ตอนที่ 28Matt Part เหมือนทุกอย่างกำลังจะเข้าที่เข้าทางไปทีละนิด ความรู้สึกที่เคยกังวลก็ค่อยๆหายไป ไม่รู้ว่าตอนนี้ผมกำลังเปิดใจพาพี่เชนเข้ามามากแค่ไหน แต่ผมเองกำลังพยายามเรียนรู้การมีใครสักคนอยู่ ใครสักคนที่ไม่ใช่ครอบครัว ใครสักคนที่เป็นมากกว่าเพื่อน คนที่นับจากนี้ไปผมจะต้องแบ่งปันความรู้สึกอีกมากมายด้วยกัน
เวลาที่มีอะไรให้ต้องคิดคนแรกที่ผมนึกถึงมักจะเป็นโอ้ตเสมอ แต่ดูเหมือนช่วงนี้เราจะไม่ค่อยได้เจอกัน เหมือนว่าเวลาของผมกับมันที่เคยคาบเกี่ยวกันมันค่อยๆหายไป ไม่รู้เพราะว่ามันไม่ว่างหรืออาจจะเป็นผมที่ลืมมันไป
"ฮัลโหล" เสียงทักทายที่ดังขึ้นทันทีที่ผมโทรไป
"เอ้อ มึง" ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้นตอนนี้คืออะไร มันเหมือนจะอึดอัดก็ไม่ใช่ จะว่าเกรงใจยิ่งไม่ใช่เข้าไปใหญ่
"เออว่าไง"
"เย็นนี้ว่างป่ะ มารับกูไปกินข้าวหน่อยสิ" ผมบอกในสิ่งที่ต้องการไป จริงๆมันอาจจะปกติ เป็นผมที่อาจจะคิดไปเอง
"วันนี้เหรอ เออๆได้แต่รอหน่อยนะ กูนัดลูกค้าไว้ตอนเย็นน่าจะเสร็จประมาณเกือบทุ่ม"
"อือ ได้ รอที่บ้านนะ"
"โอเคๆ"
"บาย"
จะว่าแปลกไหมก็แปลก แต่หากจะมองว่ามันไม่แปลกก็ไม่แปลก อาจจะเพราะสิ่งที่อยู่ในใจตอนนี้ทำให้รู้สึกว่าระหว่างผมกับมันไม่เหมือนเดิม แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ ผมอาจจะคิดไปเอง ตอนนี้เลยต้องพยายามบอกตัวเองว่าเลิกคิดนะ โอ้ตเป็นเพื่อนที่ผมรักมาก อย่าเอาความห่างหรือความคิดงี่เง่าของผมมาทำให้มีความรู้สึกที่มีค่าระหว่างเรากลายเป็นเรื่องไม่สะดวกใจเลย
"นั่นเตรียมตัวจะไปไหน" เสียงแม่ที่ถามขึ้นเมื่อผมก้าวลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย
"นัดโอ้ตไปกินข้าว ไม่เจอหลายวันแล้ว คิดถึง"
"ดีแล้ว หายหน้าหายตาไปเดี๋ยวโอ้ตจะงอนเอานะ" นี่ขนาดแม่ยังพูดแบบนี้ออกมาเลย เจ้าตัวเองก็อาจจะรู้สึกเหมือนกัน แต่ก็ขอให้ความรู้สึกนั่นเกิดขึ้นแค่กับผม เพราะมันคงแก้ไขง่ายกว่าหากเป็นตัวผมเอง
ผมไม่รู้หรอกว่าดึกๆหน่อยของมันคือกี่โมง เพราะตอนนี้ก็เพิ่งจะหกโมงครึ่ง และผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะมาตามที่รับปากไหม ความกังวลใจที่เกิดขึ้นมันมาจากความรู้สึกที่ผมสร้างขึ้นมาเอง ผมไม่เคยออกมายืนรอโอ้ตหน้าบ้านแบบนี้มาก่อน ส่วนมากมักจะเป็นมันที่มาถึงก็จอดรถแล้วเป็นฝ่ายเข้าไปรอ มันคงแปลกใจแน่ๆถ้าเห็นผมมายืนอยู่ตรงนี้ แค่นึกถึงหน้ามันก็ตลกแล้ว แต่ถ้ามันไม่มาผมคงเก้อแน่
.......................................................................
ยืนคิดอะไรอยู่สักพักเกือบครึ่งชั่วโมงก็เห็นแสงไฟจากรถยนต์กำลังมุ่งหน้ามาทางที่ผมยืนอยู่ แต่เพราะแสงไฟมันสว่างมากจนมองไม่ค่อยชัดว่านั่นเป็นรถใคร จะใช่รถของโอ้ตหรือเปล่า ถึงผมจะบอกตัวเองว่ารอได้ แต่ผมก็หวังว่านั่นจะใช่รถมัน
"ออกมายืนทำอะไรข้างนอกวะ" และก็เป็นมันจริงด้วย ผมเลือกที่จะเปิดประตูขึ้นไปนั่งก่อนที่จะตอบคำถามหรือทักทายมัน
"กูถามว่ามึงออกมาทำอะไรข้างนอก อย่าบอกนะว่ามายืนรอกู"
"ไหนว่าดึกๆหน่อย นี่มันเพิ่งจะทุ่มนึงเอง" เลี่ยงที่จะตอบคำถามมันอีกครั้ง
"มึงคิดว่านี่กูมารับมึงเหรอ" มันหันตัวมาโดยใช้มือข้างซ้ายมาค้ำเบาะที่ผมนั่งอยู่ ส่วนมืออีกข้างก็ยันไว้กับพวงมาลัย ก่อนจะจ้องหน้าจนผมต้องหลบสายตามัน
"..." การที่มันเลิกคิ้วถามด้วยสีหน้าจริงจังมันทำให้ผมรู้สึกอยากจะพาตัวเองออกจากรถมันซะตอนนี้ แต่ถ้าทำแบบนั้นความกังวลใจที่ผมมีอยู่ก็จะไม่ได้หายไป เลยทำแค่นั่งก้มหน้า และต่อให้มันไล่ผมลงจากรถ ผมก็ไม่มีทางลงเด็ดขาด
"ดูทำหน้าเข้า นี่ถ้ากูไล่มึงลงแล้วบอกว่ากูแค่แวะมาบอกว่ากูไม่ว่างนะงานยังไม่เสร็จ มึงจะร้องไห้ไหมวะแมท" มันบ่นเบาๆพร้อมส่ายหัว ก่อนจะหันไปออกรถ
"มึงไม่ว่างเหรอวะ" ผมถามคำถามที่หวังว่าคำตอบจะเป็นไปในทางตรงกันข้ามกับคำถาม
"นิดนึงว่ะ ลูกค้าเหมือนจะคุยไม่รู้เรื่อง ได้อย่างแม่งก็จะเอาอีกอย่าง ถ้ากูอยู่คุยต่อมีหวังได้ฟาดกันตรงนั้นแน่" โอ้ตเป็นคนมีความรับผิดชอบ ติดก็แค่ถ้าลูกค้าเรื่องมากเมื่อไหร่สติมันก็จะหลุดทุกครั้ง
"แล้ว..."
"เอมอยู่จัดการต่อ กูเลยออกมารับมึงไปกินข้าวดีกว่า" ผมพยักหน้าตอบรับประโยคบอกเล่าของมันโดยไม่คิดจะต่อบทสนทนาใดๆ เท่าที่ดูคงเป็นผมเองที่กังวลจนคิดไปเองว่ามันไม่เหมือนเดิม
"แล้วตกลงเมื่อกี้มึงออกมายืนทำอะไร" มันหันมาเอาคำตอบจากคำถามเดิมอีกครั้ง
"ไปกินหอยย่างกันไหมมึง แต่ส้มตำก็อยากกิน หลายอย่างเลยว่ะ เหมือนคนอดอยากเลยกู" ผมเปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง
"อะไรก็ได้แล้วแต่มึง ตอนนี้กูว่าง"
"มึงมีอะไรที่อยากกินไหม วันนี้กูให้มึงเลือก" มันหันมามองพร้อมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
"เออ ไม่ต้องงง กูให้มึงเลือก" ผมแค่รู้สึกว่าทำตัวเอาแต่ใจมาตลอด ไม่เคยตามใจมันเลยสักครั้ ง และผมก็รู้ว่าการที่ผมทำแบบนี้มันช้าไปแต่ก็ดีกว่าไม่พยายามทำอะไรเลยไม่ใช่เหรอ
"งั้นสิ่งที่กูเลือกก็คือสิ่งที่มึงอยากกินนั่นแหละ"
"นี่กูกำลังให้โอกาสมึงอยู่นะ"
"เออ กูอยากกินอย่างที่มึงอยากกินไง" ยังคงพูดอย่างเดิม ผมอยากให้มันได้มีโอกาสตัดสินใจบ้าง ที่ผ่านมามันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเผด็จการเกินไป อันที่จริงถ้าเมื่อเช้าผมไม่คิดเรื่อยเปื่อยจนมาถึงเรื่องมันผมคงปล่อยให้ทุกอย่างระหว่างเราเป็นแบบนี้ต่อไปโดยที่ไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังละเลยมัน
"งั้นเราไปกินร้านหอยย่างกัน ร้านที่มึงเคยบอกว่าชอบ ดีไหม" ทั้งที่ผมพยายามจะยื่นข้อเสนอร้านโปรดของมันไปในตอนแรก แต่น่าแปลกที่มันไม่แม้แต่จะตอบตกลงจนผมต้องลองถามอีกครั้ง
"จะเอาใจกูหรือไง แต่ไปกินร้านนั้นก็ดีนะ ตั้งแต่ไปกินกับมึงคราวก่อนก็ยังไม่ได้ไปอีกเลย พูดถึงก็น้ำลายไหลละ"
"งั้นก็ไปกินร้านหอยย่างกัน"
"ครับผม หอยย่างๆๆๆ" ท่าทางที่ดีใจจนดูเหมือนออกนอกหน้าแต่ผมก็รู้สึกว่ามันกำลังรู้สึกดีใจอย่างที่แสดงออกมาจริงๆ ผมชักจะเริ่มเกลียดตัวเองที่เอาแต่ใจกับมันมากเกินไปมาตลอดแล้ว ทำไมตัวเองถึงใจร้ายได้ขนาดนี้
"พรุ่งนี้ไปกรุงเทพฯกับกูไหม" ผมตั้งใจไว้ว่าพรุ่งนี้จะเข้าไปส่งต้นฉบับให้เรียบร้อยก่อนที่จะไปฮ่องกง และผมก็ไม่ได้อยากจะชวนพี่เชนไปเท่าไหร่นัก ผมยังอยากจะชดเชยให้โอ้ตก่อน ชดเชยให้กับความละเลยที่ผมทำต่อมัน
"ไปทำไมวะ ส่งงานเหรอ"
"ใช่ แต่ไปเช้าเย็นกลับนะ ส่งงานตอนเช้าแล้วไปหาอะไรกินอร่อยๆแบบที่เคยตอนอยู่ที่นู่น"
"มึงพูดมากูก็คิดถึงร้านข้าวหน้าเป็ดหน้าคอนโดเราเลย"
"งั้นพรุ่งนี้เราไปกินกัน"
"จะไม่ถามหน่อยเหรอว่ากูว่างไหม"
"ยังไงมึงก็ต้องว่าง กูรู้" ถึงจะดูมัดมือชกไปหน่อยแต่ผมก็เชื่ออย่างนั้นจริงๆว่ามันจะว่างถ้าผมขอ
"แล้วมึงจองตั๋วแล้วเหรอ"
"ยังอ่ะ ค่อยไปซื้อที่สนามบินเอา มันกระทันหันไปหน่อยกูเพิ่งตัดสินใจเมื่อวานว่าจะไปส่งต้นฉบับ"
"ทำไมวะ สำนักพิมพ์เขาเร่งเหรอ"
"ป่าวหรอก กูจะไปฮ่องกงกับพี่เชน ยังไม่รู้ว่ากี่วันแต่ก็อยากจะจัดการงานให้เรียบร้อยก่อนจะได้ไปแบบสบายใจ"
"ไปฮ่องกงเหรอ ไปทำไมวะ ข้อมูลไม่พอเขียนงานเหรอ" มันหันมามองหน้าขณะที่รถกำลังติดไฟแดง
"ครอบครัวพี่เชนเขาอยากเจอกู" ผมตอบพร้อมกับมองตรงไปที่ถนน ผมพอมองมองเห็นจากทางหางตาว่ามันยังคงมองผมอยู่
"เอ่อ...กูไม่รู้ว่าต้องถามมึงยังไงดีวะ กูไม่รู้ว่ากูต้องเริ่มจากรู้อะไรก่อน" ผมเข้าใจสิ่งที่มันกำลังสงสัยนะ แต่ผมก็ไม่รู้จะเริ่มอธิบายมันยังไงดีเหมือนกัน
"กูคบกับพี่เชนแล้วนะ" พูดออกไปตรงๆน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
"...."
"...." และมันก็อาจจะเป็นทางเลือกที่สร้างความอึดอัดที่สุดเช่นกัน
"...." ต่างคนต่างลอบมองกันแต่ไม่พูดอะไรออกมา ผมกำลังรู้สึกได้ถึงความอึดอัดที่ก่อตัวขึ้น
"ตกลงว่าไปกับกูนะ" ผมถามซ้ำอีกครั้ง
"เดี๋ยวนะ ทีละเรื่องนะแมท ขอกูใช้ความคิดทีละเรื่อง"
"อืมๆ คิดทีละเรื่อง"
"ทำไมกูจัดระเบียบความคิดตัวเองไม่ได้วะ" ผมเองก็ไม่เข้าใจสิ่งที่มันกำลังเป็นนัก ผมไม่รู้ว่ามันกำลังรับไม่ได้หรือกำลังตกใจกับสิ่งที่ผมพูดบอกไปหรือเปล่า
"มึงอาจจะกำลังรับไม่ได้ แต่เข้าใจกูหน่อยนะ ความรู้สึกของกูมันเกิดขึ้นไปแล้ว และมึงเองก็สำคัญกับกูเกินกว่าที่กูจะนิ่งเฉยโดยไม่พูดไม่บอกอะไรเลย"
"กูไม่ได้รับไม่ได้ กูรู้นะว่ามึงกำลังกังวลอะไร แต่กูไม่ได้กำลังรู้สึกอย่างนั้น"
"แล้วอะไรที่มึงกำลังรู้สึก" ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังคาดคั้นมันอีกแล้ว
"มึงแน่ใจเหรอว่ามึงอยากรู้สิ่งที่กูกำลังคิดกำลังรู้สึก" คำถามมันทำให้ผมกลัว
"ตอนนี้ไม่อยากรู้แล้ว" ผมรู้แค่ว่ามันไม่ได้รังเกียจ ผมควรรับรู้ในสิ่งที่สบายใจแค่นั้นก็พอ
"อืม ถ้ามึงยืนยันอย่างนั้น จริงๆมันก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่มันน่ากังวลอะไรหรอก อย่าไปใส่ใจเลยมึง เล่าเรื่องของมึงมาดีกว่า กูพร้อมจะฟังละ อ้อ! ตกลงว่าพรุ่งนี้ไปกรุงเทพฯกันนะ แล้วมึงไปฮ่องกงเมื่อไหร่ละ นัดพี่เชนมากินข้าวกันก่อนไปสักมื้อดีไหม หรือยังไงดี" โอ้ตเป็นแบบนี้เสมอ เวลามีอะไรรบกวนความคิดมันจะระบายโดยการพรั่งพรูคำพูดที่ไม่เกี่ยวข้องออกมา
"โอ๊ต..." เราต่างก็เงียบหลังจากที่ผมเรียกชื่อมัน
"กูขาดอะไรเหรอแมท กูไม่มีอะไรที่เขาไม่มีวะ" ผมกำลังพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่มันเพิ่งพูดออกมา
"มึงหมายถึงใคร" ผมถาม
"เพราะมึงก็เป็นอย่างนี้ เป็นคนแบบที่คอยมองข้ามอะไรที่กูอยากให้มึงมองตลอดเลย ช่างแม่งเหอะ อย่าไปรับรู้มันเลย พูดแล้วก็เครียด ไปแดกหอยดีกว่า" ผมไม่รู้ว่าผมกำลังเข้าใจถูกไหมว่ามันกำลังน้อยใจ ผมไม่รู้ว่าผมควรคิดให้มากกว่านั้นไหม มันเหมือนมีอะไรบางอย่างมาบอกให้ผมเลือกคิด สิ่งที่โอ้ตได้พูดออกมามันสายเกินกว่าที่ผมจะย้อนกลับไปทำอะไรได้แล้ว
บทสนทนาก่อนหน้านี้ในรถกำลังส่งผลให้มื้ออาหารระหว่างผมกับมันกร่อยลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าผมจะพยายามหยิบจับอะไรให้มันก็ดูจะขัดหูขัดตาไปเสียหมด เหมือนกับว่าการนั่งเฉยๆให้มันคอยทำทุกอย่างให้จะเป็นสิ่งที่ผมควรทำในตอนนี้
"อ่ะ แดกดิ สุกละ" เสียงเปลือกหอยที่กระแทกลงบนจานอย่างไม่รุนแรงนัก แต่ก็ทำให้ผมรู้สึกได้ว่ามันกำลังประชด
"แดกไม่ลงเลยสัด!" ผมพ่นออกมาเบาๆไม่ให้มันได้ยิน
"แดกๆเข้าไปเหอะน่า"
"วางเบาๆไม่ได้หรือไงล่ะ" ยังคงบ่นในลำคอเบาๆเหมือนเดิม
"เรื่องมาก" เหมือนมันจะได้ยินทุกอย่างที่ผมบ่น และเหมือนว่ามันก็กำลังพยายามอยู่เหมือนกันที่จะไม่เอาอารมณ์หรือความรู้สึกไม่ดีมาลงกับอาหารมื้อนี้
ความอึดอัดยังคงไม่หายไปถึงแม้ว่ารถจะพาผมและมันมาจนถึงหน้าบ้านของผมแล้วก็ตาม ผมกลัวว่าความอึดอัดนี้จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเรามันแย่ลง แต่การที่ผมจะแก้ไข ก็ควรรู้ก่อนว่ามันเกิดขึ้นจากอะไร ถ้าผมเป็นมันผมคงรู้สึกน้อยใจไม่น้อยที่เพื่อนที่น่าจะเข้าใจกันมากพอกลับมาถามทั้งๆที่ควรจะรู้
"มึง" ผมเรียกมันเบาๆก่อนจะพาตัวเองลงจากรถ
"หืม"
"พรุ่งนี้..."
"ไม่ต้องห่วงน่า กูบอกว่าไปก็ไปสิ กูรับปากมึงไปแล้วนะ" มันตอบขึ้นทันที่ที่ผมยังไม่ทันได้ถาม อย่างนี่เรียกว่าเพื่อนที่รู้ใจใช่ไหม
"กูกลัว"
"กลัวอะไร กูพูดแล้ว ต่อให้กูไม่ได้บอกว่าจะไปแต่แค่มึงมาบอกขอให้กูไปด้วย กูก็ไม่มีทางปฏิเสธมึงหรอก มึงรู้ใช่ไหม" คำพูดของมันทำให้รู้สึกว่าทำได้แค่ก้มหน้าอยู่อย่างนั้น ทำไมอะไรๆก็ดูจะเป็นใจให้ผมรู้สึกขอโทษมันไปหมด
"ลงไปได้แล้ว พรุ่งนี้เช้าเจอกัน สักกี่โมงดี" มันหันหน้ามาถาม
"...." แต่ผมกลับเอาแต่ก้มหน้า
"ตกลงว่ายังไงครับ"
"สัก 9 โมงไหม เผื่อมึงจะได้ตื่นสายหน่อย" ผมบอก
"แล้วแต่ กูตื่นเช้าได้นะ จะให้กูตื่นตี 5 ยังได้เลย" ถ้านี่เป็นภาวะปกติระหว่างเรา ปกติแบบที่ไม่มีเรื่องอะไรในใจอย่างตอนนี้ผมคงหันไปแกล้งมันแล้วว่าเจอกันตี 5 ละกัน แต่ตอนนี้แค่จะหันมองหน้ามันยังไม่กล้าเลย
" 9 โมงนั่นแหละดีแล้ว กูไปก่อนนะพรุ่งนี้เจอกัน" พูดจบผมก็รีบลงจากรถทันทีโดยไม่ได้ฟังมันพูดอะไรต่อจากนั้น
โจทย์สำหรับคืนนี้คือผมต้องแก้ให้ได้ว่าโอ้ตกับผมมันมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติไป อะไรในแบบที่ผมไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงหรือจริงๆแล้วมันอาจจะไม่มีอะไรเลย ผมเหมือนเพื่อนที่เห็นแก่ตัวละเลยความรู้สึกมันมาโดยตลอด วันนี้มันชัดเจนแล้วว่าโอ้ตเองก็มีความรู้สึก ไม่ใช่สิผมควรบอกว่าโอ้ตมันก็รู้สึกไม่ต่างกัน ทุกคนมีความรู้สึกเพียงแต่จะรู้สึกถึงมันหรือไม่ ผมคิดเอาเองฝ่ายเดียวมาตลอดว่ามันไม่ได้คิดอะไร และวันนี้สถาณการณ์ทุกอย่างได้บอกผมหมดแล้วว่ามันเองก็รู้สึก
.......................................................................