แจ้งข่าวค่ะ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: แจ้งข่าวค่ะ  (อ่าน 53761 ครั้ง)

ออฟไลน์ jamesnaka

  • วิหคเหมันต์
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
ชอบพี่เชนจังค่ะ ส่วนแมทบางครั้งก็เอ๋อไปนะลูก อิอิ

เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ชอบ การดำเนินเรื่องดี สนุก อ่านเพลินเรื่อยๆ ขอเป็นกำลังใจให้คนเขียนจ้า

รอตอนต่อไปจ้า  :pig4:

ออฟไลน์ why yyy

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +309/-8
คิดเยอะไปก็ไม่ดีนะแมท




ขอบคุณ :)

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
ฉันหลอนนึกว่าอัพ TT หายไปนานจัง

ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
สวัสดีค่ะ

อนาเองนะคะ ขอโทษทุกคนด้วยนะคะที่ไม่สามารถมาลงนิยายตอนต่อไปได้ในช่วงนี้ ตอนนี้อนามีสอบไปจนถึงปลายเดือนสิงหาคมเลยค่ะ เป็นความผิดอนาเองที่ไม่ได้มาแจ้งไว้ในนี้ อนาแจ้งไว้แค่ในทวิตเตอร์ค่ะ พอดีเข้าไปส่องเมนในทวิตเตอร์เพื่อคลายเครียดแล้วเจอเมนชั่น ฮรืออ รู้สึกผิด ขอโทษอีกครั้งนะคะ แต่อนาจะกลับมาลงตอนต่อไปอีกครั้งตอนต้นเดือนกันยายนแน่นอนค่ะ

รออนาก่อนนะคะ พลีสสสสสส   :mew2:


ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
รับทราบจ้า สู้ๆนะเป็นกำลังใจให้

น่าจะเปลี่ยนหัวข้อว่าแจ้งข่าวด้วยเนอะ

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
คิดถึงแล้วนะ

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
จะมาต่อยังนะ

คิดถึงทั้งระหว่างทางและระหว่างรอเลยค่ะ

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17

ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ตอนที่ 28


Matt Part


   เหมือนทุกอย่างกำลังจะเข้าที่เข้าทางไปทีละนิด ความรู้สึกที่เคยกังวลก็ค่อยๆหายไป ไม่รู้ว่าตอนนี้ผมกำลังเปิดใจพาพี่เชนเข้ามามากแค่ไหน แต่ผมเองกำลังพยายามเรียนรู้การมีใครสักคนอยู่ ใครสักคนที่ไม่ใช่ครอบครัว ใครสักคนที่เป็นมากกว่าเพื่อน คนที่นับจากนี้ไปผมจะต้องแบ่งปันความรู้สึกอีกมากมายด้วยกัน
   เวลาที่มีอะไรให้ต้องคิดคนแรกที่ผมนึกถึงมักจะเป็นโอ้ตเสมอ แต่ดูเหมือนช่วงนี้เราจะไม่ค่อยได้เจอกัน เหมือนว่าเวลาของผมกับมันที่เคยคาบเกี่ยวกันมันค่อยๆหายไป ไม่รู้เพราะว่ามันไม่ว่างหรืออาจจะเป็นผมที่ลืมมันไป

"ฮัลโหล"       เสียงทักทายที่ดังขึ้นทันทีที่ผมโทรไป
"เอ้อ มึง"       ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้นตอนนี้คืออะไร มันเหมือนจะอึดอัดก็ไม่ใช่ จะว่าเกรงใจยิ่งไม่ใช่เข้าไปใหญ่
"เออว่าไง"       
"เย็นนี้ว่างป่ะ มารับกูไปกินข้าวหน่อยสิ"       ผมบอกในสิ่งที่ต้องการไป จริงๆมันอาจจะปกติ เป็นผมที่อาจจะคิดไปเอง
"วันนี้เหรอ เออๆได้แต่รอหน่อยนะ กูนัดลูกค้าไว้ตอนเย็นน่าจะเสร็จประมาณเกือบทุ่ม"
"อือ ได้ รอที่บ้านนะ"
"โอเคๆ"
"บาย"

   จะว่าแปลกไหมก็แปลก แต่หากจะมองว่ามันไม่แปลกก็ไม่แปลก อาจจะเพราะสิ่งที่อยู่ในใจตอนนี้ทำให้รู้สึกว่าระหว่างผมกับมันไม่เหมือนเดิม แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ ผมอาจจะคิดไปเอง ตอนนี้เลยต้องพยายามบอกตัวเองว่าเลิกคิดนะ โอ้ตเป็นเพื่อนที่ผมรักมาก อย่าเอาความห่างหรือความคิดงี่เง่าของผมมาทำให้มีความรู้สึกที่มีค่าระหว่างเรากลายเป็นเรื่องไม่สะดวกใจเลย

"นั่นเตรียมตัวจะไปไหน"       เสียงแม่ที่ถามขึ้นเมื่อผมก้าวลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย
"นัดโอ้ตไปกินข้าว ไม่เจอหลายวันแล้ว คิดถึง"
"ดีแล้ว หายหน้าหายตาไปเดี๋ยวโอ้ตจะงอนเอานะ"       นี่ขนาดแม่ยังพูดแบบนี้ออกมาเลย เจ้าตัวเองก็อาจจะรู้สึกเหมือนกัน แต่ก็ขอให้ความรู้สึกนั่นเกิดขึ้นแค่กับผม เพราะมันคงแก้ไขง่ายกว่าหากเป็นตัวผมเอง

   ผมไม่รู้หรอกว่าดึกๆหน่อยของมันคือกี่โมง เพราะตอนนี้ก็เพิ่งจะหกโมงครึ่ง และผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะมาตามที่รับปากไหม ความกังวลใจที่เกิดขึ้นมันมาจากความรู้สึกที่ผมสร้างขึ้นมาเอง ผมไม่เคยออกมายืนรอโอ้ตหน้าบ้านแบบนี้มาก่อน ส่วนมากมักจะเป็นมันที่มาถึงก็จอดรถแล้วเป็นฝ่ายเข้าไปรอ มันคงแปลกใจแน่ๆถ้าเห็นผมมายืนอยู่ตรงนี้ แค่นึกถึงหน้ามันก็ตลกแล้ว แต่ถ้ามันไม่มาผมคงเก้อแน่

.......................................................................


   ยืนคิดอะไรอยู่สักพักเกือบครึ่งชั่วโมงก็เห็นแสงไฟจากรถยนต์กำลังมุ่งหน้ามาทางที่ผมยืนอยู่ แต่เพราะแสงไฟมันสว่างมากจนมองไม่ค่อยชัดว่านั่นเป็นรถใคร จะใช่รถของโอ้ตหรือเปล่า ถึงผมจะบอกตัวเองว่ารอได้ แต่ผมก็หวังว่านั่นจะใช่รถมัน

"ออกมายืนทำอะไรข้างนอกวะ"       และก็เป็นมันจริงด้วย ผมเลือกที่จะเปิดประตูขึ้นไปนั่งก่อนที่จะตอบคำถามหรือทักทายมัน
"กูถามว่ามึงออกมาทำอะไรข้างนอก อย่าบอกนะว่ามายืนรอกู"     
"ไหนว่าดึกๆหน่อย นี่มันเพิ่งจะทุ่มนึงเอง"       เลี่ยงที่จะตอบคำถามมันอีกครั้ง
"มึงคิดว่านี่กูมารับมึงเหรอ"       มันหันตัวมาโดยใช้มือข้างซ้ายมาค้ำเบาะที่ผมนั่งอยู่ ส่วนมืออีกข้างก็ยันไว้กับพวงมาลัย ก่อนจะจ้องหน้าจนผมต้องหลบสายตามัน
"..."       การที่มันเลิกคิ้วถามด้วยสีหน้าจริงจังมันทำให้ผมรู้สึกอยากจะพาตัวเองออกจากรถมันซะตอนนี้ แต่ถ้าทำแบบนั้นความกังวลใจที่ผมมีอยู่ก็จะไม่ได้หายไป เลยทำแค่นั่งก้มหน้า และต่อให้มันไล่ผมลงจากรถ ผมก็ไม่มีทางลงเด็ดขาด
"ดูทำหน้าเข้า นี่ถ้ากูไล่มึงลงแล้วบอกว่ากูแค่แวะมาบอกว่ากูไม่ว่างนะงานยังไม่เสร็จ มึงจะร้องไห้ไหมวะแมท"       มันบ่นเบาๆพร้อมส่ายหัว ก่อนจะหันไปออกรถ
"มึงไม่ว่างเหรอวะ"       ผมถามคำถามที่หวังว่าคำตอบจะเป็นไปในทางตรงกันข้ามกับคำถาม
"นิดนึงว่ะ ลูกค้าเหมือนจะคุยไม่รู้เรื่อง ได้อย่างแม่งก็จะเอาอีกอย่าง ถ้ากูอยู่คุยต่อมีหวังได้ฟาดกันตรงนั้นแน่"       โอ้ตเป็นคนมีความรับผิดชอบ ติดก็แค่ถ้าลูกค้าเรื่องมากเมื่อไหร่สติมันก็จะหลุดทุกครั้ง
"แล้ว..."
"เอมอยู่จัดการต่อ กูเลยออกมารับมึงไปกินข้าวดีกว่า"       ผมพยักหน้าตอบรับประโยคบอกเล่าของมันโดยไม่คิดจะต่อบทสนทนาใดๆ เท่าที่ดูคงเป็นผมเองที่กังวลจนคิดไปเองว่ามันไม่เหมือนเดิม
"แล้วตกลงเมื่อกี้มึงออกมายืนทำอะไร"       มันหันมาเอาคำตอบจากคำถามเดิมอีกครั้ง
"ไปกินหอยย่างกันไหมมึง แต่ส้มตำก็อยากกิน หลายอย่างเลยว่ะ เหมือนคนอดอยากเลยกู"       ผมเปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง
"อะไรก็ได้แล้วแต่มึง ตอนนี้กูว่าง"
"มึงมีอะไรที่อยากกินไหม วันนี้กูให้มึงเลือก"       มันหันมามองพร้อมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
"เออ ไม่ต้องงง กูให้มึงเลือก"       ผมแค่รู้สึกว่าทำตัวเอาแต่ใจมาตลอด ไม่เคยตามใจมันเลยสักครั้ ง และผมก็รู้ว่าการที่ผมทำแบบนี้มันช้าไปแต่ก็ดีกว่าไม่พยายามทำอะไรเลยไม่ใช่เหรอ
"งั้นสิ่งที่กูเลือกก็คือสิ่งที่มึงอยากกินนั่นแหละ"
"นี่กูกำลังให้โอกาสมึงอยู่นะ"       
"เออ กูอยากกินอย่างที่มึงอยากกินไง"       ยังคงพูดอย่างเดิม ผมอยากให้มันได้มีโอกาสตัดสินใจบ้าง ที่ผ่านมามันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเผด็จการเกินไป อันที่จริงถ้าเมื่อเช้าผมไม่คิดเรื่อยเปื่อยจนมาถึงเรื่องมันผมคงปล่อยให้ทุกอย่างระหว่างเราเป็นแบบนี้ต่อไปโดยที่ไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังละเลยมัน
"งั้นเราไปกินร้านหอยย่างกัน ร้านที่มึงเคยบอกว่าชอบ ดีไหม"       ทั้งที่ผมพยายามจะยื่นข้อเสนอร้านโปรดของมันไปในตอนแรก แต่น่าแปลกที่มันไม่แม้แต่จะตอบตกลงจนผมต้องลองถามอีกครั้ง
"จะเอาใจกูหรือไง แต่ไปกินร้านนั้นก็ดีนะ ตั้งแต่ไปกินกับมึงคราวก่อนก็ยังไม่ได้ไปอีกเลย พูดถึงก็น้ำลายไหลละ"
"งั้นก็ไปกินร้านหอยย่างกัน"
"ครับผม หอยย่างๆๆๆ"       ท่าทางที่ดีใจจนดูเหมือนออกนอกหน้าแต่ผมก็รู้สึกว่ามันกำลังรู้สึกดีใจอย่างที่แสดงออกมาจริงๆ ผมชักจะเริ่มเกลียดตัวเองที่เอาแต่ใจกับมันมากเกินไปมาตลอดแล้ว ทำไมตัวเองถึงใจร้ายได้ขนาดนี้
"พรุ่งนี้ไปกรุงเทพฯกับกูไหม"       ผมตั้งใจไว้ว่าพรุ่งนี้จะเข้าไปส่งต้นฉบับให้เรียบร้อยก่อนที่จะไปฮ่องกง และผมก็ไม่ได้อยากจะชวนพี่เชนไปเท่าไหร่นัก ผมยังอยากจะชดเชยให้โอ้ตก่อน ชดเชยให้กับความละเลยที่ผมทำต่อมัน
"ไปทำไมวะ ส่งงานเหรอ"
"ใช่ แต่ไปเช้าเย็นกลับนะ ส่งงานตอนเช้าแล้วไปหาอะไรกินอร่อยๆแบบที่เคยตอนอยู่ที่นู่น"
"มึงพูดมากูก็คิดถึงร้านข้าวหน้าเป็ดหน้าคอนโดเราเลย"
"งั้นพรุ่งนี้เราไปกินกัน"
"จะไม่ถามหน่อยเหรอว่ากูว่างไหม"
"ยังไงมึงก็ต้องว่าง กูรู้"       ถึงจะดูมัดมือชกไปหน่อยแต่ผมก็เชื่ออย่างนั้นจริงๆว่ามันจะว่างถ้าผมขอ
"แล้วมึงจองตั๋วแล้วเหรอ"       
"ยังอ่ะ ค่อยไปซื้อที่สนามบินเอา มันกระทันหันไปหน่อยกูเพิ่งตัดสินใจเมื่อวานว่าจะไปส่งต้นฉบับ"
"ทำไมวะ สำนักพิมพ์เขาเร่งเหรอ"
"ป่าวหรอก กูจะไปฮ่องกงกับพี่เชน ยังไม่รู้ว่ากี่วันแต่ก็อยากจะจัดการงานให้เรียบร้อยก่อนจะได้ไปแบบสบายใจ"
"ไปฮ่องกงเหรอ ไปทำไมวะ ข้อมูลไม่พอเขียนงานเหรอ"       มันหันมามองหน้าขณะที่รถกำลังติดไฟแดง
"ครอบครัวพี่เชนเขาอยากเจอกู"       ผมตอบพร้อมกับมองตรงไปที่ถนน ผมพอมองมองเห็นจากทางหางตาว่ามันยังคงมองผมอยู่
"เอ่อ...กูไม่รู้ว่าต้องถามมึงยังไงดีวะ กูไม่รู้ว่ากูต้องเริ่มจากรู้อะไรก่อน"       ผมเข้าใจสิ่งที่มันกำลังสงสัยนะ แต่ผมก็ไม่รู้จะเริ่มอธิบายมันยังไงดีเหมือนกัน
"กูคบกับพี่เชนแล้วนะ"       พูดออกไปตรงๆน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
"...."       
"...."       และมันก็อาจจะเป็นทางเลือกที่สร้างความอึดอัดที่สุดเช่นกัน
"...."       ต่างคนต่างลอบมองกันแต่ไม่พูดอะไรออกมา ผมกำลังรู้สึกได้ถึงความอึดอัดที่ก่อตัวขึ้น
"ตกลงว่าไปกับกูนะ"       ผมถามซ้ำอีกครั้ง
"เดี๋ยวนะ ทีละเรื่องนะแมท ขอกูใช้ความคิดทีละเรื่อง"
"อืมๆ คิดทีละเรื่อง"
"ทำไมกูจัดระเบียบความคิดตัวเองไม่ได้วะ"       ผมเองก็ไม่เข้าใจสิ่งที่มันกำลังเป็นนัก ผมไม่รู้ว่ามันกำลังรับไม่ได้หรือกำลังตกใจกับสิ่งที่ผมพูดบอกไปหรือเปล่า
"มึงอาจจะกำลังรับไม่ได้ แต่เข้าใจกูหน่อยนะ ความรู้สึกของกูมันเกิดขึ้นไปแล้ว และมึงเองก็สำคัญกับกูเกินกว่าที่กูจะนิ่งเฉยโดยไม่พูดไม่บอกอะไรเลย"
"กูไม่ได้รับไม่ได้ กูรู้นะว่ามึงกำลังกังวลอะไร แต่กูไม่ได้กำลังรู้สึกอย่างนั้น"     
"แล้วอะไรที่มึงกำลังรู้สึก"       ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังคาดคั้นมันอีกแล้ว
"มึงแน่ใจเหรอว่ามึงอยากรู้สิ่งที่กูกำลังคิดกำลังรู้สึก"       คำถามมันทำให้ผมกลัว
"ตอนนี้ไม่อยากรู้แล้ว"       ผมรู้แค่ว่ามันไม่ได้รังเกียจ ผมควรรับรู้ในสิ่งที่สบายใจแค่นั้นก็พอ
"อืม ถ้ามึงยืนยันอย่างนั้น จริงๆมันก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่มันน่ากังวลอะไรหรอก อย่าไปใส่ใจเลยมึง เล่าเรื่องของมึงมาดีกว่า กูพร้อมจะฟังละ อ้อ! ตกลงว่าพรุ่งนี้ไปกรุงเทพฯกันนะ แล้วมึงไปฮ่องกงเมื่อไหร่ละ นัดพี่เชนมากินข้าวกันก่อนไปสักมื้อดีไหม หรือยังไงดี"       โอ้ตเป็นแบบนี้เสมอ เวลามีอะไรรบกวนความคิดมันจะระบายโดยการพรั่งพรูคำพูดที่ไม่เกี่ยวข้องออกมา
"โอ๊ต..."       เราต่างก็เงียบหลังจากที่ผมเรียกชื่อมัน
"กูขาดอะไรเหรอแมท กูไม่มีอะไรที่เขาไม่มีวะ"       ผมกำลังพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่มันเพิ่งพูดออกมา
"มึงหมายถึงใคร"       ผมถาม
"เพราะมึงก็เป็นอย่างนี้ เป็นคนแบบที่คอยมองข้ามอะไรที่กูอยากให้มึงมองตลอดเลย ช่างแม่งเหอะ อย่าไปรับรู้มันเลย พูดแล้วก็เครียด ไปแดกหอยดีกว่า"       ผมไม่รู้ว่าผมกำลังเข้าใจถูกไหมว่ามันกำลังน้อยใจ ผมไม่รู้ว่าผมควรคิดให้มากกว่านั้นไหม มันเหมือนมีอะไรบางอย่างมาบอกให้ผมเลือกคิด สิ่งที่โอ้ตได้พูดออกมามันสายเกินกว่าที่ผมจะย้อนกลับไปทำอะไรได้แล้ว                                                                                                                                                                                                                       

   บทสนทนาก่อนหน้านี้ในรถกำลังส่งผลให้มื้ออาหารระหว่างผมกับมันกร่อยลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าผมจะพยายามหยิบจับอะไรให้มันก็ดูจะขัดหูขัดตาไปเสียหมด เหมือนกับว่าการนั่งเฉยๆให้มันคอยทำทุกอย่างให้จะเป็นสิ่งที่ผมควรทำในตอนนี้
"อ่ะ แดกดิ สุกละ"       เสียงเปลือกหอยที่กระแทกลงบนจานอย่างไม่รุนแรงนัก แต่ก็ทำให้ผมรู้สึกได้ว่ามันกำลังประชด
"แดกไม่ลงเลยสัด!"       ผมพ่นออกมาเบาๆไม่ให้มันได้ยิน
"แดกๆเข้าไปเหอะน่า"
"วางเบาๆไม่ได้หรือไงล่ะ"       ยังคงบ่นในลำคอเบาๆเหมือนเดิม
"เรื่องมาก"       เหมือนมันจะได้ยินทุกอย่างที่ผมบ่น และเหมือนว่ามันก็กำลังพยายามอยู่เหมือนกันที่จะไม่เอาอารมณ์หรือความรู้สึกไม่ดีมาลงกับอาหารมื้อนี้

   ความอึดอัดยังคงไม่หายไปถึงแม้ว่ารถจะพาผมและมันมาจนถึงหน้าบ้านของผมแล้วก็ตาม ผมกลัวว่าความอึดอัดนี้จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเรามันแย่ลง แต่การที่ผมจะแก้ไข ก็ควรรู้ก่อนว่ามันเกิดขึ้นจากอะไร ถ้าผมเป็นมันผมคงรู้สึกน้อยใจไม่น้อยที่เพื่อนที่น่าจะเข้าใจกันมากพอกลับมาถามทั้งๆที่ควรจะรู้

"มึง"       ผมเรียกมันเบาๆก่อนจะพาตัวเองลงจากรถ
"หืม"       
"พรุ่งนี้..."
"ไม่ต้องห่วงน่า กูบอกว่าไปก็ไปสิ กูรับปากมึงไปแล้วนะ"       มันตอบขึ้นทันที่ที่ผมยังไม่ทันได้ถาม อย่างนี่เรียกว่าเพื่อนที่รู้ใจใช่ไหม
"กูกลัว"
"กลัวอะไร กูพูดแล้ว ต่อให้กูไม่ได้บอกว่าจะไปแต่แค่มึงมาบอกขอให้กูไปด้วย กูก็ไม่มีทางปฏิเสธมึงหรอก มึงรู้ใช่ไหม"       คำพูดของมันทำให้รู้สึกว่าทำได้แค่ก้มหน้าอยู่อย่างนั้น ทำไมอะไรๆก็ดูจะเป็นใจให้ผมรู้สึกขอโทษมันไปหมด
"ลงไปได้แล้ว พรุ่งนี้เช้าเจอกัน สักกี่โมงดี"       มันหันหน้ามาถาม
"...."       แต่ผมกลับเอาแต่ก้มหน้า
"ตกลงว่ายังไงครับ"
"สัก 9 โมงไหม เผื่อมึงจะได้ตื่นสายหน่อย"       ผมบอก
"แล้วแต่ กูตื่นเช้าได้นะ จะให้กูตื่นตี 5 ยังได้เลย"       ถ้านี่เป็นภาวะปกติระหว่างเรา ปกติแบบที่ไม่มีเรื่องอะไรในใจอย่างตอนนี้ผมคงหันไปแกล้งมันแล้วว่าเจอกันตี 5 ละกัน แต่ตอนนี้แค่จะหันมองหน้ามันยังไม่กล้าเลย
" 9 โมงนั่นแหละดีแล้ว กูไปก่อนนะพรุ่งนี้เจอกัน"       พูดจบผมก็รีบลงจากรถทันทีโดยไม่ได้ฟังมันพูดอะไรต่อจากนั้น

   โจทย์สำหรับคืนนี้คือผมต้องแก้ให้ได้ว่าโอ้ตกับผมมันมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติไป อะไรในแบบที่ผมไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงหรือจริงๆแล้วมันอาจจะไม่มีอะไรเลย ผมเหมือนเพื่อนที่เห็นแก่ตัวละเลยความรู้สึกมันมาโดยตลอด วันนี้มันชัดเจนแล้วว่าโอ้ตเองก็มีความรู้สึก ไม่ใช่สิผมควรบอกว่าโอ้ตมันก็รู้สึกไม่ต่างกัน ทุกคนมีความรู้สึกเพียงแต่จะรู้สึกถึงมันหรือไม่ ผมคิดเอาเองฝ่ายเดียวมาตลอดว่ามันไม่ได้คิดอะไร และวันนี้สถาณการณ์ทุกอย่างได้บอกผมหมดแล้วว่ามันเองก็รู้สึก

.......................................................................




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7

ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0


"เห้ออออ"
"ถอนหายใจหนักขนาดนี้คิดถึงพี่หรือมีเรื่องไม่สบายใจกันแน่ครับ"       เสียงที่ดังขึ้นด้านหลังระหว่างที่ผมกำลังเลื่อนเปิดประตูรั้วบ้าน
"พี่เชน......"       ผมเรียกชื่อคนที่ยืนอยู่ในรั้วบ้านข้างกันด้วยเสียงเนือยๆหลังจากหันไปตามเสียงที่ได้ยิน
"ทำไมเสียงแฟนพี่ถึงฟังดูเหนื่อยขนาดนั้นละครับ"       ถ้าแค่เหนื่อยกายเสียงหวานๆแบบนี้คงทำให้ผมหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
"พี่เชน..."       ผมยังคงเอาแต่เรียกชื่อพี่เชนเพียงอย่างเดียว
"มานี่หน่อยสิ"       ทั้งๆที่อยากเข้าบ้านไปอาบน้ำให้สมองโล่ง แต่พอพี่เชนเรียกผมก็เดินตามเสียงไปเพื่อยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าของเสียงเรียกนั้น เหมือนหมาที่ติดเจ้าของเลย
"พี่เชนนนนน..."       เสียงเรียกที่เอื่อยและฟังดูอ้อยอิ่งขึ้น รู้สึกหมั่นไส้ตัวเองขึ้นมานิดหนึ่งหลังจากได้ยินเสียงที่ตัวเองเรียกออกไป
"เป็นอะไรไปครับ"       รอยยิ้มที่ระบายบนใบหน้าพี่เชนมันทำให้ผมปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆว่ามันดูดีมากๆและมันกำลังทำให้ผมยิ้มตาม ผมเอาแต่มองตามรอยยิ้มนั่นจนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าพี่เชนพาผมเดินเข้ามาในบ้านได้อย่างไร
"ดูทำหน้าเข้าสิ"       พี่เชนพูดก่อนจะเอามือบีบที่ปลายจมูกผมเบาๆ
"กอดหน่อย"       พอผมบอกอย่างนั้นพี่เชนก็ดึงตัวผมเข้าไปในอ้อมกอดทันที กอดเบาๆที่ทำให้รู้สึกอบอุ่น กอดแบบที่ผมอยากได้
"ทำไมเป็นแบบนี้...หื้ม"       ผมไม่ได้ตอบออกไป ทำแค่กระชับอ้อมกอดพี่เชนให้ใกล้และแน่นขึ้น
"..."       ตอนนี้รู้แค่อยากกอด ไม่อยากตอบไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้น
"ไหนปล่อยก่อนสิ คุยกันก่อนว่าเป็นอะไร"       ไม่พูดเปล่าพี่เชนเอื้อมมือไปดึงแขนผมที่ประสานกันไว้ที่ด้านหลังตัวเองออกก่อนจะจับไหล่ผมแล้วก้มหน้าตัวเองลงเล็กน้อยเพื่อให้สายตาเราอยู่ในระดับเดียวกัน
"หนักใจอะไรไหนบอกพี่สิ"       ผมเงยหน้าขึ้นมองตาพี่เชน สายตาที่ถ่ายทอดความอบอุ่นออกมาทำให้ผมรู้สึกเบาใจขึ้น
"โอ้ต...โอ้ตไม่เหมือนเดิม...และสาเหตุน่าจะมาจากแมท"       เพราะเรามองตากันขณะพูดทำให้ผมรู้ว่าสายตาพี่เชนเปลี่ยนไปเมื่อสิ้นเสียงคำสุดท้าย
"..."       
"แมทกลัว"       
"..."       พี่เชนไม่ตอบอะไร ทำแค่ดึงตัวผมเข้ามากอดอีกครั้ง
"พี่ว่าแมทคิดมากไปไหม"       ผมถาม
"ทำไมแมทต้องเป็นฝ่ายคิดมากคนเดียวล่ะ ในเมื่อแมทไม่ใช่คนผิด"       พี่เชนพูดแล้วลูบหัวผมเบาๆไปด้วย
"แมทคิดเพราะที่ผ่านมาแมทไม่เคยคิดเลยไงล่ะ แมททำร้ายความรู้สึกมันมาโดยที่ไม่รู้ตัวตลอดเลย ว่าแต่ทำไมพี่ถึงบอกว่าแมทไม่ผิดล่ะ"       ผมสงสัยในคำพูดของพี่เชน พี่เชนพูดเหมือนคนที่รู้เรื่องทุกอย่างดี
"เมื่อรู้สึกเองก็ต้องรับผิดชอบเอง แมทเข้าใจที่พี่พูดไหม"       ผมส่ายหน้าทั้งๆที่ยังซบอยู่บนอกพี่เชนอย่างนั้น
"แมทรู้หรือเปล่าว่าโอ้ตกำลังรู้สึกกับแมทแบบไหน"       สิ่งที่พี่เชนถามทำให้ผมไม่กล้าแม้แต่จะคิดอะไรต่อเลยจริงๆ
"พี่อยากให้เรื่องนี้เป็นความลับตลอดไปนะ แต่ถ้ามันกำลังกวนใจแมทพี่คิดว่าแมทก็ควรรู้ไว้ พี่ไม่อยากให้แมทไม่มีความสุขหรือกังวลใจ ถ้าความสุขของพี่ไม่มีความสุขแล้วพี่จะยังมีความสุขอยู่ได้ยังไง"       ผมกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นหลังจากพี่เชนพูดจบ แค่นี้แหละที่ผมต้องการ คนที่พยายามจะทำให้ทุกวันของเรามีแต่ความสุข
"ขอบคุณนะพี่เชน ขอบคุณที่ความสุขของพี่คือแมท"
"เพราะคนที่พี่รักคือแมท ความสุขของพี่ก็คือแมทไม่มีทางเป็นคนอื่นแน่นอนครับ"       

.......................................................................


   ผมตื่นขึ้นมาอย่างไม่สบายใจนัก แน่ล่ะเรื่องโอ้ตยังคาราคาซังในใจอยู่เลย จะให้ตื่นขึ้นมาอย่างมีความสุขเพียงเพราะคำพูดหวานหูของพี่เชนก่อนนอนนั้นคงเป็นไปไม่ได้ วันนี้ระหว่างเราทั้งคู่คงอึดอัดมากแน่ๆ ผมภาวนาเพียงอย่างเดียวว่าอย่าให้เป็นอย่างที่พี่เชนคิด ผมยังคิดไม่ตกเลยว่าควรรู้สึกอย่างไรหากมันเป็นเรื่องจริง
   
   และไม่ผิดจากที่คาดเอาไว้ โอ้ตมาก่อนเวลาเสมอ อย่างที่เคยบอกว่าไม่มีครั้งไหนเลยที่ผมต้องเป็นฝ่ายไปรอมัน ครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมลงมาข้างล่างก็เห็นมันนั่งคุยกับแม่อยู่ก่อนแล้ว ทุกอย่างดูปกติจนเหมือนจะเป็นผมเองที่รู้สึกว่ามันไม่ปกติ
"แมทมาพอดี มากินข้าวเร็ว โอ้ตมารอสักพักละนะ"       แม่บอกก่อนลุกออกจากเก้าอี้ ผมทำแค่พยักหน้าเบาๆกลับไป ผมเดินเข้าไปตบเบาๆบนบ่าของโอ้ตที่นั่งหันหลังอยู่ก่อนจะเดินเลยไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
"เก้าโมงแล้ว"       มันพูดทั้งๆที่ยังก้มหน้ามองแผ่นขนมปังบนจาน
"กูตรงเวลา มึงมาก่อน"       ก็ในเมื่อบอกว่าเก้าโมง ผมเจอหน้ามันตอนเก้าโมงตรงพอดี ก็ถือว่าตรงเวลาสินะ ถึงแม้จะพูดอย่างนั้นแต่ก็ยังรู้สึกอายแก่ใจนิดๆอยู่ดี
"กูก็ยังไม่ได้จะว่าอะไรเลย แค่บอกให้มึงรู้ว่าเก้าโมงแล้ว"       มันพูดด้วยท่าทางนิ่งๆ ไม่มีปฏิกิริยาใดๆหลังจากนั้น ผมเองก็ไม่มีคำพูดใดจะตอบกลับไป
"แล้วนี่จะให้ใครไปส่ง"       แม่ถาม
"คงจอดรถไว้ที่สนามบินแหละครับเพราะกลับเย็นนี้เลย ใช่ไหม"       มันตอบแม่ในสิ่งที่ผมคิดแล้วตามด้วยทิ้งทายโดยการถามมาทางผม
"ครับแม่ แค่ส่งงานเสร็จหาอะไรอร่อยกินแล้วคงกลับเลย"       แม่พยักหน้ากับคำตอบ
"รีบกินสิ จะได้มีเวลาไปหาอะไรอร่อยกิน"       ได้ยินมันพูดอย่างนันผมก็รีบยัดขนมปังปิ้งในจานเข้าปากก่อนจะหยิบกระเป๋าแล้วลาแม่
"ไปก่อนนะแม่ ถึงแล้วแมทจะโทรหาครับ"       พูดบอกทั้งที่ขนมเต็มปากแล้วคว้าแขนโอ้ตให้เดินตามออกมา
"ทีงี้ละรีบเชียวนะมึง"
"อือ กูอยากกินอะไรอร่อยๆกับมึง"
"แค่เนี้ย..."       ผมก็อยากจะบอกว่ามันก็ไม่ใช่แค่นี้ ผมอยากใช้เวลาอยู่กับมันให้นานๆแบบเมื่อก่อนต่างหาก แต่กลับไม่กล้าพูดออกไป เลยทำแค่เงียบแทนคำตอบ

.......................................................................


   ทันทีที่ถึงกรุงเทพฯผมก็รีบเข้าไปส่งงานก่อนเป็นอันดับแรก เหมือนทุกอย่างจะเป็นใจ อะไรๆก็ดูจะราบลื่นไปหมด พี่ชัยตรวจงานอย่างคร่าวๆเสร็จไวราวกับต้นฉบับนั้นมีแค่ 10 หน้ากระดาษเท่านั้น ผมไม่ต้องเอางานกลับมาแก้ ไม่ต้องกลับมาส่งงานซ้ำ เหลือแค่ส่งพิสูจน์อักษรทุกอย่างก็จะเรียบร้อย นี่เป็นผลดีจากการที่ส่งพลอตเรื่องล่วงหน้าและทยอยส่งเรื่องเข้ามาคุยกับพี่นางเป็นระยะๆ งานเลยไม่มีจุดที่ต้องแก้มากนัก อะไรที่มันขัดๆหรือผิดพลาดก็ถูกแก้ไขไปหมดแล้ว

   หลังจากออกจากออฟฟิศพี่ชัยมาผมกับโอ้ตก็พากันไปที่เดิมๆที่เราเคยไปด้วยกัน พากันไปกินร้านอาหารร้านประจำของเรา มันดีมากเลยนะที่เราได้เหมือนย้อนกลับไปหาช่วงเวลาเดิมๆอีกครั้ง มันคงไม่รู้ว่าผมดีใจมากแค่ไหนที่มันจำร้านโปรดของผมได้ทุกร้าน เรียกได้ว่า 1 วันนี้เราได้ใช้เวลาด้วยกันอย่างเต็มที่ เราแบ่งปันเวลาร่วมกันอย่างเมื่อก่อนที่เคยเป็น แต่มีสิ่งหนึ่งที่ต่างออกไปคือความอึดอัดใจที่ไม่รู้ว่ามีแค่ผมหรือเราทั้งคู่กำลังรู้สึก
   
   ผมพยายามหลายต่อหลายครั้งที่จะถามมัน แต่ก็กลัวจะทำให้บรรยากาศระหว่างเราที่กำลังดีอยู่ตอนนี้มันแย่ลงไป ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรบรรยากาศระหว่างเราถึงเปลี่ยนไปขนาดนี้ ไม่สิผมไม่แน่ใจต่างหากไม่ใช่ไม่รู้ ความคิดในหัวถูกแยกออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งที่ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดีบอกให้ผมเริ่มต้นปรับความเข้าใจกับมัน อีกฝั่งที่ก็ไม่รู้อีกเหมือนกันว่าดีหรือไม่บอกว่าอย่าไปฟื้นฝอยอย่าไปสะกิดอะไรที่ไม่ควรรู้หรือไม่ควรพูดถึงมัน แต่ดูเหมือนฝั่งที่อยากให้ปรับความเข้าใจจะกินพื้นที่ความคิดไปกว่าครึ่ง ผมควรจะคุยกับมันสินะ นั่นสินี่คงเป็นวิธีที่จิตใต้สำนึกของผมเลือกให้ทำเพื่อที่รักษาเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิตไว้
   
"โอ้ต"       ผมเรียกชื่อมันด้วยน้ำเสียงจริงจังหลังจากที่เครื่องขึ้นไม่นานและสัญญาณรัดเข็มขัดที่นั่งดับลง
"หืม"       มันเงยหน้าขึ้นมาตอบพร้อมกับเลิกคิ้วเชิงสงสัย
"ถามจริงๆนะ"
"อือ...ว่า"       มันตอบพร้อมพยักหน้า
"ไม่ดีเลยว่ะในขณะที่กูกำลังมีความสุขแต่อีกมุมนึงกูก็เห็นมึงเหมือนไม่โอเค มึงกำลังน้อยใจกูอยู่หรือเปล่าวะ"       ผมถามออกไปพร้อมกับมองหน้ามัน
"ใช่"       มันตอบขึ้นมาทันทีที่ผมพูดจบ ไม่คิดว่าคำตอบจะออกมาเป็นรูปแบบนี้       
"อะไรเป็นสาเหตุวะ ตัวกูเหรอ มึง...กูขอโทษ"       ผมกังวลมากเมื่อได้ยินคำตอบนี้ บอกตรงๆว่ามันไม่ใช่คำตอบในแบบที่คิดว่าจะได้
"ทำไมมึงคิดแบบนั้นหล่ะ"       มันพูดก่อนจะหยิบนิตยสารด้านหน้าที่นั่งมาอ่านแทนที่จะมองหน้ากัน
"ถ้ารู้สึกก็แค่พูดออกมา ไม่เห็นต้องพยายามกลบเกลื่อนเลยนี่หว่า มึงไม่ใช่คนเก็บอาการ แต่นี่มึงนิ่งกับทุกเรื่องที่กูเล่าให้ฟัง แถมยังไม่ค่อยมีความเห็น แล้วมึงที่เคยเป็นคนที่พร้อมจะอธิบายทุกเรื่องที่กูสงสัย แต่ตอนนี้มึงกลับบอกปัดว่าอย่าไปรู้เลย ทำไมมึงเป็นแบบนี้วะ"       ผมพยายามก้มหน้ามองมันเพื่อขอคำตอบ ในขณะที่มันกลับก้มหน้าอ่านหนังสือด้วยท่าทีนิ่งๆ
"กูดูเหมือนคนกำลังกลบเกลื่อนเหรอวะ ไม่เอาน่า อย่ากลายเป็นคนคิดมากดิ"       มันทำแค่ระบายยิ้มและส่ายหัวเบาๆ
"แต่กูรู้สึกแปลกๆ"       ทำไมดูเหมือนมีแค่ผมที่กังวล ดูเหมือนมีแค่ผมที่รู้สึกแปลกๆ
"มึงเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าแปลกเหรอวะ มึงกำลังจะไปรักคนอื่น มึงรักเขาโดยที่มองข้ามความรักความรู้สึกของกูไป เพราะกูรักมึงไม่มากพอหรือเปล่า กูถึงต้องมานั่งเสียใจที่มึงกำลังจะไปจากกู"       ความคิดของผมหยุดแล่นทันทีที่มันพูดจบ
"มึง..."       ผมเรียกมันเบาๆ ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ผมควรพูดหรือรู้สึกอะไร ผมไม่มีคำตอบสำหรับทุกคำถามที่มันพูดมา
"..."
"..."       ทั้งผมและมันต่างเงียบ
"..."
"โอ้ต..."       ผมเรียกชื่อมันขณะที่พยายามมองหน้ามันอยู่อย่างนั้น มองให้แน่ใจว่าทุกอย่างที่ผมคิดมันเป็นเรื่องจริง
"ฮ่าๆๆ หน้างงเลยสัด รู้สึกผิดหรือไง"       เสียงหัวเราะดังขึ้นหลังจากมันหันมาสบตาผม
"ใช่เรื่องล้อเล่นเหรอวะ"       ผมรู้สึกได้ว่านี่มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ผมสัมผัสได้ว่าทุกคำพูดที่มันเอ่ยมาเป็นเรื่องจริง
"เออๆ กูขอโทษ กูอาจจะยุ่งๆเรื่องงานละมั้ง จะสิ้นเดือนแล้วด้วย ลืมๆที่กูพูดไปเถอะ มึงก็มีพี่เชนแล้วนี่หว่า อย่างอแงดิวะ"       มันยื่นมือมาจับหลังมือผมที่วางอยู่บนตักตัวเอง
"กูไม่ได้งอแงนะ กูรู้สึกจริงๆ"       
"โอเคๆ กูจะมีเวลาให้มึงมากขึ้นดีไหม งั้นเริ่มจากถึงบ้านแล้วไปกินไอติมกันเลยป่ะ"       มันคงไม่มีประโยชน์ถ้าเจ้าตัวเองก็ทำเหมือนอยากจะให้ลืมมันไป
"เนี่ยๆๆๆ มึงไม่รู้สึกตัวเหรอวะโอ้ต ชื่อเรียกสารพัดผู้หญิงที่มีให้แค่เฉพาะกูหล่ะหายไปไหนแล้ววะ ไหนจะน้ำเสียงเนือยๆนี่อีก มันมีตรงไหนที่เรียกว่าไม่เปลี่ยนไปวะ"       เปลี่ยนไปงอแงเรื่องใหม่คงจะอึดอัดน้อยกว่า
"โอเคค่ะ โอเค แม่ยอดขมองอิ่มของพี่ ไปแดกไอติมให้หายงอนดีกว่านะจ๊ะ"
"ใช่ ปกติมันต้องแบบนี้"       ผมพยักหน้าพร้อมพูดบอกมัน
"นี่ตกลงกูหรือมึงกันแน่วะที่กำลังน้อยใจ"       ผมเลือกที่จะปล่อยให้คำถามของมันเป็นตัวปิดบทสนทนาของเราโดยการไม่ตอบ ผมรู้ว่าผมควรพาความคิดตัวเองไปอยู่ตรงจุดไหน ผมไม่อยากคิดว่าถ้าหากไม่มีพี่เชนระหว่างผมกับมันจะเป็นยังไง ผมนึกภาพไม่ออกจริงๆ ไม่สิผมไม่ควรคิดถึงมัน และผมก็ไม่ควรเอ่ยขอโทษ ไม่รู้ว่านี่เรียกว่าเห็นแก่ตัวไหม แต่มันมาช้าไป ความรู้สึกทั้งหมดที่พอจะรู้สึกได้มันกลายเป็นของพี่เชนไปหมดแล้ว

.......................................................................


♡ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^^*
♡ขอโทษที่หายไปนานนะคะ ไม่มีอะไรจะแก้ตัวนอกจากคำว่าขอโทษจริงๆค่ะ ไม่อยากจะใช้คำว่าหายไปเพื่อหาแรงบันดาลใจเลย เพราะมันไม่ใช่ทั้งหมด หายไปเพราะติดพันอะไรบ้างอย่างด้วยแหละ ให้อภัยเรานะ ㅠㅠ
♡ความผิดอีกอย่างคือหายไปโดยไม่ได้เข้ามาแจ้งเลย กลับมาอีกทีรักระหว่างรอก็โดนลบไปแล้ว เพราะงั้นอนาเลยคิดว่าจะทำให้ดีทีละเรื่องดีกว่า ขอพักเรื่องรักระหว่างรอไว้ก่อนนะคะ ขอโทษคนอ่านด้วยน้า
♡ไปคุยกันเกี่ยวกับนิยายหรือความเห็นได้ในทวิตเตอร์นะคะ @iamanana_anana อนาคิดไว้ว่าอีกสักพักจะทำเพจออกมาเพื่อไว้ติดต่อพูดคุยกัน ขอบคุณที่ยังอยู่อ่านรักระหว่างทางไปด้วยกันนะคะ
♡แวะไปติดแท็ก #รักระหว่างทาง พูดคุยกันได้เหมือนเดิมนะคะ
♡แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะคะ ขอบคุณค๊า




ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
หายไปนานมว้ากกกกกกกกกก

แต่เราเข้าใจ ชีวิตมันเรื่องเยอะ ><

อย่าหายไปนานๆอีกนะคะ ชุ้บ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
ถ้าแมทไม่ได้คิดจะรักพี่เชน
แมทมั่นใจมั้ยว่าจะรักโอ๊ตได้แบบที่โอ๊ตรัก
ถ้าแมทสามารถรักโอ๊ตได้ โคตรสงสารโอ๊ตเลย

ออฟไลน์ Shonteen

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
ก่อนแม่หลินจะขับรถออกตัวจากลานจอดรถ ฉันก็พาร่างท้วมๆเข้าไปยืนขวางรถของแม่เด็กหลิน ฉันเห็นสีหน้าประหลาดใจปนเศร้าเพราะตาขาวดูแดงๆเหมือนจะร้องไห้

ป้าก็เดินเข้าไปแล้วสะบัดมือขึ้นพองานเคาะกระจกข้างด้านที่แม่หลินอยู่

กระจกก็ค่อย/เลื่อนลง

ฉันไม่รีรอให้แม่หลินถาม

ก็ยกมือขวาขึ้นแล้วยื่นเข้าไปดีดกระโหลกแม่หลินเบาๆ

"หล่อนมันห่วย"

นี้ป้าพูดอะไรออกไป แต่ก็รู้ว่าตัวเองกำลังมองหน้านังเด็กคนนี้ พร้อมกับแบะคว่ำปาก ด้วยแววตายิ้มอ่อนๆแต่มองแรงใส่ตอนท้าย

แล้วก็สะบัดหน้าเดินออกไป

ออฟไลน์ why yyy

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +309/-8
ขอบคุณ :)

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
เราเป็นโอ๊ตก็คงไม่บอกรัก เพราะอาจจะไม่ได้รักตอบ และเสียเพื่อน คงต้องทำใจอย่างเดียว

ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0

ตอนที่ 29


Matt Part


"4 ชั่วโมงต่อจากนี้พี่จะต้องมีความสุขมากแน่ๆ"       ประโยคแรกหลังจากเครื่องทะยานตัวขึ้นฟ้า ความรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ ความรู้สึกหัวใจพองโตของคนที่กำลังมีความรักประทุอยู่ในอกผมอีกครั้ง
"พี่เชน"       
"ครับ"
"พี่เชน"
"แมทกลัว"
"พี่ไม่รู้มาก่อนเลยนะว่าแมทกลัวเครื่องบินด้วย"
"ไม่ใช่"
"งั้นก็กลัวความสูงเหรอหรือว่ากลัวที่แคบ"
"แมทกลัวสิ่งที่เรากำลังจะไปเจอต่างหาก"
"หมายถึงครอบครัวพี่เหรอ"
"แมทควรเก็บอาการให้ได้ดีกว่านี้ แมทควรตั้งสติให้ได้ แมทขอโทษนะพี่เชน มันไม่ง่ายเลยจริงๆ"
"พี่เข้าใจนะว่าแมทกำลังรู้สึกยังไง แต่พี่อยู่ข้างๆ เชื่อใจพี่สิ"
"เชื่อแต่มันคนละประเด็นกันนะ"
"ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าแมทจะต้องเจออะไร ระหว่างเราจะยังเหมือนเดิม"       ยอมรับว่าคำพูดพวกนี้มันทำให้อุ่นใจแต่ในเมื่อสถานการณ์มันเปลี่ยนไป จะให้วางใจว่าครอบครัวเขาจะมองเราได้แบบเดิมไหมนั่นมันก็กลายมาเป็นคำถามกวนใจอยู่ตลอดเวลา
"ขอบคุณนะ"       รอยยิ้มที่ไม่ค่อยเต็มยิ้มแบบนี้คงทำให้พี่เชนไม่ค่อยสบายใจนัก แต่ผมก็ฝืนเก็บมันไว้ไม่ได้จริงๆ
"หลับสักพักไหมเผื่อจะได้ดีขึ้น"       ผมไม่อยากตอบอะไรทั้งนั้น สิ่งที่ผมเลือกทำคือหลับตาลงแล้วจมอยู่กับความคิดตัวเอง       

   สำหรับผมแน่นอนว่าครอบครัวมีส่วนสำคัญต่อการตัดสินใจในทุกๆเรื่อง แล้วกับครอบครัวพี่เชนล่ะในเมื่อผมให้ความสำคัญกับครอบครัวผมก็อยากจะรักคนที่ให้ความสำคัญกับครอบครัวเช่นเดียวกัน ต่อให้มีความคิดสมัยใหม่แค่ไหนมันก็ไม่ง่ายนักหรอกที่จะรับให้ได้เมื่อเรื่องราวเหล่านั้นมันใกล้ตัวไม่ใช่สิมันยิ่งกว่าใกล้ มันคือเรื่องในครอบครัวมันคือเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเราเอง แน่ล่ะว่ามันอาจจะทำใจยาก ผมไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตอนนี้ได้เลย ที่ฝ่ามือก็เต็มไปด้วยเหงื่อราวกับคนวิตกจริต 

.......................................................................


   ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตอนไหน ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน แต่สะดุ้งตื่นขึ้นมาก็พบว่าคนข้างๆก็กำลังหลับตาอยู่เช่นกัน ยังดีที่พี่เชนเลือกเที่ยวบินดึก ยังพอให้เคลิ้มหลับได้ง่าย แต่ถ้าเป็นตอนกลางวันผมคงกระสับกระส่ายน่าดู หลังจากพยายามปรับสายตาให้ชินกับแสงได้แล้วก็ค่อยๆเขย่าตัวคนข้างๆเบาๆ
"พี่เชนๆ"       ส่งเสียงเรียกเบาๆเพราะกลัวว่าจะไปรบกวนคนข้างๆ
"..."       ดูเหมือนพี่เชนจะไม่รู้สึกตัว
"พี่ตื่น ใกล้ถึงแล้ว"       ไฟในห้องโดยสารถูกเปิด สัญญาณรัดเข็มขัดที่นั่งก็แสดงขึ้น ตอนนี้คงใกล้จะถึงฮ่องกงแล้วการเดินทางจากภูเก็ตไปยังฮ่องกงใช้เวลาราว 3 ชั่วโมงครึ่ง เป็นระยะเวลาที่ไม่นานมากแต่รู้สึกได้ว่านอนหลับเต็มตื่น
"..."       คนข้างๆยังคงนิ่ง คงหลับลึกมากจนไม่ได้ยินเสียงผมไปแล้ว
"ตื่นได้แล้วครับพี่"       ผมเรียกพี่เชนอีกครั้งหลังจากพนักงานต้อนรับเดินมาบอกให้ปรับพนักพิงเก้าอี้ให้ตั้งตรง
"อื้อ ใกล้ถึงแล้วเหรอ"       พี่เชนสะดุ้งตื่นเหมือนคนที่สะดุ้งตัวเพราะตกใจก่อนจะปรับพนักเก้าอี้ให้ตั้งตรงเหมือนเดิม มันออกจะตลกไปสักหน่อยทั้งที่อยากจะขำแต่กลับขำไม่ออก พี่เชนดูเหมือนคนที่กำลังเหนื่อยมากๆ
"คงใกล้ละ เหนื่อยเหรอ"       พี่เชนกลับทำแค่ส่ายหน้าแล้วก็ยิ้มก่อนจะเอื้อมมือมาคว้ามือด้านขวาของผมไปกุมไว้แล้วค่อยๆหลับตาลงเหมือนเดิม

   สภาวะอารมณ์ที่ผมกำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้คือ ตื่นเต้น กังวล และดูเหมือนมันจะเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้ด้วย สิ่งแรกที่ผมควรทำก่อนที่เครื่องจะลงจอดคือควบคุมอารมณ์ตัวเอง สงบจิตใจและความรู้สึกให้ความตื่นเต้นลดลงเพื่อไม่เพิ่มความกังวลและลำบากใจให้พี่เชน ในเมื่อพี่เชนเคยบอกว่าครอบครัวพี่เชนรู้อยู่ก่อนแล้ว เรื่องมันอาจจะง่ายกว่าที่ผมกังวลไปก่อนก็เป็นได้
   
   ก่อนหน้านี้ผมเคยบอกตัวเองว่าความรักทำให้ผมมองข้ามอุปสรรคทุกอย่างไป เพราะความรักอุปสรรคทุกอย่างจะดูเล็กลงไปจนแทบจะไม่สร้างความกังวลและปัญหาใดๆให้เราทั้งคู่ ครั้งนี้ผมจะทำแบบเดียวกัน และผมก็ยังหวังว่าความรักระหว่างเราจะทำให้ผ่านพ้นความกังวลใจไปได้อีกครั้ง     

.......................................................................


Chen Part


   ท่าทางแมทที่ดูประหม่าตั้งแต่ขึ้นเครื่องมาจนถึงตอนนี้เป็นเวลา 4 ทุ่มแล้ว ตอนที่เรากำลังเดินออกจากสนามบินเพื่อเรียกแท็กซี่กลับบ้าน ท่าทางที่ดูกังวลดูเหมือนจะลดลงแต่ก็ยังฉายชัดในแววตาอยู่ดี อันที่จริงผมก็ไม่รู้ว่าควรทำยังไงให้แมทรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตอนนี้แมทกำลังกังวลที่จะไปเจอครอบครัวผมหรือกำลังกังวลกับการเดินทางมาต่างประเทศอีกครั้งกันแน่

"เรากลับมาเป็นผู้ร่วมทางกันอย่างเป็นทางการอีกครั้งแล้วนะ"       นับจากนี้เป็นต้นไปทุกการเดิน
ทางของผมจะมีคนตรงหน้าเคียงข้างไปในทุกๆที่
"พูดอะไรจริงจังขนาดนี้"       ดูท่าทางก็รู้ว่าที่พูดออกมาแบบนั้นก็เพื่อกลบอาการเขิน
"ฮึๆ เรารีบกลับบ้านกันเถอะ อยากอวดแฟนจะแย่แล้ว"       คว้ามือคนข้างมากุมไว้แล้วออกเดินไปที่จุดจอดรถแท็กซี่
ทั้งที่อากาศยังคงหนาวอยู่แต่เจ้าของมือที่ผมกุมอยู่นั้นกลับมีเหงื่อตามไรผม รวมถึงมือที่ผมกำลังกุมอยู่นี้ด้วย
"อย่าไปกังวลในสิ่งที่ยังไม่ได้เจอเลย เราอยู่ด้วยกันอย่างนี้ไม่มีอะไรที่น่ากลัวอีกแล้ว"       เอนตัวไปกระซิบใกล้หู ผมอยากทำทุกอย่างให้แมทคลายกังวล ครอบครัวผมไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น แต่เพราะผมเองก็เคยต้องรวบรวมความกล้าตอนไปเจออีกฝ่ายมาแล้ว ผมเลยเข้าใจว่ามันไม่ง่ายสำหรับแมทเลย แต่มันก็ไม่ได้ยากจนต้องกังวลอย่างที่แมทกำลังเป็น

   รอยยิ้มที่ค่อยๆระบายบนใบหน้าของแมทมันไม่ได้เป็นรอยยิ้มที่เป็นรอยยิ้มแห่งความสุขซะทีเดียว เรียกว่ายิ้มเพื่อให้ผมสบายใจน่าจะดีซะกว่า

   ผมเองก็ไม่ได้มั่นใจซะ 100% ว่าม๊าจะตกใจแค่ไหน ม๊าเป็นคนเดียวที่ไม่รู้ว่าคือแมท ถึงผมจะไม่แน่ใจว่าป๊ารู้หรือไม่ว่าเป็นใครแต่ป๊าก็นิ่งเกินกว่าจะจัดอยู่ในกลุ่มของคนที่ต้องกังวล ในความสบายใจผมก็ยังเจือความกังวลอยู่บ้าง แค่อยากให้ทุกคนยอมรับและรักแมทอย่างที่ผมรัก
"ไม่ว่าใครจะมีอาการยังไงหลังจากเห็นแมท พี่อยากให้แมทมั่นใจว่าพี่ไม่มีทางเปลี่ยนใจ"       ความมั่นใจที่ผมอยากให้แมทจัดระเบียบมันใส่ความคิดตอนนี้ ไม่ว่าทุกคนจะเปลี่ยนความคิดความรู้สึกไปจากวันที่ผมบอกหรือไม่ แต่ตัวผมเองจะไม่มีทางเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน
"เพราะพี่ความมั่นใจของแมทเลยเพิ่มขึ้น ขอบคุณนะ"         ผมยิ้มให้กับแมทอีกครั้งก่อนจะขึ้นแท็กซี่ อุปสรรคที่เขามาไม่ว่าจะหนักหนาแค่ไหนผมเชื่อว่ามันจะทำให้ความรักเรามั่นคงมากขึ้น และที่สำคัญกว่าอะไรทั้งหมดคือความเข้าใจ ซึ่งสิ่งที่แมทกำลังรู้สึกตอนนี้ผมอาจจะช่วยได้ดีที่สุดแค่แสดงออกว่าเข้าใจและให้ความมั่นใจว่าผมจะคอยอยู่ข้างๆเขาไปตลอด


.......................................................................


   เสียงออดประตูที่ผมเป็นคนกดดังขึ้นเป็นเสียงยาวต่อเนื่อง เราทั้งคู่มาถึงบ้านโดยไร้บทสนทนาใดๆบนรถแท็กซี่ ทำแค่จับมือกันเพื่อส่งผ่านความมั่นใจให้อีกคน
"เชนนี่เอง นึกว่าจะมาถึงดึกกว่านี้ซะอีก"       พี่เชลด้าเป็นคนออกมาเปิดประตู คนข้างๆผมรีบดึงมือออกจากมือผมไปไหว้พี่เชลด้าพร้อมรอยยิ้มที่ดูไร้ความมั่นใจอย่างชัดเจน
"สวัสดีค่ะแมท ในที่สุดก็พามาให้พวกเราได้เจอ ยินดีต้อนรับอีกครั้งนะคะ"       คำทักทายยาวๆของพี่เชลด้าแต่แมทกลับทำแค่ยกมือไหว้อีกครั้ง ดูท่าทางเหมือนแมทจะเกร็งมากกว่าที่ผมคาดเดาไว้ ผมจะคิดเข้าข้างตัวเองได้ไหมว่าเพราะรักมากเลยทำให้แมทกังวลที่จะเจอครอบครัวผมมากขนาดนี้
"เข้าไปในบ้านเถอะ ป๊ากับม๊ารออยู่"       พี่เชลด้าเดินนำเข้าไปในบ้าน ผมผายมือให้แมทเดินเข้าไปก่อนที่ผมจะเดินตามไป
"ใครมาน่ะเชลด้า เชนหรือเปล่า"       เสียงม๊าที่ถามทั้งๆที่กำลังหันหลังให้อยู่ในส่วนของครัว
"ม๊ามาดูเองสิคะ"       พี่เชลด้าตอบพร้อมกับอมยิ้มน้อยๆ
"ไหนขอดูหน่อยสิว่าใช่อย่างที่เดาเอาไว้ไหม"       เสียงป๊าดังขึ้นก่อนที่จะปรากฎตัว
"สวัสดีครับคุณลุง เอ่อ...ป๊า...เอ่อผม"       คนข้างๆก็รีบทักทายทำความเคารพทันทีที่ป๊าพาตัวเองพ้นจากประตูห้องน้ำ
"ใช่อย่างที่คิดจริงๆด้วย ฮ่าๆๆเรียกอย่างที่เคยเรียกสิ จริงๆต้องเรียกอย่างที่เคยเรียกนะ อย่างนั้นล่ะมันถูกต้องแล้ว ฮ่าๆๆ"       น้ำเสียงและท่าทางที่หัวเราะไปทั้งตัวแบบนั้นดูก็รู้ว่าป๊าถูกใจเหมือนกับครั้งแรกที่เจอกับแมท ผมยังบอกอย่างชัดเจนไม่ได้ว่าท่าทางที่ถูกใจแบบนั้นกำลังถูกใจที่เป็นแมทหรือถูกใจที่ตัวเองเดาถูก แต่ไม่ว่าจะอย่างไหน รอยยิ้มที่ฉายชัดอยู่บนหน้าแมทมันกว้างขึ้นและไม่อึดอัดเหมือนก่อนหน้านี้
"ไหนขอม๊าดูหน้าลูกชายคนใหม่ของบ้านเราหน่อยสิ"       ประโยคและน้ำเสียงที่อบอุ่นของม๊าทำให้ใบหน้าที่เคยกังวลของคนตัวเล็กข้างๆผมคลายลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
"ไม่น่าตกใจหรอก คนคุ้นเคย"       ป๊ารีบตอบก่อนที่ม๊าจะเดินพ้นจากส่วนครัวออกมา
"หืม"       เสียงตอบรับของม๊าที่เหมือนสงสัย ทันทีที่ม๊าเดินผ่านผนังที่กั้นครัวออกมาแล้วหันมามองทางผมและแมทสีหน้าของม๊าก็เหมือนมีคำถาม ม๊าขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะปรับให้ราบเรียบเป็นปกติ
"น้องแมท"       ม๊าเอียงคอเรียกชื่อแมทด้วยท่าทีงงๆ
"ครับ สวัสดีครับม๊า"       แมททักทายกลับตามด้วยยกมือไหว้
"เอ่อขอโทษนะจ้ะ ม๊าตกใจนิดหน่อย ผิดจากที่ม๊าคาดไปเยอะเลย"       ทุกคนหันมามองหน้าม๊า ผมไม่รู้ว่าทุกคนกำลังสงสัยแบบเดียวกับผมไหม
"ไม่เห็นน่าตกใจ ป๊าทายถูก ฮ่าๆๆ"       ป๊ายังคงแสดงออกถึงความภาคภูมิใจออกมา
"ม๊าคาดไว้ยังไงเหรอครับ"       ผมถาม
"มันออกจะไวไปหน่อยไหมถ้าเป็นน้องแมท"
"จะไวจะช้าก็ความรักจะไปคิดอะไรให้มากมาย มองไปที่อนาคตสิ"       ป๊าพูดบอกพลางลูบไหล่ม๊าหลังจากม๊ามานั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ
"ม๊าก็มองอนาคตนะป๊า ตั้งแต่เชนมาบอกว่ามีคนรักม๊าก็คาดเดาอนาคตของครอบครัวเราทุกวันเลยนะรู้ไหม"       ผมค่อนข้างประหลาดใจเล็กน้อยที่ได้ยินอย่างนั้น ผมรักแมทและอยากให้มันค่อยเป็นค่อยไป การทิ้งความคาดหวังกับความรักมากไปมันมักจะสร้างความอึดอัดใจเสมอ
"จะไปคาดเดามันทำไม ชีวิตของลูกเป็นของลูก เราไม่ควรไปวุ่นวาย"       ผมเห็นด้วยกับสิ่งที่ป๊าพยายามพูดบอกม๊า
"ม๊านึกภาพไม่ออกว่ามันจะเป็นยังไง ม๊าพยายามหาหนังสือมาอ่านหาละครหรือหนังมาดูสุดท้ายทุกๆเรื่องมันมีวิถีแตกต่างกันไปหมด คงเพราะพื้นฐานของแต่ละบุคคลแตกต่างกันเลยทำให้ม๊าจับจุดไม่ได้ว่าควรจะมองอนาคตของลูกๆเป็นแบบไหน"
"ผมขอโทษครับที่ทำให้ม๊าลำบากใจ"
"ไม่ๆเลยจ้ะ อย่าคิดอย่างนั้น ต่อให้เชนคบกับผู้หญิงม๊าก็ต้องมองอนาคตไว้อยู่ดีเพียงแต่มันคงมองออกง่ายกว่านี้ อย่าคิดมากเลยนะน้องแมท"       ต่อให้เป็นผมที่คิดน้อยอยู่แล้วได้ฟังยังต้องคิดมากกับประโยคนี้เลย แล้วคนตัวเล็กข้างๆผมนี่ล่ะ จะรู้สึกไปขนาดไหนแล้ว สีหน้าเรียบเฉยและเปื้อนยิ้มฝืนๆแบบนั้นไม่ต้องเดาแล้วล่ะ คิดไปไกลแล้วเแน่ๆ ผมควรจบบทสนทนานี้แล้วพาแมทไปนอนได้แล้ว
"เดินทางมาเหนื่อยๆไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยมาคุยกันใหม่ ยินดีต้อนรับอีกครั้งนะแมท"       ขอบคุณป๊าสำหรับประโยคที่ช่วยให้ผมไม่ต้องเป็นคนจบบทสนทนาครั้งนี้ด้วยตัวเอง
"ไปที่ห้องกันเถอะแมท จะได้อาบน้ำพักผ่อน ห้องพี่อยู่ซ้ายมือนี้นะ เดี๋ยวพี่ตามเข้าไป"       ผมชี้บอกให้แมทเดินเข้าห้องไปก่อน
"เดี๋ยวนะ ทำไมไปนอนด้วยกัน ม๊านึกว่าจะให้น้องนอนห้องพักแขกซะอีก"       ม๊าพูดขัดขึ้นมาก่อนที่แมทจะออกเดิน
"แต่เป็นผู้ชายทั้งคู่จะแยกกันนอนทำไมละคะม๊า"       สิ่งที่พี่เชลด้าถามคือสิ่งที่ผมเองก็สงสัย
"ม๊าจัดห้องไว้ให้แล้ว ถ้านอนห้องแขกจะสบายกว่าไหมจ้ะ"
"ไม่เป็นไรหรอกครับ ห้องผมก็ไม่ได้แคบขนาดนั้น"       ผมออกเดินพร้อมดันหลังแมทให้เดินไปข้างหน้าเพื่อเข้าไปยังห้องนอนของตัวเอง


.......................................................................


"พี่ไม่รู้ว่าแมทกำลังกังวลอะไรอยู่ แต่ดูท่าทางมันคงมากพอให้คิ้วผูกกันได้ขนาดนี้"       ผมกำลังใช้นิ้วหัวแม่มือคลายปมระหว่างคิ้วให้คนตรงหน้า
"ความคิดมันไม่ได้ห้ามง่ายขนาดนั้น"       คำตอบที่หลุดออกมาจากปากแมทบอกได้ชัดเจนว่าเจ้าตัวกำลังกังวลและยังคงคิดมากอยู่
"พี่รักแมทนะ รู้ใช่ไหม"       คนตรงหน้าพยักหน้าเบาๆทั้งสีหน้าเรียบเฉยอย่างนั้น
"ครับ"
"เข้าไปอาบน้ำพักผ่อนนะ พี่ขอไปคุยเรื่องร้านพี่เชลด้าก่อน"
"ครับ"
"อย่าลืมโทรบอกที่บ้านด้วยล่ะ"       ลูบหัวไปมาเบาๆก่อนจะจูบเบาๆลงบนหน้าผากของอีกฝ่ายแล้วเดินออกจากห้องมาหาพี่เชลด้า


.......................................................................


"ไม่ง่ายอย่างที่คิดละสิ"       นี่คือประโยคแรกที่ได้ยินหลังจากเดินเข้ามาในห้องพี่เชลด้า แทนที่จะถามว่าไปประเทศไทยครั้งนี้เจออะไรมาบ้าง กลับกลายเป็นถามเรื่องที่เพิ่งผ่านไปเมื่อสักครู่ และดูเหมือนพี่เชลด้าจะเห็นเหมือนกันกับผม
"พี่ก็รู้สึกเหมือนกันเหรอ"       พี่เชลด้ารีบพยักหน้ารับทันทีที่ผมถามจบ
"พี่แค่รู้สึกว่าม๊าพูดอะไรแปลกๆ แต่ก็ไม่อยากคิดในแง่ร้าย"       
"ผมก็คิดอย่างนั้น"
"แต่ก็อย่าคิดไปก่อนเลย มันอาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิดก็ได้"       จริงๆแล้วผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้นแม้แต่ในความคิดด้วยซ้ำ
"นั่นสินะ ว่าแต่ร้านเป็นไงบ้าง พรุ่งนี้ตอนเช้าว่าจะเข้าบริษัทก่อน แพทอาจจะกำลังอยากจะบ่นผมที่หายไปนาน"       ผมลานานกว่าที่เกริ่นกับแพทเอาไปไปสามวัน ไม่รู้ป่านนี้จะหัวหมุนกับงานไปแค่ไหน
"พี่ว่าเชนเข้าบริษัทก่อนก็ดีนะ แล้วก็พาแมทออกไปหาอะไรอร่อยๆทาน"
"จริงๆผมตั้งใจว่าหลังจากนั้นจะพาแมทมากินข้าวที่ร้านแล้วเย็นๆเราพาป๊ากับม๊าออกไปกินข้าวนอกบ้านกันไหม"       ครอบครัวผมไม่ได้ทานข้าวนอกบ้านกันมาสักพักแล้ว และนี่ก็ดูเหมือนจะเป็นโอกาสดีที่จะได้ออกไป
"ก็ดีนะ เอางั้นก็ได้ เรื่องร้านไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พี่ว่างมากพอที่จะทำมันให้ดี"       พี่เชลด้าพูด
"ขอบคุณพี่มากนะที่ไม่ไล่ผมออกซะก่อน"
"ใครจะกล้าทำแบบนั้นกัน พี่ซะอีกสิที่ต้องคิดอย่างนั้น ไปนอนเถอะดึกมากแล้ว"
"ครับ ฝันดีนะครับ"
"ฝันดีจ้ะฝากบอกแมทด้วย"       ผมพยักหน้ารับคำก่อนจะเดินออกมาจากห้อง


.......................................................................


   ทันทีที่เข้ามาในห้องนอนของตัวเองก็พบว่าคนช่างกังวลชิงหลับไปก่อนแล้ว ผมทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงข้างๆนั่งมองคนรักที่กำลังหลับไม่รู้สึกตัว เห็นแล้วก็นึกถึงวันที่เจอกันครั้งแรกท่านอนของแมทตอนนี้เตือนให้นึกถึงภาพวันนั้น อันที่จริงแมทไม่เหมือนคนจรจัดเลยสักนิด หน้าตาท่าทางก็ดูสะอาดสะอ้านเกินกว่าจะเป็น ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ผมพูดกระทบกระแทกออกไปแบบนั้น ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการได้นั่งมองใครสักคนนอนหลับจะรู้สึกมีความสุขแบบนี้ รู้สึกได้ว่ากำลังยิ้มมุมปากแล้วค่อยๆกว้างขึ้นเรื่อยๆ ถ้าในหัวผมตอนนี้คือกระดาษเปล่าหนึ่งแผ่น คำเดียวที่อยากจะระบายลงไปก็คือ 'น่ารัก' ไม่ว่างจะมองท่าไหนคนตรงหน้าผมก็เหมาะกับคำว่าน่ารักมากอยู่ดี คงเพราะรักละมั้งถึงได้รู้สึกอย่างนี้

   ค่อยๆเอื้อมมือไปคลายปมระหว่างคิ้วของแมทที่ขมวดเอาไว้ ในขณะที่ผมมีความสุขจนแทบจะล้น แต่คนที่ผมรักกำลังฝันถึงอะไรทำไมถึงได้นอนขมวดคิ้วอย่างนั้น
"อื้อออออ"       รีบกระตุกมือกลับทันทีที่ได้ยินเสียงจากลำคอของคนที่นอนขดตัวอยู่ตรงหน้า
"พี่เชน"       เสียงเรียกหลังจากที่แมทค่อยๆลืมตาแล้วยันตัวขึ้นนั่ง
"กำลังฝันถึงอะไรอยู่หื้ม"
"เข้ามานานแล้วเหรอ"       ดูเหมือนจะไม่ได้ยินที่ผมถาม คงเป็นปกติของคนที่กำลังสลึมสลือละมั้ง
"สักพักละมั้ง ยังกังวลอยู่อีกเหรอ"       ผมถาม
"ก็มันไม่ง่ายที่จะปล่อยวาง"       ผมไม่อยากให้แมทต้องคิดมาก ทุกอย่างมันกำลังไปได้สวย แม้ผมจะไม่เข้าใจนักว่าแมทกำลังกังวลอะไรแต่มันคงไม่พ้นปฏิกริยาที่ม๊าแสดงออกก่อนหนานี้
"พี่คงไม่เก่งพอที่จะห้ามความคิดแมทได้ ดูเหมือนสิ่งเดียวที่พี่ทำได้ตอนนี้คือทำให้แมทมั่นใจและอุ่นใจ"       พูดจบผมก็คส้าตัวคนตรงหน้ามาอยู่ในอ้อมกอด กลิ่นหอมของสบู่และแชมพูที่เคยใช้พอมาอยู่บนตัวของแมทมันกลับให้ความรู้สึกน่าลุ่มหลงหลังจากได้กลิ่น
"แมทขอโทษที่ทำให้พี่เชนเหนื่อยใจ"
"ตัวก็เล็กแค่นี้ แต่ทำไมเวลากอดนี่อบอุ่นจัง"       กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย ผมไม่อยากให้แมทมาขอโทษกับสิ่งที่แม้แต่ตัวแมทเองก็ควบคุมมันไม่ได้
"งั้นก็ต้องกอดแค่แมทแล้วก็ต้องกอดไปนานๆเลยนะ"       เปลี่ยนจากมือที่ประคองกอดที่หลังเอาไว้มาลูบหัวเบาๆหลังจากได้ยินคำพูดที่ฟังดูน่ารัก
"ขอแค่นี้เองเหรอ"       คนในอ้อมกอดทำแค่พยักหน้าอยู่บนบ่าผม
"สิ่งที่แมทขอเป็นสิ่งที่พี่พร้อมจะทำอยู่แล้ว อย่างที่เคยบอกว่าพี่จะไปสัญญาอะไรทั้งนั้น อย่างเดียวที่จะผลักให้พี่ทำในทุกๆอย่างคือมันจะต้องเป็นความสุขของแมท"       แม้ไม่มีคำตอบใดใดหลุดออกมาแต่กอดที่ผมได้รับถูกกระชับให้แน่นขึ้นแค่นั้นก็แทนคำตอบที่ต้องเปล่งเสียงออกมาได้แล้ว

   
.......................................................................



♡ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^^*
♡มาแล้ววววว อิอิ ไม่ได้ลงนานอ่ะเนอะ ลืมเฉยเลย 5555 ทำไมเป็นคนแบบนี้?!?
♡สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้านะคะ เจอกันตอนต่อไปปีหน้าเลย ขอให้เที่ยวให้สนุก อย่าลืมพักผ่อนเอาแรงไว้ลุยงานกันต่อปีหน้า เย้ๆ สู้ๆนะคะทุกคน...รัก ^^
♡อย่าลืมแวะไปติดแท็ก #รักระหว่างทาง กันด้วยน้า
♡แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะคะ ขอบคุณค๊า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
มาลงตั้งหลายวันแล้ว แต่คนอ่านเพิ่งจะได้อ่าน

นั่นซิใครเห็นท่าทางคำพูดม๊า
ก็ต้องคิดมากไม่ต่างกับแมทหรอก
ชอบวิธีการเติมกำลังใจให้กันและกัน

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
คิดถึงเรื่องนีิ

ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
แจ้งข่าว
«ตอบ #202 เมื่อ11-04-2016 18:44:31 »

สวัสดีค่ะ
      จะมาแจ้งว่ายังไม่ทิ้งเรื่องนี้นะ ยังไงก็มีตอนจบแน่นอน แต่อยากเขียนให้จบให้เป็นรูปเป็นร่างจริงๆก่อนแล้วค่อยเอามาลงทีเดียว ไม่งั้นเราก็จะต้องวนลูปเดิมแน่ๆเลย คือพอหมดสต็อกก็หายไปสักพักอีกเหมือนเคย ขอโทษทุกคนที่ติดตามเรื่องนี้สำหรับความไม่สม่ำเสมอของเรา ㅠㅠ มีคำถามว่าเมื่อไหร่แมทจะตื่น ฮ่าๆๆๆ คำตอบคือยังไม่อยากกำหนดระยะเวลาเลย แต่ใกล้ความจริงแล้ว
     ยังไงก็แวะไปคุยไปคอมเม้นกันที่ทวิตเตอร์ @iamanana_anana หรือเพจ Anana ได้เลยนะคะ

ขอบคุณสำหรับการติดตาม ขอบคุณจริงๆ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านด้วยนะคะ

รัก
อนานา

ออฟไลน์ why yyy

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +309/-8
Re: แจ้งข่าวค่ะ
«ตอบ #203 เมื่อ11-04-2016 23:53:55 »

ขอบคุณ :)

ออฟไลน์ Kkookai

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: แจ้งข่าวค่ะ
«ตอบ #204 เมื่อ25-08-2016 23:46:46 »

มาต่อหน่อยจน้า...คิดถึง..

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
Re: แจ้งข่าวค่ะ
«ตอบ #205 เมื่อ29-08-2016 00:10:03 »

ยังคิดถึงเรื่องนี้อยู่นะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด