮ้ยเจ้ใจเย็นดิวะ คนที่มันชอบเป็นผู้ชายที่เป็นเพื่อนพี่เมต่างหาก"

"ห๊ะ!?! อะไรนะโอ้ต เมื่อกี้แกว่าไงนะ"

"ผมบอกว่าแมทมันชอบผู้ชาย"       แล้วพี่มัทก็นิ่งไป ไม่มีคำตอบ ผมกับโอ้ตก็เงียบตาม เราสามคนต่างก็มองหน้ากันไปมา

"ท่าทางพี่มึงคงรับไม่ได้"       จากที่เห็นหน้าพี่มัทผมก็คิดได้ไม่ต่างกัน

"ไม่ใช่ๆ ไม่ใช่มัทรับไม่ได้นะแมท แต่มัทยังงงมากกว่า"

"ในความคิดมัทนะ ถ้าแมทจะมีแฟนเป็นผู้ชายไม่น่าจะเป็นคนอื่นได้นอกจากโอ้ต"

"เฮ้ย! หรือจริงๆมึงแอบรักกูแล้วผิดหวังวะ"

"มึงก็คิดได้เนอะ"

"มัทว่าแมทควรเล่าให้มัทฟังจริงๆจังๆแล้วนะ ว่าเรื่องมันเป็นมายังไง"       แล้วผมก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้พี่มัทกับโอ้ตฟังพร้อมๆกัน ตอนนี้ผมไม่ได้คาดหวังให้สองคนนี้รับได้ เห็นด้วยหรือเข้าใจความรู้สึกของผมนะ เพราะถ้าหากแม่ คนที่สำคัญที่สุดในชีวิตผมรับความรักในรูปแบบนี้ไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมาคาดหวังให้คนอื่นเข้าใจ

.......................................................................


Chen Part

"ยูนอนห้องนี้นะ เก็บของอะไรได้ตามสบายเลย เดี๋ยวไอลงไปหาอะไรอุ่นๆให้ดื่ม"

"ไม่เป็นไรเม แค่นี้ผมก็เกรงใจมากแล้ว"

"นิดหน่อยน่า ไม่ใช่เรื่องลำบาก เจอกันข้างล่างนะ"       ผมรู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะรบกวนเมมากไป


.......................................................................


ผมเดินลงมาด้านล่างหลังจากจัดของและอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เห็นเมนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ที่โซฟารับแขก

"เมอยู่บ้านหลังนี้คนเดียวเหรอ"       เท่าที่เห็นบ้านหลังนี้ถูกตกแต่งคุมโทนสีเทา แต่กลับดูอบอุ่น ผมรู้สึกได้ว่ามันคือบ้านสำหรับครอบครัวมากกว่าบ้านที่อยู่เพียงคนเดียวลำพัง

"จริงๆไอไม่ได้อยู่บ้านหลังนี้หรอก ปกติให้เช่า ผู้เช่าย้ายออกพอดี ไอแวะเข้ามาปรับปรุง มะรืนไอก็กลับกรุงเทพฯแล้ว"

"ถ้าอย่างนั้นผมขอเช่าต่อสักอาทิตย์เมจะว่าอะไรไหม"

"ไม่ต้องหรอกยู อยู่ได้เลยตามสบาย ยังไม่มีคนติดต่อเช่า บ้านว่างอยู่แล้ว"

"ไม่ได้หรอก ผมเกรงใจ"       จริงๆผมตั้งใจจะพักโรงแรมอยู่แล้ว แต่ในเมื่อบ้านแมทอยู่ข้างๆก็ไม่เห็นเหตุผลว่าจะต้องไปอยู่ให้ไกลออกไป แต่ครั้นจะให้อยู่ที่นี่หลายวันผมก็เกรงใจ ขอเช่าที่นี่ซะน่าจะเป็นข้อเสนอที่ดี

"อย่ามาตลกน่า เพื่อนกันนะ จริงสิ พูดถึงเรื่องบ้าน มาคุยเรื่องนี้กันดีกว่า"       ผมขมวดคิ้วแสดงความสงสัยว่าเมต้องการคุยเรื่องอะไร

"ยูเคยเล่าให้ไอฟังตอนเราเจอกันครั้งแรกใช่ไหมว่าคนที่ยูมาตามหามีร้านอาหารอยู่ที่นี่"       ผมพยักหน้ารับ

"ใช่ ร้านอาหารของพี่สาวที่มีร้านกาแฟของแม่อยู่ข้างๆ"

"คืองี้นะยู ไอว่าไอมีเรื่องให้ต้องอายแล้วหล่ะ"       ผมตั้งใจฟังเมพูดต่อไป

"ยูได้ยินเหมือนไอใช่ไหมว่าบ้านข้างๆเป็นบ้านของน้องแมท"

"ครับ"

"ร้านอาหารที่เราตามสองคนนั้นไป คือร้านที่ไออยากพายูไปนั่นแหละ มันบังเอิญมากที่เขาทั้งคู่ไปร้านนั้นพอดีซึ่งร้านนั้นก็เป็นร้านของครอบครัวน้องแมทที่เป็นเพื่อนบ้านไอ นั่นก็หมายความว่าคนที่ยูมาตามหาคือน้องแมทไม่ใช่น้องโอ้ต ถูกไหม"

"ใช่ ผมรู้ว่าเป็นร้านของแมทตั้งแต่ตอนเราอยู่ที่นั่นแล้ว"

"แล้วทำไมยูไม่บอกไอหล่ะ ไอไม่เคยเจอน้องแมทมาก่อน ไอเคยเจอแค่แม่กับน้องมัท เอ่อ ไอหมายถึงพี่สาวน้องแมทหน่ะ"       ท่าทางของเมดูเป็นกังวล

"ไม่มีช่องว่างให้ผมได้พูดกับแมทเลยด้วยซ้ำ"

"งั้นก็แสดงว่าแมทคือคนที่ยูชอบ"       ผมพยักหน้า

"โอ้ย! ตายๆๆๆๆ ถ้าโลกกลมๆมันจะทำร้ายไอขนาดนี้"

"ผมไม่เข้าใจ"

"ไอสิต้องไม่เข้าใจว่าไปบอกน้องแมทว่ายูชอบน้องโอ้ตไปได้ยังไง พูดไปเยอะมากเลยด้วย"       อย่างนี้นี่เอง

"นี่หมายความว่าเมเข้าใจว่าคนที่ผมมาตามหาคือโอ้ต"

"แน่สิ ตอนถามที่ร้านอาหารน้องโอ้ตบอกว่ารู้จักยูในขณะที่น้องแมทไม่พูดอะไรสักคำ"       สัญชาตญาณคิดไปเองนี่เป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนต้องมีเลยใช่ไหม

"หึหึ"

"แย่มากๆเลยยู ปล่อยให้ไอกลายเป็นตัวตลกได้ยังไงกัน ไม่ได้การละ ต้องไปคุยกับน้องเขาใหม่ ต้องไปขอโทษที่เข้าใจผิดด้วย"

"ไม่เป็นไรหรอกเม มันดึกแล้ว พรุ่งนี้ก็ยังบอกทัน ผมว่าแมทเขาคงเข้าใจ"       นี่มันก็จะเที่ยงคืนอยู่แล้ว

"คงเข้าใจเหรอ ถ้าเขาเข้าใจผิดหล่ะ อย่างนี้มันก็เหมือนไอทำให้ยูเสียคะแนนเลยนะ"

"เม ถ้าพวกเขาได้คุยกันโอ้ตต้องรู้อยู่แล้วว่าผมกับเขาไม่เคยเจอกันมาก่อน จะเป็นโอ้ตไปได้ยังไง"

"แล้วถ้าเขาไม่คุยกันหล่ะ"       ผมค่อนข้างแน่ใจจะว่าโอ้ตต้องถามแมท

"อย่ากังวลไปก่อนเลยนะ ดึกแล้วเมไปนอนเถอะ ผมรบกวนเมมาเยอะแล้ว"

"งั้นพรุ่งนี้ไอจะรีบไปคุยกับน้องแมทให้เข้าใจนะ ไอขอโทษนะ"

"คำขอโทษผมจะรับไว้นะเม ส่วนเรื่องที่เมจะไปอธิบายผมขอเป็นคนไปบอกเองได้ไหม ผมอยากเป็นคนพูดให้แมทฟังเอง ให้แมทรับรู้ความรู้สึกผมจากปากของผม เมเข้าใจผมนะ"       เมพยักหน้าตอบรับเหมือนเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการ

"มันเกินหน้าที่สินะ ไอเข้าใจแล้ว ไว้ไอค่อยอธิบายหลังจากนั้นก็ได้"

"ขอบคุณอีกครั้งนะเม สำหรับทุกเรื่อง"


.......................................................................


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-04-2015 01:20:44 โดย anana »

ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
          ผมรีบตื่นเช้าเพื่อไปเดินเล่นรอบหมู่บ้าน ผมว่าคนที่มีบ้านอยู่เมืองไทยน่าอิจฉา เขาสามารถมีบ้านที่มีบริเวณไว้ปลูกต้นไม้ได้ เทียบกับคนฮ่องกงแล้วโอกาสที่จะมีแบบนี้คือน้อยมากนะ ก็เลยตั้งใจจะสำรวจเอาไว้ ถ้าหากอะไรต่อมิอะไรลงตัวหมู่บ้านนี้ก็น่าสนใจอยู่ นี่ไม่ใช่การวางแผนนะ ผมเพียงแค่ลองคิดเล่นๆเท่านั้น

          เดินพ้นจากรั้วบ้านเมผมก็เห็นคนที่ผมตั้งใจมาเจอ เพราะฉะนั้นแผนเดินสำรวจคงต้องพับไปก่อน แล้วพาตัวเองมายืนอยู่หน้าประตูรั้วบ้านอีกฝ่าย บอกตัวเองว่าไม่ควรรอโดยที่ไม่ทำอะไรเลย ผมจะสร้างเหตุหรือปัจจัยเพื่อไปเจอ  อยากเจอก็เดินเข้าไปคุย อย่าทำให้ยาก ไม่ต้องประดิดประดอย ถ้ามัวแต่ทำอย่างนั้น ความรักก็จะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเกิดขึ้น อย่าให้ความรักดีดีและคนรักที่ใช่กลายเป็นเรื่องยากที่จะหากันเจอ

"กู้ด มอร์นิ่งครับ"       ผมเอ่ยทักจากนอกรั้ว เมื่อเห็นว่าแมทกำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่

"พี่เชน"       ผมพยักหน้า

"พี่พูดกับผมเหรอ"       มองซ้ายมองขวาก่อนจะชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

"ครับ"

"พี่ตื่นเช้านะ นี่เพิ่งจะ 6 โมงกว่าเอง"

"สำหรับฮ่องกงมัน 7 โมงครึ่งแล้วนะ กำลังจะสายแล้วครับ"

"แต่ที่พี่ยืนอยู่มันประเทศไทย"

"โอเคครับ เช้าก็เช้า"

"พี่เมละครับ"

"คงยังไม่ตื่นมั้ง ไม่รู้สิไม่ได้นอนห้องเดียวกัน"       ประโยคหลังนี่ผมตั้งใจอธิบายนะ

"อ่ออ...งั้นเหรอครับ"       คนตรงหน้ากำลังประชดผมพอดูออกจากการเลิกคิ้วแล้วเหล่มอง

"รดอยู่ต้นเดียวจนน้ำท่วมกระถางแล้วนะ จะไม่เปิดประตูให้พี่เข้าไปหน่อยเหรอ"       ไม่ใช่แค่แมทที่ทำตัวไม่ถูก ผมเองก็กำลังเป็นแบบนั้น

"เอ่อ"       ส่งเสียงแค่นั้น? ทั้งที่ได้ยินคำขอให้เปิดประตูแต่อีกฝ่ายกลับวางสายยางรดน้ำแล้วหันหลังวิ่งห่างจากรั้วไปเรื่อยๆ
แต่ก่อนที่ผมจะเรียก แมทก็เดินกลับมา ไม่ได้มาเปิดประตู แค่มายืนอยู่ตรงหน้าใกล้กว่าเดิมเท่านั้น แต่มันก็ยังมีรั้วกั้นอยู่ดี

"พี่มีเรื่องจะคุยด้วย"

"ครับ"


"เราจะยืนคุยกันแบบนี้เหรอ"

"แบบนี้ก็ได้ยิน พี่พูดมาเถอะ"       แต่ที่ผมต้องการมันไม่ใช่แบบนี้นะสิ

"แน่ใจนะว่าจะให้พี่พูดตรงนี้"       ถ้าในเมื่อเจ้าตัวต้องการแบบนั้น เรียกร้องมากไปก็กลัวจะไม่ได้บอกกันพอดี นี่ก็คลาดมาตั้งหลายครั้งแล้ว

"แมทคะ"       ในที่สุดผมก็คงต้องเจอกับสถานการณ์แบบเดิม

"เปิดประตูให้หลินหน่อยค่ะ"       ผมหันไปมองเจ้าของเสียงก็ผมผู้หญิงผมยาวหน้าหวานและท่าทางดูดีอยู่ในชุดเดรสสั้น

"หลินมาแต่เช้าเลย"

"วันนี้เจอแมทหน้าบ้าน แปลกใจจังค่ะ ปกติหลินมายังไม่ตื่นเลยนะคะ"        ผมเองก็แปลกใจไม่ต่างจากเธอ ด้วยงานของแมทไม่น่าใช่คนที่ตื่นเช้าไหว

"เข้ามาก่อนสิหลิน"

"แมทคุยธุระกับเพื่อนให้จบก่อนก็ได้ค่ะ"       เพื่อนงั้นเหรอ ไม่ใช่สักหน่อย

"ไม่ๆ พี่เขาอยู่ข้างบ้านเรานี่แหละ" 

"อ่อเหรอค่ะ สวัสดีค่ะ"       เธอสวัสดีผมโดยที่ไม่หันมามองผมด้วยซ้ำ ทำให้ผมเห็นสายตาเธอที่จดจ้องอยู่ที่หน้าแมท
 
"หลินนัดแม่เราไว้เหรอ"

"ค่ะ จริงๆนัดไว้ที่ร้าน แต่หลินตั้งใจจะมาทานข้าวเช้าพร้อมแมท เลยมาหาที่บ้านดีกว่า นี่ค่ะ หลินทำอาหารเช้ามาให้ลองชิมเยอะแยะเลย"       ผมกำลังพยายามห้ามความคิดตัวเองอย่างหนัก

"เอ่อ ครับ เราช่วยถือนะ"       แมทรับถุงจากคุณหลินมาถือไว้แล้วนำทางเธอเข้าบ้าน

ทั้งคู่คงลืมว่าผมยืนอยู่ตรงนี้ ผมเองก็อยากเดินตามเข้าไป แต่มันคงเป็นการเสียมารยาทน่าดูที่อยู่ๆก็เดินเข้าบ้านคนอื่นโดยไม่ได้รับเชิญสงสัยวันนี้เรื่องที่ผมจะพูดคงถูกพับเก็บอีกตามเคย

"พี่เชน"       จู่ๆก็ได้ยินเสียงเรียกตอนที่กำลังหันหลังเดินกลับไปที่บ้านของเม

"ครับ"

"จะไม่เข้ามาใช่ไหม ผมจะได้ปิดประตูรั้ว"       อย่าทิ้งโอกาสที่ถูกยื่นให้ตรงหน้า ผมบอกตัวเองอย่างนั้น แล้วก็เดินตามแมทเข้าบ้านไป


.......................................................................



"ดีนะที่วันนี้แม่ตื่นสาย เลยยังไม่ได้ทำมื้อเช้า ไม่งั้นอาหารเช้าของแม่คงต้องไปนอนในถังขยะแน่เลย"       เดินตามเจ้าของบ้านมาถึงโต๊ะทานข้าวก็ได้ยินเสียงผู้หญิงวัยกลางคนเอ่ยอย่างอารมณ์ดี ภายในบ้านของแมทที่มีเค้าโครงเหมือนบ้านของเม ต่างก็เพียงการตกแต่งภายในที่ดูสีสันสดใสและสื่อถึงครอบครัวมากกว่า

"โธ่ แม่คะ อาหารเช้าของแม่ต้องดีกว่าของหลินอยู่แล้วค่ะ"       จริงๆวันนี้ผมยังไม่ทันได้เตรียมตัวอะไรมาเลย ของติดไม้ติดมือสักอย่างก็ไม่มี ถึงทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่คิด แต่ผมก็ถอยไม่ได้อยู่ดี

"แม่ครับ" 

"แมทไปปลุกพี่มัทไปลูก"       เธอพูดไปพร้อมกับจัดโต๊ะอาหารโดยที่ไม่ได้หันมาทางเราสองคนเลยสักนิด

"ครับแม่"

"บอกพี่มัทอาบน้ำก่อนลงมากินข้าวนะ เพราะวันนี้เรามีแขก"

"ไม่เป็นไรค่ะแม่ บอกพี่มัทตามสบายเถอะคะแมท"       คุณหลินบอกกับคุณแม่ก่อนที่จะหันมาบอกแมทด้วยรอยยิ้ม

"ไม่ได้หรอกจ้ะหลิน ปกติลูกบ้านนี้ทานข้าวเช้ากันทั้งชุดนอน แต่วันนี้เรามีแขกแม่ว่ามันไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่"       ถึงจะลงมาทั้งชุดนอนก็คงไม่แตกต่างนะในเมื่อคุณแม่พูดมาแล้วเหลือก็แต่รับรู้ด้วยสายตา และผมก็บอกตัวเองว่าควรจดจำข้อมูลไว้       "บอกพี่มัทว่าแม่สั่งให้อาบน้ำก่อนลงมา วันนี้เราต้องไปวัดกันด้วย"

"ไปวัดเหรอคะ จะเป็นอะไรไหมคะถ้าหลินขอไปด้วย"       พูดจบเธอก็มองมาที่แมทก่อนจะมองเลยมาที่ผมด้วยสายตานิ่งๆ ผมอ่านสายตาเธอไม่ออกว่าต้องการจะสื่ออะไร

"ได้สิลูก"       เหมือนคุณแม่ของแมทยังไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนของผม

"อ้าวแมท ทำไมยังยืนอยู่อีก แล้วนี่เพื่อนแมทเหรอ แม่ไม่เคยเจอเลยค่ะ"       ขอบคุณครับที่ในที่สุดก็เห็นผมสักที

"ครับ เอ่อ แม่ แมทอยากแนะนำพี่เชนให้รู้จัก"       รู้สึกดีที่ได้ยินแบบนี้

ผมยกมือไหว้ ตามด้วยก้มหัวเชิงทักทายให้กับคุณหลิน       "สวัสดีครับ"       ผมทำในสิ่งที่ม๊าเคยสอนได้เสมอ เราควรเอ่ยทักทายผู้ใหญ่ก่อน

"สวัสดีค่ะ มาทานข้าวเช้าด้วยกันเลยนะลูก วันนี้บ้านแม่ครึกครื้นน่าดู สมาชิกเยอะแยะไปหมด"       เธอเอ่ยด้วยสีหน้าแต้มยิ้ม ผมชอบรอยยิ้มคุณแม่นะ รอยยิ้มที่เหมือนแมท รอยยิ้มสดใสในแบบที่แมทมี

"แม่นี่พี่เชนครับ พี่เชนที่เป็นเจ้าของที่พักที่แมทไปพักในฮ่องกง"

"อ๋อๆ แม่จำได้ลูก ที่แมทเล่าว่าช่วยเป็นไกด์พาไปเที่ยวใช่ไหม"       คุณแม่วางจานที่กำลังจัดก่อนจะเดินมาตรงหน้าผม
"ครับแม่ "

"แม่ขอบคุณมากนะคะพี่เชนที่ช่วยดูแลแมทตอนอยู่ที่โน่น"       คุณแม่ยื่นมือมากุมมือผมเอาไว้ แล้วลูบเบาๆ นี่คงเป็นความอบอุ่นในแบบที่แมทได้รับมาตลอด

"ยินดีครับ"       ผมก้มหัวให้แม่อีกครั้ง

"งั้นดีเลย มาทานข้าวเช้าด้วยกัน เดี๋ยวแม่ทำอะไรเพิ่มสักอย่างสองอย่างดีกว่า แล้วเย็นนี้ไปทานข้าวที่ร้านแม่นะลูก แม่จะเลี้ยงมื้อเย็นแทนคำขอบคุณ"

"ได้ครับคุณแม่"       ท่านบอกพร้อมรอยยิ้มที่ดูจริงใจ และ ในเมื่อท่านแทนตัวเองว่าแม่ ก็ไม่ถือว่าผมกำลังฉวยโอกาสใช่ไหม

"ยังไม่ไปอีกแมท"       แมทหันมามองผมด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ

"ครับๆแม่"       แล้วก็รีบวิ่งขึ้นบันไดไป

"มาค่ะมานั่งนี่พี่เชน แมทไม่ยอมบอกแม่ เลยไม่ได้เตรียมตัว วันนี้แม่ก็ตื่นสายซะด้วยสิ" เธอดึงมือผมให้ไปนั่งข้างๆคุณหลิน ผมหันไปยิ้มให้เธอก่อนจะนั่งลง แต่สิ่งที่ผมได้รับกลับกลายเป็นใบหน้าที่นิ่งเฉยกับสายตาที่ดูแข็งกร้าวมากขึ้น ซึ่งผมค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ได้รู้สึกไปเอง

"ไม่เป็นไรหรอกครับ เป็นผมต่างหากที่รบกวน"       และผมก็จำต้องหลบสายตาเธอ ก่อนจะหันความสนใจมาอยู่ที่คุณแม่แทน

"งั้นแม่ทำอะไรง่ายๆอย่างพวกออมเล็ตเพิ่มดีกว่า พี่เชนทานได้ไหมคะ"       แรกๆผมก็รู้สึกแปลกที่ถูกแม่ของแมทเรียกว่าพี่เชนนะ แต่พอฟังหลายๆครั้งเข้าผมว่าก็น่ารักดี

"ได้ครับ ให้ผมช่วยไหมครับคุณแม่"

"จริงเหรอลูก พี่เชนเป็นผู้ชายนะคะ ทำอาหารเป็นด้วยเหรอ" 

"ครับคุณแม่"       จริงๆมีผู้ชายตั้งมากมายนะครับที่ทำอาหารได้ดี ตรรกะเดิมที่ผู้หญิงต้องเป็นฝ่ายเข้าครัวมันเปลี่ยนไปแล้วเผลอๆผู้ชายบางคนทำได้ดีกว่าซะอีก

"น่าอายแทนแมทจริงๆเลย ลูกชายแม่นะรินน้ำยังหกเลยค่ะพี่เชน"       ประโยคนี้เรียกเสียงหัวเราะได้จากทั้งผมและคุณหลิน ผมได้ยินแต่ไม่กล้าหันไปมองเธอ

"ท่าทางแมทจะไม่ชอบทำอาหารนะครับ"

"ทานเป็นอย่างเดียวเลยค่ะ ลูกสาวแม่ก็ด้วย"

"หลินเข้าใจว่าพี่มัทเก่งเรื่องเข้าครัวนะคะ เพราะเปิดร้านอาหาร"

"ผิดถนัดเลยจ้ะ พี่มัทกับแมทนะ แย่พอกันเลยลูก น่าอายจริงๆ"       ทำไม่เป็นนั่นแหละครับผมว่าดีแล้ว

"คุณแม่พอจะมีผักไหมครับ"       ผมจำได้ว่าเมื่อคืนโอ้ตบอกว่าแมทกำลังทานผักในสัดส่วนที่มากกว่าอาหารอย่างอื่น

"เรียกแม่ก็พอค่ะพี่เชน เติมคุณมาด้วยนี่แม่ไม่ค่อยชิน"       แม่พูดไปก็ยิ้มไป ผมว่าเธอน่ารักนะครับ ดูอารมณ์ดี แมทก็คงเหมือนแม่
"ครับแม่"

"จริงๆแม่เกรงใจนะคะเนี่ย"       เธอพูดพลางตบไหล่ผมเบาๆ สิ่งที่เธอทำผมรู้สึกคลายกังวลลงไม่มาก มันทำให้ผมรู้สึกถึงความเป็นกันเอง

"ผมชอบทำอาหารครับ ผมยินดีช่วย"

"ถ้าอย่างนั้นแม่ไม่เกรงใจนะคะ ตามแม่มาที่ตู้เย็นเลยค่ะ"
 
"จริงๆเช้านี้แม่ตั้งใจทำข้าวผัดไข่ง่ายๆให้เด็กๆรองท้องก่อนไปวัด กะว่ามื้อเที่ยงค่อยไปหาทานเอาแถวนั้น เพราะแม่ยังไม่ได้ไปตลาด เลยไม่ค่อยมีอะไรในตู้เย็น"       ผมนั่งยองๆลงข้างตู้เย็นเพื่อช่วยค้นวัตถุดิบ

"มีแค่นี้พอไหวไหมคะ แต่ผักแม่มีเยอะนะคะ แมทเขาเน้นทานผักช่วงนี้ในตู้เย็นแม่เลยมีผักเยอะหน่อย"       จากที่เห็นมีแค่ไข่ไก่ กับไส้กรอก นอกจากนั้นก็เป็นผักทั้งหมด ผมเลยจัดการนำผักที่มีออกมา และจากที่เห็นอาหารที่คุณหลินนำมาก็เป็นสปาเก็ตตี้กับแซนด์วิชผมเลยคิดว่าสลัดผักน่าจะเข้ากันที่สุด

"แค่นี้ก็พอครับ"       ผมสงสัยนะ ตอนอยู่ฮ่องกงแมทดูเป็นคนทานเก่ง ตัวก็เล็กแค่นั้น ไม่น่าจะกังวลกับเรื่องน้ำหนักตัวให้มากมาย

"งั้นพี่เชนจัดการได้ตามสบายเลยนะคะ เดี๋ยวแม่จะทำออมเล็ตเพิ่มอีกสักอย่าง" 

          ผมเริ่มจากการเลือกที่จะต้มไข่และฟักทองก่อน แล้วนำไข่แดงมาบดรวมกับเนื้อฟักทองผสมน้ำต้มสุกกับน้ำมันมะกอก เพิ่มมะนาว ซอสปรุงรสและตามด้วยพริกชี้ฟ้าซอยละเอียดก็จะได้น้ำสลัดฟักทองไข่แดงแบบข้นหน่อย ส่วนไข่ขาวที่เหลือกับไส้กรอกก็นำมาหั่นเป็นลูกเต๋าเล็กๆโรยบนผักกาดหอมบัตเตอร์เฮด  เร้ดโอ้คและกรีนโอ้ค พร้อมกับมะเขือเทศเชอรี่
 
"แม่ดูแล้ว พี่เชนดูหยิบจับอะไรคล่องมากเลยนะคะ แม่มองยังเพลินเลย ว่าไหมจ้ะหลิน"       ผมหันไปยิ้มให้กับคำพูดนั้นก่อนจะมองเลยไปที่คุณหลินซึ่งผมก็ได้ผมกับสีหน้าแบบเดิม เธอนิ่งจนผมสงสัยว่าผมเคยทำอะไรให้เธอผิดใจหรือเปล่า

"อาจจะเพราะมีโอกาสได้เข้าไปช่วยที่ร้านบ่อยๆมั้งครับ"

"พี่เชนเปิดร้านอาหารด้วยเหรอคะ"

"ครับ เป็นร้านเล็กๆ ผมเปิดร่วมกับพี่สาว ถ้ามีโอกาสก็แวะไปทานได้นะครับ ผมยินดีต้อนรับ คุณหลินด้วยนะครับ" ผมบอกแม่แล้วหันไปบอกคุณหลิน ผมรู้ว่าเสียมารยาทที่พูดโดยไม่หันไปมองหน้าเธอ แต่ผมก็ยังทำ นั่นก็เพราะผมไม่ต้องการเห็นสีหน้าท่าทางที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจอะไรสักอย่างในตัวผม ผมเองไม่ใช่พวกมองโลกในแง่ร้าย แต่ก็ใช่ว่าทั้งโลกที่เห็นจะดูสวยงามจนมองข้ามสายตาอคติที่เธอมีให้

"ขอบคุณมากเลยค่ะ หลินจะไปชิมถ้ามีโอกาสนะคะ"       เพราะผมกำลังมองเธออยู่เลยทำให้ผมเห็นท่าทางแปลกๆที่เธอทำกับผม และผมเองก็มั่นใจว่าไม่ได้คิดไปเอง เห็นอย่างนั้นผมก็บอกตัวเองให้เลิกสนใจแล้วหันมาทำสลัดต่อ

"เรียบร้อยแล้วครับ"

"ออมเล็ตแม่ก็เสร็จพอดีเลยค่ะ ตายละ น่าทานจัง"       แม่พูดบอกหลังจากชะโงกหน้ามาดูในชามผสมสลัดของผม


.......................................................................


"ป้าศิขา ฟินหิว"       เด็กผู้หญิงวันรุ่นๆสองคนที่หน้าตาเหมือนกันเดินเข้ามาพร้อมกับนมในมือคนละกล่อง

"อะไรกัน ยังอยู่ในชุดนอนอีกเหรอ"       แม่วางจานออมเล็ตลงบนโต๊ะแล้วเดินไปจับไหล่ของหนึ่งในแฝดแล้วหมุนตัวน้องไปมา

"ป่าวนะคะ อาบน้ำแล้ว นี่พร้อมจะไปวัดแล้วด้วย"

"จะไปวัดแต่งตัวแบบนี้เหรอฟิน"

"ทำไมคะ วัดเขาห้ามคนใส่ชุดนี้เข้าเหรอคะป้าศิ"

"อย่างกับชุดนอนดูสิ กระโปรงอะไรหลวมโพรกขนาดนี้ หน้าก็สั้นหลังก็ยาวอีก กินข้าวเสร็จไปเปลี่ยนเลยนะ"       ผมมองว่าชุดที่น้องใส่ก็น่ารักดีนะ ดูสมวัย ถึงจะค่อนไปทางชุดนอนอย่างที่แม่ของแมทเปรียบเทียบก็ตาม

"ฮ่าๆๆๆ เฟย์เตือนฟินแล้วนะ"

"ก็มันเป็นสไตล์อ่ะ"       พอแม่หันหลังไปหยิบของ เจ้าของชุดถึงกับทำท่าเซ็ง วัยรุ่นก็เป็นแบบนี้

"ป้าไม่มองไม่ใช่ไม่รู้นะ พอเลยๆ มากินข้าว"       ผมถึงกับหลุดยิ้ม อย่างนี้พอจะใช้ได้กับสำนวนที่ว่าอาบน้ำร้อนมาก่อนไหม

"นี่ไปไหนกันหมดคะ แล้วพี่สองคนนี่ใครอ่ะป้าศิ"

"เพื่อนของพี่แมท นี่พี่เชน แล้วนี่ก็พี่หลิน"       ผมรับไหว้น้องทั้งคู่ จากท่าทางที่เห็นน้องคงสงสัยไม่น้อยว่าผมคือใคร แต่ก็ไม่ได้รับคำอธิบาย

"เฟย์ไปตามพี่ๆสิ นี่ให้แมทไปปลุกก็หายไปด้วยเลย ทิ้งแขกเอาไว้เสียมารยาทจริงเชียว"

"นั่นไงมาพอดีเลย"       ทุกคนลงมาพอดีก่อนที่น้องจะได้ขึ้นไปตาม

"เฮ้! แฝด"

"หวัดดีค่ะพี่โอ้ต เมื่อคืนนอนที่นี่เหรอคะ"       โอ้ตพยักหน้า ผมว่าโอ้ตคงยังไม่ทันเห็นผมนะ

"มานั่งมาเร็ว ปล่อยให้แขกรอทานข้าวได้ยังไง"

"ไม่เป็นไรหรอกค่ะแม่ หลินว่าดูเป็นกันเองดีออกค่ะ"       ถ้าหากผมไม่เห็นสายตานั้น ผมว่าคุณหลินเธอก็เป็นคนน่ารักคนหนึ่ง

"เฮ้อ...จ้ะ กันเองก็กันเองจ้ะ ตายแล้ว!ยัยมัท นี่อาบน้ำหรือยังเนี่ย"       แม่ที่พูดไปพลางถอนหายใจ ก่อนจะเห็นลูกสาวตัวเอง นี่คงเป็นคุณมัท เธอใส่แว่นและมัดหางม้า และอยู่ในชุดที่ก้ำกึ่งระหว่างชุดนอนกับชุดอยู่บ้าน ผิดจากภาพที่ผมคิดไว้ค่อนข้างมาก

"ยังอ่ะแม่ มัทว่าจะไม่ไปวัด เมื่อคืนคุยกับไอ้สองคนนี้ดึกไปหน่อยเลยว่ากินข้าวเสร็จแล้วจะนอนต่อ"

"จะนอนต่อแม่ไม่ว่า แต่เรามีแขกมัทว่ามันเหมาะสมไหม"

"เพื่อนแมทไม่ใช่เหรอ มัทโอเคน่าแม่"

"ดูพูดเข้า แม่ขอโทษหลินกับพี่เชนแทนลูกแม่ด้วยนะ"

"พี่เชน!" แล้วผมก็ได้รับสายตาสงสัยจากคุณมัท

"อืมมม พี่เชน"       คุณแม่บอก

"นี่แหละพี่เชน"       โอ้ตพูดพลางมองมาที่ผมก่อนจะเปลี่ยนไปมองแมท

"จ้ะพี่เชน จะสงสัยกันอีกนานไหม เสียมารยาทจริงๆ"       แม่บอกอีกครั้ง คุณมัทยังคงมองหน้าผมนิ่งๆก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มให้ผมต้องยิ้มตาม

"โหแม่ ฟูลคอร์สมากอ่ะวันนี้ ถ้ารู้ว่าอาหารจะเพรียบพร้อมขนาดนี้นะ มัทจะจัดราตรียาวลงมาเลย"

"ฮ่าๆๆๆ พี่มัทเอาแค่อาบน้ำลงมากินข้าวให้ได้ก่อนเถอะ ไม่มีใครเขาคาดหวังกันขนาดนั้นหรอก"       ทุกคนร่วมตลกกับคำพูดของหนึ่งในคู่แฝดที่ผมแยกไม่ออก

"ตั้งแต่นี้ไปกูจะมานอนบ้านมึงบ่อยๆ เบื่อมากอ่ะปาท่องโก๋กับข้าวต้มทุกเช้าเลย"       โอ๊ตว่า

"แต่วันนี้ข้าวเช้าป้าศิดูเลอค่ากว่าทุกวันจริงๆ ฟินนึกว่าตัวเองมาผิดบ้านซะอีก"

"เพราะปกติเราจะได้กินแต่ข้าวใช่ไหมฟิน"

"ใช่พี่มัท ฮ่าๆๆๆ"       คนนี้คือน้องฟิน

"พูดแบบนี้พรุ่งนี้ก็ตื่นมาหากินกันเองนะจ้ะ แม่จะได้มีเวลานอนเพิ่ม"       แม่พูดด้วยน้ำเสียงงอนๆก่อนจะเหล่มองมาที่ลูกสาวตัวเอง

"โอ๊ะๆๆๆ ไม่เอาค่ะไม่ทำแบบนี้นะคะ ถ้าคุณศิตาทำแบบนั้นก็ลำบากท้องไส้ลูกหลานแย่เลยค่ะ"       ท่ามกลางบทสนทนาที่ผมได้ยิน แต่สายตาผมกลับมองเห็นแค่แมท คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม

"งั้นก็กินเข้าไปแล้วเลิกพูดมาก"       จากประโยคนี้ก็ทำให้ทุกคนหยุดพูดต่อแล้วหันมาสนใจอาหารที่อยู่หน้าแทน

"แล้วตกลงนี่ใครทำมาคะป้าศิ"       ผมไม่แน่ใจว่าน้องคนที่ถามชื่ออะไร ผมยังแยกระหว่างน้องฟินกับน้องเฟย์ไม่ออกจริง

"หืม สปาเก็ตตี้นี่คือดีอ่ะ ละมุน ชิมดูไอ้แมท"       หลังจากโอ้ตพูดจบ แมทก็เลือกที่จะตักสปาเก็ตตี้เป็นจานแรก ผมเข้าใจนะ ก็เพราะว่าแมทชอบอาหารที่เป็นเส้น อีกทั้งโอ้ตแนะนำ ผมเข้าใจ ถึงลึกๆในใจจะอยากให้แมทตักสลัดเป็นจานแรกก็เถอะ

"หลินเขาทำสปาเกตตี้กับแซนวิชมาให้ วันนี้แม่เลยสบาย"

"เป็นไงมึง สปาเกตตี้หลินอร่อยป่ะ"

"ของพี่เชนอร่อยกว่า"

"คะ" คุณหลิน

"หืม" คุณแม่

"หือ" สองสาวแฝด

"ห๊ะ" คุณมัท

"โอ้ว" โอ๊ต

ใช่ว่าแค่ทุกคนเท่านั้นที่ตกใจ ผมเองก็ด้วยและจากที่ผมเดาจากสีหน้าที่เห็นของแต่ละคน คงมีเหตุผลที่ต่างกัน แต่สำหรับผม รอยยิ้มอย่างมีความสุขแสดงอารมณ์ตอนนี้ได้ดีที่สุด

"เอ่อ อร่อยครับ ของหลินอร่อย เราก็ชอบ คือเราจะบอกว่ามันคนละแบบ เราเคยกินของพี่เชนครั้งนึงคือเราชอบแบบนั้น เอ่อ แต่ไม่ใช่ว่าของหลินไม่อร่อยนะ อร่อย แต่เราชอบแบบของพี่เชน คือ หลินนึกออกไหม"       มาทั้งคำอธิบายและท่าทางประกอบ ผมจะคิดว่าคงไม่อยากให้เธอรู้สึกไม่ดี

"ไม่ช่วยเลยสักนิด หนักกว่าเก่าอีก"       คุณมัทพูดออกมาพร้อมส่ายหน้าเบาๆ

"เราลองสลัดดีกว่านะ ต้องอร่อยแน่เลย"       ท่าทางจะไม่รู้ว่าจานนั้นฝีมือผม

"เป็นสกิลการปลอบใจที่แย่สัดอ่ะ"       ขณะเหล่มองหน้าแมท

"อร่อยจริงๆด้วยหลิน น้ำสลัดแปลกดีอ่ะ"

"เป็นไงอ่ะพี่แมท ฟินชิมหน่อย"       แมทใช้ส้อมจิ้มผักสลัดป้อนให้น้องฟินพร้อมอธิบายรสชาติไปด้วย

"เปรี้ยวๆเผ็ดๆเหมือนยำเลยแต่มันข้นๆสมกับเป็นน้ำสลัด อร่อยมากจริงๆนะ หลินทำน้ำสลัดเองใช่ไหม เราให้สิบดาวเลยจานนี้ ชอบมากๆ"       ถึงกับยกนิ้วให้

"จานนั้นคุณเชนทำค่ะแมท ไม่ใช่หลิน"       น้ำเสียงที่เรียบและนิ่งกำลังบอกแมทในขณะที่สายตานั้นกลับจับจ้องมาที่ผม

"ฮ่าๆๆๆ ฝังตัวเองเถอะมึง กูว่าวะระสุดท้ายแล้วหล่ะ"

"มัทขอไว้อาลัย เฮ้อ...โง่ซ้ำซากจริงๆน้องฉัน"


.......................................................................


ออด~ ออด~ ...

ผมว่าแมทควรต้องขอบคุณคนที่มากดออดที่ช่วยให้หลุดพ้นจากสถานการณ์อันน่าอึดอัดนี้

"ใครมาหน่ะ แมทไปดูสิ"       แม้แต่แม่เองก็ยังพยายามช่วย

"เฟย์ไปเปิดเองค่ะ"       เสียแต่ว่าน้องเฟย์ไม่เข้าใจ

"แต่แม่ชอบสปาเก็ตตี้หลินนะลูก แม่ยังไม่เคยกินของพี่เชนนะ แต่แม่ว่าของหลินอร่อย"

"แม่ๆ ไม่ดีขึ้น ไม่พูดๆ"       คุณมัทโบกมือให้กับแม่เป็นเชิงห้าม

"แม่ชมจริงๆ งั้นเปลี่ยนเรื่องดีกว่า นี่พี่เชนมาเที่ยวเหรอคะ"

"ครับ แล้วก็มาทำธุระนิดหน่อยด้วยครับ"       ผมหันไปมองหน้าแมท เป็นจังหวะเดียวกับที่แมทก็กำลังมองมา ตาคู่นั้นทำให้ผมลืมความอึดอัดบนโต๊ะอาหารเมื่อสักครู่ไปเสียสนิท

"ป้าศิพี่เมมา"       เสียงเรียกจากน้องเฟย์ทำให้ทุกคนหันไปมองคนมาใหม่ รวมทั้งช่วยดึงสติผมจากใบหน้าแมท

"อ้าวน้องเม มาตั้งแต่เมื่อไหร่ลูก"

"สวัสดีค่ะน้าศิ เมมาถึงเมื่อวานค่ะ

"อ่อจ้ะ นี่กำลังทานมื้อเช้ากันอยู่เลย น้องเมมาทานด้วยกันนะ"

"งั้นเมขอร่วมแจมด้วยคนนะคะ พอดีเพื่อนเมหนีไปไหนก็ไม่ทราบค่ะ"       เมควรจะรู้ว่าผมอยู่ตรงนี้นะ

"ผมอยู่นี่ครับ"       แล้วผมก็พูดบอกออกไป

"เชน...ไอตามหายูตั้งนาน มาหลบอยู่นี่เอง"       ผมไม่ได้หลบเลยนะ แค่ออกมาเดินเล่น แล้วทุกอย่างมันก็ลงเอยแบบนี้

"นี่น้องเมกับพี่เชนเป็นเพื่อนกันเหรอคะ"

"ใช่ค่ะน้าศิ"       สีหน้าของแม่ดูแล้วยังไม่คลายความสงสัย

"พี่เม สวัสดีค่ะ"       เสียงทักทายจากคุณมัทและน้องฟิน

"น้องมัท ไม่เจอกันเลย พี่เมคิดถึง เมื่อคืนไปทานข้าวที่ร้านก็ไม่เจอ"       เมหันไปสนใจทักทายคุณมัทโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีถึงสองคนที่กำลังมองเธอด้วยความรู้สึกแตกต่างกัน แม่ที่มองแล้วขมวดคิ้วด้วยความสงสัย และคุณหลินที่มองด้วยสายตาแบบเดียวกับที่มองผม

"อ้าวเหรอคะ มัทไม่เห็นรู้เลยค่ะ"

"ค่ะ ไม่เจอน้องมัทแต่เจอน้องแมทกับน้องโอ้ตแทน"       เมพูดไปก็ยิ้มไป

"นี่น้องเมรู้จักแมทกับโอ้ตแล้วเหรอลูก"       ผมไม่รู้ว่าทำไมแมทกับเมถึงไม่เคยเจอหรือรู้จักกันมาก่อน แต่นี่คงทำให้แม่ยิ่งสับสนในความสัมพันธ์ของทุกคนมากกว่าเดิม

"ค่ะ เพิ่งรู้จักเมื่อคืนเองค่ะ"

"ดูสิ อยู่บ้านข้างกันมาตั้งกี่ปี น้าไม่เคยได้แนะนำแมทให้รู้จักเลย เขาค่อนข้างเก็บตัวผิดกับมัท"

"ไม่เป็นไรค่ะน้าศิ อาจจะเพราะไม่ได้เจอกันเลยต้องมีเรื่องให้เข้าใจผิด พี่ต้องขอโทษน้องแมทด้วยนะคะ พูดไปซะมากมายเลย"

"อ่อครับ ไม่เป็นไรครับ"

"ทีนี้ก็ชัดเจนแล้วนะมึง"

"ชัดเจนมากเลยค่ะน้องโอ้ต"       ผมไม่ชอบรอยยิ้มแบบนี้เลย รอยยิ้มของเมเป็นรอยยิ้มแบบที่ผมคาดเดาไม่ได้ ไม่ใช่รอยยิ้มกรุ้มกริ่มและไม่ใช่รอยยิ้มอ่อนหวาน แต่เป็นรอยยิ้มแบบที่มีความคิดบางอย่างแฝงอยู่

"จ้ะๆๆ มากินข้าวกันดีกว่านะ มัวแต่ทักทายกัน หลินเบื่อแย่แล้วมั้ง ใช่ไหมจ้ะหลิน"       แม่คงพยายามทำให้คุณหลินไม่รู้สึกอึดอัด

"ไม่หรอกค่ะ หลินเข้าใจ"       เป็นอีกครั้งที่ยิ้มอ่อนหวานถูกส่งให้ทุกคนยกเว้นผม

"ถ้าวันนี้น้องเมกับพี่เชนไม่ไปไหน เราไปวัดทำบุญด้วยกันนะคะ"

"ยินดีเลยค่ะ เมว่างค่ะ เชนก็ว่างด้วยค่ะ ใช่ไหมยู"

"ครับ ว่างครับ"

"ดีจ้ะ ไปกันหลายๆคน ไปให้หลวงพ่อพรมน้ำมนต์ให้นะลูก"

และทุกคนก็ตอบเป็นเสียงเดียวกัน

"ค่ะ"

"ครับ"

ก่อนที่จะลงมือทานอาหารเช้ากันต่อ โดยบทสนทนาถูกผูกขาดโดยแม่ของแมทที่เล่าเรื่องของวัดและน้ำมนต์ให้ทุกคนฟังแทนการสนใจที่จะทำความรู้จักกัน


.......................................................................



❤  ขอบคุณที่ติดตามค่ะ ^^*
❤ถึงเนื่อเรื่องช่วงนี้จะเรื่อยๆสักแค่ไหนก็อย่าเพิ่งเบื่อแล้วทิ้งกันไปก่อนน้า ขออนาดำเนินต่ออีกนิ้ดดดด l กระพริบตาถี่ๆ อ้อนวอน l
❤เบื่อความด๋อยของตัวเองมากเลย เริ่มลงตอนนี้ตั้งแต่ 5 ทุ่มกว่า เสร็จตี 1 -"- ทึ้งหัวตัวเอง!!!
❤จริงๆตอนนี้ต้องยาวกว่านี้ค่ะ เพราะตอนเขียนมันจบตอนไม่ได้ เอาตัวละครมาทำความรู้จักกันมากไปหน่อย แหะๆ ทนๆอ่านอนาพล่ามไปก่อนนะสำหรับตอนนี้ แล้วตอนหน้าเราจะเจอกันไวๆแบเคลียร์ไปเลยน๊ะ
❤อนามีทวิตเตอร์ล้าววววว อิอิ @iamanana_anana อย่าลืมแวะมาติดแท็ก #รักระหว่างทาง พูดคุยกันเนอะ ^^
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะคะ ขอบคุณค๊า



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-04-2015 13:15:55 โดย anana »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
เฮ้ยยย! มาตามม เราจำเรื่องนี้ได้เเล้วนะ อิอิ.
นายเอกชื่อเเมท เเม่นๆ

โล่งใจไปหน่อยที่โอ๊ตเเค่ห่วงเพื่อนมากกเท่านั้นเอง. ดีมากโอ๊ต จงทำดีๆ
ส่วนหลิน(ชะนีที่ค่อนข้างจะไม่มีใครให้นางอยากมีบท 555) คาดว่าคงจำจัดไปไม่ยาก เพราะเเมทติดใจฝีมือเชนเอามากกๆๆ ทำให้หลินตกเป็นรองไปอย่างง่ายดาย เเต่ถ้านางด้านจะอยู่มาก ต้องให้โอ๊ตเเท็คทีมกับเม เผลอน่าจะได้มัทเข้ามาช่วยด้วย


คิดถึงคนเเต่งจุง เเต่ช่วงนี้ลาสอบ เเต่ก็ยังอ่านในนิยายในเล้าตลอดนะ. ^^
รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ 4559

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3978
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-8
ดีนะที่แค่หวงเพื่อน

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
ดีมากค่ะโอ๊ต ห่วงแบบเพื่อน
มากันครบทีมเลยคราวนี้

ออฟไลน์ minenat

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1661
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
 :katai4:
กำลังจะเกิดเรื่องแน่ๆ

ออฟไลน์ nicksrisat

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 948
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
พี่เชนครับ สู้ๆๆครับ เอาใจช่วยอย่างแรง

ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ตอนที่ 19
 

Chen Part

"แมทเอาตะกร้าดอกไม้กับถาดขนมไปใส่หลังรถไว้ก่อนไปลูก จะสายแล้ว"

"มัทโทรไปตามเด็กที่ร้านให้แม่แล้วใช่ไหม ทำไมกับข้าวยังไม่มาอีก"       แม่ดูวุ่นวายกว่าใครหลังมื้อเช้า ในขณะที่ทุกคนได้แต่นิ่งมอง

"นี่ยังไม่ถึงเวลาฉันท์เพลเลยนี่คะน้าศิ เพิ่งจะ 9 โมงเองค่ะ"       เมบอก

"วัดนี้พระท่านฉันท์มื้อเดียวจ้ะน้องเม ประมาณสิบโมง"       ถึงผมจะนับถือศาสนาพุทธแต่เรื่องเหล่านี้ค่อนข้างจะห่างไกลตัวมาก อยู่ที่ฮ่องกงผมไม่ค่อยได้เข้าวัดสักเท่าไหร่

"อ่อค่ะ งั้นเมไปเอารถออกก่อนดีกว่าค่ะ ว่าแต่นี่เราจะไปกันยังไงคะ"       เมดันหลังผมเบาๆก่อนจะหันไปถามทุกคนก่อนออกจากบ้าน

"น้องมัทไม่ไป รถน้าก็พอดี น้องเมกับหลินขับตามไปดีไหม"       แม่ออกความเห็น คุณหลินที่ถูกพูดถึงก็หันมายิ้มให้กับเม

"เอางั้นก็ได้ค่ะ"       เมตอบตกลงในขณะที่คนอื่นๆทำแค่พยักหน้า ผมมองเลยมาที่แมทแล้วเห็นคุณหลินที่ยืนอยู่ข้างกัน สายตาเธอยังมองผมนิ่งๆขวางๆแบบเดิมก่อนจะหันไปคุยกับโอ้ตและแมทพร้อมส่งรอยยิ้มที่หวานเยิ้ม ตอนแรกผมไม่แน่ใจว่าเธอใช้สายตาแบบนี้กับแค่ผมหรือเปล่า แต่พอเห็นแบบนี้และหลายครั้งเข้ามันทำให้ผมเริ่มมั่นใจว่าคงเป็นแค่ผมจริงๆที่ได้รับสายตาและท่าทางแบบนั้น

"กับข้าวมาส่งแล้วค่ะแม่ เรียบร้อยแล้วมัทขอตัวขึ้นไปนอนก่อนนะคะ"       เสียงคุณมัททำให้ผมละสายตาจากทั้งคู่

"งั้นเรารีบไปกันเถอะจ้ะ เดี๋ยวจะสายนะ" แม่บอกทุกคนก่อนจะเดินนำไปที่รถ


.......................................................................

 
"แมทไปนิมนต์ท่านเจ้าอาวาสที่กุฏินะลูก แม่จัดอาหารเรียบร้อยแล้ว"       

"ครับแม่"       รับปากแม่แล้วก็เดินหันหลังออกจากศาลาไป ผมมองแผ่นหลังแมทที่ค่อยลับตาไปเรื่อยๆก็พลันคิด ผมไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีโอกาสได้บอกสิ่งที่ตั้งใจมาสักที ผมรู้ว่าไม่ควรคิดเรื่องนั้นตอนนี้นะ แต่มันเป็นเป้าหมายของผมในการมาที่นี่ ผมคงห้ามความคิดตัวเองไม่ได้จริงๆ

"สาวๆมาช่วยป้าจัดดอกไม้ดีกว่านะ"        เสียงแม่ที่เรียกทำให้ผมหันความสนใจมาที่โต๊ะอาหารอีกครั้ง

"ให้ผมช่วยยกนะครับ"        ผมอาสาเข้าไปช่วยยกจานอาหารเพื่อจัดเรียงที่โต๊ะ

"ขอบคุณค่ะพี่เชน"

"ตายละ แม่ลืมขนมหวาน สงสัยอยู่ในรถ"

"ผมไปยกมาให้ครับ"        ผมอาสาอีกครั้ง ถ้าให้ยังนั่งอยู่ตรงนี้ผมคงฟุ้งซ่านน่าดู

"ไปด้วยพี่ ผมจะไปเข้าห้องน้ำ"        โอ้ตยกมือขึ้นเพื่อขอไปด้วย

"หลินไปด้วยค่ะ ขอไปหยิบผ้ามาคลุมขาเวลานั่งดีกว่าค่ะ หลินเกรงจะไม่สุภาพ"        คุณหลินวางก้านดอกไม้ลงบนโต๊ะก่อนจะลุกตาม

"น่ารักมากจ้ะหลิน เรียบร้อยจริงๆ ไปเถอะจ้ะ รีบไปรีบมานะ"        แม่หันมายิ้มพร้อมเอ่ยชม

 
.......................................................................


ในขณะที่โอ้ตไปเข้าห้องน้ำ คุณหลินที่บอกว่าจะมาหยิบผ้าคลุมกลับมายืนอยู่ด้านข้างผมซึ่งกำลังก้มหยิบถาดขนม ท่าทางเธอเหมือนมีอะไรอยากจะพูด

"คุณมีอะไรอยากพูดกับผมหรือเปล่าครับคุณหลิน"       ผมหันไปถาม

"เปล่านี่คะ"        เธอส่ายหน้าปฏิเสธ

"การที่คุณมายืนตรงหน้าแล้วมองผมตาขวางแบบนี้ คุณจะไม่ให้ผมรู้สึกอะไรเลยคงเป็นไปไม่ได้"       ผมวางถาดขนมลงที่เดิมแล้ว เราคงต้องพูดคุยกันอย่างจริงจัง

"หลินแสดงออกชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอคะ"       ชัดเจนมากจนผมคิดว่ามันไม่น่าใช่การแสดงออกในภาวะปกติ

"ผมคงไปทำอะไรขัดใจคุณเข้าหล่ะสิ"       ตอนนี้ผมคงคิดออกแค่อย่างเดียว

"เฮอะ! อย่าถามทั้งๆที่รู้เลยค่ะ"       เธอพ่นลมหายใจก่อนจะมองไปทางอื่น

"เพราะผมไม่รู้ต่างหากครับถึงถาม เราเพิ่งเจอกันครั้งแรกเองนะคุณหลิน"       ตาสบตา ผมรอฟังเธอพูดต่อ

"หลินแค่จะบอกว่าอย่าหวังอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้เลยค่ะ"        เธอแสยะยิ้ม

"คุณหลินรู้ได้ยังไงครับว่ามันจะเป็นไปไม่ได้"
       
"อย่าเอาความผิดปกติของของคนอย่างพวกคุณมาทำให้คนอื่นไขว้เขวด้วยเลยดีกว่าค่ะ"        ความผิดปกติงั้นเหรอ? ผมมองเธอด้วยความสงสัย

"อย่างไหนเหรอครับที่คุณว่าผิดปกติ"

"หลินดูสายตาคุณออก ปฏิเสธสิคะถ้ามันไม่ใช่"

"จะให้ผมปฏิเสธทั้งๆที่ไม่รู้งั้นเหรอครับ"

"อย่าแกล้งโง่เลยค่ะ ท่าทางฉลาดอย่างคุณเชน หลินพูดแค่นี้น่าจะเข้าใจ"

"ผมจะทำความเข้าใจเฉพาะเรื่องที่ผมควรจะเข้าใจเท่านั้น ซึ่งเรื่องของคุณผมดูแล้วเห็นว่าคงไม่จำเป็น ที่ผมถามก็เพราะเกรงว่าจะเสียมารยาท แต่ผมว่าสำหรับคุณผมคงไม่ต้องรักษามันแล้วหล่ะมารยาทอะไรนั่น ผมขอตัวครับ"        ในเมื่อเธอไม่อธิบายหรือเข้าประเด็นเสียทีก็ไม่ควรที่ผมจะทนฟังคำเสียดสีต่อไป

"เดี๋ยวค่ะ!"       เธอเอ่ยขึ้นเสียงแข็งขณะที่ผมเตรียมหันหลัง

"..."

"เลิกยุ่งกับแมทซะเถอะคะ"       ถ้าผมเข้าใจคำพูดเธอไม่ผิด สุ้มเสียงที่แสดงความไม่พอใจแบบนี้คงเป็นเพราะเธอชอบแมทเหมือนกันงั้นเหรอ ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องมาเผชิญหน้ากับคู่แข่งในเรื่องความรักที่เป็นเพศตรงข้าม

"ทำไมผมต้องทำแบบนั้นครับ"       ผมถามเธอกลับ

"แมทชอบผู้หญิงค่ะ ไม่ใช่ผู้ชายแบบคุณ"        สีหน้าและแววตาเธอบ่งชัดถึงความไม่พอใจที่มีมากขึ้น

"นั่นคือสิ่งที่คุณคิดไปเองหรือเปล่าครับคุณหลิน ถ้าหากแมทชอบผู้หญิงจริงๆ งั้นผมก็ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องกังวล"        คนที่กังวลควรเป็นผมต่างหาก นั่นคือสิ่งที่ผมคิด

"เพราะคนอย่างพวกคุณเลยทำให้คนปกติกลายเป็นคนไม่ปกติ"

"อะไรของผมที่ทำให้คุณมองว่าผิดปกติ"

"คุณเป็นเกย์ คุณมันพวกวิปริต แล้วคุณก็จะมาทำให้แมทเป็นไปด้วย"

"นั่นคือสิ่งที่คุณมอง และผมคงไม่สามารถเปลี่ยนทัศนคติคุณได้"

"งั้นคุณก็ไม่ควรมาเปลี่ยนแมท อย่าใช้ความไม่ปกติอันเลวร้ายของคุณมาแพร่ใส่คนอื่น"

"ผมไม่ใช่เชื้อโรค และผมเดาว่าคุณคงไม่มีความมั่นใจ คุณถึงได้มาคอยห้ามผมลับหลังแมทแบบนี้"

"ถ้าไม่มีคุณ หลินคงเป็นคนเดียวที่อยู่ในสายตาแมทตอนนี้ ทำไมต้องเป็นคนแบบพวกคุณตลอดเลยนะ พวกคนน่ารังเกียจ"       น้ำเสียงที่ฟังดูเกรี้ยวกราดมากขึ้นโดยไม่มีทีท่าว่าจะลดละ

"หลิน พูดอะไรออกมาหน่ะ"        เสียงทุ้มที่เอ่ยขัด เป็นโอ้ตที่เพิ่งเดินเข้ามาถามขึ้น

"โอ้ต!"        ท่าทางคุณหลินดูตกใจไม่น้อยที่เห็นโอ้ต

"ถึงจะเป็นเพื่อนก็ควรมีขีดจำกัดกันบ้างนะหลิน"

"ถ้าไม่มีเขา ป่านนี้แมทคงเลือกหลิน หลินคงไม่ได้เป็นแค่เพื่อน"        แววตาที่อ่อนลง ไม่แข็งกร้าวเหมือนตอนที่คุยกับผม

"นั่นมันขึ้นอยู่กับไอ้แมท แล้วที่สำคัญเธอเป็นคนที่เคยทำให้มันถูกเป็นตัวเลือกมาก่อน แล้วตอนนี้เธอจะเป็นตัวเลือกบ้างก็ควรจะยอมรับนะ"        ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่ทั้งคู่พูดถึง มันหมายความว่าแมทเคยชอบหลินมาก่อนงั้นเหรอ

"แต่หลินมาก่อนเขานะ"        คุณหลินพูดจบโอ้ตก็เอามือสะบัดหัวตัวเองก่อนจะท้าวสะเอวด้วยท่าทางจริงจัง

"ทำไมชอบอ้างว่ามาก่อนกันด้วยวะ มาก่อนไม่ได้หมายความว่าเขาต้องเป็นของเรานะเว้ยหลิน ความรักไม่ได้เลือกจากคนที่มาก่อนมาหลัง ถ้าคำนี้มันอ้างได้นะทั้งหลินกับพี่เชนไม่ได้มายืนทะเลาะกันแบบนี้หรอก"        ที่โอ้ตพูดมามันถูกต้องทุกอย่าง พูดจบโอ้ตก็เสมองไปทางอื่น

"พี่ไม่ได้ทะเลาะ แค่ปรับความเข้าใจ"       ผมอธิบาย

"โอ้ตพูดเหมือนแมทมีตัวเลือกมากกว่าหลินกับคุณเชน"        คุณหลินถาม

"ใช่ เรานี่ไง แล้วเราก็มีข้องอ้างเยอะกว่าทุกคนตรงนี้ด้วยนะ ข้ออ้างแรกเรามาก่อนทุกคน เราเจอมันก่อนที่มันจะเจอหลิน ข้ออ้างที่ 2 เรามีเวลาอยู่กับมันมากกว่าใคร ข้ออ้างที่ 3 เราเข้าใจกันทุกเรื่อง โดยที่ไม่ต้องพูดออกมา แค่มองตาก็เข้าใจ แค่นี้มันควรจะเพียงพอแล้วใช่ไหมหล่ะหลินถ้าข้ออ้างพวกนี้มันทำให้ใครสักคนมารักเราได้ แต่มันไม่ใช่ไง ต่อให้ทั้งหลินและเรามีอีกสิบอีกร้อยข้ออ้างก็ไม่พอ เพราะข้ออ้างเดียวเท่านั้นที่จะเพียงพอคือเราต้องเป็นคนแรกที่มันคิดถึง ไม่ว่าจะทำอะไร และตอนนี้มันก็ไม่ใช่ทั้งเราแล้วก็หลิน เข้าใจแล้วใช่ไหม"        ผมตกใจไม่น้อยที่รู้ว่าโอ้ตเองก็ชอบแมท ผมรู้สึกได้ถึงความเสียใจของโอ้ตนะ รู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของโอ้ตฟังดูเศร้าต่างจากสีหน้าที่เคร่งขรึม

"ทำไมชีวิตต้องมาเจอแต่คนพวกนี้ด้วยนะ"        เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง

"ไม่ใช่ใครอยากจะเป็นก็เป็นนะหลิน มันเป็นเรื่องของความรู้สึก เรื่องของจิตใจ สำหรับบางคนก็เป็นผู้ชายคนไหนหรือใครก็ได้ แต่สำหรับบางคนต้องแค่ผู้ชายคนนี้เท่านั้น แค่คนนี้เลยทำให้เขาเป็นแบบนี้ความรักรูปแบบนี้มันก็เหมือนผู้หญิงกับผู้ชายนั่นแหละ อย่าใจแคบสิหลิน ถึงเราจะไม่รู้ว่าเรื่องระหว่างมินกันหลินเป็นยังไง แต่หลินก็ไม่ควรเอาเรื่องไอ้มินมาตัดสินคนทั้งโลก แล้วอีกอย่าง การที่เรามีความรู้สึกต่อใครสักคนในรูปแบบนี้ก็ไม่ใช่โรคติดต่ออย่างที่หลินว่าพี่เชนไปเมื่อกี้ด้วย มันเป็นเรื่องของความรู้สึก ซึ่งถ้าหลินดีพอ หลินก็ควรจะมั่นใจ"       ผมไม่รู้ว่าโอ้ตยืนฟังอยู่นานแค่ไหน ถึงได้ยินแม้กระทั่งคำถากถางพวกนี้

"นี่โอ้ตกำลังจะบอกให้หลินปล่อยมืองั้นเหรอ"        โอ้ตพยักหน้าแทนคำพูด

"การต้องปล่อยไปทั้งที่ใจไม่อยากนี่มันเศร้านะหลิน เราเข้าใจ แต่รู้ไหมอะไรที่แย่กว่านั้น"        คุณหลินที่น้ำตาเริ่มคลอเหมือนจะร้องไห้ และน้ำเสียงของโอ้ตที่ทำให้ผมเชื่อว่าโอ้ตเองก็คงรู้สึกเศร้าไม่ต่างกัน

"ก็คือการไม่พร้อมจะปล่อยมันไป ทั้งที่ไม่มีหวังที่จะยึดถือหรือไขว่คว้าเอาไว้กับตัวไงหล่ะ"        การที่คุณหลินร้องไห้ออกมาแบบนั้นมันทำให้ผมรู้สึกไม่ดีจริงๆ มันเหมือนผู้ชายสองคนกำลังรังแกผู้หญิงตัวเล็กๆอยู่ ถึงความจริงจะไม่ใช่อย่างนั้นก็ตาม

"หยุดเถอะ ไอ้แมทเองก็เคยเจ็บปวดกับหลินมามากมาย หลายครั้ง แล้วตอนนี้มันถอยมาอยู่ในที่ของมัน อย่ากลับมาอีกเลย เราเหนื่อยที่จะปกป้องมันแล้ว"       คำพูดของโอ้ตที่ทำให้ทุกคนต่างก็เงียบและมองหน้ากัน

"หลินขอตัว ฝากบอกแม่กับแมทด้วย"       การที่เห็นเธอยอมถอยง่ายๆ แต่ความเป็นจริงแล้ว มันอาจจะไม่ง่ายสำหรับเธอผมเข้าใจ และมันก็ไม่ง่ายสำหรับเราทุกคนที่เผชิญหน้ากันอยู่ตรงนี้ด้วย

"เอ่อ"        ผมไม่รู้ว่าควรพูดอะไรตอนนี้ดี

"พี่ไม่ต้องพูดอะไรหรอก ผมโอเค"        โอ้ตยกมือเป็นเชิงห้าม

"ที่บอกว่าเหนื่อยที่จะปกป้องแมท"       ผมถาม

"เหนื่อย ใช่ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเลิกทำ ผมเหนื่อยก็แค่พัก ถ้าหากวันนึงพี่ทำมันเจ็บ ผมนี่แหละที่จะลุกขึ้นมาปกป้องมันอีกครั้ง ระวังตัวไว้ด้วยละกัน"        ถึงมุมปากของโอ้ตจะเหยียดยิ้ม แต่ผมก็รู้สึกได้ถึงความหวังดีผ่านคำพูด

"พี่ขอบคุณนะที่โอ้ตคอยปกป้องแมทมาตลอด"        โอ้ตต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนกันนะที่จะพยายามปกป้องความรู้สึกของคนที่ตัวเองรักโดยไม่ล้ำเส้น

"ผมไม่ได้ทำเพื่อพี่ ผมทำเพื่อตัวเอง ไปกันเถอะ แม่คงบ่นถึงขนมแย่แล้ว"        พูดจบก็เดินนำไปโรงครัว สิ่งที่ผมได้ยินจากโอ้ตวันนี้ทั้งๆที่ใจอยากแต่ผมคงยังไม่สามารถคิดเข้าข้างตัวเองได้ และสิ่งหนึ่งที่ผมรู้คือโอ้ตเป็นคนดีกว่าที่ผมคิด อย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่คนฉวยโอกาสในความสัมพันธ์โดยใช้ความใกล้ชิด


.......................................................................

       
"หายไปไหนมาวะ หลวงพ่อฉันท์จะเสร็จแล้วเนี่ย"       แมทถามโอ้ตหลังจากรับถาดขนมจากมือผมไป

"แม่ครับ หลินขอตัวกลับก่อนนะครับ เห็นว่ามีธุระด่วน"       โอ้ตเลือกจะหันไปบอกแม่แทนที่จะตอบแมท

"อ้าวเหรอจ้ะ สงสัยคงรีบมากจริงๆ แล้วโอ้ตกับพี่เชนหายไปไหนมาตั้งนาน"

"รอกันไปรอกันมา ยืนคุยกันจนลืม เพิ่งนึกออกตอนหลินจะกลับนี่แหละครับว่าแม่ให้มาเอาขนม"       แม่มองค้อนโอ้ตอย่างไม่จริงจังนัก

"บอกกูมาว่ามึงหายหัวไปไหน"       แมทกระซิบถามที่ข้างหูโอ้ตแต่มันดังจนไม่เป็นเสียงกระซิบ เพราะผมที่นั่งห่างออกมายังได้ยิน

"เออน่า สนใจโน่นเถอะ"       โอ้ตไม่ได้ตอบคำถามและพยักเพยิดหน้าไปทางโต๊ะอาหารที่พระท่านนั่งอยู่


.......................................................................


"วันนี้เป็นวันดีนะลูก ได้มาวัดกันพร้อมหน้าพร้อมตา ขาดก็แต่ยัยมัทคนเดียว"       แม่พูดขึ้นมาด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม

"ใช่ค่ะน้าศิ นี่เมเองก็ไม่ได้เข้าวัดมานานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้"

"ต้องหมั่นทำบุญทำทานกันบ้างนะลูก ประคองจิตให้อยู่ในรสพระธรรมจะได้รู้จักผิดชอบชั่วดี"       พอแม่พูดจบ แมทก็เดินไปกอดคอโอ้ตแล้วถามขึ้น

"ที่แม่กูพูด มึงได้ยินไหมวะโอ้ต"

"หึ"       โอ้ตเหล่มองคนข้างตัวก่อนจะพูดประโยคหนึ่งออกมาด้วยรอยยิ้ม

"ถ้าคนอย่างกูไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ตอนนี้มึงกับกูอาจจะไม่ใช่เพื่อนกันแล้วก็ได้"       สังเกตเห็นท่าทางสงสัยของทุกคนที่มีกับประโยคที่คงไม่มีใครเข้าใจนอกจากเจ้าตัวและผมที่เพิ่งรับรู้มันเมื่อชั่วโมงที่ผ่านมา ผมคิดว่าคงตีความหมายไม่ผิด ผมอยากรู้ว่าโอ้ตเหนื่อยไหมที่ต้องทำเป็นเหมือนไม่รู้สึกอะไรต่อหน้าแมท

"จ้ะๆ ลูกแม่ดีกันทุกคนเลย"       แม่เอ่ยขึ้นทำลายความสงสัยของทุกคน

"โธ่! ป้าศิ ขัดทำไมคะ อย่างนี้ฟินก็อดรู้เลยว่าพี่โอ้ตหมายความว่ายังไง"      ท่าทางเบะปากเหมือนเด็กเอาแต่ใจของน้องฟินเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคน

"แล้วหลานละคะดีหรือเปล่า"       น้องเฟย์ถามขึ้น

"จ้า ทั้งลูกทั้งหลานเลย เอ้อ เกือบลืมไปเลย วันนี้แวะไปทานข้าวเย็นที่ร้านนะลูก พี่เชนกับน้องเม แม่จะเข้าครัวเองเลยเพื่อเลี้ยงขอบคุณพี่เชนที่ช่วยดูแลแมทแล้วก็ป้าจะได้คุยกับน้องเมเรื่องบ้านด้วยนะลูก"

"ยินดีเลยค่ะ เมทนรอถึงมื้อเย็นไม่ไหวแล้วนะคะเนี่ย คิดถึงอาหารฝีมือน้าศิจะแย่แล้วค่ะ"       เสียงหัวเราะของเมที่ล้อไปกับคำพูดสร้างรอยยิ้มให้กับทุกคนได้เป็นอย่างดี

"เสียดายจังเราสองคนต้องไปเรียนพิเศษ หยุดก็ไม่ได้ ต้องสอบอาทิตย์หน้าแล้วด้วย"       สองแฝดสาวบึนปากหลังพูดจบแสดงอาการเสียดายดูแล้วน่ารักสมวัย จนทำให้ผมยิ้มตาม

"เลิกกี่โมงหล่ะ เดี๋ยวพี่ไปรับ"       แมทถาม

"ทุ่มครึ่งอ่ะพี่แมท จะไปรับน้องจริงๆเหรอ"       แมทพยักหน้าแทนคำตอบให้กับคำถามของน้องฟิน

"ไม่ใช่แล้วฟินจำผิด วันนี้อาจารย์นัดสอนเพิ่ม เราต้องเลิกสองทุ่มต่างหาก แล้วก็ไม่รู้ว่าสองทุ่มจะทำแบบฝึกหัดเสร็จทันรึป่าว"       เดี๋ยวนี้เด็กมัธยมต้องเรียนหนักกันขนาดนี้เลยเหรอ

"ถ้าอย่างนั้นพี่ว่าสั่งใส่กล่องไว้ให้ดีกว่า ฮ่าๆ ตั้งใจเรียนนะเด็กๆ"       โอ้ตพูดพลางลูบหัวน้องเฟย์ ทำให้น้องต้องมองเหล่ด้วยหางตา

"เสียดายอ่ะ แต่เฟย์บอกแม่ให้มารับแล้วแหละพี่แมท ไม่เป็นไรค่ะ อดกินข้าวฝีมือป้าศิสักวันคงไม่ทำให้กระเพาะเราสองคนเป็นกรดน้อยลงหรอกเนอะฟินเนอะ"       น้องฟินพยักหน้าเห็นด้วย

"เดี๋ยวเถอะ ไปๆ ขึ้นรถกลับบ้าน เจอกันที่ร้านตอนเย็นนะจ้ะน้องเมกับพี่เชน"

"ครับ"

"ค่ะป้าศิ"       ทั้งผมและเมยิ้มตอบพร้อมกัน


.......................................................................


โอ้ตเดินมารั้งแขนผมไว้ขณะที่กำลังจะขึ้นรถ

"พี่! อะไรที่รับรู้ไปวันนี้ไม่ต้องบอกมันนะ เก็บไว้อย่างนั้นแหละ หรือจะลืมไปเลยก็ได้"       พูดด้วยเสียงที่เบาคล้ายจะกระซิบ

"ทำไมหล่ะ"       ผมเลิกคิ้วถาม

"ผมไม่อยากให้มันลำบากใจ"       โอ้ตตอบด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มที่ฉายชัดถึงความหวังดี บนใบหน้าที่ดูจริงจัง
 
"พี่อยากรู้จริงๆว่าโอ้ตต้องใช้ความพยายามมากขนาดนั้นที่จะไม่ล้ำเส้นเกินคำว่าเพื่อน"

"เหอะๆ ไม่ใช่ผมหรอกที่พยายามไม่ล้ำเส้นแต่เป็นมันมากกว่าที่มองข้าม คงเพราะผมอยู่ใกล้เกินไป"

"สำหรับมันผมเป็นได้แค่เพื่อนนี่แหละดูท่าจะเหมาะที่สุดแล้ว"        คำพูดกับท่าทางที่ดูฝืนๆว่ายอมรับ ผมคงไม่สามารถอดทนได้ขนาดนี้

"โอ้ตใจกว้างกว่าที่พี่คิดนะ"

"ไม่หรอกพี่ ผมแค่กลัวว่าถ้าเปลี่ยนตัวเองไปอยู่ในสถานะอื่นแล้วมันจะไม่มีเพื่อนดีๆที่คอยดูแลมันต่างหาก"       ทั้งรอยยิ้มและความรู้สึกที่แสดงออกทางแววตา บอกให้ผมมั่นใจว่าสิ่งที่โอ้ตมีให้แมทคือความจริงใจจนผมสัมผัสได้จริงๆ


.......................................................................


Matt Part

"มึงไปคุยไรกับพี่เชน"

"กูไปทำหน้าที่เพื่อนที่ดี บาปฉิบเลยกูวันนี้ ทำบุญยังไม่ทันกรวดน้ำก็สร้างบาปซะละ ต่อไปนี้มึงคงต้องยกย่องกู"       ผมเกลียดรอยยิ้มมุมปากที่ดูกวนประสาทของมันจริงๆ

"เมื่อไหร่จะเลิกพูดอะไรงงๆสักทีวะ"             ผมเบื่อคำพูดของมันที่ให้ต้องแปลความ

"เออ ไม่มีไรหรอก แวะส่งกูที่บ้านก่อนด้วยนะ มื้อเย็นวันนี้กูคงไม่ได้ไป"

"อ้าว ทำไมวะ"        ผมอยากให้มันอยู่ด้วยนะ มีมันแล้วผมอุ่นใจกว่า

"ยังไม่ได้เคลียร์งาน หลายอย่างเลยมึง"

"วันนี้วันหยุดมึงไม่ใช่เหรอ"

"เออ กูมีหลายงานมึงไม่รู้หรอก สนใจตัวมึงเองเถอะ มีโอกาสแล้ว คุยกับพี่เขาให้เข้าใจนะเว้ย อย่าเก็บปัญหากับความไม่สบายใจเอาไว้ที่มึงคนเดียว และไม่ว่าจะหัวหรือก้อยกูก็จะอยู่ข้างๆคอยช่วยมึงเอง"        พูดซะอย่างกับว่าผมกำลังผิดใจกับคนรักอย่างนั้นแหละ

"อย่ามาพูดทำซึ้ง"

"พี่ซึ้งได้มากกว่านี้อีก ลองไหมคะ"       พูดไปก็ยิ้มไป ผมหมั่นไส้รอยยิ้มหวานๆของมันที่คงโปรยไปทั่วแบบนี้จริงๆ

"พอเลย แม่กูมองตาเขียวแล้วโน่น"       ชี้มือไปทางแม่ที่ยืนรออยู่ข้างรถก่อนจะย้ายมือมาตบลงไปที่บ่ามันเบาๆ       "แต่ยังไงก็ขอบใจมึงมากนะที่เข้าใจกู"

"ก็มึงเป็นเพื่อนกูนี่หว่า"        นอกจากมัน คงไม่มีใครเข้าใจผมขนาดนี้ ชีวิตนี้ผมคงหาเพื่อนแบบมันไม่ได้อีก

.......................................................................


❤  ขอบคุณที่ติดตามค่ะ ^^*
❤ อยู่ด้วยกันก่อนนะ ^^ อย่าเพิ่งทิ้งกันไป ทนความน่าเบื่อและเรื่อยๆอีกแปบ แหะๆ คนอ่านบอกนี่น่าเบื่อและเรื่อยๆมาตั้งแต่ต้นเลยนะ จะ 20 ตอนละพระนายยังไม่ได้จีบกันจริงจังซะที นี่นะจะบอกว่าอิคนแต่งก็เฝ้ารอเหมือนกัน ไม่อยากเก็บความฟินไว้ลำพังเลย ฮ่าๆๆๆ
❤ อย่าลืมแวะมาติดแท็ก #รักระหว่างทาง พูดคุยกันเนอะ ^^
❤ แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะคะ ขอบคุณค๊า




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-04-2015 00:30:49 โดย anana »

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
เห็นใจโอ๊ตอยู่นะ
แต่โอ๊ตก็คงมีความสุขบ้างตามประสา
แมทน่ะซื่อจะตาย คงไม่ได้คิดอะไร
ก็เลยไม่รู้ว่าโอ๊ตคิดกีบตนมากกว่าเพื่อน

ออฟไลน์ Celestia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 833
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ดีนะที่หลินจะยอมถอยอะ อย่างน้อยก็ยังมองหน้ากันติด แต่ที่ว่าเหมือนความเป็นเกย์นี่แพร่เชื้อได้เนี่ย ไม่โอเลย เหมือนคนพาลมาก

ป.ล. โอ๊ตอกหักแบบนี้ สนใจคนดามใจไหมคะ? พี่เมหรือหลินดี??55555

ออฟไลน์ gwaiplay

  • ♛ Victoria 。
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
หลินทำถูกแล้ว  o13

ออฟไลน์ nicksrisat

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 948
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
พี่เชนยังไปไม่ถ๖งไหนเลยอะเมื่อไหร่จะได้บอกนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
โอ๊ต ใจนายหล่อมาก
วอนหาเนื้อคู่ปลอบใจที

ออฟไลน์ minenat

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1661
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
สงสารโอ้ต

อย่าทำให้แมทเสียใจนะพี่เชนไม่งั้นให้ให้โอ้ตเอาคืน

ออฟไลน์ patchylove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1585
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-4

ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ตอนที่ 20


Matt Part


          ยังไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับหลินให้เข้าใจเลย ดันกลับไปซะก่อน ผมต้องเคลียร์ตัวเองอย่างที่โอ้ตบอก ถ้าลำพังตัวผมเองคงไม่รู้หรอกว่าใครจะรู้สึกยังไง ผมมองไม่ออก มันไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้น ในความคิดผม การจะชอบใครสักคนเราควรบอกเขาตรงๆไปเลยสิ จะมาอิดออดแอบๆทำ อีกฝ่ายเขามีสัมผัสที่ 6 เหรอ หรืออ่านใจใครได้ เขาถึงจะสามารถรับรู้ได้ด้วยตัวเอง เพราะผมคิดแบบนี้ นิยายที่ผมเขียนเลยมักจะต้องให้การกระทำมันควบคู่ไปกับคำพูดคำอธิบายบ้าง ในชีวิตจริงก็เช่นกัน ผมคงไม่กล้าทึกทักเอาเอง ถ้าคิดน้อยกว่าที่เป็นก็คงไม่เท่าไหร่แต่ถ้ามันมากเกินไปหล่ะ มันคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

          ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมเหนื่อยนะ ไม่ใช่เหนื่อยที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายหรือทำอะไรต่อมิอะไร แต่มันเหนื่อยที่หัวใจมันเต้นเร็วจนเกินไป สาเหตุมันก็มาจากพี่เชน ทุกรอยยิ้มกับสายตาที่บังเอิญมองตรงกัน มันทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้น ใจเต้นเร็วขึ้นทุกครั้ง แล้วมันก็เกิดขึ้นบ่อยด้วยสิ ผมเองก็จำไม่ได้หรอกว่าตอนรู้สึกชอบหลินเมื่อก่อนนั้นหัวใจผมมันสูบฉีดเลือดรวดเร็วขนาดนี้ไหม แต่ถ้าเท่าที่จำได้ ตลอดชีวิตที่ผ่านมา พี่เชนเป็นคนแรกที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนี้ เป็นความรู้สึกใจสั่นแบบที่แตกต่างจากตอนแข่งวิ่งสมัยมัธยม ตื่นเต้นกว่าตอนสอบเอนทรานซ์ ใจเต้นแรงกว่าตอนเสนอพลอตนิยายเรื่องแรกซะอีก นี่ผมคงทิ้งห่างความรู้สึกรักชอบมานานมากเกินไป ถึงได้รู้สึกแปลกใหม่ได้ขนาดนี้

"แมท"

"ครับแม่"       ผมมัวแต่จมอยู่กับความคิดจนแม่เดินเข้ามาในห้องตอนไหนยังไม่รู้ตัวเลย

"นี่คิดงานหรือมัวนั่งคิดอย่างอื่นอยู่"       แม่เดินมายืนข้างผมที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน

"ทำไมแม่ถึงคิดว่าแมทคิดอย่างอื่นอยู่ละครับ"       แม่พูดไปพลางใช้นิ้วโป้งนวดคลายปมระหว่างคิ้วผม

"ไม่รู้สิ เท่าที่แม่เห็นทุกครั้งแมททำงานด้วยรอยยิ้มนะไม่ใช่ขมวดคิ้วแล้วนั่งกัดเล็บแบบนี้"       ถึงกับสะดุ้งแล้วเอานิ้วห่างจากปากทันที

"แม่รู้จักแมทดีเกินไปแล้ว"       พูดพลางเงยหน้าขึ้นมอง

"นี่แม่นะ ไม่รู้จักลูกตัวเองก็แสดงว่าคงไปฝากใครเลี้ยงมาแล้วแหละ"       จับไหล่ผมแล้วก็ยิ้ม

"แม่ๆ ที่แม่เคยบอกแมทกับพี่มัทว่าจะมีแฟนยังไงก็ได้ โตแล้วแม่ไม่ห้ามแค่อย่าพากันเสียก็พอ แม่ยังจำได้ไหม"       ผมเริ่มถามในสิ่งที่กังวล

"จำได้สิ"       แม่พยักหน้าก่อนจะนั่งลงที่โซฟาข้างโต๊ะทำงาน

"แล้วที่แม่เคยบอกว่าอยากให้แมทมีแฟนแบบที่ดูแลแมทได้หล่ะ แม่คิดอย่างที่เคยบอกจริงๆรึเปล่า"       ผมถามขึ้นระหว่างพาตัวเองไปนั่งข้างๆแม่

"อะไรทำให้แมทต้องมาถามแม่เรื่องนี้ หืม"       ผมเงยหน้าขึ้นมองแม่ที่กำลังใช้ฝ่ามือจับเข้าที่ข้างแก้มผม

"แม่ แม่รักแมทไหม"       ผมเอาแต่มองตาแม่อยู่อย่างนั้น

แม่ยิ้มก่อนจะตอบ       "รักสิ"

"งั้นแม่ตอบแมทมาตามความจริงนะ"

"จ้ะ"

"แม่รู้สึกยังไงเวลาเจอคนที่แม่รัก"

"ก็คงรู้สึกดีมากๆละมั้ง ว่าแต่คนที่รักในรูปแบบไหนหล่ะที่แมทต้องการคำตอบ"

"ไม่รู้สิแม่ คนที่เรารักทั้งหมดนั่นแหละ รูปแบบไหนก็ได้"

"มันเหมือนกันซะที่ไหนหล่ะลูก"

"เฮ้อ..."       ผมถอนหายใจก่อนจะทิ้งตัวนอนหนุนตักแม่เอาไว้

"แม่"       

"หืม"       แม่ตอบขณะที่ก้มลงมองหน้าผม

"แม่ตื่นเต้นไหมตอนเจอพ่อครั้งแรก"       แม่หัวเราะเล็กๆกับคำถามผม

"แม่ก็จำไม่ค่อยได้หรอก รู้แต่ว่าพ่อทำให้แม่ยิ้มบ่อยมากเลยนะตอนนั้น"       ผมก็เชื่ออย่างนั้น ขนาดตอนนี้แค่เล่าให้ฟังแม่ยังยิ้มเลย

"แล้วแม่ใจสั่นไหมตอนพ่อจีบ"       แม่ยิ้มแล้วลูบหัวผมเบาๆ

"ไม่นะ"       แม่ส่ายหน้า       "พ่อไม่เคยบอกว่ามาจีบแม่"     

"อ้าว ไหนแม่เคยบอกว่าพ่อจีบแม่ก่อนไง"     

          ผมขมวดคิ้วสงสัย นานมาแล้วสมัยที่พ่อยังมีชีวิตอยู่เรื่องนี้เคยเป็นประเด็นที่พ่อกับแม่มักจะแย่งกันอธิบายให้ผมกับพี่มัทฟัง พ่อก็มักจะบอกว่าแม่มาจีบพ่อ แม่ก็มักจะบอกว่าพ่อชอบมาหามาเฝ้าจีบถึงหน้าโรงเรียน เถียงกันไปมาสุดท้ายพ่อก็มักจะบอกว่าพ่อยอมแพ้แล้ว พ่อนี่แหละไปจีบแม่ก่อนก็ได้ นึกถึงตอนนั้นแล้วก็ทั้งตลกทั้งคิดถึง

"แม่ต้องพูดให้ตัวเองดูสวยไว้ก่อนสิ"       แม่พูดพร้อมรอยยิ้มและเชิดหน้าเล็กน้อยแสดงความภาคภูมิใจ

"สรุปคือแม่จีบพ่อก่อนสินะ ต้องไปบอกพี่มัทละว่าแม่ทำประวัติศาสตร์ผิดเพี้ยน"       แม่หัวเราะก่อนนะบีบจมูกผมเบาๆ

"ใช่ที่ไหน ตอนนั้นพ่อมาหาเพื่อนที่อยู่บ้านข้างๆบ้านยาย มาทุกวัน เลยเจอกันทุกวัน เห็นหน้าจนชินพอจะคบกันจริงจังเลยไม่ค่อยตื่นเต้นละมั้ง"

"แล้วที่พ่อเคยบอกว่าพ่อกับแม่รักกันเพราะเกิดฝนตกพายุเข้าพัดหลังคาร้านขนมหวานที่พ่อกับแม่เจอกันปลิวตกลงมาบาดหน้าพ่อ จนแม่ต้องพาไปทำแผลที่บ้านยาย แล้วแม่ก็ให้พ่อยืมร่มกลับบ้านตอนฝนตก บังเอิญมือพ่อกับแม่มาสัมผัสโดนกัน เลยสปาร์คจนคิดว่าคงเป็นเพราะความรักนี่เรื่องจริงหรือเปล่า"       ผมชักเริ่มจะไม่แน่ใจในประวัติบันทึกรักของพ่อกับแม่แล้ว

"นี่ยังเชื่อเรื่องนี้กันอยู่อีกเหรอ พ่อเขาก็พูดไปเรื่อย เห็นบ้างไหมหล่ะรอยแผลเป็นบนหน้าพ่อ"       ผมยกหัวจากตักแม่ขึ้นมานั่งในท่าปกติทันทีที่ได้ยิน ผมเคยสงสัยนะ แต่ก็ลบมันด้วยความเข้าใจที่ว่าวิวัฒนาการทางการแพทย์มันก้าวไกล คนห่วงหล่ออย่างพ่อคงไม่ปล่อยให้ตัวเองมีรอยแผลเป็นบนหน้าหรอก

"แสดงว่าไม่ใช่เรื่องจริงหน่ะสิแม่"

"ก็ใช่นะสิ"       นี่สรุปว่าพลอตของนิยายรักเรื่องแรกในชีวิตผมนี่มันมาจากจินตนาการพ่อล้วนๆเลยงั้นสิ

"แล้วเรื่องจริงคืออะไร แม่เล่าให้ฟังหน่อย"

"พ่อมาหาเพื่อนแต่พอดีเพื่อนไม่อยู่บ้านแล้วฝนตกก็เลยมากดออดบ้านยายเพื่อขอยืมร่ม แม่ก็เลยเอาออกไปให้พ่อยืม"

"แล้วรักกันได้ไงอ่ะ"       ผมทิ้งหัวลงบนตักแม่อีกครั้ง

"ยืมกันคืนกันมาหลายๆครั้งเข้าเพื่อนพ่อเลยเชียร์ให้คบกัน แม่เลยบอกลองดูก็ได้"

"โห! แม่ ตกลงง่ายไปนะ"

"ถ้าทำให้ยากแล้วแมทจะมานอนอยู่ตรงนี้ไหม"

"แม่ทำลายความภาคภูมิใจของลูกหมดจนไม่เหลือเลย"       ผมพูดด้วยน้ำเสียงแสร้งว่าผิดหวังแต่แม่กลับหัวเราะ

"แม่เคยเตือนแล้วนะว่าเวลาพ่อเล่าอะไรให้ฟังต้องหารร้อย ถ้าหน้าพ่อจริงจังหน่อยต้องหารพัน"       พ่อนะพ่อ

"มาคุยเรื่องของแมทดีกว่า ที่ถามแม่แบบนี้ แมทมีอะไรในใจใช่ไหม"       อยู่ๆแม่ก็เปลี่ยนประเด็นไม่ทันให้ผมได้ตั้งตัว

"แม่ครับ แมท..."       ผมก็ยังอึกอักที่จะตอบ ถึงแม้มือแม่จะกำลังลูบหัวผมนั้นมันทำให้รู้สึกสบายใจที่จะพูดออกมามากขึ้นก็ตาม

"นี่แม่นะแมท เห็นแม่เป็นนางแม่มดอยู่หรือเปล่าลูก แม่กลายเป็นคนที่น่ากลัวไปแล้วเหรอ หืม แมทถึงมีอะไรในใจแล้วไม่กล้าพูดออกมา"       แม่เลื่อนมือมาเกลี่ยผมก่อนจะวางมือไว้บนหน้าผากผมนิ่งๆอย่างนั้น

"แมทรักแม่นะ"       พูดบอกขณะสบตาแม่ ผมอยากให้แม่รับรู้ว่าผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

"ถ้าแมทจะพูดกับแม่เรื่องโอ้ตก็พูดออกมาเถอะ"       แม่ยิ้มแล้วขยับเคาะปลายนิ้วบนหน้าผากผมเบาๆ

"ทำไมแม่ถึงคิดว่าแมทจะพูดเรื่องโอ้ตหล่ะ"

"เด็กคนนี้แม่เลี้ยงมาเองกับมือ เก็บปากถนอมคำตั้งแต่ไปส่งแม่ที่โรงแรมเมื่อวานแล้ววันนี้ก็มานั่งกอดเข่ากัดเล็บ ทำไมแม่จะดูไม่ออกว่าแมทกำลังกังวลหรือคิดอะไรอยู่"

"แมทรักแม่จัง"       ผมเอื้อมมือมากอดเข้าที่เอวแม่ ก่อนจะซบหน้าเข้ากับท้อง

"แล้วไม่โกรธเหรอที่แม่ห้ามเราสองคน"     ผมชอบเวลาแม่ลูบหัวให้แบบนี้ มันทำให้ผมรู้สึกว่าเรื่องใหญ่จะต้องกลายเป็นเรื่องเล็กๆได้เสมอ

"ไม่โกรธครับ เพราะถ้าแม่ห้ามจริงๆ แมทก็จะทำตามที่แม่บอก เพียงแต่ตอนนั้นมันรู้สึกเหมือนเพิ่งเจอทางออกแต่ด้านหน้าทางออกนั้นดันกลายเป็นเหวมากกว่า"

"แล้วเหวที่แมทเจอก็คงเป็นคำของพูดของแม่ละสิ"

"ไม่ใช่อย่างนั้น"

"ฟังแม่ดีดีนะแมท แม่ไม่ห้ามเลยถ้าลูกแม่จะรักใครหรือจะเป็นยังไง แม่ยอมรับได้ แต่จะต้องไม่มีใครเจ็บปวดหรือเดือดร้อนเพราะความรักของลูกนะ"       ผมเงยหน้าขึ้นมาสบตาอีกครั้งหลังแม่พูดจบ

"แล้วถ้าแมทจะคบกับโอ้ตจะมีใครเดือดร้อนละครับแม่ ในเมื่อถ้าแม่เองก็ยอมรับได้"

"คิดง่ายๆนะแมท โอ้ตเป็นครอบครัวคนจีน ถึงจะแค่เสี้ยวหนึ่งก็เถอะ ยังไงเขาก็ต้องการให้ลูกชายคนเดียวของเขาสืบสกุลอยู่แล้ว การที่แมทจะมีความรักแบบนี้แมทต้องคำนึงถึงครอบครัวด้วยนะลูก"       นี่ขนาดครอบครัวโอ้ตแม่ยังกังวล แล้วถ้าเป็นครอบครัวพี่เชนหล่ะครึ่งๆเลยนะ เขาจะรับเรื่องแบบนี้ได้ไหม ถ้าแม่รู้แม่คงห้ามยิ่งกว่านี้แน่ๆ

"แล้วแม่ไม่อยากให้แมทสืบสกุลบ้างเหรอ แม่ไม่อยากมีหลานเหรอครับ"       แม่ชอบเด็กแม่น่าจะมีความสุขนะผมว่า

"คิดเอาเองทั้งนั้น อยากมีมันก็อยากมี แต่แม่อยากให้ลูกแม่มีความสุขมากกว่า แม่ไม่ไขว่คว้าหรือแบ่งปันความรักไปให้คนในอนาคตที่เขายังไม่เข้ามาหรอกนะ แม่อยากมีหลานก็จริง แต่ตอนนี้แม่ก็มีความสุขกับลูกๆที่แม่มั่นใจว่าจะให้ความสุขกับแม่ได้ แล้วอย่างนี้แม่จะต้องการมีมากกว่านี้ไปทำไมหล่ะ"       แม่ตอบพร้อมรอยยิ้ม

"งั้นถ้าแมทเกิดไปชอบผู้ชายเข้าจริงๆแม่ก็จะไม่ห้ามแมทงั้นเหรอ"

"มันก็ต้องดูเป็นกรณีไปนะลูก อย่างแมทกับโอ้ตแม่เตือนแม่ห้ามก็เพราะแม่รู้ว่าเราทั้งคู่ยังเป็นแค่เพื่อนกัน แม่ต้องเตือนตั้งแต่แมทยังไม่ได้คิดเกินเพื่อน แต่หากวันหนึ่งเราสองคนหลวมตัวรู้สึกกันไปมากกว่านี้ ทุกอย่างก็จะยุ่งยากขึ้น เพราะงั้นอะไรที่แม่จะป้องกันความเจ็บปวดที่จะเข้ามาหาลูกของแม่ได้ แม่ก็จะทำทุกอย่าง แมทเข้าใจที่แม่พูดไหมลูก"

"เข้าใจครับแม่"

"แมทดีใจนะที่แม่รับได้ คนคนนั้นไม่ใช่โอ้ตอย่างที่แม่เข้าใจหรอกครับ แล้วแมทเองก็ยังไม่มั่นใจเลยสักนิดว่าครอบครัวเขาจะรับได้ไหม แมทควรจะหยุดความรู้สึกตัวเองเพื่อไม่ให้เขาลำบากใจใช่ไหมแม่"

"ถ้าทางเขารับได้ แม่จะไม่ห้ามแมทเลยสักนิดลูก แต่ถ้าเขารับไม่ได้แม่จะไม่บอกให้แมทพยายามทำให้เขารับได้หรอกนะ แม่จะไม่พยายามทำในสิ่งที่แม่รู้ผลลัพธ์ของมัน เพราะถ้าเขารับไม่ได้มันก็เหมือนแม่ส่งลูกของแม่ไปทำให้เขาเดือดร้อน ต้องทุกข์และลำบากใจ และลูกแม่เองก็ต้องทุกข์ใจไม่ต่างกัน"

"นั่นสินะ แล้วแมทควรทำยังไงดีครับ" ผมไม่รู้จริงๆ ผมกลัวไปหมด

"ทุกทางออกของปัญหาแมทเท่านั้นที่เป็นคนเลือกนะลูก แม่ทำได้แค่แนะนำไม่ใช่นำทาง ถ้าแมทถามคนอื่นๆ คำตอบก็จะต้องเป็นไปในแนวทางของเขา มันอาจจะไม่ถูกใจแมทไม่ใช่ในแบบที่แมทต้องการหรือถ้าถูกใจก็ไม่ได้หมายความว่าจะนำมาใช้ในสถานการณ์จริงของแมทได้เสมอไป ชีวิตมันอาจจะราบรื่นหรือขุระ แมทต้องยอมรับมัน แม่เตือนแม่ห้ามหรือแม่เห็นด้วยก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในการตัดสินใจเท่านั้น สุดท้ายแมทก็ต้องเป็นคนเลือกเอง แต่ถ้าทุกอย่างมันราบรื่นแม่ยินดีรับเขาเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัวเราจ้ะ"       รอยยิ้มของแม่ทำให้ผมรู้สึกว่าแม่หมายความตามที่พูดจริงๆ

"แล้วถ้าคบไปวันหนึ่งแมทต้องผิดหวัง แม่จะอยู่ข้างๆแมทไหม"       แม่พยักหน้า

"แม่นี่แหละที่คอยปลอบใจลูกเอง"       และรอยยิ้มของแม่ก็สนับสนุนคำพูดได้เป็นอย่างดี จากนั้นก็ไร้บทสนทนาใดๆจากเราทั้งคู่ มีแค่อ้อมกอดอันอบอุ่นและปลอดภัยที่ไม่ว่าจะโตกว่านี้สักแค่ไหนผมก็จะยังกลับมาพักพิงตรงนี้ได้เสมอ

.......................................................................


แม่ไม่เข้าครัวทำอาหารเองที่ร้านมานานมาก แต่วันนี้คงอยากให้มันพิเศษถึงได้ทั้งทำและกำกับเองทุกขั้นตอน

"น่ากินทุกอย่างเลย ชักจะอิจฉาแขกของแม่แล้วนะเนี่ย"       ผมพูดหลังจากก้มสำรวจอาหารแต่ละจานของแม่

"อิจฉาทำไม มีของโปรดแมทด้วยนะ"       พูดจบแม่ก็ยื่นจานไก่ทอดซอสมะนาวมาให้ผมเลยต้องพาตัวเองมาดมใกล้ๆโต๊ะเตรียมอาหารกลางครัว

"แล้วของมัทละคะแม่"       พี่มัทที่เพิ่งเดินเข้ามาในครัวเบะปากถามหาจานโปรดของตัวเองก่อนจะมายืนข้างผมที่ยืนพิงผนังข้างโต๊ะใกล้ๆเตาทำอาหารที่แม่ยืนอยู่

"นี่ไงๆ แม่ไม่ลืมหรอกน่า"       แม่ยื่นจานกุ้งผัดซอสมะขามข้ามโต๊ะเตรียมมาตรงหน้าพี่มัท

"แค่เห็นก็หิวแล้วอ่ะ ไม่รู้ว่าพี่เมกับคุณเชนมากันหรือยังเนอะแม่เนอะ"       พูดกับแม่แล้วทำไมต้องชายหางตามามองผม

"พี่เชนชอบทานอะไรรู้ไหมแมท แม่เลือกทำหลายอย่างไม่รู้จะถูกใจหรือเปล่า"       แม่ก็อีกคน ถึงจะไม่ใช้สายตายแบบที่พี่มัทมองผมก็เถอะ

"แมทไม่รู้หรอกแม่ มันยากไป ง่ายๆแค่ใจยังไม่รู้เลยมั้ง"       มองมาเต็มๆตาเลยเหอะ เหล่อยู่นั่น

"พูดอะไรเข้าใจยากจังมัท"       แม่ขมวดคิ้วถาม

"ว่าแต่พูดถึงพี่เชนนี่แม่ชอบเขานะ แม่ว่าเขาหล่อ สุภาพ มีมารยาท พูดเพราะ น่ารักดี"       แม่พูดบอกในขณะพี่มัทกำลังนับนิ้วตาม

"โห! แม่ นี่เจอครั้งเดียวข้อดีเยอะแยะ นิ้วหมดไปข้างนึงเลยเนี่ย"       พูดไปก็ถลึงตาทำท่าตกใจไปด้วย แสดงออกเกินคำพูดตลอด

"ก็พี่เชนเขาดีจริงนี่ ผิดกับลูกแม่ที่เป็นผู้หญิงด้วยซ้ำ"       แม่ถึงกับพูดไปส่ายหน้าไป

"อยากได้เป็นลูกเขยไหมแม่ ถ้าชอบขนาดนี้"       เมื่อกี้ก็เหล่มอง แล้วตอนนี้ก็มายิ้มกรุ้มกริ่มอีก

"พูดจาให้มันพองามมัท"       แม่บอกพร้อมหรี่ตามอง

"ออกไปหน้าร้านเถอะไป แม่ไล่นี่ไม่ต้องน้อยใจนะ เพราะมัทชอบพูดอะไรที่ต้องทำให้แม่ปวดหัวทุกที"       แม่สะบัดมือเป็นเชิงไล่ แต่อย่างพี่มัทเหรอจะน้อยอกน้อยใจ กลับกันสิ เชิดหน้าระรื่นแถมก่อนออกจากครัวยังมากระซิบข้างหูผม

"มัทไม่ได้หมายถึงเขยของมัทซะหน่อย เนอะแมทเนอะ"       แล้วยังหัวเราะตามหลังเสียงดังอีก ผมบอกตัวเองไม่ให้คิดตามคำพูดพี่มัท

.......................................................................


โต๊ะที่มองเห็นวิวทะเลเต็มไปด้วยอาหารฝีมือแม่ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ ข้างซ้ายมือของแม่คือพี่มัทกับผมที่นั่งอยู่ฝั่งเดียวกัน ส่วนพี่เชนก็นั่งอยู่ตรงข้ามผมข้างๆพี่เม

 "อร่อยเหมือนเดิมเลยค่ะน้าศิ"       พี่เมเอ่ยชมฝีมือแม่ด้วยรอยยิ้มทั้งปากทั้งตา

"อร่อยจริงๆครับ"       พี่เชนยิ้มบอก

"นี่สินะรอยยิ้มแบบเทพบุตรที่แม่ว่า"       ผมกระซิบบอกพี่มัทที่นั่งข้างๆ

"เหรอ?!? แกบอกเองป่ะแมท แม่พูดคำว่าเทพบุตรด้วยเหรอ ความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆเลยหรือเปล่า"       ทำไมต้องพูดเสียงดังแล้วหรี่ตามองผมอย่างนั้น ถึงแม่ไม่ได้พูดคำนี้แต่เอาทั้งหมดที่แม่บอกมารวมกันก็คงไม่ต่างเท่าไหร่หรอก

"อะไรกันสองคนนี้"       แม่หันมาถามเราสองคนพี่น้อง แต่ผมกลับพี่มัทกลับส่ายหน้า แม่เลยหันไปอีกทางแทน

"แม่ขอบคุณพี่เชนอีกครั้งนะคะสำหรับเรื่องแมท"       

"ยินดีครับ"       ก้มหัวแบบนี้สินะคือความสุภาพแบบที่แม่ชอบ

"พี่เชนชอบทานอะไรแม่ก็ไม่ทราบ ถามแมทก็ไม่บอก หวังว่าอาหารฝีมือแม่จะถูกใจพี่เชนนะคะ"       พี่เชนจะมองหน้าผมทำไมก็ไม่รู้ ผมไม่ได้ไม่บอกซะหน่อย แค่ไม่พูดเพราะผมไม่รู้ต่างหาก

"ถูกใจมากเลยครับ อร่อยทุกอย่าง"       

"แม่ดีใจจังค่ะที่ได้ยินแบบนี้"       แม่ผมยิ้มแก้มจะปริแล้วนั่น

"น้าศิบอกเมที่วัดว่าจะคุยเรื่องบ้านใช่ไหมคะ"       

"อ่อจ้ะ"       ขอบคุณพี่เมที่ทำให้แม่ผมไม่ต้องฉีกยิ้มมากไปกว่านี้

"มีคนจะเช่าเหรอคะหรือว่าสนใจซื้อ"       พี่เมหันมาถามแม่

"น้านี่แหละค่ะน้องเม ว่าจะซื้อเอาไว้เอง"       แม่วางช้อนแล้วหันไปคุยกับพี่เมอย่างจริงจัง

"แล้วใครอยู่ละคะน้าศิ หรือว่าน้าศิจะปล่อยเช่า"

"แม่คงซื้อเก็บไว้เผื่อลูกออกเรือนแหละค่ะพี่เม นี่ก็ใกล้ละ เนอะแมทเนอะ"       มาพยักหน้าใส่ผมทำไม ผมไม่รู้ด้วยซะหน่อย หันมาสนใจจานอาหารตรงหน้าดีกว่า

"ใครกันคะ น้องมัทหรือน้องแมท"       คำถามนี้ทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง แล้วก็เจอกับสายตาพี่เชนเข้าพอดี

"มัทก็พูดไปเรื่อยแหละค่ะ น้องเมลองเอาไปตัดสินใจดูนะคะ"       ผมได้ยินที่แม่พูดนะ แต่คนตรงหน้านี่สิจ้องกันขนาดนี้ผมก็ละสายตาไม่ได้เหมือนกัน พอเลิกคิ้วแทนคำถามกลับแค่ยักไหล่ซะงั้น

"แฮะแฮ่ม ฮึ่มๆ~"

"เป็นอะไรมัท"       แม่ถาม

"ก้อนน้ำตาลในอาหารคงสะกิดคอหน่ะค่ะ จั๊กกะจี๋จัง"       หรี่ตามองมาทางผมอีกแล้ว หลายครั้งแล้วนะพี่มัท

"มันละลายไปหมดแล้ว จะมาติดคอได้ไงมัท"       แม่ถาม

"สะเก็ดน้ำตาลมันคงปลิวมาจากนัยน์ตาคนแถวนี้ละมั้งคะแม่"       หืม! วิเคราะห์ได้ล้ำมากพี่มัท

"สงสัยจะจริงอย่างที่น้องมัทว่าค่ะ เมก็เริ่มจะติดคอแล้วเหมือนกัน"       พี่เมพูดกับแม่ แต่กลับชายหางตาไปทางพี่เชน

"นี่คงมีแค่แม่ที่ไม่เข้าใจใช่ไหม"       แม่เลิกคิ้วถาม

"ค่ะ"       พี่มัทและพี่เมตอบก่อนะหัวเราะออกมาพร้อมกัน

.......................................................................



ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
         

          หลังจากช่วงเวลาที่แสนวุ่นวายได้ผ่านพ้นไป วันนี้ผมควรเริ่มทำงานที่ค้างไว้สักทีก่อนที่ดินจะพอกหางผมไปมากกว่านี้ ว่าแล้วก็รีบตื่นมารดน้ำต้นไม้แต่เช้าก่อนจะไปทานข้าวเช้ากับแม่และพี่มัทแล้วขึ้นมาทำงานบนห้อง แต่นั่งทำไปสักพักก็รู้สึกว่าความคิดตันมาก ขนาดวันนี้อากาศไม่ค่อยร้อนยังคิดอะไรไม่ค่อยจะออกเลย เพราะงั้นผมเลยย้ายตัวเองออกจากห้องพร้อมขนโน้ตบุ๊คคู่ใจลงมารังสรรค์งานที่สวนหลังบ้านน่าจะดีกว่า จากวันนี้เป็นต้นไปผมคงได้ใช้เวลากับงานอย่างจริงๆจังๆสักที รู้สึกว่าตอนนี้ความขี้เกียจมันเริ่มปกคลุม สมาธิก็จะหายไป แต่ในที่สุดผมก็เปิดเกมส์แทนที่จะเปิดงาน เฮ้อ...ขยันไม่มีใครเกิน

"แมท"       

"เฮ้ย!"       อะไรของพี่เชนวะ อยู่ๆก็โผล่มาข้างหลัง ทำไมเป็นคนชอบมาแบบเงียบๆ

"พี่นั่งด้วยคนสิ"        เลื่อนตัวเองมาด้านข้างของโต๊ะที่มีโน้ตบุ๊คกับสมุดพลอตงานผมวางอยู่ก่อนจะค้ำมือลง

"เข้ามาได้ไงอ่ะ"       ผมเงยหน้าถาม ก่อนจะถอยตัวห่างออกมาอีกนิด อยู่ใกล้กันแบบนี้มันอันตรายเกินไป

"ก็เห็นประตูมันเปิดทิ้งไว้ เดาว่าแมทนั่งอยู่ตรงนี้เลยเดินมาหา"       เดาเก่งไปมั้ง ไม่ใช่ไปถามแม่มาหรอกนะ

"พี่คิดว่าจะเดินเข้าบ้านใครก็ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตเจ้าของบ้านหรือไง"

"งั้นขอนะ นั่งได้แล้วใช่ไหม"       ผมยังไม่ทันอนุญาตแต่พี่เชนก็พาตัวเองไปนั่งที่เก้าอี้สนามฝั่งตรงข้ามผม

"เรื่องของพี่เหอะ"       จะหย่อนก้นนั่งอยู่แล้วยังมาถาม

"เรายังไม่มีเวลาคุยกันจริงๆจังๆเลยนะ"       ผมปล่อยพี่เชนพูดไป ส่วนตาก็จับจ้องอยู่กับเกมส์ตรงหน้า

"ครับ พี่สบายดีรึเปล่า"       ผมถามคำถามตามมารยาทออกไปทั้งๆใจจริงอยากจะถามว่า 'พี่รู้ไหมว่าผมคิดถึงพี่มากแค่ไหน' มากกว่า

"เมื่อวานตอนเช้าที่พี่มาหา"       ถึงผมจะถามไปอย่างนั้นแต่ผมก็ยังต้องการคำตอบนะ ไม่ใช่มาเปลี่ยนเรื่องเอาดื้อๆแบบนี้

"ครับ"       ผมตอบรับ

"พี่จะมาถามว่าคุยกับโอ้ตรู้เรื่องแล้วใช่ไหม"       

"ทำไมถามงั้น"

"ก็ดูโอ้ตหงุดหงิดตอนลากแมทเข้าไปในบ้าน"       โหยพี่ มาถามช้าไปป่ะเนี่ย ผมคิดในใจ

"ก็ทะเลาะกันนิดหน่อย"       จริงๆแล้วไม่ใช่เลยสักนิด คนอย่างโอ้ตมันก็ดราม่าไปเรื่อย สักพักมันก็หาย ที่จะโกรธหรือทะเลาะกันจริงจังหน่ะไม่มีหรอก

"อย่างงั้นเหรอ"       พี่เชนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสบายใจ ผมรู้สึกได้

"เสียงพี่ฟังดูก็ไม่ได้กังวลนะ"       ปากผมพูดในขณะที่ตาก็พยายามหลบสายตาพี่เชน ผมเลือกที่จะจับจ้องอยู่ที่เกมส์ทั้งๆที่ไม่ได้มีสมาธิจะเล่นด้วยซ้ำ

"ก็ไม่มีอะไรที่น่ากังวล"

"พี่รู้ป่ะ ผมคงมีสมาธิทำงานมากกว่านี้ถ้าพี่เลิกมองผมซะที"       พี่ไม่รู้หรือไงว่าถ้าโดนคนที่เราแอบชอบมองแบบนี้มันทำให้เขินมากนะ มันสูญเสียสมาธิไปมากเลย แม้จะแค่เล่นเกมก็เถอะ

"หึหึ"

"หัวเราะไรของพี่วะ สบายใจที่ผมจะทะเลาะกับโอ้ตหรือไง"

"เปล่า"

"งั้นคงแค่ถามไปงั้นละสิ"

"ก็ไม่ขนาดนั้น พี่พอรู้ว่าโอ้ตทำไปเพราะอะไร"

"เพราะอะไร"       ปากพูด ตาผมกลับจ้องหน้าจอ เกมส์บ้าอะไรวะทำไมยากขนาดนี้ แพ้มาสี่ตารวดแล้วนะ

"เขาก็แค่ปกป้องเพื่อนของเขา"

"อย่างที่พี่เคยทำกับผม ตอนที่เราเจอกันครั้งแรก"       ครั้งนั้นยังจะดูใจร้ายกว่าที่โอ้ตทำด้วยซ้ำ แถมยังพูดจาไม่น่าฟังกับผมอีก

"คงใช่ โอ้ตคงแค่กันท่าพี่เพราะไม่ไว้ใจเหมือนกัน"

"พี่ก็รู้ตัวสินะ ว่าเคยทำตัวไม่น่ารัก เคยต่อต้านเพราะไม่ไว้ใจผม"       พี่จะยิ้มทำไมเนี่ย ลานสายตาผมกว้างพอที่จะเห็นหน้าพี่นะ ทำให้เขินอยู่นั่นแล้วเมื่อไหร่ผมจะกล้ามองหน้าพี่หล่ะ

"มันก็ไม่เหมือนกันซะทีเดียวนะ"       สำหรับผมมันก็ไม่ต่างกันนะ

"แล้วหลินหล่ะ ได้คุยกันบ้างหรือยัง"

"ทำไมถามถึงหลิน"

"ก็พอดีได้คุยกันนิดหน่อย"

"คุยอะไร"

"แมทเคยชอบหลินมาก่อนเหรอ"       ไปรู้มาจากไหนเนี่ย ไม่พ้นปากไอ้โอ้ตแน่ๆ

"ช่างเถอะเรื่องนั้น เมื่อวันที่เราเจอกันโอ้ตมันบอกว่าพี่มาที่นี่เพราะมีอะไรจะพูดกับผม"

"ครับ"

"พูดสิ ผมว่างฟังแล้ว"

"เงยหน้าขึ้นมาฟังพี่พูดก่อนได้ไหม"       หืมมม ถ้าพี่จะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานแบบนี้เอาไฟมาลนผมเถอะ ยวบไปทั้งตัวแล้วเนี่ย

"ผมกำลังรีบทำงาน เล่นมาหลายวันแล้ว เดี๋ยวไม่เสร็จ พี่พูดมาได้เลยผมฟังอยู่"       ผมรู้นะว่ามันเป็นการเสียมารยาทมาก แต่มันเขินนี่หว่า แค่เสียงพี่ผมยังยวบยาบ เพราะงั้นผมไม่ควรมองตาพี่มันอาจจะทำให้ผมแข็งแกร่งขึ้น

"เลิกเล่นเกมส์ก่อนได้ไหม เล่นต่อก็แพ้อีกอยู่ดี ฟังพี่ให้จบแค่เดี๋ยวเดียว แล้วพี่จะช่วยเล่นให้ชนะ"       เหย!!! รู้ได้ไงวะ

"แอบแช่งให้แพ้ป่ะเนี่ย อ่ะๆ ฟังละ ว่ามา"       ละสายตาจากเกมส์ แต่ไม่ได้มองหน้าอีกฝ่าย แล้วนั่งไขว้ห้าง รอฟังพี่เชน ไม่อยากใช้คำกริยาสะดีดสะดิ้งของผู้หญิงกับสภาพท่าทางตัวเองเลย แต่มันอธิบายผมตอนนี้ได้ที่สุดแล้ว

"พี่ขอชอบแมทนะ แล้วพี่ก็อยากให้เราคบกัน"      ได้ยินคำนี้แล้วผมแทบหยุดหายใจ ตอนนี้สภาวะหัวใจผมมันไม่ปกติเลยจริงๆ

"นี่ถึงกับต้องขออนุญาต?"       ผมขมวดคิ้วแล้วมองหน้าพี่เชนขณะที่ถาม

"พี่ไม่ได้ขออนุญาต พี่บอกแบบสุภาพ"       หน้าพี่โคตรจริงจังอ่ะ

"เฮ้อ...สุภาพอีกแล้วเหรอ พักบ้างก็ได้นะ ความสุภาพของพี่"       พูดแค่นี้ทำไมต้องยิ้ม

"พี่ไม่กลัวผมปฏิเสธหรือไง"

"กลัว แต่ถ้าแมทยอมคบกับพี่คนที่มีความสุขมากๆบนโลกใบนี้ก็จะมีเพิ่มขึ้นอีกสองคน แต่ถ้าแมทปฏิเสธคงมีคนนึงที่ทุกข์มากแน่ๆ แต่อีกคนพี่ยังไม่แน่ใจ รู้ว่ามีข้อดีขนาดนี้แล้วจะปฏิเสธเหรอ"       ตรรกะของพี่นี่ต้องตั้งใจฟังดีดีนะ น่างงมาก

"พี่! อธิบายอีกรอบ เข้าใจยาก"

"รักพี่แล้วแมทจะมีแต่ความสุข เพราะฉะนั้นก็ตอบตกลงดีกว่านะ"

"ตรงอ่ะ"       

"พี่ไม่อยากเสียเวลาต่างหาก"       อยากเอาสก๊อตเทปไปแปะปิดรอยยิ้มพี่จริงๆ

"ลืมไปแล้วเหรอว่าผมเคยเป็นคนจรจัดในสายตาพี่นะ"      ใจสั่น จะพูดจะมองก็สั่น ได้ยินแต่เสียงหัวใจตัวเองก้องไปหมด

"ทำไมไม่เลือกจำแต่เรื่องดีดีหล่ะ"

"ผมจำทุกอย่างที่เกี่ยวกับพี่นั่นแหละ"      ผมหมายความตามนั้นจริงๆนะ

"เหมือนกับพี่ที่จำเรื่องแมทใช่ไหม"      ถามขณะที่ย้ายตัวเองเข้ามานั่งด้านซ้ายมือผมแทนฝั่งตรงกันข้าม พี่เชนกำลังค่อยๆเลื่อนตัวเข้ามา มันทำให้เราใกล้กันมากขึ้นๆเรื่อยๆ

"งั้นพี่ต้องจำไว้ด้วยนะ ความรู้สึกที่ผมเคยให้หลินมันคืออดีต"      พี่เชนหันมามองแล้วยกยิ้มก่อนจะจับมือผมไว้

"พี่เป็นแค่คนที่ชอบแมทฝ่ายเดียว พี่รู้ว่าไม่มีสิทธ์ิไม่พอใจ"

"ใครบอกว่าพี่ชอบอยู่ฝ่ายเดียว"

"หื้ม?!?"

"ถ้าไม่พูด งั้นพี่ก็จะคิดเข้าข้างตัวเองเลยก็แล้วกัน"      ทำเลยเถอะ ก่อนหน้านี้ผมคิดมามากกว่าพี่อีก จนตอนนี้เชี่ยวชาญการเข้าข้างตัวเองมากอ่ะ

"จะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ"

"พี่เห็นหน้าผมป่ะ"       ผมชี้นิ้วมาที่หน้าตัวเอง

"เห็นสิ"

"ผมมีหนวดนะเห็นไหม"       ใช้นิ้วชี้มาที่ไรหนวดเหนือริมฝีปากตัวเอง

"เห็น"       พี่เชนพยักหน้า

"ดูที่คอผมมีลูกกระเดือกนะรู้จักไหม"       เลื่อนนิ้วลงมาชี้ที่คอ

"รู้จัก"

"รู้จักแล้วเห็นไหม"       ผมเลิกคิ้วถาม

"เห็น"

"ผมนี่สั้นด้วยนะ"       ยกมือรูดผมตัวเองชี้ขึ้นตั้งแต่โคนถึงปลายเพื่อขยายความคำว่าสั้นอีกครั้ง

"อื้ม"

"แล้วถ้าจะไว้ผมยาวมันจะติดไปทางซกมกมากกว่าสวยนะ"       ใช้มือข้างที่ไม่ได้โดนจับไว้ลูบผมอีกครั้งตั้งแต่โคนมาถึงปลายลากยาวเลยลงมาถึงลาดไหล่

"ก็น่าจะน่ารักดีนะ"       ตีลังกามองหรือไง แต่เอาเถอะ เห็นรอยยิ้มมุมปากแบบนี้คงจะเข้าใจมากขึ้นแล้วสินะ ผมเลยอธิบายต่อ

"แล้วก็"       แต่ก็ยังไม่ทันได้พูดจบ

"พอเถอะ พี่รู้แล้วว่าแมทเป็นผู้ชาย"       นั่นแหละที่ผมต้องการจะบอก

"ถ้ารู้ว่าเป็นผู้ชายแล้วทำไมยังจะจีบผมหล่ะ"

"พี่บอกไปแล้วไงว่าพี่ชอบแมท"

"เห้ยพี่! มั่นใจแล้วเหรอ คิดให้แน่ใจก่อนไหม"       ผมค่อยๆบอกพี่เชนอย่างระมัดระวัง

"พี่มั่นใจ ไม่งั้นคงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้ แล้วแมทหล่ะ มีอะไรที่พี่พอจะทำให้แมทเชื่อพี่ได้บ้าง"

"พี่แน่ใจแล้วเหรอว่าเป็นผม แน่ใจเหรอว่าเราจะคบกันได้"       สิ่งแรกที่ผมคิดว่าหากคบกันมันจะไหวเหรอ สังคมรอบข้างเราจะรับได้ไหม ป๊ากับม๊าพี่อีกหล่ะ แค่ความรักมันต้านกระแสสังคมไม่ไหวหรอก

"ถ้าไม่แน่ใจคงไม่นั่งอยู่ตรงนี้ เรายังไม่ลองเลยแล้วจะรู้ได้ไงว่าเราไหวหรือเปล่า"       เรื่องของความรักมันทดลองกันได้ที่ไหนหล่ะ

"ผมเป็นภาระพี่ได้เรื่อยๆเลยนะ"       นี่คือคำพูดที่ไอ้โอ้ตมันคอยกรอกหูผมอยู่เป็นประจำ

"พี่เองก็ไม่เคยมีภาระมาก่อนนะ แต่ถ้ามีแมทแล้วแถมภาระพี่ก็จะลองมีดูสักครั้ง"

"ชีวิตพี่นี่ดูง่ายไปหมดเลยเนอะ"       ผมเหล่มอง

"คงไม่ทำให้ชีวิตยากขึ้นหรอกมั้ง"       พูดด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันมามองผม

"เฮ้อ...ผมคงจะรู้สึกดีหรอกนะ"

"แต่พี่รู้ไหมว่าผมใจแข็งนะ"        ผมไม่รู้ว่าพี่เชนเข้าใจหรือเปล่าว่าที่พูดมาทั้งหมดไม่ได้หมายความว่ากำลังตอบรับแต่ก็ไม่ได้แปลว่ากำลังปฏิเสธเช่นกัน

"แล้วแมทรู้ไหมว่าใจของแมทมันยังแข็งไม่มากพอ"       ผมขมวดคิ้ว พี่เชนเลยอธิบายต่อ

"มือคู่นี้ยังอยู่กับพี่"       ยกมือข้างที่จับมือผมไว้ขึ้นมาตรงหน้า       "โดยที่แมทไม่ได้พยายามดึงออก แล้วการที่บอกให้พี่รู้ว่าใจแข็งพี่ถือว่าแมทให้โอกาสพี่และกำลังบอกให้พี่พยายาม"       ผมเห็นรอยยิ้มพี่เชนที่ออกมาพร้อมกับพูด ทำให้หัวคิ้วของผมค่อยๆคลายปมออก

"พี่แม่ง! โคตรเป็นคนเข้าใจไปเอง"       ผมหลบสายตาอีกครั้งก่อนจะพูดออกมา       "งั้นพี่ลองจีบผมดูก่อน"

"จีบเหรอ"

"อืม จีบ ตั้งแต่วันนี้ที่พี่อยู่ที่นี่จนวันที่พี่กลับถ้าทำสำเร็จผมจะตกลงคบกับพี่"       ไม่ได้จะเล่นตัวหรอกนะ แต่ที่ผมตั้งเงื่อนไขแบบนี้ทั้งๆที่ผมรู้ความรู้สึกตัวเองนั่นก็เพราะผมอยากแน่ใจ นับจากวันนี้ผมจะได้พิสูจน์ทั้งความรู้สึกทั้งของผมเองและของพี่เชน

"ครับ ตกลง พี่ต้องการจากแมทแค่นี้ แค่อยากให้เราลองเปิดใจ หลังจากนั้นพี่จะพยายามเข้าไปเอง...นะ"       ผมทำแค่หันหน้าไปยิ้มอีกทาง ไม่มีคำพูดตอบใดๆหลังจากนั้น

"ยังจะเล่นต่อไหม"

"หืม"

"เกมส์หน่ะ"       ทำหน้าพยักเพยิดมาทางจอโน้ตบุ๊กของผม

"อ่อๆ เอาดิ แต่ปล่อยมือก่อน พี่จะเล่นไม่ถนัด"       แทนที่จะปล่อยมือ แต่พี่เชนกลับกระชับมันให้แน่นขึ้นจนผมหันไปมองหน้า เราสบตากันอยู่อย่างนั้นสักพัก นี่แค่เพิ่งเริ่มต้นพี่เชนก็ทำให้ผมสั่นไม่เป็นปกติมากกว่าเดิมขนาดนี้ วันต่อๆไปผมกลัวใจตัวเองจะทนไม่ไหวจริงๆ

"ไม่เป็นไร มือซ้ายก็ชนะได้ กลัวปล่อยแล้วเดี๋ยวแพ้"       ยิ้มอยู่นั่น ผมเองก็ยอมแพ้ไม่ได้ด้วยสิ ยิ้มสู้เลยก็แล้วกัน

          ผมยิ้มให้พี่เชนและเรายังคงสบสายตากัน ในดวงตาคู่นั้นมันดูมีความหมาย แต่สุดท้ายก็เป็นผมที่ทนสู้สายตาไม่ไหวจนต้องหลบมาก้มลงมองมือตัวเองที่ยังจับมืออีกฝ่ายเอาไว้ สิ่งเหล่านี้คงพอแทนคำตอบได้บ้างแล้ว การเปิดใจให้ใครสักคน ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลพิเศษ ไม่ต้องพูดหรืออธิบายอะไร แค่เชื่อมั่นในความรู้สึกของตัวเองตอนนี้ก็พอ เชื่อ...อย่างที่ผมกำลังทำ

.......................................................................


❤  ขอบคุณที่ติดตามค่ะ ^^*
❤ พี่เชนเป็นมนุษย์โรแมนติกเนอะว่ามั้ย ถ้าต้องให้มาจีบทุกวันจะทนใจไหวเหรอ ถาม?!?
❤ อย่าลืมติดแท็ก #รักระหว่างทาง คุยกันๆ
❤ แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะค้า ขอบคุณค๊ะ





ออฟไลน์ patchylove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1585
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-4
 :-[พี่เชนน่าร้ากกกกก

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
ชอบพี่เชน เชียร์ๆ  :mew1:

ออฟไลน์ minenat

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1661
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
พี่เชนน่ารักกก

ออฟไลน์ nicksrisat

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 948
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ก้าวหน้าไปอีกนิดแล้วสินะพี่เชน

ออฟไลน์ 4559

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3978
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-8
ฟิน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด