แจ้งข่าวค่ะ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: แจ้งข่าวค่ะ  (อ่าน 53755 ครั้ง)

ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ต่อตอน 7 ค่ะ

***ตัวหนังสือสีเขียวคือสนทนาเป็นภาษาอังกฤษนะคะ


ระหว่างยืนรอก็หยิบไอแพดมาดูว่าแพลนวันนี้จะต้องไปที่ไหนบ้าง สักพักก็มีข้อความเตือนจากไลน์เด้งขึ้นมา

OATMEAL
     สมร น้องเล่นไลน์ด้วยเหรอจ้ะ

                                                                                  Matt
                                                       สมรไหนวะ มึงทักผิดคนป่ะ

OATMEAL
     ไม่ผิด พี่หมายถึงมึงแหละจ้ะเชี้ยแมท น้องสมรของกู

                                                                                  Matt
                                                                                  ห่า!!!

OATMEAL
     ด่าพี่ทำไม พี่ผิดอะไรคะ

                                                                                  Matt
                                                                            พอเลยมึง
                                                                          แม่งไร้สาระ

OATMEAL
     555
     ใครขุดมึงออกจากถ้ำวะ กูจะเอา 4 จีไปเซ่น
     ไหนๆลองส่งติ้กเกอร์มาให้พี่ดูสิ
     ใช้เป็นป่าวว้า คิคิ อุอิ คึคึ

                                                                                  Matt
                                                            อะไรของมึง คิๆ อุอิ คึๆ

OATMEAL
     แก่วะ ไม่แบ๊วเลยอ่ะ

                                                                                  Matt
                                                 ไม่คุยกับมึงละ เสียเวลาชิบหาย

OATMEAL
     ไรว้า ไม่คิดถึงกูมั่งอ่อ

                                                                                  Matt
                                                                                  ไม่นะ

OATMEAL
     งอนเลย แต่อย่าลืมของฝากพี่จากเมืองจีนนะฮ้า

                                                                                  Matt
                                                                จะบอกให้เผื่อมึงลืม
                                                                กูมาฮ่องกงเถอะสัด!

OATMEAL
     คล้ายๆกันแหละ เวลาเค้าพูดมึงว่าต่างกันปะละ


ยังไม่ทันจะได้ตอบกลับไป ก็ได้ยินเสียงพูดข้างๆหู  "เมื่อกี้ก็ยิ้มคนเดียว ตอนนี้ก็หัวเราะคนเดียว ไหวแน่นะ"

"มาไม่ให้ซุ่มไม่ให้เสียงวะพี่"     ตกใจหมด แล้วจะมายืนใกล้ๆทำไมวะ ที่มีให้ยืนตั้งเยอะ

"เรียกแล้วนะ เห็นไม่หันมา เลยขยับมาพูดใกล้ๆ นึกว่าหูตึง แล้วทำอะไรอยู่"     เรียกแล้วเหรอทำไมผมไม่เห็นได้ยินเลย

"อ่อ อ่านไลน์อยู่"     ว่าจบพี่มันก็ชะโงกหน้ามาดู

"เอามาแอดหน่อยสิ"

"แอดไรพี่"

"แอดไลน์ไง เอามาสิเดี๋ยวทำให้"     ว่าจบพี่มันก็เอาไอแพดไปจิ้มๆสองสามทีแล้วยื่นกลับมาให้

"อ่ะ เรียบร้อย เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ"

"อืมๆ จะเอาไปทำไมพี่ ผมไม่ค่อยได้ใช้หรอก เพิ่งหัดตอนมาที่นี่แหละ อีกอย่างอยู่ด้วยกันเนี่ย พี่จะเอาไปทำไมวะ"     หันหน้าคุยกันไม่ดีกว่าเหรอ จะพิมพ์ผ่านโปรแกรมหรือแอพอะไรนี่ไปทำไมให้เสียเวลา

"ทำให้แน่ใจไงว่าเราเป็นเพื่อนกันแล้ว"

"อะไรวะ"     ผมขมวดคิ้วยกมือขึ้นเกาหัวเพื่อตอกย้ำให้พี่แกเข้าใจว่าผมกำลังงง

"เมื่อกี้คุยกับคนรักอ่ะดิ ถึงได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่"     คนรัก? หือ?!? ไอ้โอ้ตเนี่ยนะ

"เหอะๆ ใช่มั้งพี่ แต่คงเป็นแฟนคลับมากกว่า"     วูบหนึ่งที่หันไปมองผมเห็นพี่มันหน้าเสียนะ นี่ผมพูดอะไรผิดเหรอ

"มีแฟนคลับกับเค้าด้วย ฮะๆเหอะๆ"     หัวเราะอะไรของเค้าวะ แปลกๆ

"ใช่พี่ ไอ้นี่ทั้งแฟนขับแฟนรับแฟนส่ง ทำได้ทุกอย่างอ่ะ เสียอย่างเดียวมันเป็นผู้ชาย ฮ่าๆๆๆ"

"แปลกนะมีแฟนคลับเป็นผู้ชายซะด้วย"     หรือว่าพี่แกไม่เข้าใจที่พูดวะ เออผมก็ลืมไปพี่แกไม่ได้อยู่ไทยนี่หว่า อาจจะงงก็ได้

"จะบ้าเหรอพี่ มันเพื่อนผม ตะกี้ที่พูดเล่น ไม่เข้าใจอ่ะดิ"     พี่มันส่ายหัว

"เกือบเข้าใจ"

"เกือบเข้าใจว่าอะไร"

"เกือบเข้าใจว่ามีคนรักแล้ว แล้วคนรักก็เป็นผู้ชายด้วย"

"ไปกันใหญ่แล้วพี่ พี่ว่ามันไม่แปลกเหรอผู้ชายเป็นแฟนกันหน่ะ"      พี่มันยิ้มแล้วเอามือล้วงกระเป๋าก่อนจะเอ่ยขึ้นมาประโยคนึง

"แฟนที่ว่าก็คือคนรักใช่ไหม สำหรับพี่ พี่ว่ามันไม่แปลกนะ แค่ยังไม่ชินมากกว่า"      พูดจบแล้วก็ออกเดินนำผมไปอีกครั้ง

ไม่แปลกไม่ชินห่าไรของพี่มันวะ แม่งพูดอะไรงงๆ พูดจบแล้วก็เดินไปเฉย ไม่มีอธิบายสักนิด คือจะรู้บ้างมั้ยวะว่าคนฟังโคตรงง

.......................................................................


       โห! คนเข้าคิวรอซื้อตั๋วเป็นสิบแปดแสนล้าน วันนี้จะได้ขึ้นไหม ยาวไม่พอ ต้นแถวยังวนไปวนมาตั้งไม่รู้กี่ทบ พอจะนึกออกไหมครับกับวิธีการต่อแถวเข้าคิวที่ต้องวนไปมาเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้ต่อแถวได้ยาวขึ้นกว่าการเข้าแถวตรงไปเลย

"กี่โมงแล้วพี่"     แถวยาวขนาดนี้กว่าจะได้ขึ้น เกินชั่วโมงนึงแน่นอน

"11 โมงแล้ว"      พี่เชนว่าขณะก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ

"เอาไงดีพี่ คืนนี้ผมจะได้ขึ้นกระเช้าไหม"     คิวยาวซะขนาดนี้

"วันนี้วันอาทิตย์ คนเลยเยอะ จริงๆมันมีอีกวิธีนะ แต่มาที่นี่ก็ต้องนั่งกระเช้านี่ละ"

"อีกวิธีคือ"

"นั่งรถบัสไป แต่มันจะค่อนข้างไกลนะ จะใช้เวลานานกว่า สนใจไหม"     ถ้าผมมาที่นี่แค่เพื่อท่องเที่ยวผมคงเลือกแค่วิธีใดวิธีหนึ่ง แต่นี่ผมมาเพื่อเก็บเกี่ยววัตถุดิบสำหรับนิยายของผม เพราะฉะนั้นทั้งสองทางเลือกจริงเป็นสิ่งที่ควรทำ

"ผมขอเลือกทั้งสองทางเลยได้ไหม อยากลองทั้งคู่"

"งั้นขาไปเราไปรถบัสดีกว่าเพราะถ้าไปด้วยกระเช้าตอนนี้เราอาจต้องรอไปอีกสักประมาณชั่วโมงกว่าเลย สำหรับรอซื้อตั๋ว แล้วก็ต่อคิวเพื่อขึ้นกระเช้า ตอนกลับคนไม่น่าจะเยอะขนาดนี้ ไว้เราค่อยมานั่งกระเช้าขากลับละกัน ดีไหม"

"ครับ"     ว่าแล้วเราทั้งคู่ก็สละคิวที่ต่อมาร่วม 30 นาทีเดินลงไปข้างล่างเพื่อรอขึ้นรถบัส

      ระหว่างนั่งรอรถ พี่เชนก็วิ่งหายไปไหนสักที่ โดยบอกผมแค่ว่า จะรีบไปรีบมา รับรองว่าทัน 15 นาทีก่อนรถจะมาแน่นอนให้นั่งรออยู่ที่ป้ายรถเมล์ อย่าไปไหน ทำเหมือนผมเป็นเด็ก ไม่รู้รึไงว่าถึงไม่บอก ผมก็ไม่ไปไหนอยู่ดี ในเมื่อมีคนนำทางแล้ว จะหาเรื่องใส่ตัวอีกทำไม สู้รอไม่ดีกว่าเหรอ

นั่งรอสักพัก ยังไม่ถึง 10 นาทีพี่เชนก็มายืนหอบหายใจอยู่ข้างๆ ในมือยื่นถุงกระดาษอาหารฟ้าสต์ฟู้ดยี่ห้อที่คุ้นเคยมาให้

"เอาไปรองท้องก่อน เมื่อเช้าเห็นกินข้าวไปนิดเดียว นี่ก็จะเที่ยงแล้ว กว่าเราจะไปถึงที่นู่นคงบ่ายโมง เดาว่าอาจจะหิว"     ผมหันมองหน้าพี่เชนก่อนจะเอื้อมไปรับถุงมาไว้ในมือเสียเอง สังเกตด้วยเหรอว่าผมกินข้าวไปแค่นิดเดียว แล้วพี่แกอาจจะลืมนึกไปก็ได้ ว่าผมมาจากประเทศที่เวลาช้ากว่าที่นี่ 1 ชั่วโมง เพราะงั้นบ่ายโมงที่พี่แกว่า ก็เพิ่งจะเที่ยงสำหรับท้องผม อีกอย่างผมไม่ค่อยกินข้าวตรงเวลาอยู่แล้ว เรื่องนี้จึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับผมเลย

"ครับ"    ผมแค่ตอบรับแล้วก็มองหน้าพี่เชนอยู่อย่างนั้น ก่อนจะถามออกไปว่า

"แล้วของพี่ละ"     ถามเพื่อความแน่ใจว่าชิ้นนี้เป็นของผมก่อนจะก้มหน้าลงแกะห่อ เพราะในมือผมตอนนี้มีแค่แฮมเบอร์เกอร์ชิ้นเดียว แล้วถ้าชิ้นนี้เป็นของผม พี่เชนละ จะว่ากินไปแล้วคงไม่ใช่ เพราะไม่มีทางที่จะใช้เวลาแค่เกือบสิบนาทีในการวิ่งไปซื้อแล้วกินไปด้วยระหว่างทางที่วิ่งกลับมา อีกอย่างไม่มีเศษห่อกระดาษเปล่าในถุงเลยสักชิ้น หรืออาจจะทิ้งระหว่างทาง

"ไม่ละ พี่ยังไม่หิว เมื่อเช้าก็กินไปเยอะมาก แมทกินเลย ไม่ต้องห่วงพี่"     ผมละมือจากการแกะห่อเบอร์เกอร์แล้วเงยหน้ามองพี่แกอีกครั้งทันทีที่ได้ยินคำว่าไม่ต้องห่วงพี่

"เปล่า ไม่ได้ห่วง ทำไมพี่ไม่คิดว่าผมแค่เกรงใจมั่งล่ะ"     พูดจบก็ฉีกห่อซอสแล้วราดลงบนชิ้นเนื้อระหว่างขนมปัง ก่อนที่จะกัดคำโตแล้วรีบเคี้ยวเพื่อทำเวลา

"งั้นก็ไม่ต้องเกรงใจ ถือซะว่าเป็นบริการหลังการขายของทริปนี้ละกัน"

ผมกำลังจะอ้าปากตอบอะไรออกไปสักอย่าง แต่พี่แกยกมือขึ้นปรามเป็นเชิงบอกให้รีบกิน ผมเลยตัดสินใจไม่พูดออกไปแล้วเลือกที่จะรีบกินให้หมดก่อนที่รถจะมา

"รถมาแล้ว เรียบร้อยยัง"     พี่เชนถามขึ้นหลังจากที่ผมเดินกลับมาจากการทิ้งขยะ

"เรียบร้อยครับ"

"ตอนขึ้น ใช้บัตรที่ให้เมื่อเช้าแตะที่เครื่องตามพี่ได้เลยนะ"     สะดวกดีแฮะ ผมพยักหน้ารับรู้ ก่อนที่พี่แกจะหันหลังให้เตรียมขึ้นรถ

หลังจากที่รถจอดเทียบป้าย ผมก็เดินตามหลังพี่เชนขึ้นรถไป ว่างเกือบจะทั้งคัน อาจจะเพราะคนส่วนใหญ่เลือกที่จะเดินทางผ่านกระเช้ากันหมด เลยทำให้แทบจะไม่ค่อยมีคนใช้บริการ

"อ้าว มานั่งนี่สิ"     พี่เชนกวักมือให้ผมไปนั่งข้างๆกัน

"ไม่อ่ะ ที่นั่งว่างเยอะแยะจะไปเบียดกันทำไมให้อึดอัดละพี่ ไว้คนเยอะกว่านี้ค่อยย้าย"     ลองนึกภาพผู้ชายสองคนนั่งเบียดกันบนเก้าอี้แคบๆสิครับ ถึงมันจะถูกทำมาไว้สำหรับนั่งสองคนก็เถอะ ผมว่ามันคงอึดอัดน่าดูถ้าจะต้องให้แขนเบียดกันไปมาตลอดการเดินทาง

"ตามใจ"     แล้วพี่แกก็หันออกไปมองหน้าต่างอีกด้าน ส่วนผมก็เลือกนั่งเก้าอี้แถวเดียวกัน แต่ติดกระจกคนละฝั่ง

รถเคลื่อนตัวไปเรื่อยผ่านทางคดโค้งและธรรมชาติให้มองจนเพลิน สักพักผมก็เคลิ้มๆ เริ่มรู้สึกง่วงจนตาจะปิด เพราะเมื่อคืนก็กว่าได้ได้เข้าห้อง กว่าจะได้นอน แล้วยังต้องตื่นแต่เช้าอีก พอนั่งนิ่งๆแบบนี้ก็เป็นธรรมดาที่จะรู้สึกง่วง
.
.
.
เฮ้ออออ...สบายจัง ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน
.
.
.
เฮ้ย! มองออกไปหน้าต่างด้านนอกทำไมบ้านเอียง ต้นไม้ไม่ตั้งฉากกับพื้นโลกแล้วหล่ะ พอรู้สึกตัวเต็มที่ก็เริ่มสัมผัสได้ ซวยละ หัวผมกำลังไปพิงไหล่ใครสักคนอยู่ คิดในใจ นี่แอบหลับบนไหล่เขามานานแค่ไหนแล้ววะเนี่ย ไม่กล้าลืมตาขึ้นมามองเลย อายฉิบหาย เอาวะนับ 1 2 3 ยกหัวขึ้นแล้วหันไปขอโทษเลยละกัน

หนึ่งงงงง

สองงงงงงงงงงงงงงงง ทำไมระยะในการนับเลขแต่ละตัวของผมมันห่างกันขนาดนี้วะ จะลากหางเลข 2 ให้ยาวเพื่อ?!?

สาม!!! เห้ย ไม่ลุกวะ ลุกสิ ลุก ยกหัวขึ้นเดี๋ยวนี้แมท

'Cause I don't wanna lose you now...โทรศัพท์ใครดังวะ

I'm lookin' right at the other half of me...อ่อ ของคนข้างๆนี่เอง

'The vacancy that sat in my heart...Is a space that now you hold ทำไมยังไม่รับอีก หรือหลับอยู่วะ โอกาสนี้หล่ะรีบลุกเลยแมท Show me how to fight for now ใช่ๆ ไฟท์ฟอร์นาวเลยมึง นึง ส่องงง ซั่ม!

"ใช่ ผมพูดอยู่ ผมคงไม่ได้เข้าไป งั้นรอสักครู่คุณคีน ผมจะส่งไปให้เดี๋ยวนี้แหละ"

"บาย"


ชิททททท! วางแล้วด้วย ฉิบหายละมึงไอ้แมท ตะกี้ละเสือกไม่ยอมลุก ถ้าตอนนี้จะลุกละก็เตรียมตัวอายได้เลยมึง ว่าแต่ว่า...ทำไมเสียงคุ้นๆวะ

"ถ้าตื่นก็ลุกได้แล้วแมท พี่เมื่อย กระดุกกระดิกหัวไปมาอยู่ได้" เฮ้ย เดี๋ยวนะ เสียงไอ้พี่เชน! อายหนักกว่าเดิมอีกไหมละกู ผมรีบยกหัวตัวเองขึ้น มองตรงไปข้างหน้าแล้วรีบพูดเร็วๆ

"เอ่อ...ขอโทษ ขอบคุณ" พูดจบก็เอนหัวไปพิงกระจกอีกข้างแล้วหลับตาทันที

.......................................................................


Chen part

"ไม่ต้องหลับต่อเลย ตื่น จะถึงแล้ว"     ผมรู้นะว่ามันอาย เป็นผมก็คงอายไม่ต่างกัน ฮ่าๆๆ นึกแล้วก็ตลก ขึ้นรถยังไม่ทันถึงสิบนาที หัวของมันก็หมุนครบ 360 องศาตามจังหวะการเข้าโค้งของรถ ผมกลัวว่ามันจะร่วงลงไปนอนกองที่พื้นซะก่อน เลยย้ายมานั่งข้างๆ ตอนแรกก็คิดแค่ว่าถ้ามันร่วงลงไปผมจะได้คว้าไว้ทัน แต่พอมานั่งจริงๆแทนที่ผมจะแค่คอยระวัง ผมดันดึงหัวคนข้างๆมาวางบนไหล่แล้วเลื่อนตัวเองให้นั่งต่ำลงเพื่อให้อีกคนนอนสบายขึ้น ไม่ต้องถามนะ ว่าผมทำไปทำไม เพราะผมก็ไม่มีคำตอบให้ตัวเองเหมือนกัน

"ถึงแล้ว ตื่น!!!"     หันไปมองหน้าอีกฝ่ายดูเหมือนคนที่กำลังพยายามหลับตา คิ้วก็ขมวดไปด้วย

"รถจอดแล้วนะ จะนอนรออยู่ในนี้ก็ตามใจ แต่บอกไว้ก่อนนะว่าถึงยังไงก็คิดค่าจ้างเต็มจำนวน"

"ลงไปก่อนเลย ผมขอจัดการตัวเองแป๊บนึง"

"อืม เร็วๆละ"    ผมพาตัวเองลุกจากเก้าอี้เพื่อจะลงจากรถ ยังไม่ทันจะเดินผ่านเก้าอี้ที่ถัดจากที่ผมนั่งก็ได้ยินเสียงเอ่ยเบาๆ

"รู้แล้ว รีบลงไปเลย อย่าให้ลืมตามาเจอนะ"     ฮ่าๆๆ ถ้ามันไม่พูดแบบนี้ ผมคงลงจากรถไปตั้งนานแล้ว แต่พอได้ยินแบบนั้นผมเลยเลือกที่จะเดินเบาๆด้วยปลายเท้าไปนั่งที่เบาะด้านหลังมัน

"ลงไปยัง"     พอไม่มีเสียงตอบ ผมเดาว่ามันคงลืมตาขึ้นแล้วเพราะเห็นชะโงกหน้ามองหาอะไรสักอย่างสักพักก็เริ่มบ่น

"หน้าร้อนเลยกู เฮอะ! คิดได้เนอะมึง ไอ้แมท แขนชนแขนมันอึดอัด แต่เสือกไปนอนพิงไหล่เขาเฉย อับอายฉิบหาย!"    คงไม่ทันได้สังเกตว่าผมนั่งอยู่ด้านหลัง

"เอาหน้าไปไว้ไหนดีวะ"     มันว่าพลางหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพายหลังเตรียมจะลุกขึ้น

"เอาไว้ที่เดิมนั่นแหละ"

"เฮ้ย! พี่"     มันสะดุ้งแล้วหันมาด้านหลังที่ผมนั่งอยู่

"อ้อ อีกอย่าง อาการที่เป็นอยู่น่าจะเรียกว่าเขินด้วยนะไม่ใช่แค่อาย หน้าแดงเชียว ฮึฮึ"     มันทำหน้าเหวอ อ้าปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง ผมเลยชิงบอกก่อน

"พี่ลงไปรอข้างล่างก่อน อย่านานนักนะ"     พูดจบผมก็รีบเดินลงมาจากรถ ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงบ่นแว่วๆตามหลัง เป็นผู้ชายที่บ่นเก่งพอๆกับผู้หญิงเลยมั้งผมว่า


.......................................................................


❤ในที่สุดก็แก้ได้แล้ว
❤ขอบคุณทุกความเห็นเลยนะคะที่แวะมาให้กำลังใจกัน ตอนที่ 7 แล้ว ^^
❤อยู่ต่อไปเรื่อยๆเป็นเพื่อนกันก่อนนะค๊ะ
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะคะ ขอบคุณค๊า


อือม์ ชักเห็นทางไปแล้วสิ รอติดตามนะคะ

ชึ่อคุณคนเขียนเหมือนกับคำว่า Anana ในภาษาสวีเดนซึ่งอ่านออกเสียงว่า อั้นหน่าน่า แปลว่าสับปะรดค่ะ เกร็จเล็กน้อยค่ะ  :กอด1:


ขอบคุณมากเลยค๊ะ *; ) ความรู้ใหม่ น่ารักจังค่ะ อั้นหน่าน่า



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-12-2014 18:59:50 โดย anana »

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
น่ารักดีจัง

ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3
สนุกจัง :hao7: :katai4:

ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ตอนที่ 8

***ตัวหนังสือสีเขียวคือสนทนาเป็นภาษาอังกฤษนะคะ



Chen part


เราใช้เวลาไหว้พระ เดินเล่น เข้าออกร้านของฝาก ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ

"เหนื่อยรึยัง ไปหาร้านนั่งพักกันไหม แล้วค่อยกลับ"     ผมหันไปถามคนตัวเล็กกว่าที่กำลังพยายามขีดๆเขียนๆอะไรสักอย่างลงในสมุดเล่มพอดีมือ

"อีกแป๊ปนะพี่ ผมขอดูตรงนี้อีกหน่อย"     ตอบผมทั้งๆที่ไม่ได้เงยหน้ามอง

"ได้ๆ พี่ขอไปนั่งรอที่เก้าอี้ตรงโน้นนะ"

"ครับๆ"

       ผมหาที่นั่งแล้วใช้เวลาไปกับการเช็คอีเมล์และทำงานนิดๆหน่อยๆระหว่างรอ หันไปมองเห็นมันเข้าร้านโน้นออกร้านนี้ เลยฆ่าเวลาโดยการอ่านข่าวจากในโทรศัพท์บ้าง มองดูนักท่องเที่ยวผ่านไปผ่านมาบ้าง ผมแทบจะไม่มีเวลามานั่งนิ่งๆมองคนเดินผ่านไปมาแบบนี้สักเท่าไหร่ มันก็ดีเหมือนกันนะผมว่า ได้มองคนอื่นแล้วปล่อยให้ตัวเองเป็นฝ่ายหยุดนิ่งซะบ้าง หลังจากนี้ผมคงต้องหาเวลาให้ตัวเองได้หยุดพัก เดินให้ช้าลง เผื่อผมอาจจะพบความสุขที่กำลังตามหาและสิ่งที่มองข้ามไป นั่งมองไปเรื่อยๆสักพัก มันเพลินจนลืมดูเวลา มองนาฬิกาอีกทีก็เกือบจะสี่โมงเย็น แล้วนี่แมทมันหายไปไหน เมื่อกี้ยังเห็นเดินอยู่แถวๆนี้

       หลังจากมองหาอยู่สักพักก็เจอคนที่ดูคุ้นตากำลังยืนซื้อต่อแถวซื้ออะไรสักอย่างอยู่ในร้านขนม จะว่าไปผมก็เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาแล้วสิ ตอนแรกผมกะว่าจะหาร้านอาหารที่นี่รองท้องไปก่อน เพราะตั้งแต่มาถึงเราทั้งคู่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องกันเลย ยังดีที่แมทได้กินเบอร์เกอร์ไปแล้วเมื่อตอนเที่ยง แต่ผมนี่สิ มัวแต่เดินตามมัน เลยยังไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยนอกจากน้ำเปล่ากับขนมนิดหน่อย แต่คิดอีกทีทนอีกนิด รอกลับไปหาร้านอร่อยๆกินแถวบ้านผมน่าจะดีกว่า ตัวเลือกเยอะดี

"เครื่องดื่มเย็นๆหน่อยไหมครับคุณไกด์"     มันหย่อนตัวลงบนม้านั่งข้างๆผม แล้วยื่นแก้วน้ำมาให้

"เรียบร้อยแล้วเหรอ"

"เรียบร้อยแล้วพี่ ผมได้ข้อมูลครบตามที่ต้องการแล้ว"     พูดพลางยกสมุดขึ้นมาโชว์

"อ่ะนี่ ผมไม่รู้ว่าพี่ชอบอะไร ผมเลยเลือกที่ผมชอบมา"     ผมหันไปมองหน้ามันก่อนจะมองไปที่แก้วแล้วรับมาดูก่อนจะถามขึ้น

"น้ำอะไร"     เดาว่ามันน่าจะเป็นชาเขียวนะ โดยปกติแล้วผมไม่ค่อยดื่มเครื่องดื่มประเภทนี้

"ชาเขียวเย็น อร่อยดีนะ"     นั่นไงว่าแล้ว

"ชอบเหรอ"

"อื้ม ชอบมาก โดยเฉพาะสูตรที่ร้านแม่"

"แม่ทำร้านกาแฟเหรอ"

"ใช่ ยิ่งถ้าแม่ทำเองนะ อร่อยสุดๆ"     พูดไปก็ยิ้มไปด้วย ผมก็นั่งฟังนิ่งๆ

"ไม่เชื่อเหรอ ผมไม่ได้ชมเกินเหตุนะ ทุกเมนูที่ผ่านมือแม่จะมีมากกว่าความอร่อย นั่นก็คือความใส่ใจ "

"ดูท่าทางมันจะต้องอร่อยมากแน่ๆ สงสัยต้องหาโอกาสไปชิมบ้าง"     ผมหมายความตามนั้นจริงๆนะ

"ได้เลย ด้วยความยินดี ไว้พี่ไปเที่ยวบ้านผมนะ พาป๊ากับม๊าแล้วก็พี่เชลด้าไปด้วย ผมจะเป็นไกด์ให้เอง"     มันบอกผมพร้อมรอยยิ้ม

"พี่ถือว่าเป็นคำสัญญานะ"     ผมหันไปยิ้มให้เพื่อรอคำตอบ อีกคนเลยหันหน้ามายิ้มตอบพร้อมยกมือขึ้นทำท่าตกลง

"ทำไมไม่กินละ เดี๋ยวก็ละลายหมด ไม่ชอบเหรอ"     ผมส่ายหน้าแล้วก็ยกแก้วขึ้นดูดชาเขียวที่ว่าจนเกือบหมดแก้ว ที่รอก็เพื่อให้มันละลายนั่นแหละ อย่างน้อยความเข้มข้นมันจะได้ลดลง แต่จะว่าไปรสชาติก็ไม่แย่อะไรมากมาย สงสัยคงต้องลองกินบ่อยๆดูบ้างแล้วหล่ะ

.......................................................................


จำนวนคนต่อแถวรอขึ้นกระเช้ากลับไม่มากเท่าตอนขามา แต่ก็ต้องรอพอประมาณ

"มันจะมีกระเช้าสองแบบนะ ที่เป็นคริสตัลคือพื้นกระเช้าจะเป็นกระจกใสมองลงไปเห็นข้างล่างหรือจะเป็นแบบธรรมดาก็มี แมทอยากนั่งแบบไหน"     ผมถามขณะที่ยืนมองแถวคนที่กำลังรอต่อคิวซื้อตั๋ว

"ขอเป็นพื้นกระจกดีกว่าพี่ น่าสนใจกว่า"

"งั้นยืนรอตรงนี้ก่อน เดี๋ยวพี่ไปต่อแถวซื้อให้"

"ไปด้วยกันดิพี่"

"เถอะน่า รอตรงนี้แหละ"

ใช้เวลาต่อแถวรอซื้อตั๋วแค่ไม่นานก็ได้มา เพราะส่วนใหญ่จะซื้อตั๋วแบบไปกลับมาตั้งแต่ขามาอยู่แล้ว

"ได้แล้ว ไปต่อแถวกัน"     ว่าพลางชูตั๋วให้ดู

"ครับ"     แล้วมันก็เดินตามมา

"น่าจะอีกสักสี่กระเช้าเราคงได้ขึ้นแล้วหล่ะ"

"อ่ะนี่พี่ เงินค่าตั๋ว ผมจ่ายส่วนของพี่ด้วยนะ"     มันยื่นเงินมาให้

"ไม่เป็นไร ไว้คราวหน้าละกัน"

"อะไรของพี่วะ ค่าบัตรรถไฟฟ้าเมื่อเช้าก็ไม่เอา ค่าขึ้นกระเช้านี่อีก ผมเกรงใจนะเว้ย พี่ รับไปเถอะ"     มันพูดขณะพยายามยัดเงินใส่มือผม ผมเลยผลักมือมันเบาๆแล้วย้ำอีกครั้ง

"เอาเก็บไว้ พี่จ่ายไปแล้ว บอกแล้วไงว่าไว้คราวหน้า"

"พี่อย่ามาตามเก็บทีหลังนะเว้ย อ้อแล้วอย่าเอาไปคิดรวมกับค่าไกด์หล่ะ"     ผมเลือกที่จะไม่ตอบแล้วเดินไปหาพนักงานที่กำลังจัดคนขึ้นกระเช้าแทน

.......................................................................


"ขอโทษ ผมขอขึ้นกระเช้าแค่สองคนได้ไหม"    ผมถามพนักงาน

"ไม่ทราบลูกค้าจองตั๋วแบบไพรเวทมาหรือเปล่า ผมรบกวนขอดูตั๋ว"     พนักงานถามขณะยื่นมือมารับตั๋วจากผม

"ผมเพิ่งซื้อตั๋วขาลงอย่างเดียว เป็นแบบคริสตัล พอดีวันนี้วันเกิดแฟนผม ผมอยากทำเซอร์ไพรส์"     ผมบอกไปทั้งๆที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเกิดวันไหน แถมยังโมเมสถานะความสัมพันธ์ไปอีก แต่พนักงานก็พยักหน้ารับรู้

"โอเค ตอนนี้มีลูกค้ารอกลับไม่มาก รบกวนคุณรออีกสามคิว ผมจะจัดให้คุณกับแฟนขึ้นแค่สองคน"

"ขอบคุณมาก"   พร้อมก้มหัวให้เป็นการขอบคุณอีกครั้ง

"ด้วยความยินดี ไม่ทราบว่าจะรับรูปคู่ด้วยไหม ทางเราจะถ่ายให้เป็นพิเศษ แต่คงจะต้องใช้โทรศัพท์ของคุณเอง"     ผมพยักหน้ารับทันทีพร้อมเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง เท่าที่ทราบจะมีบริการถ่ายให้แค่เฉพาะขามาเท่านั้น ผมเลยยื่นโทรศัพท์มือถือฝากไว้กับพนักงานก่อนจะเดินมาหาอีกคนที่ยืนรออยู่ในแถว

.......................................................................


"พี่ไปคุยอะไรกับพนักงานอ่ะ"     มันถามขึ้นทันทีที่ผมเดินมาถึง

"แค่ไปถามว่าต้องรออีกประมาณกี่คิว อยากรู้ว่าเค้าจัดคิวยังไง พอดีพี่หิวข้าวแล้ว"     ผมไม่ได้โกหก เพียงแค่ไม่ได้ลงรายละเอียดในสิ่งที่คุยมาทั้งหมดก็เท่านั้น

"อ่อๆ"

"ถึงคิวแล้วไปกัน"     ผมเดินตามหลังมันไป พอกำลังขึ้นกระเช้าก็ก้มหัวเล็กน้อยถือเป็นการขอบคุณให้กับพนักงาน เข้ามาในกระเช้าเรียบร้อยก็ได้ยินพนักงานคนเดิมพูดบอกว่าขอถ่ายรูป ผมเลยดึงไหล่คนข้างตัวที่กำลังจัดหาที่นั่งให้มายืนใกล้ๆพร้อมโอบไหล่ไว้เบาๆ หลังจากพนักงานถ่ายรูปเรียบร้อย ก็ยื่นมือถือคืนให้ก่อนที่ประตูกระเช้าจะปิดลงพร้อมกับเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ

.......................................................................


ขณะที่ผมกำลังขยับหาที่นั่งเหมาะๆ อีกฝ่ายก็เดินไปนั่งฝั่งตรงกันข้าม

"เออพี่ ผมสงสัยทำไมเราได้ขึ้นแค่สองคน"     ขมวดคิ้วถามพร้อมชี้ไปกระเช้าก่อนหน้า     "อันนั้นเขาไปกันตั้ง 4 คน"

"เขาคงมาด้วยกันละมั้ง ขากลับคนไม่เยอะ หรือไม่กลุ่มด้านหลังเราเขาคงมาด้วยกัน"     ปล่อยๆไปบ้างก็ได้ ไม่เห็นจะต้องสงสัยทุกเรื่อง

"อ่อๆ งั้นเราก็โชคดีสิ จะทำอะไรก็ได้ ถ่ายรูปก็ไม่ต้องกลัวว่าจะติดใครแถมมาด้วย กระเช้ากว้างๆนี่เป็นของเรา ฮ่าๆๆๆ"    ผมดีใจนะที่อีกคนชอบ ตอนแรกก็กังวลว่ามันจะกลัวที่ต้องไปกันแค่สองคนซะอีก

"นี่พี่ ได้ยินว่าหิวข้าวแล้วใช่ป่ะ ยังไม่ได้กินไรเลยนี่ตั้งแต่เที่ยง"     มันพูดพลางเปิดกระเป๋าค้นหาอะไรบางอย่าง

"ก็หิว"

"หิวแล้วทำไมไม่บอกวะ ร้านอาหารข้างบนมีเยอะแยะ"

"ก็เห็นกำลังเพลินเลยไม่อยากกวน"    พอผมพูดจบประโยคมันก็เงยหน้าขึ้นมามอง

"เกี่ยวไรกันวะ คือผมกินแล้วไง แต่พี่ยัง ท้องไม่ได้ติดกันนะเว้ย แยกกันกินก็ได้"    ว่าจบก็ยื่นถุงขนมปังมาตรงหน้าผม

"อ่ะนี่ กินซะ ผมซื้อมาให้ ดีนะที่ผมเป็นคนดี คิดถึงใจคนอื่น"

       ผมรับมาก่อนจะเอ่ยขอบคุณ ผมดีใจนะถึงแม้ว่าคนที่ซื้อมาให้จะหลงตัวเองไปหน่อยแต่สิ่งที่น่าดีใจกว่านั้นคืออย่างน้อยก็ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่นึกเป็นห่วงอีกฝ่าย ผมกินขนมจนหมดชิ้น มันอร่อย ทั้งๆที่ไม่ชอบทานขนมปังและของหวาน ไม่รู้ว่าเพราะหิวหรือเพราะมันคือน้ำใจจากคนตรงหน้ากันแน่

"ทำไมโทรศัพท์พี่ไปอยู่กับพนักงานได้ละ"     อีกคนถามขึ้นขณะที่กำลังบิดฝาขวดน้ำเปล่าแล้วยื่นมาให้ผม

"พอดีเค้าถามว่าอยากถ่ายรูปไหม แล้วขากลับมันไม่มีบริการถ่ายให้แล้ว พี่เลยให้ใช้โทรศัพท์พี่แทน"     ผมรู้ว่ามันฟังดูตลก และมากกว่านั้นมันเหมือนผมกำลังพยายาม

"อยากได้รูปคู่กับผมทำไมไม่บอก มาๆเรื่องแค่นี้เอง"     ว่าแล้วมันเอาโทรศัพท์จากมือผมไปแล้วยกขึ้นมาถ่าย ผมพยายามขยับตัวเข้าไปใกล้ หน้าเราอยู่ใกล้กันมากกว่าเดิม ในขณะที่อีกคนกำลังหามุมกล้อง ผมกลับเอาแต่จ้องหน้าอีกฝ่าย

"เผื่อพี่ยังไม่รู้ กล้องอยู่อีกด้านนะ ที่พี่กำลังมองอยู่มันหน้าผม"     มันพูดขึ้นพร้อมสะกิดที่มือ ผมสะดุ้งเล็กน้อย ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอมองหน้ามันไปนานแค่ไหน รู้แค่ว่าตอนที่มองมันก็เพลินดี

"ถ่ายสิ มองแล้ว"

"อืมๆ เอานะ ยิ้ม"     ถ่ายไปได้ประมาณสองสามรูปมันก็ยื่นโทรศัพท์คืนมาให้

"อย่าลืมส่งรูปให้ด้วยนะ รูปที่พนักงานถ่ายให้ด้วย"     ผมพยักหน้ารับ

ผมนั่งอยู่บนที่นั่งมองวิวขณะกระเช้าเคลื่อนตัวไปด้านหน้า ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังผุดลุกผุดนั่งบนพื้นกระจกที่มองทะลุลงไปด้านล่าง

"เจ๋งหว่ะพี่ วิวทะเลสาบข้างล่างโคตรสวย รู้สึกเหมือนกำลังลอยอยู่เลย"     มันอธิบายความรู้สึกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

"ถ่ายรูปไหม พี่ถ่ายให้"     ผมถามพร้อมชูโทรศัพท์ขึ้นมา

"เอาสิพี่ มาถ่ายด้วยกัน"     มันหันหน้ามามองพร้อมกวักมือ

"ถ่ายคนเดียวมั่งสิ จะได้เห็นวิวบ้าง ถ่ายด้วยกันเห็นแค่หน้า กลับมาดูอีกทีก็ไม่รู้กันพอดีว่าไปเที่ยวที่ไหนมา"     ว่าจบก็ยกโทรศัพท์ขึ้นพร้อมถ่าย อีกฝ่ายก็นั่งขัดสมาธิพร้อมชูสองนิ้วรอ

"เสร็จยัง กี่รูปวะพี่ ทำไมนานจัง"     ผมเองก็ไม่รู้ว่าถ่ายไปกี่รูปและถ่ายไปนานแค่ไหน ตอนนี้ผมสนใจหน้าคนที่อยู่ในจอโทรศัพท์ผมมากกว่า พอรู้สึกตัวเลยลดโทรศัพท์ลงก่อนจะยื่นให้อีกฝ่ายดูรูป

"เสร็จแล้ว"     ผมว่ามันยิ้มแล้วดูดีนะ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันก็เห็นมันยิ้มบ่อย แต่ยิ้มแบบนี้ แบบที่ผมมองจนเพลินขนาดนี้คงมีแค่ตอนถ่ายรูปเท่านั้นแหละ นี่คงเป็นช่วงเวลาเดียวที่ผมจะได้ฉวยโอกาสต่อเวลาเพื่อจะเห็นรอยยิ้มนั้นนานขึ้นอีกหน่อย

กว่าจะมาถึงที่พักก็ปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่ม ผมเดินมาส่งมันที่หน้าประตูห้อง

"รีบนอนนะ พรุ่งนี้จะพาไปเดินเล่นเกาะอีกฝั่งนึง"     ผมพูดขณะอีกฝ่ายกำลังเปิดประตูห้อง

"โอเคพี่ พรุ่งนี้เช้าเจอกัน"

"ตื่นสายหน่อยก็ได้ เจอกันสัก 9 โมงดีไหม"

มันขมวดคิ้วก่อนจะถาม  "9 โมงก็ไม่ทันกินข้าวเช้ากับป๊าพี่ดิ"

"ไม่เป็นไร พรุ่งนี้จะพาไปกินติ่มซำ เดี๋ยวพี่บอกป๊าให้"

"เฮ้ย! จริงนะ งั้นไปตั้งแต่ 8 โมงเลยได้ป่าว ผมอยากกินเร็วๆ"     พูดไปก็เขย่าแขนผมไป ท่าทางจะอยากกินจริงๆ เพราะสีหน้าแววตาแสดงออกชัดเจนมาก

"อืม ตื่นให้ทันก็แล้วกัน"     พูดจบผมก็เดินหันหลังเดินไปที่ลิฟต์ ได้ยินเสียงมันตะโกนมาเบาๆให้พอได้ยิน

"ไม่สายแน่นอน ฝันดีนะพี่"     ประตูลิฟต์ที่สะท้อนเงาภาพผมอยู่คงไม่ได้หลอกตาใช่ไหม ผมว่าผมเห็นตัวเองกำลังยิ้มนะ

.......................................................................


Matt part
     
          อันที่จริงวันนี้ผมโคตรรู้สึกไม่ดี เวลาผมอยู่กับตัวเองหรืองาน ผมมักจะลืมคนรอบข้างไปทันที อาจจะเพราะความเคยชินเลยทำให้ผมลืมอีกคนไป จนกว่าจะรู้สึกตัวก็เกือบเย็น ถ้าเป็นผมคงไม่นั่งรอเฉยๆอย่างที่พี่เชนทำแน่ พี่มันโคตรอดทน จริงๆผมอยากจะเอ่ยขอโทษไปพร้อมกันตอนยื่นขนมให้ แต่ปากมันหนักดันไปอวยตัวเองให้เขาฟังซะงั้น พี่เชนคงต้องเป็นพวกคนสองบุคลิกแน่ๆถ้าให้ผมเดา ถ้าไม่รู้จักกันก็ขวานผ่าซากมาเลย ประหยัดถ้อยประหยัดคำลามไปถึงประหยัดน้ำใจอีกด้วย  แต่ถ้าได้รู้จักกันมากขึ้นพี่แกก็ดันกลายเป็นคนที่มีน้ำใจกองอยู่เต็มกระบุง เต็มซะจนล้น ใครจะไปคิดว่าพี่มันจะวิ่งไปซื้อเบอร์เกอร์มาให้ผม วิ่งนะไม่ใช่เดิน ไหนจะนั่งรอ ไหนจะซื้อตั๋วให้ ดูแลซะหลายอย่าง ถ้าผมเป็นผู้หญิง และไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองเลยนะ ผมคิดว่าพี่มันจีบชัวร์ แต่นี่มันไม่ใช่ไง หัวจรดเท้าผมเป็นผู้ชายชัดๆ เพราะงั้นอย่างเดียวที่คิดได้ตอนนี้คือ พี่เชนโคตรเป็นคนดี และผมก็คิดไม่ออกด้วยนะว่าพี่มันหวังอะไรจากผมรึเปล่า เพราะผมว่าผมเองก็ไม่มีอะไรให้หวังนะ

ครืด! ครืด!

OATMEAL
มึงๆ กลับมาวันไหนวะ
                                                                                  Matt
                                                                             วันศุกร์นี้
OATMEAL
พอดีเลย
วันนี้วันอาทิตย์ งั้นก็อีก 5 วัน
                                                                                  Matt
                                                                            อืม มีไรวะ

OATMEAL
กลับมากี่โมง กูจะไปรับ
                                                                                  Matt
                                                                                แปลก!

OATMEAL
Missed
Missed
Missed
ทำไมไม่รับสายกู!
                                                                                  Matt
                                                                    กูกลัวมึงเสียเงิน

OATMEAL
ไอ้สัด! กดรับเลยมันโทรฟรี
                                                                                  Matt
                                                                                  เออๆ


Incoming call from OATMEAL


"ว่าไง"

"ไอ้ควาย!!! โง่ฉิบหาย"      มันใช่คำทักทายที่ผมควรได้ยินเหรอ

"ก็กูไม่รู้นี่หว่า"      กูพิมพ์คุยกับมึงได้นี่ก็เก่งละ

"กูว่านะเว้ย นิยายของมึงต้องโคตรล้าหลัง ห่า! คนเขียนยังใช้ไม่เป็นตัวละครมันก็โง่ตามอ่ะ"

"กูเขียนบรรยายความงดงามของความรักเว้ย ไม่ได้สอนใช้เทคโนโลยี"      บางทีวิธีเก่าๆเดิมๆมันก็มีเสน่ห์มากกว่านะผมว่า

"มันก็ต้องมีบ้างดิวะ นางเอกมึงยังใช้นกพิราบอยู่รึไง ละสงสัยไอ้พระเอกแม่งคงก่อฟืนส่งสัญญาณ"

"ไม่เคยอ่านหนังสือกูก็อย่ามาเดามั่ว"

"เออๆ”

"แล้วตกลงมึงมีอะไร"

"บอกแล้วไงกูจะไปรับมึง"

"จะเอาอะไร บอกมาเลย"      ผมว่ามันต้องทำดีแลกของฝาก

"เปล่าเลย พวกไอ้มินนัดกันที่ร้านเดิม มันบอกว่าคราวนี้ต้องเจอมึงนะ"      มิน คือเพื่อนกลุ่มเดียวกันสมัยมัธยมปลาย แต่พอเรียนจบแยกย้ายเราก็เจอกันน้อยลง ประกอบกับผมไม่ค่อยชอบไปงานสังสรรค์ทำนองนี้เท่าไหร่ พวกมันนัดเจอกันก่อนปีใหม่ของทุกปี และทุกครั้งที่พวกมันนัดเจอกัน ก็มักจะเป็นผมที่มีข้ออ้างไม่ไปอยู่เสมอ

"บอกไปว่ากูเหนื่อย เพิ่งกลับจากทำงาน"

"โห! ทำงาน กล้าพูดนะมึง รู้สึกผิดบ้างไหม" จริงๆผมก็รู้สึกผิดนะ ตั้งแต่มันนัดกันหลายต่อหลายครั้ง ผมไปแค่ 2-3 ครั้งเองมั้งถ้าจำไม่ผิด เพราะสถานที่ที่พวกมันนัดกันผมไม่ชอบไง ทำไมเราจะต้องไปอยู่ในที่ที่เราไม่ชอบด้วยละ

"งั้นเปลี่ยนมากินร้านพี่กูสิ"

"ไม่เอา ไปที่ไรพี่มัทลดแลกแจกแถมตลอดเลย พวกกูเกรงใจ"

"กูคิดเต็มจำนวนเอง ไม่งั้นก็เปลี่ยนร้าน ถ้าไปร้านเดิมทายล่วงหน้าได้ตอนนี้เลยว่ากูจะเหนื่อยมากจนไปไม่ได้เลยวันนั้น"      ผมไม่ชอบการสังสรรค์อยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งถ้าเป็นร้านเหล้าเจ้าประจำของพวกมัน ผมยิ่งไม่อยากไป แค่ไม่ชอบ เหตุผลมีแค่นั้น

"ไปเป็นหมอดูเถอะมึงอ่ะ เสือกทายล่วงหน้าได้อีก"

"ตกลงว่าไง"

"เออๆ งั้นกูขอโทรหาไอ้มินก่อน แล้วว่าไงกูจะไลน์บอกมึงอีกที โอเคนะ"

"เออๆ"


หลังจากวางสายจากไอ้โอ้ตก็เห็นแจ้งเตือนที่มาจากไลน์ชื่อของพี่มัท

Matree
ถ้าถึงที่พักแล้วบอกนะ มัทมีเรื่องจะคุยด้วย
                                                                                  Matt
                                                              ถึงแล้ว มีอะไรรึเปล่า

Matree
ปิดร้านแป๊บนึงนะ 10 นาที เดี๋ยวมัทโทรไป
                                                                                  Matt
                                                        งั้นแมทขออาบน้ำก่อนนะ

Matree
จ้ะ เสร็จแล้วบอกนะ
                                                                                  Matt
                                                                                   ครับ

       พิมพ์บอกพี่มัทไปอย่างนั้นแล้วก็รีบพาตัวเองไปอาบน้ำ วันนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองอาบน้ำนานกว่าปกติ ทั้งๆที่รู้ว่าพี่มัทรออยู่ แต่ระหว่างนั้นผมก็ยังเอาความคิดที่กังวลเกี่ยวกับการกระทำของพี่เชนออกไปจากหัวไม่ได้จริงๆ อาบไปก็คิดไป กว่าจะเสร็จก็ปาไปชั่วโมงกว่า ซึ่งปกติครึ่งชั่วโมงนี่เกินพอสำหรับผมแล้วนะ ต้องโดนพี่มัทสวดแน่ๆ



                                                                                  Matt
                                                                       เสร็จแล้วค้าบ
Matree
ช้าเว่อๆ โทรไลน์ไปนะ รับเป็นรึเปล่า
                                                                                  Matt
                                                                                  ครับ


Incoming call from Matree


"ครับพี่มัท"

"แมทกลับวันศุกร์นี้ใช่ป่ะ"

"ครับ"

"วันอังคารดึกหน่อยมัทจะไปถึงที่นั่นนะ แต่ฟินกับเฟย์ไม่ได้ไปด้วยนะ"

"อ้าว...ทำไมละ"

"มัทเปลี่ยนเป็นวิดีโอคอลดีกว่า สองแฝดอยู่ข้างๆพอดี"

สักพักหน้าจอไอแพดก็ปรากฏภาพสมาชิกในครอบครัวซึ่งประกอบไปด้วย แม่ พี่มัท น้าอิงและสองแฝด

"น้องแมท น้าอิงขอโทษนะลูก"     น้าอิงเอ่ยขึ้นมาเป็นคนแรก

“ขอโทษเรื่องอะไรครับ"     

“น้าอิงจับฉลากรางวัลของขวัญปีใหม่จากแผนกได้แพ็กเกจเที่ยวญี่ปุ่นพอดีจ้ะ แล้วลืมบอกสองแฝดไว้ว่าเราจะไปกันช่วงนี้ ก็เพิ่งมารู้จากน้องมัทตอนมาขอพาสปอร์ตสองสาวไปจองตั๋วนี่แหละน้องแมท"     น้าอิงเป็นคนเอ่ยอธิบาย

"โห! ไรอ่า แฝดเบี้ยวเฉยเลย ปล่อยพ่อกับแม่ไปฮันนีมูนกันเถอะแล้วเราสองคนก็มาหาพี่ที่นี่"     ผมขมวดคิ้วทำหน้าเซ็ง

"พี่แมท ปรึกษาเซลล์สมองเดี๋ยวนี้เลย ญี่ปุ่นนะคะพี่ หน้าหนาว หิมะตก แช่ออนเซ็น เดินเล่นชินจูกุ พ่อกับแม่ไปด้วยอีกแน่นอนว่าเงินหนา มันดีกว่าเห็นๆ"     พอเฟย์พูดจบก็โดนน้าอิงตีแขนเบาๆไปหนึ่งที แล้วทุกคนก็พากันหัวเราะ

"ก็เฟย์พูดเรื่องจริงนี่หน่า เราสองคนตัดสินใจอย่างใช้สติสุดๆ"

"แล้วนี่แมทไปไหนมาไหนสะดวกไหม หลงทางรึเปล่า"     แม่ถามพร้อมรอยยิ้ม

"ไม่ครับ แม่จำที่แมทเล่าให้ฟังได้ไหม เรื่องเจ้าของห้องที่นี่"

"จ้ะ" แม่พยักหน้า

"แมทเสนอให้เขามาเป็นไกด์ให้เมื่อเช้านี่เองครับ "

"รบกวนเขารึเปล่าแมท"

"เขาบอกถ้าไปด้วยแล้วไม่สนุกจะคิดค่าจ้าง แต่วันนี้ก็ยังไม่เห็นจะตกลงอะไรเลยครับแม่"

"แม่คงต้องให้มัทหิ้วอะไรไปฝากติดไม้ติดมือไปให้เขาหน่อยแล้วหล่ะ ไม่งั้นเกรงใจแย่"

"แมทก็คิดเหมือนแม่เลย"

"งั้นก็ตามนี้นะ อีกสองวันเจอกัน จะได้เก็บตกที่เหลือว่าแมทยังไม่ได้ไปที่ไหนบ้าง"

"เอ้อพี่มัท วันศุกร์นี้โอ้ตมันอาสาจะมารับนะ"

"อืมได้ ดีเหมือนกันแม่จะได้ไม่ต้องกังวลว่าไม่มีใครดูร้านตอนไปรับเรา”

“จ้ะ แมทไปนอนเถอะลูก พรุ่งนี้จะได้ไม่เหนื่อยนะ”

“ครับแม่ รักแม่นะครับ สวัสดีครับน้าอิง เจอกันอีกสองวันนะพี่มัท”  ผมบอกลาทุกคนก่อนพี่มัทจะตัดสายไป

       ใจจริงอยากให้พี่มัทรีบมาวันนี้พรุ่งนี้เลยซะด้วยซ้ำ เพราะผมจะได้ไม่ต้องขอให้พี่เชนมาเป็นไกด์ให้อีก ไม่ใช่ว่าไปกับพี่เชนแล้วผมไม่สนุกนะ มันสนุก มีความสุขแล้วก็โคตรสบายใจ แต่การที่พี่เชนเป็นอย่างวันนี้มันทำให้ผมกลัวว่าวันต่อๆไปความอึดอัดและความเกรงใจที่ผมมีมันจะมากขึ้นเรื่อยๆ นี่ขนาดแค่วันแรกยังดีถึงขนาดนี้ อย่าให้ผมต้องคาดเดาถึงวันต่อๆไปเลย                                 

.......................................................................



❤ตอนที่ 8 แล้ว มีใครคิดถึงแมทกับพี่เชนบ้าง ; )
❤เจอกันปีหน้านะคะกับตอนที่ 9 ^^*
❤ขอบคุณทุกความเห็นเลยนะคะที่แวะมาให้กำลังใจกัน
❤อยู่ต่อไปเรื่อยๆเป็นเพื่อนกันก่อนน้า
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยค่ะ ขอบคุณนะค๊ะ




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-12-2014 00:04:07 โดย anana »

ออฟไลน์ kokoro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
โหยยยย น้องแมท อย่าเพิ่งให้พี่มัทมาเร็วๆซิ
พี่เชนจะได้ดูแลจนน้องสนิทใจไงคะ

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
มัทจะมาแล้วเหรอ
เชนก็อยู่กับแมท
ได้แค่ไม่กี่วันน่ะซิ

ออฟไลน์ rogerr

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 834
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
น่ารักดีนะ เริ่มเกิดภาวะไหวหวั่นหวั่นไหว :laugh:

ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ตอนที่ 9


Chen part

"คนเรานี่ก็มีความพยายามเนอะ อยากรู้จริงๆว่ามันจะอร่อยขนาดไหน อย่างอื่นมีให้กินตั้งเยอะ ก็ลำบากมาต่อคิวกันตั้งสองสามชั่วโมง"       หลังจากที่ผมเล่าให้ฟังว่าสาขาแรกที่ตั้งอยู่อีกที่นึงต้องใช้เวลารอคิวกันนานมาก มารอกันตั้งแต่ร้านยังไม่เปิดใครที่อยากทานร้านนี้ต้องรีบมารอตั้งแต่เช้า ต่อแถวกันยาวไปจนสุดหัวมุมถนน ติ่มซำร้านนี้ได้รับดาวการันตีจากสถาบันชื่อดัง รสชาติก็อร่อยแถมราคาย่อมเยา อีกทั้งเชฟที่นี่ยังเคยทำอยู่ในโรงแรมชื่อดัง เพราะงั้นร้านนี้จึงเป็นตัวเลือกที่นักท่องเที่ยวมักจะแนะนำต่อๆกัน พอร้านเปิดก็จะคนมายื่นบัตรคิวพร้อมกับเมนูให้เลือก ซึ่งลูกค้าที่มาทานที่นี่อยากทานมากน้อยแค่ไหนก็ได้แต่มีโอกาสสั่งแค่ครั้งเดียว ถ้าอยากทานเพิ่มก็ต้องไปต่อคิวอีกครั้ง โชคดีหน่อยที่เดี๋ยวนี้มีให้เลือกทานกันถึง 5 สาขา แถมยังไม่ต้องรอคิวนานอีกด้วยพอได้ยินอย่างนั้นคนตรงหน้าผมก็สั่งไม่ยั้งเลยครับ มันบอกว่าถึงไม่ได้ต่อคิวเหมือนสาขาแรกแต่ก็ขอสั่งที่อยากกินทั้งหมดทีเดียวละกัน จะได้เข้าถึงความรู้สึกของคนที่ไปต่อคิวกินสาขาแรกกัน ตอนแรกผมก็ไม่ค่อยเข้าใจความคิดมันหรอกครับ แต่ตอนที่คุยกันระหว่างทางที่จะมาร้านนี้เลยได้รู้ว่าที่มาที่นี่ก็เพื่อจะมาหาข้อมูลเพื่อเขียนนิยาย เพราะงั้นอะไรที่อันซีน อะไรที่ต้องดูต้องทำต้องไปมันจะขอทำทั้งหมด

“ถ้าเป็นแมทจะมาต่อไหม”

“ต่อ ฮ่าๆๆๆ”      พูดจบก็ยิ้มให้ทั้งปากทั้งตา

สักพักอาหารก็มาเสิร์ฟเต็มโต๊ะไปหมด งานนี้ได้มีคนขยาดติ่มซำไปสักพักแน่นอนครับ

"เฮ้ย พี่อร่อยหว่ะ อันนี้ก็อร่อย จานนั้นก็อร่อย เสี่ยวหลงเป่านี่แบบ หืมมมม ฉ่ำน้ำอ่ะพี่"      เคี้ยวเต็มปากแต่ก็ยังพยายามจะอธิบายถึงรสชาติ

"อร่อยก็ดี กินให้หมดนะ"      ผมกินไปได้ประมาณสองสามถาดก็เริ่มวางตะเกียบ

"โอเค พี่อิ่มละเหรอ"      ผมพยักหน้ารับ

"เช้าๆแค่กาแฟร้อนก็พอแล้ว"      ว่าจบก็ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ

"ไรวะ กินไปนิดเดียวเอง งั้นที่เหลือผมจัดการหมดเลยนะ"     ผมพยักหน้าอีกครั้งพร้อมดันเข่งออกจากตัวไปให้อีกคนตรงข้าม เห็นสายตามันกำลังมองมาที่มือผม หรือว่าจะอิ่มเหมือนกัน

"ผมถามได้ไหมว่าพี่ใส่เชือกอะไรที่ข้อมือ"      ทันทีที่อีกคนถามผมก็ก้มลงมองข้อมือตัวเอง

"อ่อ friendship bracelet รู้จักไหม"

"ใช่ที่คนอินเดียเค้ามอบให้คนที่เป็นเพื่อนกันเพื่อแสดงถึงมิตรภาพป่ะ"

"ใช่ แต่เส้นนี้พี่ได้มาจากอเมริกาใต้ เค้าจะให้เราอธิษฐานตอนที่ผูกให้"

"แล้วเชือกจะหลุดเองถ้าคำขอเป็นจริงใช่ไหม"      มันดูตื่นเต้นทันทีที่เข้าใจว่าเป็นอย่างที่คิด

"อื้ม ใช่ อยากได้เหรอ"

"ป่าวๆ พอดีเคยเขียนถึงเรื่องนี้ พยายามหาข้อมูลอยู่พักนึงแต่มีน้อยมาก พอเห็นพี่ใส่ ผมไม่คิดว่ามันคือสไตล์หรือแฟชั่นเพราะมันดูไม่ใช่"      เลยสงสัยสินะ

"ใส่ไว้อย่างนั้นแหละ แค่อยากลองดูว่าเชื่อได้ไหม"

"พูดแบบนี้ก็แสดงว่าเชื่อไปครึ่งนึงแล้ว"

"อาจจะอย่างนั้น"      ผมคิดว่ามันถูกทำมาเพื่อให้นึกถึงมากกว่า ผูกแน่นขนาดนี้จะหลุดเองได้ไง

"แล้วพี่อธิษฐานว่าไง"     ผมไม่ตอบ แค่ส่ายหัวเล็กน้อย แล้วก็นั่งมองมันกินไปเรื่อยๆ แล้วก็ไม่มีคำถามต่อ

มันกินเรื่อยๆจริงๆครับ ค่อยๆกินทีละชิ้น หมดทีละเข่งทีละจาน เกือบครึ่งชั่วโมง ทุกจานบนโต๊ะก็เกือบว่างเปล่า ผมว่ามันกินเก่งนะ แต่ไม่เห็นอ้วน ค่อนไปทางผอมเกินไปด้วยซ้ำ

"ไม่หมดแล้ว อร่อย แต่อิ่ม"      เงยหน้าขึ้นมาบอกผมขณะเคี้ยว แล้วมันก็เอนหลังพิงพนักพร้อมกับลูบพุงตัวเองไปด้วย

"ไม่หมดก็พอสิ ถือตะเกียบอยู่อีกทำไม"

"เสียดายพี่ ค่อยๆกินเดี๋ยวก็หมด"

"ไม่ต้องพยายามยัดหรอก ถ้าปวดท้องนี่อดเที่ยวเลยนะ มาพี่ช่วย"     ทำท่าคิดตามไปด้วย กินไปเยอะขนาดนั้นถ้ายังฝืนกินต่อผมว่าคงเดินไม่ไหวแน่ๆ

"เห้ย! เกรงใจ"

"หรือจะกินต่อเอง"

"ช่วยก็ได้ แหะๆ"     ว่าอย่างนั้นแล้วก็ดันถาดที่เหลือมาตรงหน้าผม

"พี่ไม่ถือเหรอ มันไม่ใช่ของเหลือนะ แต่แค่ผมกินไม่ไหวแล้ว"     ผมพยักหน้ารับ

"ไม่ถือหรอก ก็เสียดายไม่ใช่เหรอ ถ้าพี่ไม่กินแมทก็พยายามกินจนหมดอยู่ดี"     ผมก็แค่ช่วย อีกคนจะได้ไม่ต้องพยายามยัดให้ทรมานตัวเอง

"จบทริปนี้ อ้วนแน่ๆ"

"ให้อ้วนกว่านี้สิ น่ารักดี"     ผมพูดขณะยกแก้วกาแฟขึ้นจิบอีกครั้ง

"ห๊ะ! อะไรนะ"      จะอุทานเสียงดังทำไม ขนาดโต๊ะข้างๆยังหันมามอง

"บอกว่าให้อ้วนกว่านี้สิ"      มันรีบส่ายหัว

"ไม่ใช่ๆ อะไรดีๆ ได้ยินไม่ชัด พี่อย่าเอาแก้วกาแฟบังดิวะ"      พูดจบก็เอามือมาคว้าแก้วกาแฟไปจากมือผม

"อ้วนกว่านี้สิดี"      มันวางแก้วกาแฟลงตรงหน้าผมแล้วมองด้วยหางตา ทำหน้าแบบที่ผู้หญิงเค้าทำกัน

"พี่แม่งโกหก รู้ว่าไม่ใช่ แต่ไม่เป็นไรผมเหมาเอาว่าพี่ชมผมละกัน"      พูดจบมันก็ยิ้มกว้าง มองแล้วน่ารักดี ผมรู้สึกอย่างที่พูดนั่นแหละครับ แค่นั้น คือมันน่ารัก     

นั่งรอย่อยสักพักก็เตรียมจะจ่ายเงินเพื่อจะไปที่อื่นต่อ มันหยิบแบงก์ 500 ดอลล่าห์ฮ่องกงยื่นมาให้ผม

"มื้อนี้ผมเลี้ยง ห้ามปฏิเสธ อีกอย่างผมแทบจะกินอยู่คนเดียว พี่หน่ะแค่ดม"      ผมรับเงินมาถือไว้ในมือ ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง เป็นสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง

"เอิ้กกกกก........อึก"

คือมันเรอครับ ที่สำคัญคือดังและยาวมาก ผมเลยมองหน้ามันนิ่งๆ เห็นหน้ามันเริ่มขึ้นสี มันหันมองซ้ายมองขวารีบผงกหัวให้โต๊ะข้างๆเป็นเชิงขอโทษ แล้วรีบวิ่งออกไปรอหน้าร้าน ผมหลุดหัวเราะทันทีที่มันลุกเดินออกไป ผมไม่ได้มองว่าเป็นอะไรที่น่าเกลียดนะ มันเกิดขึ้นได้ ผมเข้าใจแต่ก็เราควรระวังนะผมว่า อีกอย่างถึงผมจะมองว่ามันน่ารักแต่ถ้าทำกิริยาแบบนี้ในที่สาธารณะผมก็ไม่พยายามหลอกตัวเองว่ามันดูดีหรอกครับ

ยังไม่ทันที่มันจะเดินพ้นประตูออกไปผมรีบจ่ายเงินแล้วเดินตามออกมานอกร้าน มันยืนห่อไหล่เอามือล้วงกระเป๋าเสื้อรออยู่ คงเป็นเพราะวันนี้อากาศหนาวกว่าเมื่อวาน

"อ่ะ พันไว้จะได้อุ่นขึ้น"      ผมพูดบอกขณะเอาผ้าพันคอพาดบนไหล่มัน

"ขอบคุณครับ"      ผมชูฝ่ามือขึ้นเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไรแล้วเดินนำออกมา

"เมื่อกี้อายเหรอ"     หันไปมองหน้ามันก็เห็นว่าแดงอีกรอบ

"มากอ่ะพี่"      ไม่อายก็คงแปลก ขนาดโต๊ะข้างๆยังได้ยิน

"ถ้าอยู่ในบ้านพี่ไม่ถือนะ แต่ข้างนอกสำรวมหน่อยก็ดี"     มันขมวดคิ้วแล้วเกาหัว ผมรู้ว่ามันเข้าใจ แต่คงงงว่าผมจะพูดทำไม ก็หมายความตามที่พูดนั่นแหละครับ



.......................................................................



         ผมพาลูกทัวร์ที่มีเพียงคนเดียวนั่งเรือข้ามฟากมาเกาะอีกฝั่งหนึ่ง เลือกใช้บริการรถรางนั่งชมเมือง ตึกทางฝั่งนี้จะขึ้นชื่อด้านสถาปัตยกรรม รูปร่างตึกที่โดดเด่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นั่งจนครบทุกสายก็มาจบลงที่บันไดเลื่อนที่ยาวที่สุด ตอนกลางวันจะค่อนข้างเงียบ เพราะส่วนใหญ่ที่อยู่แถวนี้จะเป็นคนทำงาน บันไดเลื่อนนี้จึงเปิดให้บริการขึ้นลงสลับกันเป็นเวลาไป ตลอดเส้นทางที่กำลังเดินอยู่มีร้านรวงมากมายให้เลือกแวะชอปแวะชิม ละแวกนี้ร้านส่วนใหญ่จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเอง บางร้านก็เป็นแฟชั่นเฉพาะกลุ่มไปเลย

      เดินกันไปเรื่อยจนเริ่มรู้สึกเหนื่อย กะจะหาร้านหยุดพัก หันไปบอกอีกคนก็พบว่าข้างหลังไม่มีใครตามมา มองเลยไปอีกช่วงตึกก็เห็นมันนั่งอยู่ที่เก้าอี้ริมฟุตบาทโบกมือให้ ผมเลยเดินย้อนกลับมาหา

"เหนื่อยเหรอ"

"นิดหน่อย พี่เดินไว เรียกแล้วแต่ไม่ทัน"      ต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา เดินกันมาตั้งเกือบสองชั่วโมง

"งั้นรอนี่ จะไปซื้อน้ำมาให้"      ไม่ทันรอคำตอบผมก็ลุกเดินไปยังร้านกาแฟใกล้ๆ ลูกค้าในร้านไม่เยอะ ทำให้ไม่ต้องรอคิวนาน เลือกสั่งเครื่องดื่มที่มันชอบกับน้ำเปล่าสำหรับตัวเองอีกขวด

"อ่ะ เวลาเหนื่อยก็ยังต้องเป็นเมนูนี้ใช่ไหม"      ถามพร้อมยื่นแก้วชาเขียวไปให้

"พี่จำได้"      ยื่นมือมารับพร้อมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

"เพิ่งบอกเมื่อวาน"      พูดจบก็หย่อนตัวนั่งลงข้างๆ

"พี่นี่ดูเป็นคนใส่ใจดีนะ สาวรักสาวหลงแย่ อืม อร่อย"     หันหน้ามาบอกขณะกำลังดูดน้ำจากหลอด

"ก็ไม่ได้ทำแบบนี้กับทุกคน"      ผมหันไปบอกอีกฝ่ายเป็นจังหวะเดียวกับที่มันเงยหน้าขึ้นมาสบตากันพอดี

"ผมต้องซึ้งใจไหม"      แล้วมันก็ทำท่าทางซับน้ำตา บอกได้คำเดียวเลยว่าน่าหมั่นไส้

"แล้วแต่"

"พี่ชอบผู้หญิงแบบไหน"     มันถามขณะมองตรงไปข้างหน้า

"ไม่มีสเป็ค แค่เข้ากันได้ก็โอเค"      ผมไม่อยากคาดหวังกับใครคนนั้น แค่สักคนที่พอดีก็พอแล้ว ไม่ต้องดูดีที่สุด ไม่ต้องเก่งกว่าใครๆ แค่อยู่ด้วยกันแล้วมีความสุขก็พอ

"ไม่เชื่อหรอก อันดับแรกก็มองหน้าก่อนไหม"     ผมรู้ว่าใครๆก็คิดแบบนั้น

"แล้วแมทชอบแบบไหน"

"ไม่รู้สิ ตาโตๆมั้ง ดูน่ารักดี"     พูดไปก็ยิ้มไป

"แบบนั้นละชอบไหม"     ชี้ไปที่ผู้หญิงผมยาวตาโตท่าทางน่ารัก กำลังเลือกเสื้อผ้าอยู่ในร้านฝั่งตรงข้าม

"น่ารักดี แต่ถ้าให้จีบคงไม่ น่ารักไป เพราะอย่างนี้มั้งเลยยังไม่เคยมีแฟน ผมหมายถึงคนรักหน่ะ"     ผมว่ามันก็จัดอยู่ในขั้นดูดีเลยนะ เหลือเชื่อว่ายังไม่เคยมีใคร

"หรือจริงๆแล้วชอบผู้ชาย ไม่ลองมองดูบ้างละ"      มันวางแก้วที่ถืออยู่ลงก่อนจะมองหน้าผม ผมรู้ว่ามันตรงประเด็นเกินไป

"ก็ไม่แน่นะพี่ ฮ่าๆๆ อีกสักพักถ้ายังไม่มีใคร ก็ว่าจะลองมองดู คงได้เป็นอย่างที่แม่กับพี่สาวพูด"      มันตอบพลางหัวเราะ

"พูดว่า"     ความอยากรู้มันทำให้ผมถามต่อ

"ผมคงต้องมีแฟนเป็นผู้ชาย จะได้หายห่วง ถ้าเป็นผู้หญิงก็ต้องหาให้ปกป้องดูแลผมได้แบบพี่สาว เหอะๆ ไร้สาระดี"

"พี่ว่าก็มีสาระอยู่นะ"     มันคว้าแก้วชาเขียวมาดูดอีกครั้ง

"สาระที่พี่ว่าคืออะไร หายห่วงหรือปกป้องดูแลได้"

"ก็ทั้งคู่ บางทีมันอาจจะรวมอยู่ในคนๆเดียวกัน"      ส่ายหัวสองสามทีก่อนจะหันมาพูด

"ถ้าผมเจอคนๆนั้นมีทั้งคู่ก็น่าสน แต่คงยาก"

"ก็ไม่ยากนะ อย่าคิดเยอะ"      หลังพูดจบทั้งผมและมันต่างก็เงียบ

ผมเลยต้องเอ่ยประโยคทำลายความเงียบขึ้นมา

"ไม่สนใจซื้ออะไรบ้างเหรอ"     มันส่ายหน้าก่อนจะหันมาตอบ

"ผมเน้นกิน"      ชัดเจนดี

"งั้นไปกินกัน"      พูดจบก็ยื่นมือให้จับเพื่อลุกขึ้น อีกฝ่ายก็เงยหน้ามองก่อนจะยกยิ้ม

"นี่เป็นเซอร์วิสหรือว่าใส่ใจ"       ผมเลือกที่จะไม่ตอบ แต่คว้ามือแล้วดึงตัวมันให้ลุกขึ้นแทน

"เออพี่ ตกลงค่าจ้างคิดไง เมื่อวานก็ยังไม่ได้ตกลง"      วิ่งมาขวางหน้าผมพร้อมถามคำถาม

"ไม่คิดหรอก"      มันยิ้มมุมปากแบบเจ้าเล่ห์ก่อนจะยกนิ้วชี้หน้าผม

"อ่ะแนะ เค้าทำให้ตัวเองมีความสุขละสิ"      ยิ้มกว้างขึ้นแล้วกระพริบตาถี่ๆให้ มันจะรู้ไหมว่าไม่ควรทำท่าทางแบบนี้ต่อหน้าคนอื่น ผมว่ามันน่ารักเกินไป

"ก็ดี"     พยายามปัดมือมันที่กำลังชี้หน้าผมลง

"ปากแข็งนะเรา อยู่กับเค้าแล้วมีความสุขก็บอกมาเถอะ"      พูดจบก็ยิ้มกรุ้มกริ่ม

"ใช่ มีความสุข สุขมากจนไม่อยากจะคิดว่ามีเวลาแค่อาทิตย์เดียว"      ผมพูดเบาๆ ไม่คิดว่ามันจะได้ยิน

"พี่ก็ลางานเพิ่มดิ ไปเที่ยวคนเดียวต่ออีกหน่อย"

"ความสุขที่หมายถึงมันไม่ใช่แค่ได้ไปเที่ยว"

"แล้วหมายถึงอะไร"

"ก็หมายถึงคนที่ไปกับเราด้วยไงหล่ะ"       ไม่ต้องอธิบายต่อแล้วครับ ถึงผมจะไม่แน่ใจว่ามันจะเข้าใจรึป่าว เพราะมันทำหน้านิ่งๆเหมือนไม่รู้ ก็นั่นละครับมันอาจจะไม่รู้จริงๆ ไม่รับรู้หรือไม่ก็แกล้งโง่



.......................................................................



ตามแพลนที่พี่สาวของแมทร่างมา วันนี้จะจบต้องจบลงด้วยการไปดูการแสดงแสงไฟประกอบเพลงของตึก หรือที่เรียกกันว่า symphony of light แต่วันนี้การแสดงถูกยกเลิกเลยทำให้ต้องเปลี่ยนแผน

"ไปไหนกันดีพี่ โชว์ก็ไม่ได้ดูแล้ว"      เท่าที่ดูไม่มีแผนสำรองมาเผื่อให้ด้วย

"ชอบทำอะไรเป็นพิเศษไหม"

"อย่างเช่น"

"ชอปปิ้ง ดูหนัง เดินเล่นชมเมือง"

"แค่เนี้ย?!? คนที่นี่เขาชอปปิ้งกันอย่างเดียวเลยเหรอวะพี่"      พูดจบก็เดินไปหาที่นั่ง

"งั้นมั้ง"      เอาจริงๆผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าเค้าทำอะไรกัน เพราะช่วงเวลานี้ผมก็อยู่แค่ที่ร้านอาหารที่เปิดกับพี่เชลด้าไม่ก็นั่งทำงานอยู่ที่บ้าน

"งั้นนั่งดูวิวอยู่แถวนี้ก่อนละกัน ไหนๆก็มาแล้ว"


เรานั่งฟังเสียงคลื่นเสียงลมสักพักก็มีเสียงทำลายความเงียบขึ้นมา

ครอกกกก......

"เอ่อ"      เจ้าของเสียงทำหน้าไม่ถูก ผมหันไปมองที่ต้นเหตุก่อนจะถาม

"หิวละสิ"

"ไม่เท่าไหร่หรอกมั้งพี่ ดังสะเทือนขนาดนี้"

"ปลาหมึกย่างไหม มาตรงนี้ต้องกินอันนี้แหละ"      ผมมาแถวนี้ทีไรก็เห็นคนต่อคิวรอซื้อเพียบ ปลาหมึกตัวใหญ่ๆ ร้อนๆกับอากาศหนาวๆ วิวสวยๆ ฟังดูดีใช่ไหม

ทันทีที่เจ้าของเสียงท้องที่ร้องพยักหน้าผมก็เดินไปซื้อปลาหมึกย่าง คิวไม่ยาวมาก อาจจะเพราะวันนี้ไม่มีโชว์ คนเลยเริ่มสลายตัว รอไม่นานก็ได้ปลาหมึกย่างมาสองตัว ผมยื่นทั้งหมดให้กับคนตรงหน้า

"พี่กินไหมเดี๋ยวผมฉีกให้"

"เอาสิ"     กินไปสักพักก็เริ่มหิวน้ำ อีกคนอาสาจะไปซื้อเอง พอบอกจะไปด้วยก็ไม่ยอม

“พี่บริการผมเยอะแล้ว ผมไปให้เองมั่ง"    ผมพยักหน้าเบาๆ



.......................................................................



หายไปสักพักก็เดินคอตกกลับมามือเปล่า

"น้ำหล่ะ"

"ใกล้ๆแถวนี้ไม่เห็นมีเลย ไม่กล้าเดินไปไกล กลัวจำทางกลับมาไม่ได้"      เวลามันทำหน้าหงอยๆก็ดูน่ารักไปอีกแบบ ผมว่าไม่แปลกแล้วละครับที่แม่และพี่สาวมันจะพูดแบบนั้น มันเหมาะที่จะมีคนดูแลมากกว่าไปดูแลคนอื่นจริงๆ

"งั้นก็ไปด้วยกันเลย"     ลุกขึ้นยืนก่อนจะยื่นกระเป๋าให้มันแล้วจัดการพาไปเอง

ขณะที่เดินไปเรื่อย ผมรู้สึกได้ถึงความเงียบผิดปกติ หันไปมองก็เห็นคนปากคว่ำคอตก

"เป็นอะไร"     มันส่ายหัว

"หิวเหรอ ยังไม่อิ่มใช่ไหม"     เอาแต่ส่ายหน้าอีกครั้ง  ผมเลยเงียบไม่ถามต่อ เดาว่ามันคงไม่อยากพูด เดินสักพักก็รู้สึกได้ว่ามีอะไรมาแตะเบาๆที่ข้อศอก ผมเลยหยุดเดิน แล้วหันถามอีกครั้งขณะอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาพอดี

"ว่าไง"

"พี่ว่าผมงี่เง่าป่ะ"      ผมส่ายหน้า

"พี่ว่าผมน่าเบื่อไหม"      ผมส่ายหน้าอีกครั้ง

"พี่อย่าเพิ่งเบื่อผมนะ"     มันเลื่อนมือจากข้อศอกมาจับแขนผมเอาไว้แล้วมองผมด้วยแววตาเศร้าๆ ทำสีหน้าท่าทางแบบนี้แล้วผมจะเบื่อลงได้ไง

"พี่พูดแล้วเหรอว่าเบื่อ"

"ผมกลัวพี่เบื่อผม ขนาดผมยังเบื่อตัวเองเลย"      มันก้มหน้าลงมองที่พื้นอีกครั้ง

"ไม่ดีหรอกนะ คนที่เบื่อตัวเอง"      ผมบอก

"ก็ผมแม่ง ชอบทำตัวเป็นภาระ คอยพึ่งแต่คนอื่น ขนาดพี่เจอผมไม่นาน พี่ยังต้องมาดูแลผมเลย ค่าไกด์พี่ก็ไม่คิด แค่ซื้อน้ำแค่นี้ยังทำไม่ได้เลย"

"โว้ะ!!! หงุดหงิดตัวเอง"      เด็กจริงๆ

"ตกลงนี่รู้สึกไม่ดีเรื่องค่าจ้างพี่หรือเรื่องที่ตัวเองเป็นภาระ"      ผมว่ามันเริ่มจะสับสนละ

"ก็ทั้งสองเรื่อง"

"บอกแล้วไงวันไหนพี่ไปเที่ยวกับเราแล้วไม่มีความสุขพี่จะคิดพร้อมทิปหนักๆเลย"

"ผมไม่น่ารำคาญแน่นะ"      ผมส่ายหัวเบาๆพร้อมยิ้มให้ก่อนจะขยี้หัวมันเบาๆ ผมนิ่มดีแฮะ

"อย่าคิดเยอะ ไปหาน้ำกินกัน จะพาไปกินขนมอร่อยๆด้วย"      พูดจบอีกคนก็ตาโตขึ้นมาทันที

"ไปๆ รีบเลยพี่"

"นี่แน่ใจนะว่ามาหาข้อมูลไปเขียนนิยาย ไม่ใช่มารีวิวอาหาร"      ผมไม่เห็นมันจะสนใจบรรยากาศรอบข้างเท่าไหร่เลย ของกินสิดูจะน่าสนใจสำหรับคนตรงหน้าผมมากกว่าอย่างอื่น

"เหอะน่าพี่ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ข้อมูลอยู่ในหัวแล้ว จินตนาการได้เป็นฉากๆเลย"

"ฮ่าๆๆ งั้นไปกัน"      พอพูดจบอีกคนก็รีบออกตัวเดินนำหน้าทันที

"รู้ทางเหรอ รีบเดินนำเชียว"

"ไม่! พี่ก็รีบเดินสิ"

"ครับๆ"      สำหรับมัน เรื่องกินคงเป็นเรื่องใหญ่



.......................................................................



"อันนี้ก็ดี อันนั้นก็น่ากิน อันไหนดี เลือกไม่ถูกเลย อยากกินไปหมด"      หันมาถามผมขณะยืนท้าวสะเอวอยู่หน้าแผงที่มีลูกชิ้นปลาหลายๆแบบวางขายอยู่ ถนนเส้นนี้เป็นย่านวัยรุ่นที่มีของกินอร่อยๆและของขายเต็มไปหมด ซึ่งคนจะเยอะช่วงกลางคืน

"ก็ซื้อหมดทุกอย่าง แต่อย่างละนิดก็พอ"

"แล้วพี่ละ กินอันไหน"

"ไม่ละ ยังอิ่มอยู่เลย"      พอได้ยินอย่างนั้นก็หันไปเลือก พร้อมจ่ายเงิน

"พี่ไม่กินจริงอ่ะ อร่อยนะ"      ผมส่ายหัว

"เยอะขนาดนี้แล้วจะไปกินอย่างอื่นต่อไหวเหรอ"

"ไหวๆ ไปเลยไหม"      หันมาตอบ ปากก็เคี้ยวไปด้วย

"วัยรุ่นเพียบเลย"

"อืม วัยรุ่นที่นี่ส่วนใหญ่จะมาอยู่แถวนี้แหละ"      ตอบพร้อมมองหน้าอีกคนก็เห็นว่ากำลังพยายามยัดลูกชิ้นที่เหลือ

"ไม่ไหวก็ไม่ต้องยัด"

"ไม่ได้ เสียดาย"

"แล้วจะเหลือท้องว่างพอกินวาฟเฟิลบอลไหม"      อีกฝ่ายพยักหน้ารับ ปากก็พยายามกินลูกชิ้นที่เหลือ

"เอามานี่ พี่ช่วย"      ผมหยิบไม้ลูกชิ้นปลาจากมืออีกคนมาถือไว้เอง

"ดีจัง งั้นผมชิมบะหมี่ต่อเลยนะ"      ผมว่าไม่ใครก็ใครสักคนได้ท้องตึงเรียกหายาช่วยย่อยกันแน่ เพราะหลังจากร้านลูกชิ้น ก็แวะรายทางมาเรื่อยๆเกือบจะครบทุกร้าน ผมก็ต้องช่วยมันกินที่เหลือมาตลอดทาง

"ไม่ไหวแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้บ้างก็ได้"      มันทำหน้าเสียดายทันทีที่ผมว่าอย่างนั้น

"งั้นขอน้ำมะม่วงปั่นอีกแก้วนะ"      ยังจะไหวอีกเหรอ แต่ผมก็พยักหน้าแล้วเป็นฝ่ายเดินไปซื้อให้แทน



.......................................................................



"อ่ะ เอาแก้วเล็กพอนะ"      มันรับแก้วไปถือไว้เอง

"เหนื่อยแล้ว กลับกันไหม"

"ไปสิ"

"แต่พรุ่งนี้พี่ต้องพามากินวาฟเฟิลบอลนะ"

"ครับ"      ผมยิ้มตอบพร้อมพยักหน้ารับ

"พรุ่งนี้เราจะไปไหนกัน"

"พี่กะว่าจะพาไปเดอะพีค ตื่นสายหน่อยก็ได้นะ"

"ดีดี วันนี้เมื่อยมาก ขอนอนยาวๆ"

"งั้นเจอกันสัก 9 โมงไหวไหม"

"โอเคพี่"      ตอบรับก่อนจะออกเดินไปด้วยกัน เนื่องจากแถวนี้ไม่ไกลจากบ้านผมมากนัก เราเลยใช้วิธีเดินกลับ แต่ด้วยอากาศที่ค่อนข้างหนาวและลมพัดค่อนข้างแรงทำให้ต้องรีบเดิน พอหันไปมองก็เห็นคนข้างๆดูท่าทางไม่น่าจะไหว

"เป็นอะไรรึเปล่า"      ผมหยุดขวางอีกคนก่อนก้มหน้าถามคนที่กำลังห่อตัวเข้ากับเสื้อกันหนาวของตัวเอง

"สงสัยจะจุกอ่ะพี่"      คงเพราะกินจนแน่นแล้วมารีบเดิน

"พักก่อนไหม"

"ไม่เป็นไร ยังพอไหว กลับไปพักที่ห้องดีกว่า"      หน้าตาดูซีดขึ้นเรื่อยๆอย่างเห็นได้ชัด

"เอากระเป๋ามาพี่ช่วย"      ปลดกระเป๋าที่สะพายอยู่ด้านหลังทันทีที่ผมเอ่ยขึ้น

"ขอบคุณครับ"      ผมรับกระเป๋ามาสะพายไว้เอง อยากจะช่วยพยุง แต่ก็กลัวว่ามันจะรู้สึกไม่สะดวกใจ

กว่าจะมาถึงห้องได้ก็ทุลักทุเลมาก เดินไปก็กุมท้องไป

"ดีขึ้นบ้างไหม"      วางกระเป๋าลงบนโต๊ะก่อนจะเอ่ยถาม

"ไม่หว่ะพี่ เหมือนจะปวดกว่าเดิมอีก"      ก็นั่งตัวงอซะขนาดนี้

"งั้นพี่ลงไปซื้อยาให้ อดทนก่อนนะ"      เอาจริงๆผมก็ไม่รู้ว่าควรทำยังไง อย่างแรกที่คิดได้ก็คงต้องกินยาไปก่อน

ผมรีบวิ่งไปซื้อยาที่ร้านสะดวกซื้อด้านล่างตึก ผมเองก็ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับยาหรืออาการอะไรพวกนี้มากนัก เบื้องต้นตอนนี้แค่ยาช่วยย่อยกับยาลดกรดคงน่าจะพอบรรเทาไปได้

“แมทกินยาก่อน”     ผมยื่นยาให้พร้อมกับแก้วน้ำรอให้อีกคนรับไป

“ขอบคุณนะพี่”    วางแก้วน้ำลงที่โต๊ะข้างเตียงหลังจากเอ่ยขอบคุณ

“นอนพักเถอะ เดี๋ยวพี่อยู่เป็นเพื่อน”     พอว่าอย่างนั้นอีกคนก็ลุกขึ้นมานั่งจากท่าที่คุดคู้

“ไม่เป็นไรพี่ ผมเกรงใจ ผมอยู่ได้ พี่ไปนอนเถอะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ”   

“ไม่ต้องเกรงใจ ไว้เราดีขึ้นพี่ค่อยขึ้นไปก็ได้”

“เถอะนะ”     ได้ยินอย่างนั้นผมก็เดาว่ามันคงอยากพักผ่อนเงียบๆ  และผมเองก็ไม่ควรรั้นที่จะอยู่ต่อ

“ถ้าไม่ไหวโทรเรียกพี่ได้ตลอดเลยนะ”    พูดจบก็เดินไปหยิบโทรศัพท์ไร้สายของห้องมาวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียงพร้อมกับที่อีกคนพยักหน้ารับ

          ผมจำต้องเดินออกจากห้องไปตามที่อีกคนต้องการ จะให้ทำไงได้ในเมื่ออีกฝ่ายอยากพักผ่อนลำพัง ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ในอาการเป็นกังวล เพราะนี่ขนาดกลับมาอาบน้ำ เช็คอีเมล์ ส่งงานเรียบร้อย ได้เวลานอนแล้วผมยังไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด ผมว่าผมกำลังเป็นห่วง แล้วพอมันอยากอยู่คนเดียวก็ยิ่งเป็นห่วงอยากรู้เข้าไปอีกว่ามันดีขึ้นหรือยัง ความกังวลมันเลยสั่งการให้ผมเดินลงมาที่หน้าห้องพักของอีกฝ่าย เดินวนไปวนมาอยู่อย่างนั้นแต่ก็ไม่กล้าเคาะประตู ทั้งๆที่มีรหัสและกุญแจแต่ก็ไม่กล้าเข้าไป เพราะเกรงว่าจะรบกวนถ้าอีกฝ่ายกำลังหลับอยู่ ถ้าทำแบบนั้นผมคงกลายเป็นคนที่ไม่มีมารยาทเอามากๆ วันนี้ผมคงทำได้แค่นี้  อันที่จริงจะว่าไปสองวันมานี่ผมทำเรื่องที่เกินคาดเดาไปหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเดินตามอีกคนไปสถานีรถไฟฟ้าแถมยังไปใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินอีก หรือจะเป็นเรื่องลางานไปเที่ยว ดื่มเครื่องดื่มที่บอกตัวเองมาตลอดว่าไม่ชอบ หรือจนกระทั่งการมายืนกังวลอยู่หน้าห้องอีกฝ่ายแบบนี้ ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติแล้วหล่ะ ผมควรจัดการเรียบเรียงความคิดตัวเองซะใหม่แล้วถามตัวเองอย่างจริงจังว่ากำลังทำอะไรอยู่



.......................................................................



❤ตอนที่ 9 มาแล้วค่ะ ^^*
❤ขอบคุณทุกความเห็นเลยนะคะที่แวะมาให้กำลังใจกัน
❤อยู่ต่อไปเรื่อยๆเป็นเพื่อนกันก่อนน้า
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยค่ะ ขอบคุณนะค๊ะ




ออฟไลน์ rogerr

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 834
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
พระเอกเริ่มรุกแล้ว :-[ :-[

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
น่ารักอ่ะ
ยาวจุใจมากๆ :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
หนุ่มตี๋จะรู้ใจตัวเองแล้วนะ แมทเตรียมตั้งรับได้เลย(เอ หรือว่าแมทจะมึนต่อไป)
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
รักคุณเข้าแล้วสินะ

ตั้งตัวได้แล้วรุกเลยยยย

ออฟไลน์ nicksrisat

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 948
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
พึ่งเข้ามาอ่านเนื้อเรื่องน่าสนใจดี
รออ่านตอนต่อไปค้าบบ :katai2-1:

ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ตอนที่ 10
 

Matt part

ก๊อกๆๆๆ  ก๊อกๆๆๆๆ

ใครมาเคาะประตูแต่เช้า หยิบนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา

"ฉิบหาย!"       10 โมงครึ่งแล้ว เมื่อคืนก็นอนทั้งชุดเดิม หน้าก็ไม่ได้ล้าง น้ำก็ไม่ได้อาบ

ส่องตาแมวแล้วคงเป็นใครไปไม่ได้ สภาพตอนนี้ผมคิดว่าไม่ควรเปิด

แกร๊ก!

แง้มประตูเข้ามาหาตัวประมาณ 1นิ้ว แล้วโผล่ออกไปแค่ตา

"พี่ผมขอโทษ เพิ่งตื่น แต่ให้เข้ามาตอนนี้ไม่ได้จริงๆ"

"ทำไมละ จะนอนต่อเหรอ หรือว่ายังไม่หายปวดท้อง"        พี่มันพยายามจะชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ประตู

"เฮ้ย! อย่า หายตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่สภาพแย่ อาย ขออาบน้ำแต่งตัวก่อนนะ"        พอผมพูดจบ พี่เชนก็หลุดหัวเราะทันที

"ไม่เป็นไร พี่ไม่ถือ ขอเข้าไปรอข้างในได้ไหม"

"ไม่ได้ ผมทำอะไรไม่สะดวกหรอกพี่ นะนะ ขอเวลา 20 นาที"

"แค่นั่งรอที่โซฟาก็ไม่ได้เหรอ พี่ปิดตาเข้าไปก็ได้นะ"        ดื้อด้านจังวะ บอกว่าไม่ได้ไม่เข้าใจรึไง ผมเลือกที่จะเงียบไม่ตอบ

"ครับๆ งั้นพี่ลงไปรอข้างล่างนะ ไม่ต้องรีบหรอก"       พูดจบพี่แกก็หันหลังเดินออกไป ทำหน้าหงอยซะรู้สึกผิดเลย ถ้าขึ้นไปรอบนห้องตัวเองคงไม่เท่าไหร่ นี่ลงไปรอข้างล่าง กดดันชะมัด

"พี่เชน!"       ผมตะโกนเรียก

"ครับ"       พี่แกหันมาพร้อมหน้าหงอยๆ

"เข้ามาก็ได้ แต่เว้นระยะห่าง 1 เมตรนะ ปิดตาเข้ามาด้วย"

"ทำไมต้อง 1 เมตร กลัวพี่ทำอะไรเรารึไง"       ตลก! ใครจะไปกลัวเรื่องนั้น ถามมาได้ผมก็ผู้ชายเหมือนกัน ขืนทำอะไรผมก็สู้สิ ยืนเฉยทำไม

"ก็ผมยังไม่ได้แปรงฟัน มันควรไหมละพี่คิดว่า"       ใกล้กว่านี้ก็พังกันพอดี กลิ่นปากตอนเช้ามีกันทุกคนนะครับ สโลแกนนี้ผมจำได้ขึ้นใจ

"พี่ไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยขนาดนั้นหรอก"

"แต่ผมใส่ใจครับ"       คือผมเข้าใจนะ ผู้ชายด้วยกัน เรื่องแค่นี้มันไม่น่าอายสักนิด แต่ผมกลับรู้สึกอย่างนั้น และคิดว่าไม่ควร

"โอเคครับ พี่จะปิดตาเข้าไปรอเงียบๆ"

"ปิดประตูให้ด้วยนะพี่"       พูดจบผมก็เดินไปหยิบเสื้อผ้าเข้าห้องน้ำ ผมเองก็ไม่รู้ว่าเราสนิทกันขั้นไหนถึงได้ยอมให้อีกฝ่ายเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวในเวลาที่กำลังทำธุระส่วนตัวอยู่ได้

.......................................................................


        ผมใช้เวลาอาบน้ำแค่ 10 นาทีก็เรียบร้อย แต่ตอนแต่งตัวนี่สิ พื้นห้องน้ำก็เปียก ลำบากชะมัด ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาอายเวลาแต่งตัวต่อหน้าผู้ชายด้วยกันมาก่อนเลย ไปเข้าค่ายก็ตั้งหลายครั้ง อาบน้ำรวมกันกับเพื่อนผู้ชายตลอด แต่พอต่อหน้าคนคนนี้กลับกังวลซะอย่างนั้น

"เสร็จแล้วพี่ ลืมตาได้"

"เร็วจัง"       ก็เพราะมีคนรออยู่ไงละ ถึงต้องรีบ

"พี่หลับตาอยู่ตลอดเลยเหรอ"      ถามขึ้นขณะกำลังพยายามเซ็ทผม

"ใช่สิ ก็แมทบอกให้ทำอย่างนั้น"      นี่ก็ซื่อจัง

"วันนี้ไม่ทันไปกินข้าวเช้าพร้อมป๊ากับม๊าเลย"      หยิบกระเป๋าเป้มายืนอยู่ตรงหน้าอีกคน

"วันนี้ป๊ากับม๊าออกไปทำธุระข้างนอกแต่เช้า พี่ก็เลยไม่ได้โทรมาปลุกไง"      ยื่นมือข้างนึงมาตรงหน้าผม

"อะไร"      ผมถามพร้อมมองไปที่มือข้างนั้น

"ดึงหน่อย"      ผมคว้ามือพี่แกก่อนจะออกแรงกระชากจนอีกคนลุกขึ้น

"เด็กหว่ะ"

"ก็พยายามทำตัวเด็กจะได้เข้าใจความคิดของเด็ก"     พูดจบก็ยิ้มมุมปาก

"ไปกันเถอะพี่ ผมโคตรจะหิว"      พูดอะไรงงๆ เข้าใจยาก ผมเลยรีบหมุนตัวเดินนำไปที่ประตูห้อง

"มีอะไรที่อยากกินเป็นพิเศษไหม"     อีกคนถามขณะเดินออกจากลิฟต์

"ตามแพลนมันต้องกินโจ๊ก”

“กินอะไรเบาๆอย่างโจ๊กก็ดีนะ เมื่อวานก็เพิ่งปวดท้องมา”

“แต่ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ พี่มีอย่างอื่นแนะนำรึเปล่า"

"งั้นเดี๋ยวพาไป"      ว่าอย่างนั้นก็เดินนำออกจากตึก เดินไปเรื่อยๆ ประมาณ 500 เมตร

"อีกไกลไหม"      คือหิวแล้ว ผ่านร้านอาหารมาก็ตั้งหลายร้าน ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

"ถึงแล้ว"      พี่แกหยุดอยู่หน้าร้านอาหารอิตาเลี่ยนดูดีร้านหนึ่ง แต่ป้ายมันยังปิดอยู่เลยนี่หว่า หรือว่าไม่ใช่ร้านนี้

"ร้านปิด"      ผมหันไปบอกคนข้างๆที่กำลังล้วงอะไรสักอย่างออกมาจากกระเป๋า

"เดี๋ยวจะเปิดให้เป็นกรณีพิเศษ"      พูดจบก็เอากุญแจมาไขประตูแล้วผลักเข้าไปในร้าน

“ไขออกด้วยแฮะ"      ผมพูดพร้อมทำหน้าสงสัยก่อนจะได้คำตอบ

"ก็นี่มันกุญแจของที่ร้าน จะไขไม่ออกได้ไง"     อธิบายคงหวังจะให้หายสงสัย ก่อนจะหันไปล็อคประตูอีกครั้ง แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ดี

"ร้านพี่เหรอ นึกว่าทำงานประจำซะอีก เห็นวันก่อนที่พาไปออฟฟิศ"       สักพักก็คิดได้ว่าจะสงสัยไปทำไม พี่แกเปิดเข้ามาในร้านได้ก็แสดงว่าต้องเป็นร้านพี่แกดิวะ มีร้านต้องดูแล แล้วทำไมว่างไปเที่ยวกับผมได้ ก็ยังมีเรื่องให้สงสัยไปเรื่อย วิสัยมนุษย์โลกนะครับผมว่า

         ผมถอดเสื้อกันหนาวมีฮู้ดตัวนอกออกเหลือไว้เพียงเสื้อยืดแขนสั้นด้านใน ก่อนมองไปรอบๆ ร้านนี้ตกแต่งได้ดูดีและโดดเด่นกว่าทุกร้านในละแวกนี้ แต่ละโต๊ะก็ให้ความรู้สึกแตกต่างกัน ถูกใจผมเลยละ พี่เชนพาผมมานั่งที่เคานเตอร์ซึ่งสามารถมองทะลุครัวของร้านได้

”นั่งรอตรงนี้นะ อยากกินอะไร พี่จะทำให้"      ทำมาเป็นถาม ทีตอนผมถามก็ไม่ตอบ

"พี่ทำอะไรอร่อยผมก็กินอันนั้นแหละ"      เมนูก็ไม่เอามาให้ดู เลยต้องตอบไปอย่างนั้น ถ้าพี่แกถนัดทำอาหารจานไหน จานนั้นก็จะมีความเสี่ยงที่จะไม่อร่อยอยู่ในระดับต่ำแน่นอน

"แมทมีอะไรที่แพ้หรือกินไม่ได้บ้างไหม "      ถามขึ้นขณะกำลังผูกผ้ากันเปื้อน

"ที่ถามเพราะแค่ไม่อยากพลาดหรือว่าใส่ใจ"      ผมถามอะไรออกไปวะ

"อยากรู้ พี่จะได้จำไว้ว่าเราทานไม่ได้ ถามว่าใส่ใจไหมก็น่าจะใช่ แล้วก็อยากรู้ว่าชอบอะไรด้วย เพราะจะได้เอาใจถูก"     มันใช่เหรอ จะเอาใจผมทำไม

       สักพักก็ออกมาพร้อมกับตะกร้าเล็กๆที่มีหอยอยู่ในนั้น  พี่เชนวางตะกร้าหอยลงข้างเตาพร้อมหยิบกระทะก้นแบนขึ้นมาวางบนเตาตามด้วยขวดเครื่องปรุงสองสามอย่างวางข้างๆกัน จากนั้นก็หมุนตัวมายืนใกล้กับที่ผมนั่งอยู่

"ตกลงเราชอบอะไร"      ถามขณะที่กำลังถลกแขนเสื้อขึ้นแล้วใช้มือค้ำแขนทั้งสองลงบนเคานเตอร์ฝั่งตรงข้ามผมพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ

"ผมชอบพวกอาหารเส้น แล้วก็ไม่มีอะไรที่แพ้ด้วย กินได้ทุกอย่าง"      ผมบอก

"งั้นก็พอดีเลย ลองเมนูนี้ละกัน พี่ถนัด"      ผมมองคนตรงหน้าที่ขยับมาใกล้กว่าเดิม

"มันใกล้ไป"     พอได้ยินอย่างนั้นก็กลับยกยิ้มอย่างไม่รู้สึกอะไร วันนี้พี่เชนทำตัวแปลกจากสองวันก่อนอย่างสิ้นเชิง หรือพี่แกจะเป็นคนหลายมิติ แบบอารมณ์และพฤติกรรมเปลี่ยนทุกๆ 2 วัน

"อ้าว แมท มาได้ไง"      เหมือนเสียงระฆังช่วยชีวิตที่ทำให้ผมต้องรีบหันไปมอง ส่วนอีกคนก็กลับหลังหันไปที่เตาเรียบร้อย

"พี่เชลด้า สวัสดีครับ เอ่อ พี่เชนพามาทานข้าวครับ"      พี่เชลด้าเอียงหน้าขมวดคิ้ว คงจะสงสัยน้องชายตัวเอง ไม่แปลกหรอกครับ เพราะวันแรกก็ดูจะเขม่นผมขนาดนั้นแต่วันนี้กลับมาด้วยกัน เป็นผมก็คงงงไม่ต่างกัน

"อ่อจ้ะ แล้วไปเจอกันที่ไหนละ พี่เห็นเชนออกมาตั้งนานแล้วนี่"      พี่สาวหันไปถามน้องชายที่กำลังง่วนอยู่หน้าเตา

"ผมลงไปรับแมทที่ห้องเองแหละ พอดีเมื่อวานแมทไม่ค่อยสบาย วันนี้เลยพามาทานอาหารที่ร้านซะเลย”         พี่เชนตอบทั้งที่ยังหันหลังให้พี่เชลด้ากับผม

"เชนรู้ได้ไงว่าเมื่อวานแมทไม่สบาย"    จะไม่รู้ได้ยังไงในเมื่ออยู่ด้วยกันทั้งวัน

"ผมอาสาเป็นไกด์ให้แมทเลยอยู่ด้วยกัน"     เดี๋ยวนะๆ ไม่ใช่ผมหรอกเหรอที่เป็นฝ่ายยื่นข้อเสนอ

"ไม่ได้เป็นอย่างที่พี่เคยพูดใช่ไหม"     ถามขึ้นขณะหรี่ตามองน้องชายตัวเอง

"ยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ"       พอพี่เชนพูดจบผมหันไปมองก็เห็นคิ้วของพี่เชลด้าขมวดเป็นปมชัดเจน

"เลิกทำหน้างงได้แล้วพี่ ไว้ทำจานนี้เสร็จ ผมจะตอบทุกข้อที่พี่สงสัย"        พี่เชนหันมาบอกพี่สาวตัวเองอีกประโยคก่อนจะไปจัดการเมนูตรงหน้าต่อ พี่เชลด้าพยักหน้ารับซึ่งก็คงจะแปลว่ารับรู้ แต่ผมนี่สิยังสงสัยอยู่ เรื่องที่พาเข้ามาในร้านได้ยังไงก็ยังไม่เคลียร์ ถึงจะเจอพี่เชลด้าให้พอหายสงสัยก็เถอะ นี่ยังมีมาเรื่องเพิ่มความสงสัยมาให้อีก

"แล้วนี่กำลังทำอะไรอยู่"       พี่เชลด้าชะโงกหน้าแล้วพยายามสูดกลิ่น

"วองโกเล่ครับ"       คนหน้าเตาหันมาตอบพร้อมรอยยิ้ม

"วองโกเล่แต่เช้าเลยเหรอ"       ถามขึ้นพร้อมย่นคิ้วเล็กน้อย

“สายแล้วนะครับ”

"อ้าวเหรอ งั้นเผื่อพี่ด้วยนะ ไปนั่งตรงโน้นกันแมท อยู่ตรงนี้เสื้อเหม็นกลิ่นควันกันพอดี"      อ้าว ถามซะนึกว่าจะไม่กิน

"แปลกนะวันนี้เข้าร้านไว ปกติไม่เย็นก็ไม่ได้เห็นหน้าหรอก แล้วยังไปยืนอยู่หน้าเตาอีกยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่"      พี่เชลด้าบอกก่อนจะผายมือให้นั่ง

"นี่ร้านของพี่เชลด้าเหรอครับ"

"ใช่จ้ะ ร้านของพี่กับเชนเอง คนที่ยืนอยู่หน้าเตานั่นละหุ้นส่วนใหญ่"     อ่อ ถึงว่ามีกุญแจร้านได้

"พี่สองคนเข้าร้านทุกวันเลยเหรอครับ"       คนนี้หล่ะที่จะตอบทุกข้อสงสัยของผมได้

"ก็ทุกวันนะ ถ้าไม่มีธุระข้างนอก ส่วนเชนก็เข้าเฉพาะตอนเย็น นี่ก็ไม่เข้ามาสองสามวันละ โผล่มาก็วันนี้แหละ"       เห็นไหมครับถามหนึ่งได้ถึงสอง

"ดูท่าทางพี่เค้าทำอาหารเก่งนะครับ"      ตำแหน่งของโต๊ะสามารถมองเห็นคนหน้าเตาได้พอดี ดูคล่องแคล่วกว่าที่คิด

"เก่งแล้วก็อร่อยด้วย นานๆเค้าจะทำสักที"

"งั้นวันนี้ก็แสดงว่าแมทโชคดีสิครับ"

"พี่ก็เลยพลอยโชคดีไปด้วย"      แล้วก็หัวเราะถูกใจ สงสัยอาหารฝีมือเชฟคนนี้จะหาโอกาสทานยากจริงๆ

"อัลเลวองโกเล่มาแล้วครับ"       พอจานวางลงตรงหน้า ผมก็เก็บอาการตื่นเต้นไม่มิด มันน่าทานสมราคาคุย หอยกาบตัวโตๆ

"เชน เชือกที่ผูกไว้ที่ข้อมือหลุดไปแล้วเหรอ"       พี่เชลด้าจับแขนน้องชายตัวเองก่อนจะถามขึ้นหลังจากพี่เชนวางจาน

"ครับ ผมยังแปลกใจ อยู่ๆก็หลุด"       พูดพลางจับข้อมือตัวเอง

"ก็คงเพราะเชนสมหวังในคำอธิษฐานแล้วไง"        ทั้งคู่ยิ้มให้กันก่อนพี่เชนจะนั่งลงเก้าอี้ข้างผม ผมละสงสัยจริงๆว่าคนตรงหน้าขออะไรไปตอนผูกเชือก แต่ผมไม่ควรถามในเมื่ออีกคนไม่อยากบอก

"เป็นไงแมท ชอบไหม"        พี่เชลด้าถามผม

"อร่อยมากเลยครับ แมทชอบทานสปาเก็ตตี้"        ผมชอบอาหารที่เป็นเส้นทุกชนิด คำแรกที่ได้ลองจานนี้มันรู้สึกได้ถึงนุ่มลิ้น เส้นก็พอดี หอยก็สดๆ ผมให้สิบดาวเลยครับ

"นี่เป็นสเปเชี่ยลเมนูของร้านเราเลยนะ ใครได้ลองก็ติดใจ ถ้าลูกค้ารู้ว่าเชนอยู่ เมนูนี้ถูกสั่งแทบทุกโต๊ะ"       ผมพยักหน้ารับขณะที่พี่เชลด้าบรรยายความขึ้นชื่อของอาหารตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนที่จะตักเส้นเข้าปากตัวเองบ้าง

“นี่ไม่ได้ใส่ไวน์ขาวหรอกเหรอ”     อาหารจานนี้มันต้องใส่เหล้าด้วยเหรอ แค่นี้ผมก็รู้สึกว่ามันอร่อยมากแล้วนะ ถ้าครบสูตรมันจะอร่อยขนาดไหน

“เมื่อวานแมทปวดท้อง ผมเลยไม่อยากให้ทานอะไรที่มันเสี่ยง”    โธ่! พี่คร้าบ อยากจะบอกว่า ใส่มาเถ้อะ กระเพาะผมแข็งแรงกว่าที่พี่คิดเยอะ เมื่อวานมันปวดเพราะกินเกินพอดี เสียดาย! อดกินครบสูตรเลย

“เมื่อกี้ก็ว่าจะถาม แมทดีขึ้นรึยัง ได้ทานยาแล้วใช่ไหม”     พี่เชลด้าวางช้อนแล้วทำหน้าตาตื่นถามผมทันทีที่ได้ยินพี่เชนว่าอย่างนั้น

“ครับ ดีขึ้นมากเลย เมื่อวานพี่เชนไปซื้อยามาให้”     พอผมพูดจบพี่เชลด้าก็หรี่ตามองน้องชายตัวเองด้วยอาการสงสัย

"เชนเนี่ยนะ”      ผมพยักหน้ายืนยันอีกครั้ง

“อืม...แล้วนี่เชนจะเล่าให้พี่ฟังได้หรือยัง"     เล่าเลย ผมก็รอฟังอยู่

"อย่างที่พี่เคยพูดไว้ ผมก็ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น ต่างกันเพียงแค่ไม่ใช่ความสงสารหรือรู้สึกแค่อยากช่วยเหลือ อะไรบางอย่างในตัวเขาคงดึงดูดผมมากกว่า"      เขาคือใคร

"อะไรบางอย่างที่ว่า คงดึงดูดเชนมากเลยนะ เพราะพี่ว่าเป็นเรื่องที่ตัดสินใจยากพอสมควรเลย"        พี่เชลด้าพูดขึ้นขณะกำลังใช้ส้อมม้วนเส้นสปาเก็ตตี้ และมองมาที่ผมอย่างยิ้มๆ

"ก็ยาก แต่ก็อย่างที่ผมบอก มันยังไม่ถึงขนาดนั้น เพราะผมเองก็ยังไม่แน่ใจ"        คนข้างๆหันมามองผมก่อนจะหันไปยิ้มกับพี่เชลด้า

"พี่ไม่ถามถึงรายละเอียดก็แล้วกันว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ แต่ถ้าเชนเชื่อว่าดี พี่ก็จะคอยเอาใจช่วยนะ"         คราวนี้เป็นพี่เชลด้าที่หันมาส่งยิ้มกว้างให้ผม แต่ผมนี่สิกำลังงงว่าทั้งคู่กำลังพูดถึงอะไร แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมควรจะถามออกไป เพราะมันคงดูไม่มีมารยาท

"ขอบคุณครับพี่"         พูดจบก็หันมามองหน้าผมอีกครั้ง

.......................................................................


         หลังจากทานอาหารเสร็จผมก็อาสาช่วยเก็บจาน เพราะเกรงว่ามันจะเป็นการไม่มีมารยาทหากจะนั่งเฉยๆ อะไรที่พอจะหยิบจับได้ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ

“ไปกันเถอะ สายแล้ว"       ผมเดินตามอีกคนออกมานอกร้าน

"เที่ยวให้สนุกนะ"        พี่เชลด้าเดินออกมาบอกลาพร้อมโบกมือให้ที่หน้าร้าน

"ผมถามได้ไหมว่าพี่เชลด้ากับพี่คุยถึงเรื่องอะไรกัน"       รีบถามทันทีที่เดินออกมาได้สักระยะ เพราะจากการที่ทั้งคู่หันมามองผมระหว่างที่พูด มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมมีส่วนเกี่ยวข้องในบทสนทนานั้น

"เดี๋ยวเราต้องเติมเงินบัตรก่อนขึ้นรถไฟฟ้านะ พี่ว่ามันไม่น่าจะพอ"         ผมไม่ชอบเลย พี่เชนมักเลี่ยงคำถามที่ไม่อยากตอบด้วยการเปลี่ยนไปพูดถึงเรื่องอื่น

"พี่ตอบที่ผมถามก่อนสิ"         ผมหันหน้าไปมองคนที่เดินอยู่ข้างตัว แต่แทนที่จะตอบกลับดันไหล่ผมให้ข้ามถนน

"วันนี้พี่จะพาไปเดอะพีคนะ จะได้นั่งรถแทรมด้วย ดีไหม"        ในเมื่อไม่ตอบก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเซ้าซี้ ผมเลือกที่จะเดินให้ช้ากว่าหนึ่งก้าว เพื่อจะมองดูอีกฝ่ายจากด้านหลัง พี่เชนหันหลังมามองผมพร้อมเลิกคิ้วเป็นเชิงถามเอาคำตอบจากประโยคที่เพิ่งพูดไป ผมรู้ว่าผมควรตอบ ผมไม่ใช่คนที่ชอบประชดประชัน แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงอยากจะทำแบบนี้กับพี่เชน  อยากจะประชดโดยการไม่ตอบคำถามบ้าง

.......................................................................


          คนบนรถไฟฟ้ายังคงแน่นเหมือนวันที่ผ่านมา ผมว่าขนส่งสาธารณะที่นี่ถูกใช้สอยอย่างคุ้มค่านะ ประชาการส่วนใหญ่มักเลือกวิธีเหล่านี้มากกว่าสร้างรถส่วนบุคคลแล้วเป็นภาระบนท้องถนนแบบบ้านเรา จะเห็นรถส่วนตัวอยู่ตามนอกเมืองซะส่วนใหญ่ อาจจะด้วยระบบคมนาคมที่นี่สะดวกมากก็ได้ ทำให้ใครๆที่นี่ก็เลือกใช้บริการ หรือไม่ก็เพราะสถานที่อยู่อาศัยไม่เอื้ออำนวยให้มีรถส่วนตัวก็เป็นได้ ถ้ามีสักคันคงต้องจ่ายค่าที่จอดแพงพอๆกับค่าผ่อนเลยละมั้งครับ

           ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงจุดชมวิวที่เรียกว่า "เดอะพีค" เราทั้งคู่ขึ้นมาโดยใช้บริการรถแทรมซึ่งเป็นรถรางไฟฟ้าที่ค่อยๆไต่ระดับขึ้นเขา อากาศบนนี้ค่อนข้างเย็นกว่าข้างล่างพอสมควร ระหว่างทางถ้ามองออกไปจากหน้าต่างรถก็จะเห็นวิวทิวทัศน์และตึกระฟ้าในมุมที่แตกต่างออกไป พี่เชนเล่าว่า  "เดอะพีค"  คือจุดสูงสุดของเกาะฮ่องกง แต่ก่อนจะเป็นย่านหรูหราที่สุดของเมืองมีแต่เศรษฐีคนมีฐานะอาศัยอยู่ที่นี่

"แมทอยากขึ้นไปจุดชมวิวข้างบนก่อนหรือไปเดินเล่นแถวๆนี้ก่อนดี"        คนด้านหน้าหันมาถามผมขณะกำลังเดินออกจากรถแทรม

"เดินเล่นก่อนดีกว่า ขึ้นไปตอนนี้ท่าทางคนจะเยอะ"        เพราะดูจากนักท่องเที่ยวที่ออกจากรถแทรมต่างก็มุ่งหน้ากันขึ้นไปที่จุดชมวิวด้วยกันทั้งนั้น

          เราเดินเล่นตามทางบนเนินเขาไปเรื่อยๆ อากาศบนนี้เย็นกว่าที่ผมคิดไว้ค่อนข้างเยอะ แค่หายใจก็พ่นไอออกมาแล้ว บนนี้เหมือนเป็นอีกหนึ่งเมืองเล็กๆเลยนะผมว่า มีห้างสรรพสินค้าเล็กๆคอยอำนวยความสะดวก บ้านบนนี้มีไม่ได้เยอะมาก แต่หลังหนึ่งก็ใหญ่ๆทั้งนั้น คงเป็นบ้านเศรษฐีอย่างที่พี่เชนบอกจริงๆ เพราะถ้าพ้นจากบริเวณร้านค้าและจุดชมวิว แถวนี้ก็ดูสงบน่าอยู่อาศัยมาก

“เราขึ้นไปดูวิวด้านบนกันดีกว่านะพี่ว่า”        ผมพยักหน้าตอบรับ

“เป็นที่ที่นักท่องเที่ยวต้องมาใช่ไหมพี่ คนถึงเยอะขนาดนี้”     ระหว่างทางที่จะขึ้นไปจุดชมวิวที่เรียกว่า  สกาย เทอเรส   ทุกชั้นจะมีทั้งร้านของฝากและขนมเต็มไปหมดและที่สำคัญคือมีคนเยอะทุกชั้น

“น่าจะอย่างนั้นนะ พี่ก็ไม่ได้มาบ่อยนักหรอก แต่มันเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของฮ่องกง คนก็ต้องเยอะเป็นธรรมดา อีกอย่างที่นี่ก็มีประวัติ เลยน่าสนใจ”     คงจะเป็นอย่างนั้น

"เป็นไง วิวบนนี้สวยไหม"       ถามผมหลังจากเดินขึ้นบันไดเลื่อนมาเรื่อยๆจนถึงชั้นดาดฟ้าบนสุดที่เป็นจุดชมวิว

"สวย สวยมาก"       ผมเกาะที่ราวกั้นแล้วมองวิวโดยรอบ เห็นรอบฮ่องกง 360 องศาเลยครับ วิวสวยมากจริงๆ

"ตึกที่แมทเห็นฝั่งนู้นทั้งหมดจะเป็นตึกที่เปิดไฟตอนโชว์คืนนี้ที่เราจะไปดูนะ"    ขนาดยังไม่เปิดไฟรูปร่างของตึกยังดูสวยงามขนาดนี้ ถ้าตอนกลางคืนไฟถูกเปิดตามแนวรูปร่างของตึกจะน่ามองขนาดไหน

“ผ้าพันคอไหม อากาศบนนี้หนาวนะ”     อีกฝ่ายยื่นผ้าพันคอมาให้ผมรับไว้

“แล้วพี่หล่ะ”

“แค่นี้สบายมาก แมทใช้เถอะ”     ถึงแม้ในใจผมจะอยากให้พี่เชนลดความใจดีลงบ้าง แต่พอได้ยินอย่างนั้นผมก็รีบรับจากมือพี่เชนเอามาพันคอตัวเองทันที ก็อากาศมันหนาวนี่หน่า ผมก็กลัวจะหนาวตายมากกว่ากังวลมากไปจนอึดอัดตายนะ

.......................................................................


"เขาโชว์กันทุกวันเลยเหรอพี่"    ผมถามขึ้นหลังจากที่เราหาที่นั่งเหมาะๆได้แล้ว

"ทุกวัน ถ้าหากวันไหนสภาพอากาศไม่ดีหรือมีเหตุฉุกเฉินบางอย่างก็จะมีประกาศงดแสดง"    อย่างเมื่อวานนั่นเอง
รอไม่นานนักโชว์ก็เริ่มแสดง เป็นโชว์ที่สวยงามและพร้อมเพรียงมากในความรู้สึกผม ทุกตึกจะต้องให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีนะถึงจะออกมาพร้อมเพรียงขนาดนี้ได้ สำหรับผม ผมว่าผมชอบนะ

"หิวไหม"    อีกคนหันหน้ามาถามหลังจากโชว์จบ

"นิดหน่อย"

"ไปหาอะไรอร่อยๆแถวนี้กินกันไหม"

"เอ้อพี่ อยากกินวาฟเฟิลบอลกับน้ำมะม่วงปั่นอีก พาไปกินหน่อยสิ"

"พี่ว่าจะพาไปนั่งรถเปิดประทุนชมวิวรอบเมืองแต่ถ้าจะกินวาฟเฟิลบอลอาจจะไม่ทันนะ"

"งั้นนั่งรถชมเมืองก่อน แล้วค่อยไปกิน ผมยังไม่ได้หิวมากขนาดนั้น"   ผมไม่ควรที่พลาดเพียงเพราะความหิวแค่เล็กน้อย

"โอเค ตามนั้นเลยนะ พี่จะได้ไปซื้อตั๋ว"     ผมรีบพยักหน้าแล้วยกยิ้มกว้าง
.
.
.
"เนี่ยนะ รถเปิดประทุนที่พี่ว่า"      พี่เชนพยักหน้าขณะที่ผมกำลังส่ายหัว นี่ผมคงคาดหวังมากไปเองใช่ไหม
.
.
.



Chen part

หลังจากดู symphony of light จบผมก็ตัดสินใจพาคนตัวเล็กกว่าไปนั่งรถชมเมืองตอนกลางคืน เป็นรถบัสเปิดหลังคาวิ่งรอบเมือง มีทั้งกลางวันกลางคืนแต่บางสายก็จะวิ่งแค่กลางคืนรอบเดียว ซื้อตั๋วเรียบร้อยก็พาอีกคนขึ้นรถ

"ขึ้นไปนั่งข้างบนนะพี่"      มันชี้ที่บันไดแล้วเดินนำขึ้นไป

"ถ้าไม่หนาวก็เอาสิ"      แล้วก็เดินตามมันขึ้นไป

"คนเยอะ นั่งไหนดี"      เดินขึ้นมาถึงก็เห็นว่ามีคนนั่งอยู่บนรถพอสมควรแต่ก็ยังมีที่นั่งว่าง

"ท้ายสุดเลยไหม ยังว่างอยู่"      อีกฝ่ายหันมาพยักหน้าแล้วก็เดินนำไป

"ตรงนี้นะพี่"      ผมพยักหน้าแล้วก็เดินไปนั่งเกาอี้ว่างแถวเดียวกันแต่อีกฝั่งนึง

"ไปไหน มานั่งนี่"      ตบเบาะข้างๆตัวแล้วกวักมือ ผมเลยลุกไปนั่งข้างๆ

"ก็นึกว่ากลัวแขนจะเบียดแขนอีก"

"แหม จำเก่งนะเราเนี่ย เป็นคนช่างฝังใจรึไงจ้ะ"      มันตบไหล่ผมเบาแล้วจีบปากจีบคอพูดเชิงล้อเลียน

"รอบนึงใช้เวลานานแค่ไหนพี่"

"ไม่เคยนั่ง นี่ครั้งแรก"      ผมส่ายหน้าเป็นการยืนยัน

"อ้าว แน่ใจนะว่าคนแถวนี้"       ว่าจบก็คว้าเอาแผนที่ที่ได้มาตอนซื้อตั๋วไปดู

"รู้แค่ว่าตั๋วแบบที่เราซื้อถ้าลงจากรถแล้วจะขึ้นไม่ได้อีก ใช้ได้แค่รอบเดียว เพราะเราไม่ได้ซื้อแบบ Hop on Hop off ในนี้ว่าไง พี่เข้าใจถูกใช่ไหม"      ผมหันไปถามคนที่กำลังกางแผนที่เส้นทางวิ่งของรถคันนี้อยู่

"ไม่รู้หว่ะ อ่านไม่เข้าใจหรอก พี่เอาไปดูเองเหอะ ผมสกิลต่ำ แหะๆ"      ว่าจบก็ยื่นแผนที่คืนมาให้  เห็นดูอยู่ตั้งนาน นึกว่าเข้าใจ พอลองดูก็เป็นอย่างที่ว่านั่นละครับ

"เข้าใจถูกแล้ว"

"งั้นนั่งให้ครบรอบเลยละกันนะพี่"      ผมพยักหน้าให้อีกฝ่าย ในใจก็คิดคงจะไม่ถึงรอบหรอก หนาวขนาดนี้ แค่รถออกยังไม่ถึงห้านาทีก็เห็นว่าปากซีดปากสั่นไปหมดแล้ว แต่ใบหน้าก็ยังมีรอยยิ้มแฝงอยู่

"ชอบหรือเปล่า"      มันพยักหน้าหงึกๆ

"หนาวเหรอ"

"นิดหน่อยพี่"      หันมายิ้มบางๆให้

"เอามือมานี่สิ"      พูดจบก็คว้ามืออีกฝ่ายมากุมไว้ จากรอยยิ้มก็กลายเป็นขมวดคิ้วแล้ว

"อยู่เฉยๆ"       ทำท่าจะดึงมือกลับ แต่ผมยึดไว้แล้วค่อยๆถูฝ่ามืออีกฝ่ายไปมาด้วยฝ่ามือตัวเองจนเริ่มอุ่น เรายังคงมองหน้ากันอยู่อย่างนั้นจนเป็นผมเองที่ค่อยๆโน้มหน้าเข้าไปใกล้ในขณะที่อีกคนก็พยายามถอยตัวหนี

"พี่ว่ามันดีแล้วเหรอ"       คิ้วที่ขมวดเป็นปมชัดขึ้น

"ถ้ามันอุ่นขึ้นก็แสดงว่าดี"    ผมเลี่ยงที่จะพูดถึงอีกเรื่องที่ผมกำลังจะทำ

"ไม่ มันไม่ดีแน่ๆ"       ยังคงพยายามดึงมือออกจากมือผม จนต้องปล่อยมือ

"ถ้าเราคิดว่ามันไม่ดี มันก็จะไม่ดี ถ้าเราคิดว่ามันไม่มีอะไร มันก็จะไม่มีอะไร"     ก็ไม่รู้ว่าผมจะพูดอะไรให้อีกคนเข้าใจยากไปทำไม ทั้งๆที่ผมเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่ามันมีอะไร

"อย่าๆ ผมงง มันจะไม่มีอะไรได้ยังไง อีกนิดเดียวถ้าผมไม่ถอยหน้าหนีมันก็จะมีอะไรแน่ๆ ผมไม่ชอบคิดอะไรซับซ้อนนะ"      ส่ายหัวไปมาก่อนจะหันหน้าไปอีกทาง แล้วต่างคนต่างก็ขยับตัวเข้าสู่ตำแหน่งที่นั่งเดิม แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็เพิ่งทำให้ผมเข้าใจคำว่าสถานการณ์มันพาไป



.......................................................................



Matt part


ระหว่างทางหลังจากเหตุการณ์นั้นก็มีแต่ความอึดอัดเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปคนเดียวหรืออีกฝ่ายก็รู้สึกเช่นเดียวกัน

"ใกล้ถึงที่พักหรือยัง"      ผมเริ่มที่จะขัดความเงียบขึ้นมาก่อน

"ลงป้ายหน้าเลยก็ได้ เดินต่ออีกนิดหน่อย ไหวไหม"      ผมพยักหน้ารับ ทำไมพอเปิดปากพูดกลับรู้สึกว่าอึดอัดกว่าเดิม ผมไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะผมเองที่คิดซับซ้อนไปหรือเป็นพี่เชนที่คิดเกินเลยไปแล้วจริงๆ ตอนนี้ผมคิดได้แค่ว่ามันไม่ควร

         ลงจากรถมาได้ก็เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง เราเดินข้างกันโดยเว้นระยะห่างพอสมควร ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ผมเกลียดบรรยากาศแบบนี้ แต่ผมก็เลือกที่จะปล่อยมันไว้อย่างนั้น ต่างคนต่างก็ไม่พูดอะไรกันจนลิฟต์มาถึงชั้นที่ผมต้องลง

"พี่ขึ้นไปเลยก็ได้ ส่งแค่ตรงนี้ ขอบคุณสำหรับวันนี้ครับ"         ผมหลีกเลี่ยงบรรยากาศหดหู่ที่เกิดขึ้น ก้มหัวให้อีกฝ่ายเล็กน้อยก่อนเลือกที่จะเดินออกจากลิฟต์มาเพียงลำพัง

“คืนนี้พี่สาวผมจะมา ผมได้แจ้งไว้ในเมล์ล่วงหน้าแล้ว พรุ่งนี้ผมคงไม่รบกวนพี่ ขอบคุณอีกครั้ง สวัสดีครับ”      ผมไม่ได้เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายพูดตอบ รีบยกมือไหว้ก่อนจะหันหลังเดินจากมาทันที

         ที่ผมทำทั้งหมดนี้มันเป็นมารยาทที่แย่ผมรู้ แต่ในหัวผมคิดได้แค่นั้น ผมคิดได้แค่ว่าพี่เชนต้องคิดเกินเลยกับผมแน่ๆ ไม่มีเพื่อนผู้ชายที่ไหนจะคลายหนาวให้กันด้วยวิธีนั้นหรอก ผมค่อนข้างมั่นใจ ผมควรกันไว้ดีกว่าแก้และนี่จะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่หากที่ว่ามาทั้งหมดผมคิดไปเองก็ถือซะว่าเป็นการป้องกันไว้ก่อนก็แล้วกัน

.......................................................................


❤ตอนที่ 10 แล้ว ยังไม่ก้าวหน้าเลย แอบคิดในใจว่าพี่เชนช้าหรืออนาเกริ่นเยอะไป 555
❤ขอบคุณทุกความเห็นเลยนะคะที่แวะมาให้กำลังใจกัน
❤อยู่ต่อไปเรื่อยๆอย่าเพิ่งหนีไปไหนนะคะ
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยค่ะ ขอบคุณค๊า







ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
แมทตัดทุกช่องทาง
ทีนี้เชนจะทำไงดีล่ะ

ออฟไลน์ nicksrisat

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 948
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ผมว่าไม่ช้านะพึ่รู้จักกันเอง :katai2-1:

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
ไก่ตื่นแล้วอ่า

พี่เชนนี่ไม่เนียนเลยนะ -3-

ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ตอนที่ 11


Matt part


          หลังจากขึ้นห้องมาได้สักพักพี่มัทก็โทรเข้ามาว่าถึงสนามบินฮ่องกงแล้ว อีกหนึ่งชั่วโมงให้ผมลงมารอรับ ผมเลยจัดการเก็บของเคลียร์สภาพห้องให้ดูดีขึ้นหน่อย ก่อนจะลงไปรอพี่มัทข้างล่าง ออกจากลิฟท์มาก็เห็นโซฟาตัวเดิม ผมยิ้มให้มันก่อนจะหย่อนตัวลงนั่ง โซฟาตัวนี้สินะที่ทำให้ผมเจอกับพี่เชนครั้งแรก ถึงการเจอกันวันนั้นจะไม่ค่อยน่าจดจำเท่าไหร่ แต่ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นผมก็ปฏิเสธไม่ได้จริงว่าตัวเองโชคดีที่ได้มาเจอกับครอบครัวนี้ แล้วถ้าให้นึกย้อนเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาผมก็คงปฏิเสธตัวเองไม่ได้อีกเหมือนกันว่าผมรู้สึกสับสน ผมเป็นนักเขียน ผมเขียนนิยายรักแล้วผมเองก็อ่านหนังสือนิยายรักมาก็หลายเล่ม ดูหนังรักมาก็หลายเรื่อง ฟังเพลงรักเพื่อเป็นแรงบันดาลใจมาก็มากมาย ถึงผมจะไม่เข้าใจสิ่งที่พี่เชนแสดงออกทั้งหมด ท่าทีแปลกๆที่พี่เชนทำวันนี้ผมคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยจริงๆ

"แมท...แมท...แมท...ไอ้แมท!"

"เหอ หา"

"มัวเหม่ออะไรห๊ะ เอาไปถือสิ"    ผมใจลอยจนไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าพี่มัทมายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว

"ถึงนานแล้วเหรอ"     ถือถุงกระดาษใบใหญ่พร้อมกับลากกระเป๋าเดินทางให้

"เพิ่งถึง เรียกตั้งหลายครั้ง มัวคิดอะไรอยู่"     ผมส่ายหัวให้แทนคำตอบก่อนจะกดลิฟต์เพื่อขึ้นไปบนห้องพัก

“เอาอะไรมาเยอะแยะ สองวันเองนะ”  ขนาดกระเป๋าอย่างกับมาอยู่เป็นอาทิตย์ ไหนจะถุงกระดาษใบโตนี่อีก

“ไม่เยอะเลยนะ ถุงใบใหญ่นั่นก็ของฝากให้เจ้าของห้องไง”    ยังจะแก้ตัวอีก

“แมทหมายถึงในกระเป๋าต่างหาก”   

“อ่อ...แหะๆ ก็เอามาเผื่อใส่ของกลับหน่ะสิ พรุ่งนี้ไปชอปปิ้งกัน”     พูดจบก็เอาหัวตัวเองมาซบที่ไหล่ผมก่อนจะถูไปมาอย่างอ้อนๆ พี่มัทมักจะทำแบบนี้เวลาจะขออะไรสักอย่างหรือแก้ตัว

“แต่แมทยังทำงานไม่เสร็จเลยนะ เหลืออีกตั้งสองสามที่ พี่มัทจะมาช่วยแมทหรือจะมาชอปปิ้งกันแน่”     ดูจากขนาดกระเป๋าน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่านะผมว่า

“ก็ช่วยงานก่อนพอเก็บข้อมูลเสร็จแมทก็ไปช่วยมัทชอปปิ้งต่อดีไหม”   

“ถ้าถึงกับต้องช่วยแมทว่ากระเป๋าใบนั้นคงไม่พอแน่ๆ”     ผมส่ายหัวให้กับความคลั่งชอปของพี่สาวตัวเองก่อนลากกระเป๋าเข้าลิฟต์แล้วกดเลขชั้น

“พอสิ ก็ตั้งใจมาซื้อเครื่องสำอางมากกว่า ชิ้นเล็กๆทั้งนั้น ถ้าไม่พอก็ค่อยซื้อกระเป๋าใบใหม่”     อาการของพี่สาวผมมันอยู่ในขั้นอันตรายต่อสถานภาพทางการเงินจริงๆ

“เพลาๆหน่อย มีอยู่แค่หน้าเดียว ปากเดียว จะซื้อไปทำอะไรเยอะแยะ”      จะทาทันได้ยังไง ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดเครื่องสำอางก็มีวันหมดอายุไม่ใช่เหรอ ลิปสติกแท่งนึงก็ทาได้เป็นปีๆนะผมว่า มีหลายแท่งแล้วจะใช้ทันได้ยังไง ผมก็ได้แต่บ่น ถ้าพูดออกไปจริงๆมีหวังโดนบ่นจนหูชา

“อธิบายไปแมทก็เข้าไม่ถึงอยู่ดี”     พี่มัทสะบัดหน้าหลังพูดจบพอดีกับที่ลิฟต์มาถึงชั้นที่ผมพักพอดี

“ถึงแล้ว พี่มัทกดเปิดประตูให้หน่อยขอแมทลากกระเป๋าออกไปก่อน”       ผมบอกเพื่อให้พี่มัทกดเปิดประตูลิฟต์ค้างเอาไว้ จังหวะเดียวกันก็เห็นพี่เชลด้ายืนรออยู่หน้าลิฟต์

“สวัสดีครับพี่เชลด้า”     เป็นผมที่เอ่ยทักทายขึ้นก่อน

“อ้าวแมท พี่เคาะประตูอยู่ตั้งนานนึกว่าหลับไปแล้วซะอีก”

“แมทลงไปรับพี่สาวมาครับ” ผมแนะนำทุกคนให้รู้จักกันโดยเริ่มที่พี่มัท “ นี่พี่มัทพี่สาวแมทเองครับ ส่วนนี่พี่เชลด้าเจ้าของห้องที่เราเช่าไงพี่มัท”     

“สวัสดีค่ะคุณเชลด้า มัทค่ะ”     พี่มัทเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายขึ้นมาก่อน

“สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”       พี่เชลด้าส่งรอยยิ้มที่เป็นมิตรให้เราทั้งคู่

“ขอบคุณมากเลยนะคะที่ช่วยดูแลน้องชายมัท"    พี่มัทก้มหัวให้เล็กน้อย

"ด้วยความยินดีค่ะ แล้วนี่ทานอะไรกันมาหรือยังค่ะ ไปทานที่ร้านไหมค่ะ เชลด้ากำลังจะไปที่ร้านพอดี เชนก็อยู่ที่นั่นนะแมท"    ด้วยคำพูดสุดท้ายนี่แหละที่ทำให้ผมไม่ควรไป

"ไม่ดีกว่า ขอบคุณมากครับพี่เชลด้า"   

"อ้อ นี่ค่ะของฝาก เกือบลืมไปเลย"   พี่มัทคว้าถุงกระดาษจากมือผมยื่นให้พี่เชลด้า

"ไม่น่าต้องลำบากเลยค่ะ"   พี่เชลด้ารับไว้พร้อมกับยกมือไหว้

พี่มัทรับไหว้พร้อมรอยยิ้ม "ด้วยความยินดีเช่นกันค่ะ ถ้ามีโอกาสไปเที่ยวภูเก็ตก็บอกนะค่ะ เราจะต้อนรับเป็นอย่างดีเลย"   ผมเองก็เคยพูดแบบนี้กับพี่เชนไปเหมือนกัน ที่มากกว่านั้นคือสัญญาไปแล้วด้วย ตอนนี้ผมอยากให้อีกคนลืมไปซะจริงๆ

"ขอบคุณมากเลยค่ะ คงต้องหาโอกาสไปแล้วละค่ะ"    เราทั้งหมดยิ้มให้กันอีกครั้ง

"เมื่อกี้พี่บอกว่ามาเคาะประตู มีอะไรรึเปล่าครับ"

"เอ้อ เกือบลืมไปเลย นี่จ้ะ เชนฝากมาให้"   ยื่นถุงกระดาษใบไม่ใหญ่มากให้ผม "เห็นบอกพรุ่งนี้มีงานด่วน วันนี้คงอยู่ออฟฟิศยาว เลยฝากพี่มาให้แมทแทน"   ทำไมพอได้ยินอย่างนี้แล้วใจมันหวิวๆชอบกล หวังว่าอีกคนคงจะมีงานด่วนจริงๆ ไม่ใช่พยายามหลบหน้าแบบที่ผมทำ

"ขอบคุณครับ" 

"แล้วอย่างนี้เชนก็ไม่ได้เป็นไกด์ให้แล้วสิ"       นั่นสินะ แม้แต่ค่าไกด์ก็ยังไม่ได้ตกลงกันเลยด้วยซ้ำ

"พรุ่งนี้มัทพาน้องไปเองค่ะ รบกวนหลายวันแล้วเกรงใจจังเลย"

"อย่าเรียกว่ารบกวนเลยค่ะ แมทน่ารัก พวกเราเต็มใจค่ะ"    พอได้ยินพี่เชลด้าพูดแบบนี้ ผมยิ่งรู้สึกไม่ดีกับคำพูดเมื่อตอนหัวค่ำเข้าไปใหญ่

"ขอบคุณอีกครั้งนะคะ" ผมและพี่มัทก้มหัวแทนคำขอบคุณให้อีกครั้งในขณะที่อีกฝ่ายก็ทำแบบเดียวกัน

"คงต้องขอตัวจริงๆแล้ว เพราะเชนต้องรีบไปทำงาน ไม่มีใครอยู่ดูร้านค่ะ"    พูดจบก็หมุนตัวเข้าลิฟต์พร้อมโบกมือลา ผมก็ยกมือโบกกลับไป ในใจก็คิดย้อนไปว่าพี่เชนเคยขอลางานห้ามรบกวนนี่ แล้วทำไมถึงยังต้องกลับไปทำงานช่วงที่ลาอีก

.......................................................................


"เจอพี่สาวแล้วชักจะอยากเจอน้องชาย"    พี่มัทพูดขึ้นขณะรอผมเปิดประตู

"อยากเจอไปทำไม"

"ก็ถ้าเข้าท่าจะได้จีบไงยะ"

"พี่เชนเด็กกว่าพี่มัทอีกนะ"

"ใครสน"    พูดจบก็ยักไหล่เดินเข้าห้องไป จนผมต้องส่ายหัวให้ขณะเดินตามไป

"ห้องสวย กว้างกว่าที่เห็นในรูปอีกนะเนี่ย"

"พรุ่งนี้เราจะไปไหนกันพี่มัท"

"เมื่อกี้ถุงอะไรเหรอ ขอดูหน่อยสิ"

"พี่มัท! ได้ยินที่แมทถามไหม"

"ว่า"

"เฮ้อ"

"รู้แล้วๆ ไหนเอาถุงมาดูหน่อยสิ"    ผมยื่นถุงให้ไปเพื่อตัดรำคาญ ไม่งั้นผมคงไม่ได้คำตอบว่าพรุ่งนี้เราต้องไปไหนกัน

"แมทฝากซื้อตั๋วเข้าดิสนีย์แลนด์เหรอ" ชูตั๋วที่มีลักษณะเป็นการ์ดรูปทอยสตอรี่สองใบให้ผมดู

"ป่าวนะ"     ผมรีบส่ายหัวทันทีที่พี่มัทถามจบ

"แล้วทำไม..."    ต่อให้พี่มัทพยามทำหน้าคาดคั้นเอาคำตอบขนาดไหนผมคงไม่มีให้ เพราะผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

"มีขวดน้ำ 2 ขวดกับกระดาษในนี้ใบนึง จดหมายรึเปล่า แมทลองอ่านดูสิ"     ยกขวดน้ำสำหรับพกพาสองขวดขึ้นมาดูก่อนจะยื่นกระดาษให้ผม อย่างน้อยพี่สาวผมก็มีมารยาทมากพอที่จะไม่เปิดอ่าน

ผมรับกระดาษใบนั้นมาไว้ในมือก่อนจะค่อยๆเปิดอ่านโน้ตที่มีตัวหนังสือสีเขียวเขียนเป็นภาษาไทยด้วยลายมือแบบเด็กๆ


แมท

เห็นจากแพลนว่าแมทจะต้องไปที่นี่ เลยซื้อตั๋วเตรียมไว้ แต่พี่คงไม่ได้ไปด้วย เที่ยวให้สนุกนะ เสียดายไม่ได้เห็นแมทใส่หมวกตัวการ์ตูนเลย ^^

PS. ที่นี่เอาน้ำเข้าไปได้ 1 ขวด พกไปนะ พี่เห็นแมทดื่มน้ำเยอะ ราคาน้ำที่นั่นแพงมาก

พี่เชน



"ว่าไงมั่ง"   ผมไม่ได้ตอบออกไป

"ขอมัทดูหน่อย"    แล้วก็หยิบกระดาษจากมือผมไป

"งั้นพรุ่งนี้เราก็ไปที่นี่เลยละกัน เสียดายที่เขาไม่ว่าง น่าจะไปด้วยกัน หลายๆคนสนุกดี"   พอแสดงความเห็นจบก็ลุกขึ้นไปเอาของออกจากกระเป๋า ขณะเดียวกันผมก็หยิบกระดาษนั้นขึ้นมาอ่าน และอีกครั้งที่อ่านผมก็ยังรู้สึกเหมือนเดิมคือรู้สึกได้ว่าเจ้าของขวดน้ำไม่ได้กำลังยิ้มเหมือนสัญลักษณ์ท้ายประโยคที่เขียนมาเลยสักนิด

.......................................................................


"เสร็จรึยังพี่มัท ขนาดตื่นก่อนแมทนะ"   ผมรีบเร่งคนที่อยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง

"กรีดตาอีกข้างก็เสร็จแล้ว อย่าเร่ง"     จะไม่ให้เร่งได้ยังไง ตื่นตั้งแต่ 7 โมงเช้า นี่จะ 9 โมงอยู่แล้วยังไม่ได้ออกไปไหนเลย

"แมทหิว" เอามือกุมท้องไปด้วยเร่งไปด้วย

"เสร็จแล้วๆ"  ขนาดปากบอกว่าเสร็จแล้ว มือยังคว้าแปรงมาปัดหน้าอยู่อีก

"ขวดน้ำละ"    ผมมองหาขวดน้ำที่พี่เชนให้มา

"อยู่บนโต๊ะ มัทเติมน้ำไว้แล้ว แบกให้ด้วยนะ"     ผมพยักหน้าก่อนจะเอาขวดน้ำยัดลงไปในกระเป๋าเป้แล้วเดินออกไปรอพี่มัทหน้าห้อง

"ไปกินบะหมี่เป็ดย่างกันมัทอยากกิน"      ผมพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะพากันเดินเข้าลิฟต์

.......................................................................


"ร้านนี้มัทอ่านรีวิวมา อร่อยแน่ๆ"  จิ้มนิ้วย้ำๆลงไปบนเมนูภาษาจีนที่ดูแล้วไม่เข้าใจ

"เคยกินแล้วเหรอ"

"ยัง ก็บอกแล้วว่าอ่านมา เขาว่ากันว่าอร่อย"     พูดอย่างกับกินเองมาแล้ว สักพักบะหมี่ก็มาเสิร์ฟ

"อืม อร่อย"      คำแรกที่ได้ชิมก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เป็ดเนื้อนุ่มหนังกรอบมาก

"เห็นไหม มัทบอกแล้วว่าอร่อย"    เงยหน้าขึ้นมารับคำชมด้วยสีหน้าภูมิใจอย่างกับเป็นเจ้าของร้านเอง

"งั้นสั่งอันนี้ด้วยดีกว่าแมทอยากกิน อันนี้ด้วย"    ยังไม่ทันรอคำตอบของพี่มัทผมก็เรียกเจ้าของร้านมาสั่งทันที

"สั่งเยอะขนาดนี้กินไม่หมดมัทไม่ช่วยนะ"     

"กำลังหิว หมดอยู่แล้วละน่า"

หลังจากกินชามแรกไปสักพัก ชามที่สองและสามก็ตามมาเสิร์ฟ แต่ตอนนี้ท้องผมมันแน่นไปหมด ถ้ายังพยายามทานต่อมีหวังเดินไม่ไหวแน่ๆ

"พี่มัท แมทอิ่ม"

"อิ่มก็พอ สั่งตอนหิวแล้วเป็นแบบนี้ทุกทีเลย"   ส่ายหน้าเบาๆสองสามทีแล้วเรียกคิดเงิน

"แมทเสียดาย"    ผมมองหน้าพี่มัทด้วยสายตาอ้อนๆ

"ไม่ต้องมองหน้าเลยมัทบอกแล้วว่าไม่ช่วยเดี๋ยวอ้วน แล้วก็ไม่ต้องเสียดาย มันเหลือก็ช่าง อย่าให้ไปเป็นขยะในท้อง"    พอได้ยินพี่มัทพูดแบบนี้มันก็พาลให้นึกไปถึงอีกคน คนที่ยอมกินของเหลือที่ผมกินไม่ไหว คนที่ยอมตามใจไม่ห้ามเวลาผมเลือกซื้อของกินเยอะแยะแล้วสุดท้ายก็กินไม่หมด คนที่ใส่ใจเรื่องปากท้องของผมตลอดสองวันที่ผ่านมา

"ลุกเลย มองชามไปช้อนมันก็ไม่ได้ช่วยย่อยบะหมี่ให้แมทหรอกนะ"  พี่มัทประชดหลังจากที่จ่ายเงินแล้วก็ลุกขึ้นเดินออกจากร้านให้ผมต้องรีบเดินตาม

"พี่มัท"    ผมรีบเดินมาข้างๆพี่มัท

"หื้ม"

"ถ้าสมมตินะ สมมติจากสถานการณ์เมื่อกี้ ถ้าคนที่มาด้วยกันกับแมทไม่ใช่พี่มัท เขายอมให้แมทสั่งอาหารเยอะๆ แล้วพอแมทกินไม่หมด แมทก็จะต้องยัดเพราะเสียดาย เขาก็บอกจะช่วย ทั้งๆที่เขาก็ไม่ใช่คนกินเยอะ พี่มัทว่าเขาทำไปทำไม"    ผมแค่อยากลองถามดูว่าจะคิดเหมือนผมไหม

"เขาคนนั้นคงเป็นห่วงเรามั้ง"

"เป็นห่วงเหรอ"   คิดแบบเดียวกับที่ผมคิดเลย

"ใช่ เพราะถ้ากินเยอะไปมันก็อึดอัดแถมยังทรมานด้วยเขาคงเป็นห่วงเรา"

"แค่นั้นเลยเหรอ"      พี่มัทพยักหน้าแทนการตอบ

"คิดได้แค่นั้นแหละ จะเป็นเหตุผลอะไรนอกจากนี้ได้หล่ะ ไม่งั้นก็คงเพราะเขาหิวเหมือนกันละมั้ง แต่แมทบอกเองนี่ว่าเขาไม่ใช่คนกินเยอะ"

"ใช่ เขาไม่ใช่คนกินเยอะ แถมยังคอยถามเราบ่อยๆด้วยว่าหิวไหม กินอะไรรึเปล่า"

"งั้นก็แสดงว่าเขาคงเป็นห่วงเรานั่นแหละ แล้วถามไปทำไม เอาไปเขียนนิยายเหรอ"         ผมไม่ได้เข้าข้างตัวเองนะ เพราะไม่ว่าจะตีความเป็นเหตุผลอย่างอื่นที่มากกว่านี้ได้อีกหรือไม่ได้ผมก็เลือกที่จะสนใจแค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือพี่เชนทำเพราะเป็นห่วง

"งั้นแหละ"    ผมพยักหน้า ดีที่พี่มัทคิดแบบนั้น ผมจะได้ไม่ต้องอธิบาย

.......................................................................


           หลังจากเปลี่ยนสายรถไฟฟ้ามาสายที่มุ่งตรงสู่ดิสนีย์แลนด์โดยเฉพาะ ทั้งขบวนรถก็เต็มไปด้วยเหล่าการ์ตูนดิสนีย์ คงถูกใจเหล่าสาวกทั้งหลาย

"ดีนะอากาศไม่ร้อน ฝนไม่ตก คนไม่เยอะมากด้วย ไม่งั้นหมดสนุกแน่ๆ" พี่มัทหันมาบอกผมขณะที่กำลังต่อแถวออกจากสถานีรถไฟฟ้า

"เดินไปทางนู้นกันพี่มัท"   ผมชี้ไปทางตู้ขายตั๋ว ทั้งๆที่มีตั๋วแล้วแต่ก็ยังเดินไปเพื่อจะดูราคา

"ราคาตั๋วขึ้นอีกแล้ว นี่แมทจ่ายเงินค่าตั๋วให้คุณเชนรึยัง"  ผมส่ายหน้ารัว

"ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาซื้อมาให้ จะไปจ่ายตอนไหน"    คิดไว้อยู่แล้วว่าจะมาดูเพื่อจะได้คืนเงินถูก ยังไงก็คงไม่ได้เจอ กะไว้ว่าจะฝากพี่เชลด้าตอนคืนห้อง

"อะไรจะใจดีขนาดนั้น"

"นั่นสิ"   ตอบออกไปแบบนั้นแต่ก็ยังทำหน้าสงสัยเพราะตัวผมเองก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน

"ไว้ค่อยคิด ตอนนี้ไปเล่นกันก่อนดีกว่า"     พูดจบก็ลากแขนผมเข้าไปด้านในทันที

2 ชั่วโมงผ่านไป เราเล่นเครื่องเล่นเกือบทุกอย่างที่คิวไม่ยาว สนุกไปกับทุกโซน ที่นี่เป็นสวรรค์ของคนที่ชื่นชอบดิสนีย์จริงๆ ทุกอย่างที่นี่เหมือนหลุดออกมาจากนิทานของดิสนีย์ มันสวยงาม และตรงตามจินตนาการเวลาที่เราอ่านนิทานทุกอย่าง เหมือนได้ย้อนกลับไปวัยเด็กอีกครั้ง

"เฮ้อ...เหนื่อย"    นั่งลงที่ม้านั่งหลังจากลงจากเครื่องเล่น RC Racer ที่เป็นรถแข่งอะไรสักอย่างจากเรื่อง Toy Story คล้ายๆกับไวกิ้งแต่น่ากลัวกว่านั้น เล่นเอาผมมึนหัวจนเดินต่อไม่ไหว

"ขาสั่นไปหมด ใครจะไปคิดว่าที่นี่มีเครื่องเล่นหวาดเสียวแบบนี้อยู่ด้วย มัทละกลัวรถจะหลุดจากรางจริงๆ"      ถึงกับหมดสภาพ หน้าที่แต่งมาเมื่อเช้าไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด

"เดี๋ยวเราไปโซนอื่นกันต่อเลยนะ"   

"พักเถอะ ขอน้ำให้มัทหน่อย"    ผมยื่นขวดน้ำที่พี่เชนให้มากับพี่มัท

"ดีจริงๆ" พูดพลางยกขวดน้ำขึ้นมาดูก่อนจะดื่ม "มัทเห็นราคาน้ำมาแล้ว แพงกว่าบะหมี่ที่เรากินเมื่อเช้าอีก" ผมแค่พยักหน้ารับไป

"เขาเป็นคนใส่ใจรายละเอียดมากเลยนะ แค่เรื่องเล็กๆกับคนที่เพิ่งจะรู้จัก เป็นมัทคงไม่ทำขนาดนี้หรอก"         ผมเองก็ไม่ได้อยากให้เขาทำแบบนี้เลยสักนิด มันลำบากใจมากกว่าจะรู้สึกดี

"ไปรอดูพาเหรดกัน"          แทนที่จะบอกให้พี่มัทเลิกพูดถึงพี่เชน ผมเลือกที่จะชวนไปทำอย่างอื่นง่ายกว่า

          ขบวนพาเหรดที่นี่น่าตื่นตาตื่นใจมาก ถึงแม้ว่าผมจะไม่ใช่สาวกของค่ายนี้ผมยังรู้สึกเพลินไปกับตัวการ์ตูนและตัวละครที่หลุดออกมาจากนิทานเรื่องต่างๆของดิสนีย์ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ต่างก็ดูจะให้ความสนใจไปที่เดียวกันคือบนถนนที่ขบวนพาเหรดกำลังเดินผ่านไป ทั้งๆที่ต้องยืนดูแต่ผมกลับลืมความเมื่อยไปซะสนิท

"ไม่มีอะไรให้เล่นแล้วแหละ เหนื่อยแล้วด้วย"         หลังจากดูพาเหรดจบ มาเล่นเครื่องเล่นต่ออีกแค่สามสี่อย่าง พี่มัทก็ดูท่าทางจะไม่ไหว

“งั้นไปดูของฝากให้สองแฝดกันไหม”         เป็นการฆ่าเวลาระหว่างรอดูพลุตอนหัวค่ำ

“ดูนะ แต่ซื้อฝากไหมก็อีกเรื่อง”         แล้วก็เดินนำไปยังบริเวณที่มีร้านขายของเรียงรายกันสองข้างถนน

“นี่ขนาดเมื่อตอนสายๆคนไม่เยอะนะ”         แต่ในร้านค้ากลับมีคนเยอะแยะไปหมด พยายามมองหาร้านที่คนน้อย แต่ก็เยอะทุกร้านเลยต้องเลือกเข้าร้านที่ใกล้ตัวตอนนี้ที่สุด

“อันนี้น่ารักไหมพี่มัท ดูหน้าแมทตลกป่ะ”         ลองหยิบหมวกหน้าตัวการ์ตูนสติทช์ สัตว์ประหลาดสีฟ้าจากนอกโลกมาลองสวมหัวดูแล้วถามความเห็นจากพี่มัท

“ฮ่าๆๆๆ ไม่ตลกเลย น่ารักดี”         ไม่ตลกแล้วจะขำทำซากอะไรวะ

“อันนี้ดีกว่า เหมาะกับแมทดี เชื่อมัท”         หลังจากที่พี่มัทคาดที่คาดลงบนหัวผม ผมก็หันไปมองกระจกทันทีเพื่อเช็คตัวเอง แต่ก็ถึงกับต้องถอดออกอย่างรวดเร็ว

“พี่มัท อันนี้มันมินนี่เม้าส์ป่ะวะ มันเป็นผู้หญิงไม่ใช่รึไง มันต้องอันนี้สิ”         หยิบที่คาดผมมิกกี้เมาส์ที่วางอยู่ข้างกันมาลองคาดหัวแทน แต่ขณะที่กำลังจะหยิบอันเดิมออกก็พลันนึกไปถึงเจ้าของข้อความที่บอกเสียดายที่ไม่ได้เห็นผมใส่หมวกการ์ตูน แต่อันนี้เป็นที่คาดผมคงแทนๆกันได้แหละนะ  ผมเลยเลือกที่จะหยิบทั้งที่คาดมิกกี้และมินนี่ไปทั้งคู่

“แมทจะซื้อไอ้สองอันนั้นเหรอ”         ผมพยักหน้าพร้อมมองที่คาดผมสองอันที่อยู่ในมือ

“พี่จำได้ว่าฟินกับเฟย์ชอบโดนัลด์ดั๊กไม่ใช่คู่รักหนูสองตัวนี้นะ”

“อันนี้ของแมทเอง”

“ซื้อไปทำไมตั้งสองอัน เลือกสักอันก็พอ”

“มันต้องคู่กันสิ เอาไปแค่อันเดียวมันก็เหงาแย่”

“เอาไปฝากใครรึเปล่า"      คำถามเหมือนไม่มีอะไรแอบแฝง แต่สีหน้าและน้ำเสียงนี่แสดงความสงสัยชัดเจน

"บอกแล้วไงเก็บไว้เอง"     ยังคงหยิบลองต่อไปเรื่อยๆ

"อารมณ์ไหน เพิ่งจะรู้นะว่าชอบอะไรแบบนี้ด้วย”     ผมยังไม่รู้เลยว่าซื้อไปทำไม แต่มาแล้วก็ต้องซื้อ อาจจะเพราะอย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้มั้ง เอาไปแทนหมวกตัวการ์ตูน

"แค่อยากได้เก็บไว้ มันก็น่ารักดีไม่ใช่เหรอ"

"เออๆ น่ารักก็น่ารัก"     

.......................................................................


          พลุที่แสดงสามารถดึงดูดความสนใจของผมไปกับมันได้เกือบ 15 นาที ผมชอบในความต่อเนื่อง และความสวยงาม ถ้าเป็นแฟนดิสนีย์คงจะถูกใจไม่น้อย เพราะขนาดคนข้างผมที่ไม่ได้เป็นถึงขนาดติ่งของค่ายนี้ยังเอาพลุที่จุดแสดงคืนนี้ไปผูกกับนิทานเจ้าหญิงตอนฉากแต่งงานได้อย่างไร้ที่ติ พี่มัทบรรยายฉากเฉลิมฉลองไปพร้อมกับพลุที่กำลังจุด บรรยายไปตามเพลงที่บรรเลง แถมยังร้องคลอได้เกือบทุกเพลงอีกต่างหาก

"สวยเนอะ เพลินเลย"      ผมพยักหน้าเห็นด้วย

"นึกว่าจะไม่ชอบอะไรแบบนี้"      เพราะตั้งแต่เล็กจนโต ผมไม่เคยเห็นพี่มัทชื่นชอบอะไรที่เป็นแนวเจ้าหญิงหรือการ์ตูนแฟนตาซีพวกนี้เลย

"มันเป็นนิทานขายฝัน เด็กผู้หญิงทุกคนที่เคยดูนิทานพวกนี้ต่างก็เคยฝันอยากเป็นอย่างเจ้าหญิงในนิทาน แล้วดิสนีย์เนี่ยแหละ เข้าถึงคนทุกกลุ่ม เลยกลายเป็นไอดอลของเด็กมาทุกยุคทุกสมัยยังไงหล่ะ มัทว่าเด็กไม่น้อยเลยนะที่เคยอยากเป็นซินเดอเรลลา"

"รวมถึงพี่มัทด้วยใช่ไหม"

"แน่นอน แต่สำหรับมัทไม่ใช่นางซินหรอกนะ"

"ทำไมหล่ะ"

"ก็ต้องคอยให้แม่เลี้ยงจิกหัวใช้ตั้งนานกว่าเจ้าชายจะมาสวมรองเท้าแก้วให้ แถมมัทเคยอ่านเจอนะว่านางซินแต่งงานแล้วก็ยังต้องมาคอยรับใช้แม่เลี้ยงอยู่อีก"

"งั้นพี่มัทอยากเป็นอะไร"

"ต้องออโรร่าเท่านั้น เล่นง่ายดี วิ่งเล่นไปมาในสวนกับนางฟ้า พออายุ 16 ก็นอนรอเจ้าชายมาจุมพิต เตรียมตัวฟื้น"     

"แล้วชีวิตหลังจากนั้นละ"

"ช่างเถอะ ใครจะสน อย่างน้อยก็โดนจูบแล้วแน่ๆ ฟินจะตาย ฮ่าๆๆๆ"     เฮ้ออออ ผมคงต้องไว้อาลัยให้กับความเป็นกุลสตรีของพี่มัทอย่างจริงจังแล้วสินะ

.......................................................................


           
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-04-2015 23:37:18 โดย anana »

ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
         

          วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะอยู่ที่นี่แบบเต็มๆวันแล้ว พรุ่งนี้ผมก็ต้องกลับแล้ว เกือบหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาผมเจอกับเรื่องอะไรมากมายหลายเรื่อง มีทั้งเรื่องให้อึดอัด แต่นั่นมันก็เทียบไม่ได้เลยกับประสบการณ์และความรู้สึกดีดี ความอบอุ่นที่ผมได้รับจากที่นี่

วันนี้แผนมีแค่ไปอ่าวที่เป็นที่ตั้งของรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม ทั้งผมและพี่มัทเลยไม่ต้องเร่งรีบอะไรมากนัก

"ที่นี่มีเทพเจ้าอะไรบ้างพี่มัท"        ผมถามทันทีที่เราเดินลงมาถึงริมหาดที่เป็นที่ตั้งของวัดศักดิ์สิทธิ์ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาสักการะ  พี่มัทเล่าว่ารูปปั้นเทพเจ้าที่นี่ล้วนมีความหมายและสามารถขอพรได้หมด 

"เดินตามมาเลย มัทเตรียมมาแล้ว"      ว่าอย่างนั้นผมก็เดินตามพี่มัทไปตามจุดที่ตั้งขององค์เทพเจ้าต่างๆ สักการะตามๆกันมาเรื่อยๆจนข้ามสะพานต่ออายุ

"เดินข้ามไปแล้วจะอายุยืนขึ้นอีกกี่ปีเหรอพี่มัท"

"ไม่รู้สิ บางคนก็บอกว่าหนึ่งบางคนก็บอกว่าสาม ที่แน่ๆอย่าเดินย้อนกลับก็พอ"       
 
"แสดงว่าทั้งหมดนี้พี่มัททำตามๆที่เขาบอกไว้โดยไม่สนใจแม้แต่จะหาที่มาหรือความหมายเลยใช่ไหม"

"เออน่า อย่าสงสัยเยอะ มัทตอบไม่ได้ รู้แค่นี้ก็บอกแค่นี้ แต่อันนี้สิเด็ด เดินตามมาๆ"        ผมเดินตามหลังพี่มัทไปติดๆ อยากรู้จริงๆว่าที่ว่าเด็ดคืออะไร

"นี่เลยๆ เทพเจ้าองค์นี้ให้ขอพรเรื่องความรัก เห็นไหมๆสมุดที่เทพเจ้าถืออยู่ ในนั้นนะ"        ชี้สมุดเล่มใหญ่ในมือของเทพเจ้าให้ผมดู

"อืม"      ผมพยักหน้าแล้วพี่มัทก็อธิบายต่อ

"ในนั้นจะมีชื่อผู้หญิงผู้ชายเต็มไปหมด แค่เราอธิษฐานนะแมท ท่านก็พร้อมจะประทานเนื้อคู่มาให้เราเลย มาๆ อธิษฐาน มันถึงเวลาที่เราควรจะมีคู่แล้ว"       รีบกวักมือให้ผมเดินไปอธิษฐาน

"คนเดียวรึเปล่าที่ควรมีแล้ว อย่าเอาแมทไปรวม"

"เดี๋ยวดีดหูขาดเลย แกหาว่าฉันจะขึ้นคานเหรอห๊ะ"       มีสักคำเหรอที่ผมหมายความว่าอย่างนั้น ผู้หญิงนี่นะคิดเองเออเองเก่งจริงๆ

"ถ้าอยากให้คนรักเป็นคนที่เรารู้จักอยู่แล้วหล่ะ จะอธิษฐานยังไง"

"อ่อ ก็นี่เลย สำหรับคนที่กำลังแอบชอบแล้วยังไม่ได้บอกรักนะก็ให้เอามือวางบนหินสีดำตรงนี้แล้วอธิษฐานให้คนที่เราแอบชอบอยู่มาเป็นคนรักของเรา"

"เอามือวางบนหินนี่เลยใช่ไหม"       ถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

"เดี๋ยวๆๆ ยกมือออกจากหินเดี๋ยวนี้เลย ยก! "       ได้ยินอย่างนั้นผมก็รีบยกมือออกจากหินทันที

"อะไรพี่มัท โวยวายทำไม"       

"แมทแอบชอบใครบอกมัทมาเดี๋ยวนี้นะ"       นึกว่าเรื่องอะไร

"ไม่มี"
 
"ก็แล้วจะถามอีกวิธีทำไม"

"แมทแค่อยากให้เนื้อคู่แมทคือคนที่รู้จักกันดีพอแค่นั้นเอง พี่มัทคิดมากไปรึเปล่า"

"อย่าให้มัทสืบเจอก็แล้วกัน"         พูดจบก็หันหลังไปไหว้ต่อ ผมเดาว่าพี่มัทยังคงไม่หายสงสัย ยังดีที่ไม่เซ้าซี้ถามต่อ แต่ถึงจะพยายามถามยังไงผมก็ไม่มีคำตอบให้จริงๆ  ถึงแม้ว่าตอนที่พี่มัทบอกให้อธิษฐานคนแรกที่ผมนึกถึงคือพี่เชนก็เถอะ

.......................................................................


เกือบเย็นเราก็กลับมาถึงล่างตึกของห้องพัก

"มัทจะเดินเล่นแถวนี้ก่อน แมทขึ้นไปก่อนเลยก็ได้"

"ให้แมทเดินเป็นเพื่อนดีกว่าพี่มัท"

"ไม่ๆๆ แมทไปด้วยก็ต้องไปยืนรอ ไปพักเถอะ มัทไปคนเดียวดีกว่า"

"จะดีเหรอ แมทไปด้วยดีกว่า"

"เหอะน่า ไปๆ ขึ้นห้องไปก่อนเลย"    พอพี่มัทว่างั้นผมเลยต้องกลับหลังหันขึ้นห้องพักแทน
 

           เก็บของบางส่วนเข้ากระเป๋าเดินทาง สรุปข้อมูลทุกอย่างที่ได้มาจากทริปนี้ รวมทั้งของฝาก ขนาดไม่ค่อยได้ซื้อของฝากหรือของตัวเองมากมาย พื้นที่ในกระเป๋ายังเกือบจะไม่พอ ระหว่างเก็บก็พลันเห็นขวดน้ำผมต้องเก็บมันไปคืนเจ้าของสินะ ข้างๆกันมีถุงของที่ซื้อมาจากดิสนีย์แลนด์ ผมหยิบของซึ่งเป็นที่ตาดผมรูปมินนี่เม้าส์ออกมา ทั้งๆที่ซื้อมาทั้งมิคกี้และมินนี่แต่ผมกลับเลือกที่จะลองเอามินนี่มาสวมที่หัว ลุกขึ้นมองตัวเองในกระจกแล้วตลกดี ผมก็ไม่รู้นะว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้หยิบไอแพดมาถ่ายรูปตัวเองชูสองนิ้วกับไอ้ที่คาดผมหูหนูที่ตกแต่งด้วยโบว์สีชมพูอันใหญ่ ลองเปิดรูปขึ้นมาดูก็ถึงกับต้องหัวเราะ มันไม่เข้ากันเลยจริงๆ เห็นอย่างนั้นเลยจำต้องถอดออกแล้วเก็บเข้ากระเป๋าตามเดิม ระหว่างนั้นพี่มัทก็กลับมาพอดี

 
"ทำอะไรอยู่แมท"    ถามทันทีที่เดินเข้ามาในห้องพัก

"เก็บกระเป๋า พรุ่งนี้จะได้ตื่นสายได้หน่อย" ปิดกระเป๋าเตรียมตัวอาบน้ำ

"เหลือที่ว่างป่ะ ท่าทางกระเป๋ามัทจะเต็ม"   จะไม่เต็มได้ไง สองมือไม่ว่างขนาดนั้น

"ถือขึ้นเครื่องละกันพี่มัท แมทถือให้เอง เพราะกระเป๋าแมทก็ดูจะไม่พอ"

"ไม่ได้ๆ มัทว่าจะซื้อของที่ดิวตี้ฟรีด้วย มันจะพะรุงพะรัง"    ยังจะซื้ออีกเหรอ มีกี่ร่างวะพี่กู

"ลองยัดดูละกัน แต่คงไม่ยากสำหรับพี่มัทหรอกมั้ง"     ว่าจบผมก็หยิบผ้าขนหนูเตรียมเดินเข้าห่องน้ำ

"เอ้อ แมท มัทเห็นถุงนี่แขวนอยู่หน้าประตู เลยหยิบเข้ามา"       ยื่นถุงพลาสติกที่มีถุงกระดาษอยู่ด้านในและโน้ตใบเล็กๆที่เขียนอีเมล์เอาไว้แค่อย่างเดียว ผมเลยเปิดถุงกระดาษดูก็เห็นว่ามีวาฟเฟิลอยู่ 4 ชิ้น

"อะไรเหรอแมท"      พี่มัทถามทั้งๆที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาดูสักนิด

"ขนมวาฟเฟิล"

"กินด้วยดิ"    ทีอย่างนี้ละรีบเงยหน้าเตรียมลุกขึ้นมาแย่งเลยนะ

"ไม่ให้"

"หวงจัง ใครซื้อมาให้เนี่ย"

"พี่เชนมั้ง"

"ทำไมมั้ง ถ้าไม่มั่นใจก็โทรไปถามเขาก่อนดีไหม ไม่กลัวคนมาวางยาแกรึไง"

"คิดมากไปมั้ง"      ผมโคตรจะแน่ใจว่าขนมนี่พี่เชนเป็นคนเอามาแขวนหน้าห้องแน่นอน ถึงชื่ออีเมล์จะไม่ได้ดูเกี่ยวข้องกับชื่อเล่นหรือข้อมูลของพี่เชนที่ผมพอรู้ก็เถอะ

"ก็ดีกว่าคิดน้อยนะเว้ย ถ้าเกิดกินเข้าไปแล้วน้ำลายฟูมปากแกจะทำไง"

"ทันเหรอ"

"อะไรทันเหรอ"

"ก็ถ้าน้ำลายฟูมปากไปแล้วแมทจะทำอะไรทันเหรอ ต้องถามพี่มัทสิว่าจะช่วยแมทยังไง"

"ไม่ช่วย เพราะแกทำตัวเอง ฮ่าๆๆๆ ดีซะอีก มรดกแม่จะได้เป็นของมัทคนเดียว"     ไปกันใหญ่แล้วพี่มัท เห็นทีต้องเลิกคุย ผมเลยวางถุงวาฟเฟิลไว้ที่โต๊ะ แล้วเข้าไปอาบน้ำ

.......................................................................


"ของครบแล้วนะ"

"ครับ"      ผมลากกระเป๋าสองใบออกมาหน้าห้องก่อนที่จะล็อคประตูให้เรียบร้อย
 
"งั้นรีบไปคืนกุญแจกัน เดี๋ยวไปไม่ทันเครื่องออกนี่ก็จะ 8 โมงแล้ว"      ได้ยินอย่างนั้นก็รีบลากกระเป๋าขึ้นลิฟต์เพื่อไปคืนกุญแจ

"เครื่องออกกี่โมงพี่มัท"      ผมหันไปถามพี่มัทพอดีกับที่ประตูลิฟต์เปิด

"11 โมง รีบไปก่อนแหละดีจะได้พอมีเวลาเหลือเดินเล่นในดิวตี้ฟรี"      สาระในชีวิตก็มีแค่นี้จริงๆใช่ไหม

"กระเป๋ายังมีที่ว่างเหรอ"     

"เยอะแยะ นี่ไงเตรียมถุงผ้ามาแล้ว แถมยังมีแมทช่วยถือด้วย"      ผมถึงกับต้องส่ายหน้าให้กับความบ้าซื้อของพี่สาวตัวเอง

"อ้าวแมท จะกลับแล้วเหรอ"       เดินออกจากลิฟต์ก็เจอพี่เชลด้าพอดี

"ครับ นี่แมทจะเอากุญแจมาคืน พี่เชลด้าไปเช็คห้องเลยไหมครับ"         ผมยื่นกุญแจห้องให้พี่เชลด้ารับไว้

"อ่อ จริงๆไม่ต้องเช็คก็ได้นะ"

"เช็คเถอะค่ะ เราจะได้สบายใจกันทั้งสองฝ่ายนะคะคุณเชลด้า"         ผมเห็นด้วยกับพี่มัทนะ

"งั้นแมทไปลาป๊ากับม๊าได้ไหมครับ"

"ได้สิ งั้นเดี๋ยวพี่พาไป"       เราทั้งหมดพากันเดินกลับเข้าไปที่ห้องของพี่เชลด้าเพื่อบอกลาป๊ากับม๊า และในใจผมก็หวังลึกๆว่าพี่เชนจะอยู่ให้ผมบอกลา

"ป๊าม๊า แมทกับคุณมัทจะกลับไทยวันนี้แล้วค่ะ เลยแวะมาลา"

"ผมกลับก่อนนะครับป๊าม๊า ขอบคุณมากๆเลยครับที่ใจดีกับผม"        ผมยกมือไหว้ในขณะที่ตาผมก็พยายามมองหาอีกคน

"ขอบคุณมากๆอีกครั้งนะค่ะ รบกวนซะหลายอย่างเลย"         พี่มัทบอกพร้อมก้มหัวให้กับป๊าม๊า

"ยินดีๆ อย่ากังวลไปเลย สงสัยต้องหาเวลาไปเที่ยวไทยบ้าง "
 
"ถ้าไปเมื่อไหร่ให้บอกเลยนะครับป๊า ผมยินดีต้อนรับเต็มที่"

"ได้ๆ เดินทางปลอดภัยนะ"

"ไว้มาเที่ยวอีกนะลูก"        ม๊าบอก หลังจากนั้นผมและพี่มัทก็บอกลงพี่เชลด้าอีกเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าลิฟต์

 "น่ารักกันทั้งบ้านเลยเนอะ อัธยาศัยดีจัง เสียดายไม่ได้เจออีกคน"        ผมเองก็เสียดายนะ ถึงแม้จะมีอะไรบางอย่างให้ผมรู้สึกไม่สนิทใจเหมือนก่อนหน้า แต่ผมก็ยังอยากเจอเพื่อบอกลาอยู่ดี เพราะอย่างน้อยความทรงจำดีดีของการมาฮ่องกงครั้งนี้ก็มีพี่เชนอยู่ในนั้นเกินกว่าครึ่ง

.......................................................................



❤ตอนที่ 11 แมทกลับแล้ว ยังไงต่อดีหล่ะ ไม่ง่ายแล้วสินะ
❤ขอบคุณทุกความเห็นเลยนะคะที่แวะมาให้กำลังใจกัน
❤อยู่ต่อไปเรื่อยๆแบบนี้ก่อนนะคะ ^^
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยค่ะ ขอบคุณค๊า





CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
ความสัมพันธ์จะคืบหน้าช้าหรือเร็ว
คงต้องฝากความหวังไว้กับแมท
ว่าจะเก็บเมลล์ไว้เฉยๆหรือจะใช้มัน

ออฟไลน์ nicksrisat

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 948
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
จะกลับแล้วน่าจะเจอกันก่อนนะแมท

ออฟไลน์ kokoro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
พี่เชนก็พยายามเต็มที่แล้วนี่นา
เหลือแมทน่ะแหละ จะต้องคิดทบทวนแล้วตัดสินใจว่าจะสานต่อหรือไม่
รีบๆคิดนะแมท

ออฟไลน์ 4559

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3978
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-8
สงสารเชน. แมทแกรโง่มาก

ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ตอนที่ 12



"แมทโทรบอกโอ้ตแล้วใช่ไหมว่าให้มารับกี่โมง"       พี่มัทถามขึ้นขณะรอต่อแถวเช็คอิน

"ยังเลย ลืม"

"งั้นโทรก่อน เดี๋ยวมัทยื่นให้เอง"

"ไลน์ทิ้งไว้ก็ได้มั้ง"

"อย่าๆ โทรไปบอกดีกว่า แน่นอน"

"ครับๆ"

อย่างที่พี่มัทว่า ถ้าจะให้แน่นอนจริงๆต้องโทรไปบอก เพราะนี่ขนาดผมโทรไป 5 สายแล้วมันยังไม่รับเลย

"ฮัลโหล"

"มึงเข้าใจความหมายของคำว่าโทรศัพท์มือถือไหมวะโอ้ต"

"เอ้าไอ้นี่ ถามเหมือนกูเป็นเด็กป. 4 ไปได้"

"ถ้ามึงเข้าใจแล้วทำไมไม่เอามือมาถือมันเอาไว้หล่ะ"

"ให้กูทำงานบ้างเถอะครับ พอดีออกไปคุยกับลูกค้าหน้าร้านมา"

"เออ กูรอเช็คอินอยู่นะ คงถึงประมาณบ่ายสองมึงยังว่างมารับกูอยู่รึเปล่า"

"ว่างดิวะ ถ้าไม่ว่างมึงก็เบี้ยวนัดพวกกูอีก"

"เออ กูให้พี่มัทจองโต๊ะให้แล้ว แต่มึงห้ามสายนะเว้ย"

"ครับท่านครับ"

"เออ เจอกัน แค่นี้แหละ"

"รับทราบครับ"

          หลังจากนัดกับโอ้ตเรียบร้อยก็ถึงคิวเช็คอินพอดี พี่มัทยื่นพาสปอร์ตของเราสองคนให้กับพนักงาน พอดีกับที่บัตรรถไฟฟ้าหล่นจากพาสปอร์ตเพราะผมเป็นคนเสียบมันเอาไว้

"อ้าว แมทยังไม่คืนบัตรปลาหมึกอีกเหรอ"

"บัตรปลาหมึก?!? ไอ้นี่อ่ะเหรอ"       ผมหยิบบัตรขึ้นมาจากพื้นแล้วยื่นให้พี่มัทดู มันเขียนว่า octopus card ซึ่งมันก็คือบัตรปลาหมึกจริงๆอย่างที่พี่มัทว่า

"ใช่ เช็คอินเสร็จแล้วงั้นแมทพาไปคืนนะ"

ผมก็พยักหน้าก่อนจะเดินตามพี่มัทไป แล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่าบัตรใบนี้เป็นบัตรที่พี่เชนเป็นคนซื้อมาให้

"บัตรนี้มีอายุไหมพี่มัท"

"3 ปีมั้ง แมทซื้อวันที่มาใช่ไหมหล่ะ"       ผมทำแค่พยักหน้ารับ ไม่ได้บอกออกไปว่าบัตรใบนี้ผมไม่ได้เป็นคนซื้อเอง

"ถ้าเราไม่คืนได้ไหม"

"ได้ แต่ถ้าไม่คืนแมทก็จะไม่ได้เงินมัดจำในบัตรคืนนะ แล้วเงินที่เหลือในบัตรนี่อีก"

"มันมีค่ามัดจำบัตรด้วยเหรอ"

"อ้าว ตอนซื้อพนักงานที่ขายเขาไม่ได้บอกเหรอ แมทซื้อมา 150 ดอลล่าห์ฮ่องกงใช่ไหม ค่ามัดจำบัตรก็ 50 ดอลล่าห์ฮ่องกงไง"       ผมจะไปรู้ได้ยังไงในเมื่อผมไม่ได้เป็นคนซื้อเอง

"ไม่คืนละกันนะ แมทอยากเก็บไว้"

"ลองไปเช็คยอดคงเหลือดูก่อน แมทอาจจะอยากคืนก็ได้นะ"

"แค่เช็คว่าเหลือเท่าไหร่แต่ขอไม่คืนนะ"

"จะเก็บไว้เป็นที่ระลึกหรือไง"       ผมพยักหน้า ใช่ มันเป็นของที่ระลึกสำหรับผม

"ล่าสุดเติมเงินไปเท่าไหร่หล่ะ"       ผมเลือกที่จะเงียบเพราะทุกคำถามของพี่มัทผมตอบไม่ได้สักอย่าง ผมไม่สนด้วยว่าในบัตรใบนี้จะแลกเงินคืนได้เท่าไหร่ แค่เก็บไว้ให้มันยังอยู่กับผมก็พอ

"หรือว่าจะมาอีกเลยไม่อยากคืน"       พอพี่มัทว่าอย่างนั้นผมเลยพยักหน้าส่งๆไป

"ติดใจละสิ บอกแล้วว่าท่องเที่ยวมันสนุก"

"งั้นแหละ"       ก็ติดใจจริงอย่างที่ตอบพี่มัทไปนั่นแหละ

.......................................................................


"กูรอรับกระเป๋าอยู่นะ มึงถึงไหนแล้ว"

"กำลังรับบัตรจอดรถอยู่ เดี๋ยวกูจอดรอประตูแรกเลยนะ"

"โอเค กระเป๋ากูมาพอดี เดี๋ยวเจอกัน"       ผมรีบยกกระเป๋าลงจากสายพานแล้วเดินออกจากสนามบินเพื่อไปรอที่ประตูแรกตามที่โอ้ตบอก

"โอ้ตมาถึงรึยัง"       พี่มัทหันมาถามพอดีกับที่ผมเห็นว่ารถโอ้ตกำลังจอด"

"นั่นไงมาแล้ว"       ผมชี้ให้พี่มัทดูพร้อมกับลากกระเป๋าไปที่รถ

"เชิญครับ อย่าต้องลำบากเลย ผมขนให้เองดีกว่าครับ"      ผมกับพี่มัทถึงกับต้องมองหน้ากัน เพราะดูมันพยายามทำดีผิดวิสัย

"มึงเป็นอะไรโอ้ต"     แค่ส่ายหน้า แต่ผมเห็นถึงท่าทางที่ไม่ปกติของมัน

"โอ้ตกลัวแมทเบี้ยวของฝากเหรอ"     ผมว่าไม่น่าใช่อย่างที่พี่มัทสงสัย

"อย่าสงสัยเลย ไปขึ้นรถกันเถอะครับเจ้"     มันต้องเกี่ยวกับนัดวันนี้แน่ๆ

"โอ้ตไปส่งพี่ที่บ้านก่อนนะ ขอพี่เอากระเป๋าไปเก็บก่อน แล้วพี่จะไปที่ร้านด้วยเลย"

"ได้ครับ"      ระหว่างเดินทางไปที่บ้านผมก็มองหน้าไอ้โอ้ตไปตลอดทาง มันคงไม่ทันสังเกต เพราะหน้ามันที่ผมเห็นเวลาหันมองกระจกข้างคิ้วจะขมวดอยู่ทุกครั้ง มันต้องมีเรื่องอะไรปิดบังผมอยู่แน่ๆ

"โอ้ต โอ้ต ไอ้โอ้ต"       พี่มัทที่นั่งอยู่ข้างๆมันหันมามองหน้าผม จากสายตาที่พี่มัทมองมาผมว่าเราคิดเหมือนกัน ผมลองเรียกอีกครั้ง

"โอ้ต ไอ้เชี้ยโอ้ต"      มันก็ยังคงไม่ได้ยิน

 พลั่ก!!!

"โอ้ย! เชี้ย! ตีกูทำไม" ผมเอามือตบหัวมันไปเบาๆหนึ่งที

"กูสิต้องถามมึง มีสมาธิขับรถอยู่ป่ะเนี่ย"

"มีสิวะ ขับรถไม่มีสมาธิก็ได้ลงไปเล่นน้ำในคลองหรอกมึง"

"เหรอ... แต่พี่ว่าโอ้ตไม่มีนะ โชคดีที่ยังไม่ลงคลอง"

"น่า! ถึงบ้านแล้วเนี่ย ไปๆ ผมไปขนกระเป๋าลงก่อนนะ"       พอพี่มัทลงจากรถขณะที่โอ้ตกำลังจะเปิดประตูผมกระชากคอเสื้อมันไว้จากด้านหลังเบาะ

"โอ้ย! สัด รัดคอกู ทำขนาดนี้ฆ่ากูเลยเถอะ"      ทั้งโวยวายทั้งดิ้นไปมาจนผมต้องปล่อยคอเสื้อมัน

"มึงนี่นะ คอเสื้อกูยืดหมด"      ผมเพิ่มรู้นะว่าเนื้อผ้าของเสื้อเชิ้ตมันยืดได้ด้วย

"มึงมีอะไรจะบอกกูก่อนไหม"

"ไม่มี"

"อย่าโกหกกู"

"ไม่มีจริงๆ"

"มึงรู้ใช่ไหมว่าถ้ากูรู้เองมันจะเป็นยังไง"       มันกำลังลังเล เดี๋ยวมันต้องพูดออกมาแน่ๆและผมเชื่อในสัญชาตญาณผมว่ามันต้องมีอะไรสักอย่าง คนอย่างโอ้ตเก็บอาการไม่มิดเสมอ

"เห้ย! แมท มาช่วยมัทขนกระเป๋าสิ"        ถ้าพี่มัทไม่ขัดจังหวะซะก่อน

"ครับเจ้ โอ้ตยกให้เองครับ"       มันรีบถือโอกาสนี้เปิดประตูออกไปจากรถ แต่ผมก็ไวกว่าอยู่ดี ผมเปิดประตูมาขวางมันเอาไว้ไม่ให้เดินไปเอากระเป๋าหลังรถ

"อย่าให้กูรู้เองนะโอ้ต"       ผมปิดประตูรถแล้วรีบเดินไปยกกระเป๋าทันทีที่พูดจบประโยค

"ตกลงมึงจะช่วยกูยกไหม"

"ช่วยๆ"      มันรีบเดินมาช่วยยกกระเป๋าทันทีหลังจากนิ่งไปสักพัก ยิ่งเห็นมันนิ่งไปแบบนี้ผมยิ่งมั่นใจเข้าไปใหญ่ว่ามันต้องมีเรื่องอะไร

.......................................................................


"พวกมึงนัดกันกี่โมง"       หลังจากเก็บกระเป๋าเรียบร้อยผมกับโอ้ตก็มานั่งรอพี่มัทที่โซฟาด้านล่าง

"ประมาณทุ่มนึง"       หันไปมองนาฬิกายังมีเวลาอีกเหลือเฟือ

"นี่ก็เพิ่งจะ 5 โมงครึ่ง คงไม่ต้องรีบ"

"รีบเถอะ เผื่อมีคนมาก่อน"

"ปกติมึงสายตลอด ทำไมวันนี้ต้องรีบ เวลาเหลือเยอะแยะ"

"กูบอกแล้วไงว่าเผื่อมีคนมาก่อน"

"กูให้โอกาสมึงอีกครั้งโอ้ต"       มันนิ่งไปสักพักก่อนที่จะฟุบหน้าลงไปกับหมอนอิงแล้วตะโกนออกมา

"อ๊ากกกกก!!!!"

"กูพร้อมจะฟังแล้ว"

"คือกูไม่รู้ไง ถ้ากูรู้กูจะไม่ทำแบบนี้เลยเว้ย"       ผมทำแค่ปล่อยให้มันพูดต่อไป

"มึงจำหลินได้ใช่ไหม"       ผมพยักหน้าแทนการตอบออกไป ทำไมผมจะจำไม่ได้ในเมื่อหลินคือผู้หญิงคนแรกที่ผมรู้สึกดีด้วยแล้วยังไปตามจีบแข่งกับเพื่อนสนิทตัวเองอีก

"คือวันนี้หลินจะมาด้วย กูไม่รู้ว่าหลินจะมา กูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจทำมึงอึดอัดนะเว้ยแมท"       เอาจริงๆผมก็รู้สึกหน่วงๆนะ แต่เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว เจอกันก็ดีเหมือนกัน เพราะสำหรับผม หลินก็เป็นเพื่อนที่ดีคนนึง

"มึงไม่ไปก็ได้นะ การที่ต้องเจอทั้งไอ้มินทั้งหลินพร้อมกันมันคงทำให้มึงอึดอัด เดี๋ยวกูจะบอกพวกนั้นให้ว่ามึงไม่สบาย"

"กูสบายดี แล้วกูก็จะไปด้วย"       ผมรู้ว่าโอ้ตมันห่วงความรู้สึกผม

"ถ้ามึงไม่โอเคบอกกูนะ กูจะพามึงกลับบ้านเอง"       ยังไม่ทันที่ผมจะตองพี่มัทเดินลงบันไดมาพอดี

"ไปกันเถอะ ขอโทษที่ให้รอนะโอ้ต"

"กูไม่ได้คิดอะไรกับหลินแล้ว ขอบใจมึงมาก"       พูดพร้อมตบบ่ามันเบาๆก่อนจะเดินตามพี่มัทออกจากบ้านไป

.......................................................................


"มัทจองห้องเอาไว้ให้นะ ด้านในเลย จะได้เป็นส่วนตัว ส่วนอาหารจะสั่งล่วงหน้าไว้ก่อนหรือจะรอเพื่อนมาสั่งพร้อมกันทีเดียว"

"สั่งบางส่วนไว้ก่อนเลยละกัน พี่มัทไปเคลียร์บัญชีเถอะ แมทจัดการต่อเอง ขอบคุณนะครับ"       ผมเดินเข้าครัวเพื่อสั่งอาหารสองสามอย่างก่อนจะเดินมาห้องที่พี่มัทเตรียมไว้

"กูสั่งไก่ทอดซอสเลมอน ยำตะไคร้ แล้วก็ซี่โครงหมูอบช็อคโกแล็ตเผื่อมึงไปนะ จะกินอะไรเพิ่มไหม"

"หืม ที่ว่ามาทั้งหมดนี่แน่ใจว่าเผื่อกู"

"ใช่ มีกันอยู่สองคนจะให้กูเผื่อใคร"

"เหรอ ของโปรดมึงทั้งนั้นนะ ทำมาเป็นเผื่อกู"

"เฮ้ เพื่อน"      ระหว่างที่ผมกำลังถกเถียงกันเรื่องเมนูอาหารอยู่ก็มีคนเปิดประตูเข้ามา

"โม ใช่โมป่ะ"       ผมทักขึ้นมา แต่ด้วยระยะเวลาหลายปีที่ไม่เจอกัน ทำให้ผมไม่แน่ใจ

"เออ โมเอง จำไม่ได้ละสิ"       ผมพยักหน้า

"มันจะจำได้ไง ไม่เจอมึงตั้งหลายปี กูเจอมึงอยู่ทุกปีกูยังจำเค้าเดิมมึงไม่ได้เลยโม"       พอโอ้ตพูดเสริมผมเลยพอเข้าใจว่าทำไมผมแค่คุ้นๆ

"กูไม่สวย กูก็ต้องพยายามยกเครื่องให้ดูดีสิวะ"

"เหรอ...โมสมชื่อเลยนะมึง"       โอ้ตแบะปากตอบโมด้วยท่าทางน่าหมั่นไส้

"เออ โลกเดี๋ยวนี้มันโหดร้ายเว้ย กูสวยขนาดนี้ผู้ชายยังไม่สน ดูไอ้หลินเป็นตัวอย่างได้เลย"       ผมกับไอ้โอ้ตมองหน้ากัน พอดีกับที่มีคนเปิดประตูเข้ามา

"โม หลินลืมเค้ก ขอกุญแจรถหน่อย"       เป็นหลินนั่นเองที่เดินเข้ามา

"หวัดดีหลิน"       ผมเอ่ยทักก่อน เพราะกลัวว่าถ้าอีกฝ่ายเห็นผมแล้วจะอึดอัด

"เอ่อ แมทใช่ไหม หวัดดี ไม่เจอกันนานเลยเนอะ"       จากท่าทางและน้ำเสียงของหลินผมสัมผัสได้ว่าเธอดูตกใจไม่น้อยที่เจอผม

"โมไปเอาให้เองจ้ะ จะเอาของไปเก็บด้วยหลินรอนี่แหละ โอ้ตไปช่วยกูยกเลย ของเยอะแยะ"       โมรีบกวักมือเรียกโอ้ตออกไป

"กูว่ามึงเลิกขึ้นเขียงให้หมอกรีดหน้าผ่าตัวแล้วหันมาพูดเพราะแบบเมื่อกี้นะ รับรองผู้ชายเลิกกินกันเองแล้วหันมามองมึงก่อนชัวร์"       ทันทีที่โอ้ตพูดจบโมก็รีบเดินไปกระชากแขนโอ้ตออกจากห้อง ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมโมจะต้องรีบเร่งและรุนแรงขนาดนั้น จนตอนนี้ก็เหลือแค่ผมกับหลินอยู่ในห้องเราต่างทำแค่มองหน้ากันโดยไม่มีใครพูดออกมาก่อน มันอึดอัดเกินไป

"หลินสบายดีไหม"       ผมทนไม่ไหวเลยทำลายความเงียบลงก่อน

"สบายดี แมทหล่ะ"

"สบายดี สั่งน้ำอะไรก่อนไหม เดี๋ยวเราเดินไปบอกแม่ทำให้"       ผมลุกขึ้นเพื่อเดินไปหยิบเมนูน้ำมาให้หลินเลือก

"ไม่เป็นไรแมท น้ำเปล่าดีกว่า"       พอหลินบอกอย่างนั้นผมก็ทำแค่รินน้ำเปล่าใส่แก้วให้

"แมทมานานแล้วเหรอ"

"มาถึงสักพักพร้อมโอ้ตเนี่ยแหละ"

"มาไวจัง เพิ่งจะหกโมงกว่าเอง"

"ครับ เห็นโอ้ตบอกว่ามินมาด้วย ไม่ได้มาพร้อมกันเหรอ"       ผมถามออกไปแบบนั้นก็เพราะอยากให้หลินสบายใจว่าผมไม่ได้ติดใจเรื่องเก่าๆแล้ว แต่หลินกลับเงียบไม่ตอบจนผมรู้สึกว่าตัวเองคงถามอะไรผิดไป

"มินคงมาพร้อมวิน"       คำตอบหลินทำให้ผมงง ทำไมมินต้องมาพร้อมน้องชายหลินด้วย แล้ววันนี้ก็นัดกันแค่เพื่อนๆ หรืออาจจะไปทำธุระด้วยกัน ด้วยนิสัยชอบสงสัยไปเรื่อยของผม ทำให้ต้องถาม แต่ยังไม่ทันได้ถาม โอ้ตกับโมก็เข้ามาก่อน เพราะวินเป็นน้องของหลินนี่หน่า มาด้วยกันก็คงไม่แปลก

"เค้กมาแล้ว"       โอ้ตวางเค้กไว้บนโต๊ะแล้วหันมาบอกผม

"มึงยังไม่เคยชิมเค้กหลินใช่ไหมวะ ขอบอกว่าอร่อยจนหม่อมหลวงยังมายกนิ้วให้เลย"       ได้ยินอย่างนั้นผมก็หันไปมองหน้าหลิน รอยยิ้มที่ผมเห็นยังสวยเหมือนเดิม เพียงแต่มีความเศร้าที่สัมผัสได้ส่งออกมาจากแววตาที่มองมาที่ผม

"เพิ่งรู้จากโมว่าจะมาร้านแมท เกรงใจจัง ที่เอาเค้กมาให้เจ้าของร้านเค้กช่วยชิม พอดีหลินลองทำเค้กสูตรใหม่ เลยเอามาให้ชิม แต่คงสู้ของแม่แมทไม่ได้ ยังไงช่วยชิมแล้วช่วยติให้หน่อยนะ"

"ได้สิ ลองเอาไปให้แม่ช่วยชิมยังได้เลย"       หลินไม่ได้ตั้งใจเอาเค้กมาข่มร้านผมหรอก มันคงเป็นความบังเอิญมากกว่า ผมเข้าใจ

"ได้จริงเหรอ ขอบคุณมากเลยนะ งั้นหลินตัดแบ่งไปให้ตอนนี้เลยดีกว่า"

"ตอนนี้เลยเหรอ"

"ตอนนี้แหละ ตัดให้ผู้ใหญ่ก่อน ถ้าให้ทีหลังจะน่าเกลียด"

"เอ่อได้ๆ"       พอผมว่าจบหลินก็จัดแจงตัดเค้กใส่จานกระดาษที่ตัวเองเตรียมมาด้วย

"เรียบร้อยแล้ว พาไปให้แม่แมทกัน"       ผมอาสาถือจานเค้กให้ แต่หลินบอกว่าอยากให้เองกับมือมากกว่า ผมเลยทำแค่นำทางหลินไปยังร้านของแม่ ระหว่างนั้นหลินก็อธิบายสูตรเค้กของตัวเองไปด้วย ผมก็เอาแต่มองหน้าหลินไปอย่างนั้น ไม่ได้ฟังสักนิดว่าเค้กชิ้นนี้จะผสมไปด้วยอะไรบ้าง

.......................................................................


"แม่ละครับพี่อิน"       ถามหาแม่จากพนักงานที่ประจำอยู่ที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่ม

"อยู่ด้านในเลยค่ะน้องแมท"       ผายมือเข้าไปในครัวเล็กหลังเคาน์เตอร์ร้านพร้อมรอยยิ้ม

"แม่ครับ แมทกลับมาแล้วนะ"       ผมเดินไปกอดแม่ที่ยืนอยู่หน้าเตาอบจากด้านหลัง เพราะตั้งแต่มาถึงผมก็ยังไม่ได้เจอแม่เลย

"แมท! มาถึงกี่โมงลูก โอ้ตไปรับเหรอ พี่มัทหล่ะ แล้วนี่กินข้าวมารึยัง"       แม่หันมาถามผมยาวเหยียดโดยไม่ทันมองด้วยซ้ำว่าผมพาใครมาด้วย

"ใจเย็นๆครับแม่ แมทมาถึงตอนเกือบบ่ายสามแล้ว โอ้ตไปรับ พี่มัทไปดูบัญชีอยู่ ส่วนเรื่องข้าวกำลังรอกินพร้อมเพื่อนครับ ครบยังเนี่ย"       ทำมือนับนิ้วตามไปด้วยขณะตอบเพื่อเช็คว่าตอบคำถามไปครบ

"จ้า ครบแล้ว"       แม่หัวเราะเบาๆก่อนจะหันไปเอาขนมออกจากเตา แม่คงยังไม่ทันเห็นหลิน

"แม่ นี่หลินเพื่อนแมท"       แนะนำจบแม่ก็หันมามองพอดีกับที่หลินยกมือไหว้

"สวัสดีค่ะ แม่ไม่ทันเห็นโทษทีลูก"       แม่ยกมือไหว้ตอบกลับ

"ไม่เป็นไรค่ะ นี่หลินลองทำเค้กสูตรใหม่แมทเลยอาสาเอามาให้แม่ช่วยชิม"       หลินยื่นเค้กไปตรงหน้าให้แม่รับไว้

"รบกวนด้วยนะคะ หลินเป็นมือใหม่ ถ้ามีตรงไหนยังไม่ดีติได้เลยนะคะ"       แม่ยิ้มให้ก่อนจะตักเค้กชิม

"อื้ม...อร่อยมากลูก หน้าตาก็ดูดี"

"จริงเหรอคะ ขอบคุณมากเลยค่ะ"       หลินยกมือขอบคุณแม่อีกครั้ง

"ทำขายได้สบายเลยนะ"       หลินรีบโบกมือปฏิเสธทันทีที่แม่พูดอย่างนั้น

"หลินยังไม่เชี่ยวชาญขนาดนั้นหรอกค่ะ แค่ทำเป็นงานอดิเรก เลยอาศัยเพื่อนๆนี่ละค่ะช่วยกันชิมช่วยกันทาน"

"แมทลองชิมยัง อ่ะ ลองๆ อร่อยลูก"       แม่พูดไปก็ตักเค้กมาจ่อที่ปากให้ผมต้องอ้าปากรับเค้กคำนั้น ความรู้สึกแรกคือมันนุ่มฟู หอมเหมือนเค้กของแม่เลย ความหวานก็กำลังพอดี

"เค้กหลินเป็นไงบ้างแมท"

"ว่าไงแมท ถึงกับอึ้งไปเลยเหรอลูก"

"อร่อยมากหลิน อร่อยจริงๆ"       ผมหันไปบอกหลิน ก็เห็นรอยยิ้มที่กว้างกว่าเดิม

"ขอบคุณนะแมท หลินชอบเค้กของคุณน้ามากเลยนะคะ อร่อยไม่เหมือนใคร หาทานได้ที่นี่ที่เดียว แนะนำใครก็ไม่ผิดหวัง อีกอย่างเค้กของคุณน้าเป็นแรงบันดาลใจให้หลินหัดทำเค้กด้วยค่ะ"

"จริงเหรอจ้ะ น้าดีใจจัง"

"แก้มปริแล้วแม่ ชมพอแล้วหลิน มากกว่านี้เราว่าสงสัยแม่ต้องทำเค้กเพิ่มหาเงินมาซ่อมหลังคาแน่ๆ"

"เดี๋ยวเถอะแมท"       แม่หันมามองค้อนผมก่อนจะหันไปยิ้มให้กับหลิน

"ถ้าว่างก็เข้ามาที่ร้านได้นะลูก อะไรที่พอเรียนรู้จากน้าได้น้าก็ยินดีจ้ะ"

"ขอบคุณมากเลยค่ะ สงสัยหลินคงได้รบกวนบ่อยๆแน่เลยค่ะ"

"ตกลงกันเรียบร้อยแล้วนะครับ งั้นไปเถอะหลิน พวกนี้คงมากันแล้วแหละ เจอกันตอนปิดร้านนะครับแม่"       แม่พยักหน้าแทนการพูดตอบ

"หลินขอตัวก่อนนะคะคุณน้า สวัสดีค่ะ"

"จ้ะ ขอบคุณนะจ๊ะสำหรับเค้ก"

.......................................................................


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-04-2015 23:39:10 โดย anana »

ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ตอนที่ 12

          ผมพาหลินกลับมาที่ห้องที่จองไว้ ได้ยินเสียงดังลอดออกมาจากประตู เดาว่าคงมากันครบแล้ว ผมกำลังจะเปิดประตู หันไปมองก็เห็นหลินหยุดยืนอยู่ห่างจากหลังผมไป ทำให้ผมต้องถามเพราะความไม่แน่ใจ

"เข้าไปเลยนะ"

"แมทเข้าไปก่อนเลย หลินขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ"       ท่าทางที่นิ่งและสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินทำให้ผมรู้สึกเป็นห่วง

"ให้เราไปเป็นเพื่อนไหม"       แต่หลินกลับโบกมือปฏิเสธแล้วหันหลังเดินไปทางห้องน้ำ เห็นอย่างนั้นผมเลยเลือกที่จะเปิดประตูเข้าห้องไป จากที่เห็นเพื่อนๆเต็มห้องก็เดาว่าน่าจะมากันครบแล้ว

"เฮ้ย! ไอ้แมทมาแล้วเว้ย"       โอ้ตทักขึ้นมาเสียงดังจนทุกคนหันมามองผมที่ยืนอยู่ตรงประตู

"เซเลบเชียวนะมึง จะนัดเจอทีนึงต้องจองคิวล่วงหน้า 4-5 ปีเลยเหรอวะ"      ผมแค่ยิ้มให้ม่อน ไม่ได้พูดตอบอะไรออกไปแล้วพาคัวเองมานั่งที่นั่งว่างข้างโอ้ตซึ่งมีอยู่สองที่

"หวัดดีพวกมึง ไม่เจอกันนาน สบายดีกันใช่ไหม"       ถามแล้วหันไปมองรอบโต๊ะบ้างก็พยักหน้าตอบบ้างก็ยกมือทำท่าโอเคจนสายตามาหยุดอยู่ที่มินซึ่งมันเองก็กำลังมองผมอยู่ ข้างๆกันเป็นคนที่ผมไม่รู้จัก แต่รู้สึกคุ้นหน้า

"แล้วมึงหล่ะ สบายดีนะ"      มินถามผม

"สบายดีสิวะ แล้วนี่อาหารมาครบยัง สั่งอะไรกันเพิ่มไหม"      ระหว่างรอคำตอบจากเพื่อนๆที่กำลังดูเมนู  ผมหันไปถามโอ้ตว่าคนข้างๆมินเป็นใคร

"น้องชายหลินไงมึง แล้วก็ควบตำแหน่งแฟนไอ้เชี้ยมินด้วยครับตอนนี้"

"เฮ้ย!"      ผมอุทานด้วยความตกใจ จะไม่ให้ตกใจได้ยังไง เจอกันครั้งสุดท้ายมินกับหลินยังเป็นแฟนกันอยู่ 4 ปีผ่านไปทำไมเปลี่ยนจากหลินมาเป็นน้องวิน ผมเริ่มจะพอเข้าใจท่าทีอึดอัดของหลินเวลาที่ผมถามถึงมินแล้วหล่ะ รวมถึงแววตาเศร้าๆที่ผมเห็นนั่นก็ด้วย ผมไม่รู้ว่าเรื่องมันเป็นมายังไง เป็นแบบนี้มานานแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ หลินยังไม่พร้อม ผมนั่งคิดถึงความรู้สึกของหลินไปเรื่อยๆ สักพักโมที่นั่งถัดจากเก้าอี้ว่างข้างผมก็ชะโงกหน้ามาถาม

"หลินหล่ะ"

"ไปห้องน้ำ"

"นานยัง"

"ตั้งแต่เราเดินเข้ามา"

"สักพักแล้วสิ งั้นโมไปตามหลินดีกว่า"   โมทำท่าจะลุกออกไป ผมที่ไวกว่ารีบจับไหล่โมเอาไว้

"เราไปเอง โมอยู่สนุกกับเพื่อนเถอะ เราจะไปสั่งเครื่องดื่มเพิ่มพอดี"     ผมรีบบอกโมทันทีที่โมบอกว่าจะไปตามหลิน

"ได้ๆ"      โมพูดพร้อมพยักหน้าก่อนจะหันไปคุยกับเพื่อนๆต่อ

 ผมเดินออกมาตามหลิน ระหว่างนั้นผมคิดอะไรไม่ออก จริงๆผมไม่ควรคิดอะไรด้วยซ้ำ มันก็คงไม่ดีแน่ถ้าผมจะตัดสินใครโดยที่ผมยังไม่รู้ว่าเรื่องมันเป็นมายังไง

"หลิน ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้"     เดินยังไม่ทันถึงก็เห็นหลินนั่งอยู่ตรงม้านั่งที่เป็นสวนหย่อมเล็กๆใกล้กับห้องน้ำ

"แมท หลินกำลังจะเข้าไป แมทมาเข้าห้องน้ำเหรอ"       ผมนั่งลงที่ม้านั่งข้างๆหลิน

"ป่าว มาตามหลิน พร้อมแล้วใช่ไหม"

"พร้อม?!? พร้อมอะไร"       หลินมีสีหน้างงอย่างเห็นได้ชัด

"หลินพร้อมจะเข้าไปเจอเพื่อนๆแล้วใช่ไหม"      พอจบคำถามผม เราสองคนต่างก็มองหน้ากันอยู่อย่างนั้นสักพัก

"เพื่อนมากันครบแล้วเหรอ"      ผมพยักหน้า

"งั้นแมทก็รู้แล้วใช่ไหมถึงได้ออกมาตามหลิน"

"รู้ว่า"       มันอาจจะทำให้หลินรู้สึกแย่ผมเลยเลือกที่จะทำเป็นไม่รู้ดีกว่า

"ช่างเถอะ ยังไงก็ขอบคุณนะแมท ที่มา"       ผมทำแค่ยิ้ม

"หลินรู้ไหมว่าไม่มีใครที่หนีความเจ็บปวดได้หรอก"       ยังคงมองหน้าหลินอยู่อย่างนั้น

"ที่พูดนี่เพราะรู้หรือเพราะว่าสีหน้าหลินแสดงออกชัดเจน"        หลินหลบสายตาทันทีที่พูดจบ

"ไม่ว่าจะเพราะอะไร เราอยากให้รู้นะว่าทุกคนเป็นห่วงความรู้สึกหลิน และคงจะรวมทั้งไอ้มินแล้วก็น้องวินด้วย"

"แมทรู้ได้ยังไง"

"เรารู้สึกได้"

"ระหว่างมินกับหลินมันถึงทางตันมานานแล้ว แต่เราก็ยังพยายามเพราะคิดว่ามันจะไปรอด เรายื้อกันไปมาตั้งไม่รู้กี่ครั้ง วันนึงมันก็ไม่ไหว  มินเลือกที่จะปล่อยมันไปก่อนสุดท้ายก็มีแต่หลินที่ยังรั้งเอาไว้ เพราะคิดว่าคงไม่มีใครที่หลินจะรักได้มากขนาดนี้อีกแล้ว"

"แล้วตอนนี้หลินปล่อยไปรึยัง"

"ปล่อยไปนานแล้ว ก่อนที่มินกับวินจะมาคบกันอีก"

"แต่ที่นั่งอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่เพราะกำลังยึดไว้เหรอ"

"หลินไม่ได้เสียใจที่เป็นวินนะ หลินรู้ว่าความรักมันไม่มีข้อจำกัด มินเลิกกับหลินนานแล้วก่อนที่จะมาคบกับวิน แล้วหลินก็รักวินมาก ต่อให้มินเลิกกับหลินเพราะวินหลินก็ยังยินดีในความรักของทั้งคู่อยู่ดี"

"งั้นตอนนี้หลินก็ควรจะดีใจสิ ไม่ใช่พยายามหลบหน้า ไม่ใช่เพราะหลินยังลืมมินไม่ได้หรือยังรักมินอยู่หรอกเหรอ"       มันจะมีเหตุผลอะไรไปมากกว่าการที่ยังรักอยู่เลยทนเห็นเขากับคนใหม่ไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ยิ่งพอเป็นน้องชายตัวเองมันเลยยิ่งยากเข้าไปใหญ่

"ถ้าเป็นแมท แมทจะยินดีกับความสุขของเขาที่ไม่มีเราเป็นส่วนหนึ่งอีกต่อไปแล้วได้จริงๆเหรอ"

"ก็ถ้ามองยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้ พยายามไปก็ไม่รอด สุดท้ายก็เป็นได้แค่เส้นขนานอยู่ดี"

"คงเพราะเส้นขนานอย่างที่แมทว่า มินเลยยังอยู่ใกล้หลินขนาดนี้ แยกจากกันไม่ได้สักที"

"แค่ต้องยอมรับและมีความสุขไปกับมัน ถ้าหลินยังไม่ปล่อยวาง มันก็เหมือนกับหลินยังไม่ยินดีกับความรักของทั้งคู่ แล้วอย่างนี้น้องวินที่หลินบอกว่ารักมากจะมีความสุขได้ยังไง"

"ถ้าวันนั้นไม่ใช่มินแต่เป็นแมท หลินจะเจ็บขนาดนี้ไหม"       ผมไม่คิดว่าหลินจะพูดแบบนี้ เลยทำแค่เงียบไป

"หลินเดาว่าหลินคงกำลังมีความสุขแน่ๆ แมทว่าอย่างนั้นไหม"       ผมไม่ควรฉวยโอกาสใช่ไหม

"วันนึงหลินจะพบคนคนนั้นของหลิน คนที่จะทำให้หลินรู้และเข้าใจว่าทำไมคนที่ผ่านมาถึงยังไม่ใช่สักที" แล้วผมก็วางมือบนไหล่หลินเบาๆ "เราจะคอยเป็นกำลังใจให้ ขอให้หลินเจอเขาเร็วๆนะ รีบเข้าไปในห้องเถอะ โมคงเป็นห่วงหลินมาก เราจอไปสั่งเครื่องดื่มเพิ่มก่อน เดี๋ยวตามไปครับ"       หลินแยกเดินไปอีกทาง ขณะที่ผมเดินมาทางร้านของแม่เพื่อสั่งเครื่องดื่ม ผมต้องรีบพูดตัดบท เพราะผมกลัวว่าจะมีคำพูดจากหลินที่เปิดโอกาสมากกว่านี้ ผมกลัวตัวเองหวั่นไหว ครั้งนึงผมเคยผิดหวัง แต่ไม่ได้หมายความว่าลึกแล้วผมหมดหวัง ตอนแรกที่เจอหลินผมก็ยังหวังอยู่ พอเรื่องเป็นแบบนี้ผมก็ยิ่งมีความหวัง แต่หลินยังลืมมินไม่ได้ ความรู้สึกผมคงลำบากแน่ๆถ้าผมก้าวเข้าไปในวงกลมของความสัมพันธ์นี้ในตอนนี้ ผมควรปล่อยให้หลินจัดการความรู้สึกตัวเองก่อน ไม่ใช่ก้าวไปอยู่ในวงกลมวงใหม่ทั้งๆที่ขาอีกข้างก็ยังคงสลัดวงกลมวงเก่าไม่ได้ มันจะต่างอะไรกับการมีคนใหม่เพื่อให้ลืมคนเก่า มีแต่จะทำให้เจ็บไปมากกว่าเดิม

.......................................................................


ผมออกมานั่งรอเครื่องดื่มที่โต๊ะนอกร้านแม่รอให้พี่ที่ร้านช่วยเตรียมให้ ระหว่างนั้นผมก็เห็นคนกำลังเดินตรงมาที่ร้าน

"ไงมึง มาทำไรตรงนี้"       มินนั่นเอง

"มารอเอาเครื่องดื่มไปให้พวกมึงนี่แหละ"

"เยอะไหม กูช่วย"

"เดี๋ยวให้เด็กช่วยยกไป มึงไปรอที่โต๊ะเถอะ"

"ให้เด็กช่วยแม่มึงเถอะ เดี๋ยวกูช่วยมึงยกไปเอง"

"เออๆ ตามใจมึง"

"ช่วงนี้มึงเป็นไงบ้าง ชีวิตดีไหมวะ"

"เรื่อยๆ แล้วมึงอ่ะ"

"ชีวิตกูก็ดีนะ ตั้งแต่มีวินเข้ามา"       รอยยิ้มของมินที่แสดงออกมาสนับสนุนคำพูดของมันให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

"เออกูจะถามตั้งแต่ที่โต๊ะละแต่เกรงใจน้องวิน"

"เกรงใจทำไม มีมึงคนเดียวแหละหว่ะที่ยังไม่รู้ นัดเจอทีไรมึงก็เบี้ยวตลอด"

"แล้วไปไงมาไงมึงสองคนถึงได้มาคบกันวะ"

"กูก็ไม่รู้เหมือนกัน คนที่ใช่ในเวลาที่เหมาะมั้ง"

"พูดเป็นนิยายเลยนะมึง"

"เอ้า จริงนะเว้ย ตอนกูคบกับหลินก็เห็นวินอยู่ทุกวัน ไม่เคยรู้สึกอะไรด้วยสักนิด ผู้ชายอีกต่างหาก เสือกไปขุดหลุมให้กูตกตอนอยู่เมืองนอกเฉยเลย"

"แต่มึงก็มีแฟนเป็นผู้หญิงมาตลอด มันง่ายสำหรับมึงเหรอวะ คือกูหมายถึงมึงมั่นใจแล้วเหรอว่ามันคือความรักที่ไม่ใช่แค่พี่น้อง"

"เค้าว่ากันว่าแค่ 3 วินาทีชายหญิงก็ลึกซึ้ง แต่ชายกับชายมันเทียบแบบนั้นไม่ได้หรอก"

"ทำไมวะ"

"ถ้ามึงไม่ได้ชอบพวกผู้ชายด้วยกันมึงจะมองหน้าแล้วคิดไปไกลกว่าเพื่อนหรือพี่น้องเหรอวะ"       ผมพยักหน้าเห็นด้วยก่อนมันจะพูดต่อ

"กูถึงได้บอกไงว่ามันใช้เวลามากกว่านั้น กูเลยต้องขอบใจจังหวะเวลาที่มันพอดี ตอนนี้กูบอกมึงเลยว่าวินมันเป็นความสุขของกู"

"ความรักมันให้ความสุขมึงจริงๆเหรอวะมิน"

"ไม่มีใครตอบแทนใครได้หรอก สำหรับกูหลินก็คือความสุข แต่พอตอนคบกันเราทั้งคู่ก็รู้ดีว่ามันมีความทุกข์มากกว่านั้น ในเมื่อไปกันไม่ได้ พยายามกันก็หลายครั้ง มันไม่ได้ก็คือไม่ได้ กูต้องยอมรับว่าเราต้องเลิกกัน แต่พอกูเจอวิน มันทำให้กูรู้ว่าความสุขกูอยู่ที่ไหน และก็ทำให้รู้ว่าส่วนประกอบของความรักของกูนั่นก็คือวินมีค่าสำหรับกูแค่ไหน"

"แล้วกูจะรู้ได้ยังไงว่าความรักจะทำให้กูเจอเรื่องดีดีแบบมึง"

"ความรักของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันหรอกนะ ถ้ามึงอยากรู้ว่ามันจะเป็นยังไง มึงต้องลองมีมันดู แล้วสิ่งสำคัญก่อนจะรักคือมึงต้องมีส่วนประกอบของความรักก่อนนะ"             ส่วนประกอบของความรักงั้นเหรอ

"ความรักมันก็ทำให้กูรู้ว่ากูควรคว้ามันไว้ ถ้ามันเดินทางมาหามึงเมื่อไหร่ มึงจะรับรู้ได้เอง แค่อย่าปล่อยมันไปก็พอ อ้อ ส่วนเรื่องหลิน กูไม่ขอโทษนะเว้ย เพราะถึงย้อนเวลากลับไปได้กูก็ยังเลือกจะจีบหลินแข่งกับมึงอยู่ดี"      พอมันพูดจบเด็กในร้านแม่ก็เอาถาดใส่แก้วเครื่องดื่มตามที่สั่งมาให้พอดี ผมเข้าใจเพราะตอนนั้นถึงไม่มีมันผมก็ไม่ใช่คนที่หลินเลือกอยู่ดี  ถ้าหลินจะเลือกผมหลินคงทำไปก่อนที่มินจะเข้ามาจีบ ผมเลยทำแค่มองหน้ามันโดยไม่ตอบอะไร ก่อนจะช่วยกันยกถาดพากันเดินกลับไปที่โต๊ะ

.......................................................................


"เฮ้ย! รีบๆเลยพวกมึง จะหมดแล้วนะเว้ย"       ไอ้โอ้ตตะโกนบอกปริมาณอาหารบนโต๊ะทันทีที่เห็นพวกผมเดินมา

"มึงก็หยุดกินก่อนสิ รับรองเหลือเต็มจาน"

"สัส! ว่ากูแดกเยอะ"

"ที่กูพูดนี่เรื่องจริงทั้งนั้นเลยนะ มึงสังเกตการกระจายตัวของจานกับข้าวดิ กองอยู่ตรงหน้ามึงเกือบครึ่ง"       ผมชี้จานทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้าไอ้โอ้ตเพื่อตอกย้ำความตะกละของมัน

"ส่วนอีกครึ่งที่อยู่ตรงหน้าคนอื่นก็เป็นจานเปล่าที่มันส่งมาวางทั้งนั้นใช่ไหมวะ"    ขอบคุณไอ้เก้าที่ช่วยสนับสนุนคำพูดของผม

"ห่า! รวมหัวกันด่ากู"    โอ้ตพูดตอบทุกคนด้วยน้ำเสียงน้อยใจก่อนจะกินต่อ มันรู้สึกซะที่ไหน ผมหันไปมองหลินก็เห็นว่ามีน้องวินนั่งอยู่ข้างๆ และกำลังนั่งหัวเราะกันอยู่กับโมอีกคน ทุกอย่างมันคงกำลังจะลงตัว และมันคงดีแล้วที่เป็นแบบนี้

"แมท เมื่อกี้หลินเจอคุณน้า หลินเลยนัดว่าพรุ่งนี้จะมาหัดทำเค้ก แมทว่างไหม จะเข้ามาที่ร้านรึป่าว"       หลินถามขึ้นขณะที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ ผมเลยเดินไปที่นั่งว่างข้างๆหลิน

"ยังไม่รู้เลย แต่คิดว่าน่าจะว่าง"

"ว่างเถอะนะคะ หลินอยากให้แมทมาด้วย"    หลินหันมากระซิบข้างๆ ผมหันไปมองหน้าหลินที่กำลังส่งยิ้มมา ผมว่าผมยังชอบรอยยิ้มแบบนี้อยู่เลย คนเดิมๆกับความรู้สึกเดิมที่ยังตกค้างอยู่ มันกำลังจะกลับมาทำให้เกิดความหวั่นไหวอีกครั้งได้หรือไม่คงไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้ดีเท่าตัวผมเอง


.......................................................................

❤ ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^^*
❤ไม่ว่างลงเลยช่วงนี้ ขอโทษที่มาช้า แหะๆ
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยน้า ขอบคุณค๊า




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-03-2015 08:19:00 โดย anana »

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
เฮ้ยยย สงสารหลินจัง
ทำไมวินถึงปล่อยความรู้สึกไปกับมิน
รู้ทั้งรู้ว่าเป็นแฟนเก่าของพี่สาวตัวเอง
แฟนเก่า แฟนใหม่นี่ บางคู่เป็นศัตรูกัน
ทั้งๆที่ไม่ได้รู้จักกันเลยก็มีนะ เรารู้สึกว่า
หลินมีเวรมีกรรมอะไรมากมายขนาดนี้
เอ่อ ถึงจะสงสารก็อย่ามาทำให้แมทสับสนนะ
เด๋วพี่เชนก็มา บอกเลยว่าแมทหวั่นไหวกับพี่เชนแล้วนะ

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
มารอแมทกับพี่เชน

ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ตอนที่ 13

***ตัวหนังสือสีเขียวคือสนทนาเป็นภาษาอังกฤษนะคะ

"ไปเที่ยวมันไม่สนุกหรือไง ถึงได้กลับมาทำงานทั้งๆที่ลา รวมวันนี้ก็สามวันแล้วนะ"     ไม่บ่อยนักที่พีทจะสงสัยในการกระทำของผม

"สนุกดี แค่ไม่ต้องไปแล้วฉันก็เลยว่างมาช่วยงานนาย"      ในเมื่อไม่มีเหตุผลให้ต้องลาแล้ว การกลับมาทำงานก็น่าจะเป็นทางเลือกเดียวที่จะทำให้ผมไม่รู้สึกเบื่อ

"ปีนี้ฉันคงต้องเสนอชื่อนายเป็นพนักงานดีเด่นแล้วหล่ะเชน"       ผมยิ้มให้ในขณะที่พีทพยักหน้าเบาๆก่อนจะเปิดประตูออกจากห้องทำงานผมไป

           สองวันที่ผ่านมาผมเช็คเมล์แทบจะทุกสิบนาที ด้วยความหวังว่าคนที่ผมกำลังคิดถึงจะเห็นกระดาษแผ่นเล็กที่แนบไปกับขนมวาฟเฟิลที่บ่นนักหนาว่าอยากกิน ความรู้สึกลึกๆผมหวังว่าแมทจะรู้สึกอย่างเดียวกัน แต่ผมคงหวังมากไป ก็อาการที่อีกฝ่ายแสดงออกมันชัดเจนขนาดนั้น แต่ความรู้สึกของผมมันก็ชัดเจนไม่ต่างกัน ผมคิดแค่ว่าผมไม่ควรถอย เพียงแต่ผมไม่รู้ว่าผมควรจะเดินหน้าต่อยังไง ควรใช้วิธีไหน ผมเคยรุก แต่แค่เริ่มต้นมันก็พังไม่เป็นท่า อาจจะเพราะมันมากไป พอผมถอยห่างออกมา ทุกอย่างก็ดูจะห่างเหินมากขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างที่ผมคิดอะไรเพลินๆ พีทก็กลับเข้ามาในห้องที่ผมนั่งทำงานอยู่อีกครั้งพร้อมเอกสารในมือ

"เฮ้!!! สนใจงานหน่อยเพื่อน กลับมาจากเที่ยวคราวนี้นายดูแปลกไปนะ"

"ขอโทษพีท ฉันมีเรื่องให้คิดนิดหน่อย"


"ดูท่าทางเรื่องที่นายกำลังคิดคงเป็นเรื่องใหญ่ นายถึงได้ให้ความสำคัญมากกว่างานตรงหน้า"       ผมก้มลงมองงานตรงหน้าตัวเองก่อนจะหันไปมองพีท ถูกอย่างที่พีทว่า ผมใช้เวลาอยู่กับเอกสารหน้าแรกตั้งแต่เริ่มงานจนถึงตอนนี้

"สำคัญกว่ารึเปล่าฉันไม่รู้ แต่ตอนนี้ฉันเอามันออกจากความคิดไม่ได้เลย"       ความรู้สึกมันเหมือนกลับตัวไม่ได้ ไปต่อก็ไม่ถึง มันดูไม่มีหนทางไปหมด

"ฉันช่วยรับฟังได้นะ ถ้านายต้องการ"

"ขอบคุณมากพีท ฉันขอจัดการมันด้วยตัวเองก่อนละกัน"

"เอ่อ นายยังฟังฉันได้อยู่ไหม" 
   ผมเอ่ยถามพีทอีกครั้ง เพราะลังเล อยากมีคนช่วยคิด อยากฟังว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร แต่อีกใจก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่สุดท้ายผมก็ต้องจัดการมันด้วยตัวเอง

"ฮ่าๆๆ แน่นอน ว่ามาเลย ฉันรออยู่"

"นายเคยตกหลุมรักใครทั้งๆที่รู้ว่ามันผิดไหมพีท"

"ก่อนที่ฉันจะตอบนาย ฉันขอถามนายก่อนว่านายรู้ได้ยังไงว่าหลุมที่นายตกลงไปมันผิด"
       ผมเงียบไม่กล้าที่จะตอบออกไป มันผิดแน่ๆอยู่แล้ว ผิดตั้งแต่ยังไม่เริ่ม ต่อให้ผมพยายามบอกตัวเองว่ามันไม่ผิด คนภายนอกก็ยังมองว่ามันผิดอยู่ดี นี่ผมกลายเป็นคนคิดเยอะ ช่างกังวลไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ผมค่อนข้างที่จะมั่นใจในความคิดความรู้สึกของตัวเองซะมากมาย

"ไม่เป็นไร นายไม่ต้องตอบ สำหรับฉันถ้าหลุมที่นายกำลังตกลงไปมีแค่เฉพาะคนที่ขุดหลุมกับนายแค่นั้น ฉันว่ามันก็ไม่ผิด แต่ถ้าหลุมนั้นมีเจ้าของอยู่แล้วหรือนายลากบุคคลที่สามหรือใครก็ตามที่ต้องทุกข์ใจเพราะหลุมที่นายกำลังจะก้าวลงไป หรือหลุมนั้นจะต้องมีมากกว่าแค่สองคน มันคงผิด นายเข้าใจสิ่งที่ฉันกำลังบอกใช่ไหม"       ผมพยักหน้าแทนคำตอบพร้อมกับคิดตาม ผมรู้อยู่แล้วว่าหลุมนี้ไม่มีเจ้าของ แต่บุคคลที่สาม สี่ ห้า ที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในหลุมนี้หล่ะ ผมไม่แน่ใจเลยสักนิดว่าจะไม่มี เพราะโลกใบนี้ไม่ได้มีแค่ผมกับคนที่ผมรัก เรายังมีสังคมอีกมากมายที่ต้องเจอ เพราะฉะนั้นผมควรจัดการฝั่งตัวผมเองให้ยอมรับและเห็นด้วยกับการตัดสินใจของผมในครั้งนี้ก่อน นี่คงเป็นสิ่งแรกที่ผมควรทำ

"ฉันเข้าใจทั้งหมดแล้ว ฉันว่าฉันรู้แล้วว่าควรทำอย่างไร"

"ดี! อ้อ จำไว้อย่าง ความรักไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่คนที่ใช้มันไม่ถูกวิธีต่างหากที่ผิด และถ้านายยังอยากใช้วันลาที่เหลืออยู่ เพื่อไปอยู่กับเจ้าของหลุมรักของนายละก็ ฉันยินดีนะ"
       พีทตบบ่าผมเบาๆก่อนจะหยิบแฟ้มงานตรงหน้าผมไปวางไว้ที่โต๊ะตัวเอง

"ขอบใจนายมากนะพีท"       รอยยิ้มบางๆของพีทแทนคำตอบรับได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่ผมควรจะทำคือการคุยกับคนที่รักและเป็นห่วงผม คิดได้อย่างนั้นก็รีบคว้าเสื้อคลุมและกุญแจรถมอเตอร์ไซค์เพื่อไปทำทุกอย่าให้ถูกต้องและเร็วที่สุด

.......................................................................


Rrrrrrrrr

"สวัสดีครับ"       หยิบโทรศัพท์ทั้งที่ไม่ได้ลืมตามอง ใครโทรมาให้ต้องรับแต่เช้า ผมเกลียดประสาทสัมผัสอันแสนดีเกินไปของผมจริงๆ สงสัยคราวหน้าต้องปิดทั้งสั่นไปด้วย

"แมท หลินเองค่ะ"

"ครับ ว่าไงหลิน"

"ยังไม่ตื่นเหรอคะ"

"เอ่อ เพิ่งตื่นครับ"      ใจจริงอยากจะสร้างภาพ แต่เสียงพูดผมมันคงฟ้องไปหมดแล้ว

"ทายสิว่าหลินอยู่ไหน"      ง่วงจะตายอยู่แล้ว มันใช่เวลาเล่นซ่อนหาไหม

"ไม่รู้สิ อยู่บ้านมั้ง เช้าขนาดนี้"        นั่นไง การกระทำแม่งสวนทางกับความคิดเสมอแหละครับ

"ผิดค่ะ ทายใหม่สิ อิอิ"        สนุกเข้าไป ถามผมสักคำหรือยังว่าจะเล่นด้วยไหม เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เกือบตีสอง เพราะกว่าจะกลับมาถึงบ้านก็เที่ยงคืนกว่าแล้ว นี่เล่นโทรมาปลุกกันตั้งแต่ 7 โมงเช้า มันสมควรแล้วเหรอ

"เราไม่รู้จริงๆหลิน โทษที"

"หลินอยู่หน้าบ้านแมท ซื้ออาหารเช้ามาเยอะแยะเลย ออกมาเปิดประตูสิ"        หนักกว่าการรับโทรศัพท์คือการเผชิญหน้า แล้วข้างล่างไม่มีใครอยู่หรือไง ทำไมถึงไม่กดออดนะ

"แม่เราไม่ได้อยู่ข้างล่างเหรอ"

"ไม่รู้สิ เราไม่กล้าเรียก กลัวจะรบกวน เลยโทรหาแมทก่อน"        แล้วการแวะมาตั้งแต่เช้าขนาดนี้โดยไม่นัดล่วงหน้า ยังไงมันก็คือการรบกวนอยู่ดีไม่ใช่เหรอ

"อืม รอแป๊บนึงนะ เดี๋ยวเราลงไป"        แต่ในเมื่อมาแล้ว ผมก็คงเลี่ยงไม่ได้ เลยรีบล้างหน้าแปรงฟันลวกๆ

"เฮ้ หวัดดีหลิน"        รอยยิ้มกว้างๆที่ผมเห็นคงทำให้รู้สึกดีกว่านี้ถ้าไม่รู้สึกง่วง

"หลินรบกวนแน่ๆเลย ดูท่าทางแมทจะเพิ่งตื่น"        ผมทำแค่ยิ้มแล้วเลื่อนเปิดประตูรั้วให้หลินที่ดูแปลกตากว่าเมื่อคืนไปมากเดินเข้ามาในบ้าน

"คุณน้าอยู่ในบ้านเหรอแมท"

"บ้านเงียบจัง"

"แมท แมทค่ะ"

"หะ เอ่อ ครับ หลินว่าไงนะ เราไม่ทันฟัง"       ไอ้ตอนยืนอยู่หน้ารั้วมันก็ยังไม่ได้รู้สึกอะไรหรอก แต่พอขยับตัวเดินเท่านั้นแหละ ใครจะไปคิดว่ากระโปรงเหนือเข่าที่ดูไม่ได้สั้นมากนักแต่พอเดินบนรองเท้าส้นสูงมันก็ถลกขึ้นกว่าเดิมแล้วพอเดินผ่านตัวผมไป เสื้อที่ดูว่าแขนยาวด้านหน้ากลับไม่มีแม้แต่เส้นด้ายด้านหลัง เว้าจนเกือบจะถึงเอวอยู่แล้ว หลินเอี้ยวตัวทีผมก็ลุ้นทีว่ามันจะเปิดไปถึงด้านหน้าหรือเปล่า แล้วนี่มันก็ยังเช้าอยู่มาก เห็นอย่างนี้ผมเรียงลำดับความสำคัญไม่ถูกจริงๆว่าทิ้งหลินไว้ตรงนี้แล้วรีบไปจัดการตัวเองหรือสงบอารมณ์บ้าๆนั่นซะแล้วพาหลินเข้าบ้าน

"หลินถามว่าคุณน้าอยู่ในบ้านเหรอ"        และพอได้ยินเสียงหลิน สิ่งที่ผมต้องทำคืออย่างหลังสินะ

"ไม่เห็นนะ ออกไปตลาดมั้ง"        แปลกปกติผมตื่นก็จะเห็นแม่อยู่ในครัวไม่ก็สวนหลังบ้าน แต่วันนี้บ้านเงียบจริงๆ

"พี่สาวแมทหล่ะ"        รายนั้นยิ่งไม่ต้องถามถึง

"คงยังไม่ตื่น อ่ะน้ำ หลินนั่งก่อนนะ ดูทีวีก่อนก็ได้ เราขอตัวไปอาบน้ำ 15 นาที"     ผมวางแก้วน้ำเปล่าให้หลินบนโต๊ะในห้องรับแขกก่อนจะพาตัวเองขึ้นไปบนห้องเพื่ออาบน้ำ

           ผมใช้เวลานานกว่าที่บอกหลินเอาไว้ ไม่ได้อยากให้รอแต่มันสุดวิสัยจริงๆ ผมเพิ่งกลับมากระเป๋าก็ยังรื้อไม่เสร็จ ห้องก็ยังรกๆ ทำให้ต้องกระโดดไปมาเพื่อหยิบนู่นวางนี่ ยิ่งบวกกับความเรียบร้อยขั้นติดลบของผมเข้าไปด้วยแล้วยิ่งเลวร้ายเข้าไปอีก

"ไปนั่งเถอะลูก เดี๋ยวแม่จัดการเอง"

 "ให้หลินช่วยเถอะค่ะแม่ นั่งเฉยๆเบื่อแย่"       ผมได้ยินเสียงแม่กับหลินคุยกันระหว่างลงบันได อะไรวะ เมื่อคืนยังเป็นคุณน้าอยู่เลย ตื่นเช้ามาเป็นแม่หลินไปซะแล้ว

"ทำอะไรกันอยู่ครับสาวๆ"        เดินมาถึงในครัวก็เห็นแม่กับหลินช่วยกันแกะถุงข้าวต้มจัดโต๊ะอาหารกันอยู่

"แมทมาๆ มากินข้าวต้มกัน หลินซื้อมาหลายถุงเลย มีที่แมทชอบด้วยนะ"        เดินไปเอามือคนข้าวต้มที่อยู่ในถ้วย ข้าวต้มกระดูกหมูคงเป็นเจ้าดังประจำจังหวัดและมันก็เป็นร้านประจำผมด้วยผมจำได้

"ขอบคุณนะหลิน"        ผมพูดแค่นั้นก่อนจะหันไปถามแม่

"พี่มัทหล่ะครับแม่"

 "ยังไม่ตื่นเลย แม่ยังไม่เห็นลงมานะ เรามากินก่อนเถอะ จะได้พาน้องหลินไปซื้อของที่ร้านเบเกอรี่"        ผมขมวดคิ้วมองหน้าแม่สลับกับหลินทันที

"ไม่ต้องทำหน้างง วันนี้แม่ไม่เข้าร้าน น้องหลินแวะมาพอดี แม่เลยว่าจะสอนทำขนมให้ แมทก็อยู่จะได้ช่วยกันชิม"        ถ้าเป็นอย่างนี้แพลนผมที่พังตั้งแต่เช้าก็คงต้องพังไปทั้งวันแน่ๆ

"ครับแม่"

.......................................................................


          จากที่ตั้งใจว่าจะนอนตื่นสาย แล้วค่อยลุกมารื้อกระเป๋าเอาเสื้อผ้าไปซัก หลังจากนั้นจะได้วางโครงเรื่อง เป็นอันว่าแผนทั้งหมดต้องพับ แล้วมานั่งรอหลินไปเลือกซื้อของเพื่อทำขนมอยู่ที่ร้านกาแฟข้างๆร้านขายอุปกรณ์เบเกอรี่แทน

"ชาเขียวเย็น 1 ที่ครับ"        สั่งเครื่องดื่มก่อนจะหาที่เหมาะๆเพื่อนั่งรอ ไม่รู้ว่าต้องรอนานแค่ไหน เดาว่าคงไม่เร็วอย่างที่อยากให้เป็นแน่นอน เพราะเมื่อได้อยู่กับสิ่งที่ตัวเองชอบคงใช้เวลาอยู่กับมันได้นานจนลืมเวลา ยังดีที่มีร้านกาแฟข้างๆและโชคดีที่ร้านนี้มีแอร์ นี่ยังเป็นอีกเรื่องที่ผมโคตรจะไม่เข้าใจพี่เชน อาจจะเพราะผมไม่ชอบการรอคอย ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพี่เชนถึงรอผมได้ตั้งหลายชั่วโมง ขนาดตัวผมเองที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องรอนานแค่ไหน แต่แค่เริ่มต้นรอผมก็เบื่อแล้ว

"ชำระเงินที่เคานเตอร์แล้วรบกวนคุณลูกค้านั่งรอสักครู่นะคะ"        พยักหน้าตอบรับแล้วมาจ่ายเงินก่อนเลือกที่นั่งที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว เอาเงินทอนยัดใส่กระเป๋าก็เหลือบไปเห็นกระดาษโน้ตใบเล็กที่ถูกยัดไว้อย่างลวกๆ ผมหยิบออกมาดูก็เห็นอีเมล์ที่ถูกเขียนด้วยลายมือ พยายามคลี่ออกก็พบว่าเมล์ถูกเขียนมาไม่ครบ ครั้งแรกที่เห็นผมอาจจะมองแค่ผ่านๆเลยไม่ได้ใส่ใจ คิดในใจว่าจะบอกทำไมวะถ้าจะไม่เขียนให้ครบ เมล์นี้ดอทอะไรไม่ทราบได้เพราะมีให้มาแค่นั้น พอเห็นอย่างนี้ผมเลยพับเก็บเข้ากระเป๋าตามเดิม แล้วหันมาใส่ใจแก้วชาเขียวที่พนักงานเพิ่งมาเสิร์ฟ

          ผมต้องคอยบอกตัวเองให้พยายามเบี่ยงเบนความคิดเพื่อไปนึกถึงเรื่องอื่นแทน แต่พอก้มลงดูดชาเขียวจากแก้วความคิดผมก็ต้องวกกลับมาเรื่องเดิมอีกครั้งเพราะชาเขียวแก้วนี้เป็นต้นเหตุ ผมรีบลุกไปหานิตยสารใกล้ๆแถวนั้นโดยเลี่ยงที่จะหยิบพวกหัวท่องเที่ยวมาหยิบพวกนิตยสารแฟชั่นแทน หน้าแรกที่เปิดกลับเจอคอลัมน์วางแผนท่องเที่ยววันหยุดยาวซะงั้น หันกลับไปวางนิตยสารเข้าที่เดิมแล้วเลือกที่จะนั่งรอเฉยๆท่าดีกว่า แต่ผมคงลืมไปว่าการนั่งเฉยๆนี่แหละจะทำให้คนเราคิดฟุ้งซ่านได้มากที่สุด สิบนาทีที่นั่งเฉยๆผมไม่สามารถเอาพี่เชนออกไปจากความคิดได้เลย ยิ่งพยายามก็คงยิ่งจะวนเวียนอยู่ในความคิดผมแบบนี้ไปเรื่อยๆแน่ๆ ผมเลยตัดสินใจลุกเดินออกจากร้านเพื่อไปหาหลินที่ร้านข้างๆแทน

          ในร้านมีอุปกรณ์และส่วนผสมแขวนและวางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด บางชิ้นผมเองก็เคยเห็นผ่านตามาบ้าง แต่บางชิ้นถ้าให้ผมเอามันไปใช้คงผิดวัตถุประสงค์ของการใช้งานเป็นแน่ อย่างที่ตีไข่ทุกวันนี้ผมยังไม่เข้าใจนะเวลาที่แม่ฝากให้มาซื้อ ทำไมต้องมีหลายขนาด หลายแฉก แต่ละแฉกแต่ละเส้นคงมีหน้าที่ในการทำงานของมันที่ผมไม่เข้าใจ ถ้าคนชอบทำอาหารมาเดินอยู่ในนี้คงจะเพลินไม่ต่างกับเวลาที่ผมอยู่ในร้านหนังสือ ระหว่างที่เดินมองของในร้านเพลินๆผมก็เห็นด้านหลังของหลินเข้าพอดี ขนาดมองแค่ด้านหลังหลินยังเป็นคนสวยเลย ผมคิดไม่ตกจริงๆว่าทำไมถึงเป็นวินแทนที่จะเป็นหลิน อย่างที่มินอธิบายเมื่อวานก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจ แต่มันก็ยังมีข้อสงสัยอยู่ดี  จนผมเองก็ไม่รู้ว่าเพราะหลินรักวินมากจนยอมยกมินให้กับวิน หรือเป็นหลินเองที่หมดรักต่อมินแล้ว เพียงแต่ยังทำใจไม่ได้ถ้าคนใหม่จะอยู่ใกล้ตัวขนาดนี้ ความสงสัยของผมไม่ได้เป็นไปในแง่มุมที่ดีนัก สำหรับผมเรื่องนี้ถ้าจะมีคนผิดคงเป็นไอ้มินที่เลือกจะทำตามความรู้สึกของตัวเองมากจนไม่มองความเหมาะสมหรือรู้สึกของหลิน แต่ก็อีกนั่นแหละ ผมเป็นแค่คนนอก คนส่วนใหญ่วิพากย์วิจารณ์คนอื่นโดยมักจะใส่ความรู้สึกส่วนตัวเข้าไปด้วยเสมอ มันเลยกลายเป็นเรื่องใหญ่ คงไม่มีใครรู้ดีเท่าทั้งสามคนนั้น

.......................................................................



ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0


"แมท อยากได้อะไรเพิ่มเหรอ"

"เปล่าๆ เราเบื่อๆหน่ะ เลยเดินมาดูว่าหลินมีอะไรให้เราช่วยรึเปล่า"

"ไม่มีๆจ้ะ หลินเสร็จพอดี ลงไปจ่ายเงินด้านล่างแล้วกลับกันเลยเนอะ"       ผมพยักหน้าแล้วเดินตามหลินไป ถึงไม่นานอย่างคิดไว้แต่ก็ทำให้ผมไม่อยากตามใครมาร้านขายของจำพวกนี้ไปอีกนาน

"เราแวะทานอะไรกันก่อนไหม แมทหิวรึเปล่า"

"นิดหน่อย แต่เราว่าซื้อเข้าไปกินที่บ้านดีกว่า"

"กินที่ร้านสิ ร้อนๆอร่อยกว่านะ"

"พี่มัทกับแม่จะได้ทานด้วยกัน เราเลยอยากซื้อกลับไปกินที่บ้านมากกว่า"

"ก็ค่อยซื้อไปฝากแม่กับพี่มัทก็ได้นี่ หลินมีร้านอาหารญี่ปุ่นเปิดใหม่อยากให้แมทลอง"

"เราเพิ่งกลับมาจากฮ่องกงเมื่อวาน ไม่ได้กินข้าวกับแม่หลายวันแล้ว เราเลยอยากกินข้าวที่บ้านพร้อมแม่เราอ่ะหลิน"       ผมหวังว่าประโยคนี้จะทำให้หลินยอมซื้อกลับไปกินที่บ้าน

"แค่มื้อเดียวเองนะคะแมท อาหารญี่ปุ่นซื้อกลับบ้านมันก็ไม่อร่อยเหมือนทานที่ร้านนะ"       แล้วทำไมถึงไม่เลือกทานอย่างอื่นที่มันกลับไปกินที่บ้านได้ก็ไม่รู้

"งั้นก็กินอย่างอื่นที่กินที่บ้านก็อร่อยดีไหมหลิน"       ผมแค่อยากกินข้าวกับแม่ กินอาหารชาติไหนก็ได้ แค่มีแม่กินพร้อมผม

"เถอะนะคะ เชื่อหลิน แล้วแมทจะติดใจร้านนี้ ไปค่ะ หลินขับให้นะ จะได้ไม่ต้องคอยบอกทาง"       คำพูดของหลินติดไปทางอ้อนๆแต่ฟังแล้วเด็ดขาด แถมยังไม่เว้นช่องให้ผมแม้แค่พยักหน้าหรือส่ายหัวเลยด้วยซ้ำ มัดมือชกกันชัดๆ ผมเลยทำได้แค่เดินตามไปขึ้นรถ

"สั่งเมนไทโกะสำหรับสองที่นะคะ คุตชิคัตสึไม่เอาหมู 1 ที่ แล้วก็โมโตยากิ 1 ที่อ้อ! น้องคะอันนี้ด้วยค่ะ เทอริยากิเซ็ต 1 ที่ด้วยค่ะแต่รบกวนแยกซอสนะคะ พี่อยากมาราดเองมากกว่า ขอบคุณค่ะ"       มาถึงร้าน หลินก็สั่งๆๆไม่แม้แต่จะเงยหน้าถามผมด้วยซ้ำว่าจะกินอะไร แต่ละเมนูก็ฟังไม่รู้เรื่องสักอย่าง คุ้นๆแค่ไอ้เทอริยากิเพราะมันคือรสชาติขนมมันฝรั่งทอดกรอบที่พี่มัทชอบสั่งให้ซื้อก็แค่นั้น

"แมทอยากทานอะไรเพิ่มไหมค่ะ"       พยายามก้มดูเมนูที่อ่านแล้วไม่เข้าใจเพราะมันเป็นชื่อญี่ปุ่นทั้งหมดแถมไม่มีคำอธิบายว่าอะไรเป็นอะไร ราคาแต่ละจานก็แพงบรรลัย ราคาจานที่ถูกที่สุดนี่ราคาเป็นสองเท่าของไก่ทอดซอสมะนาวของโปรดผมในร้านพี่มัทซะอีก

"เอ๊ะ เราลืมสั่งอะไรนะ เครื่องดื่มใช่ไหมคะน้อง พี่ยังไม่สั่งใช่ไหม"       อะไรกัน ผมยังไม่ทันได้ตอบเลย

"ยังค่ะ"

"งั้นรับเป็นชาเขียวร้อนสำหรับสองที่เลยค่ะ แมทโอเคไหมคะ"       ถ้าผมไม่โอเคแล้วหลินจะเปลี่ยนรึเปล่า ได้แต่คิดไม่พูดออกไปทำได้แค่พยักหน้า

"หลินรับรองได้เลยว่าแมทต้องชอบอาหารทุกจานที่หลินสั่งมา"       จะไปชอบได้ยังไงในเมื่อแต่ละจานที่หลินสั่งมามันไม่ใช่อาหารที่ผมชอบเลยสักนิด ไม่รู้จักเลยสักอย่าง ผมเองก็ไม่ใช่ผู้ชายเรื่องมากนะ แต่แค่สักคำถามว่าผมชอบอะไรก็ยังดี ไม่เห็นเหมือนพี่เชนเลย เฮ้อ... อีกแล้ว เมื่อไหร่ผมจะเอาเขาออกไปจากความคิดได้สักที

"เป็นอะไรแมท วันนี้หลินได้ยินแมทถอนหายใจมาหลายครั้งแล้วนะคะ"

"คิดอะไรเรื่อยเปื่อยหน่ะหลิน"     ดีที่ชาเขียวมาเสิร์ฟ ทำให้ไม่ต้องอธิบายมากไปกว่านี้

"ชาเขียวร้อน ดีต่อสุขภาพมากเลยนะแมท"       จากนั้นหลินก็พล่ามยาว อะไรเป็นอะไรบ้างก็ไม่ได้ตั้งใจฟัง เพราะกำลังพยายามทำให้ไอ้ชาเขียวที่ร้อนกลายเป็นเย็น การที่ผมชอบชาเขียว ก็ไม่ได้แปลว่าจะเป็นแบบไหนก็ได้นะ ถ้ามันเป็นร้อนคงทรมานที่จะดื่มเกินไป แล้วผมก็คิดขึ้นมาได้อีกว่าพี่เชนจะรู้สึกแบบเดียวกับผมไหมตอนที่ผมซื้อชาเขียวมาให้ ตอนนี้ผมเรียนรู้แล้วว่า การเลือกสิ่งที่ตัวเองชอบให้คนอื่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะชอบด้วยและอาจจะทำให้เขารู้สึกอึดอัดโดยไม่รู้ตัวเพราะไม่ได้ชื่นชอบในแบบเดียวกัน

          สักพักอาหารแปลกตาแต่ก็ดูท่าทางน่ากินทยอยมาเสิร์ฟ มีซอสและเครื่องเคียงเยอะแยะเต็มโต๊ะไปหมด อาหารญี่ปุ่นผมกินเป็นแค่พวกราเมนตามร้านในห้างจานละร้อยกว่าๆก็ถือว่าหรูแล้วนะ อ้อ! มาม่าอีกอย่าง นับว่าเป็นอาหารญี่ปุ่นได้ไหม ส่วนพวกประเภทจัดจานมาหรูหราแบบนี้ผมไม่สันทัดจริงๆ แล้วจานหนึ่งมีแค่ไม่กี่ชิ้นจะไปอิ่มได้ยังไง จะใส่มาให้เยอะกว่านี้ก็ไม่ได้นะ ว่าทำไมหลินถึงสั่งหลายอย่าง แล้วราคานี่คงจะแพงเพราะเครื่องเคียงละมั้ง เยอะกว่าจานหลักซะอีก

"แมทลองนี่นะ หลินชอบมากเลย"       หลินตักก้อนส้มๆที่เหมือนจะเป็นปลาแต่ก็ไม่น่าใช่ พร้อมกับข้าวที่ถูกปั้นมา 1 ก้อนวางบนจานผม

"มันคืออะไรอ่ะหลิน"       เงยหน้าขึ้นถามหลังจากพิจารณารูปร่างและดมกลิ่นแล้ว

"เมนไทโกะค่ะ เป็นไข่ปลาหมักกับพริกแล้วก็ซอสโชยุ จานโปรดหลินเลย แมทลองทานดู"       ผมตักไอ้ก้อนเหลืองๆส้มๆพร้อมข้าวเข้าปาก บอกตามตรงวินาทีนั้นแทบอยากจะอ้วก รสนิยมผมอาจไม่ถึงหรือเพราะมันไม่ใช่อาหารที่คุ้นเคย ทุกจานไม่ถูกปากผมเลยสักนิดรวมถึงไอ้ก้อนที่อยู่ในปากผมนี่ด้วย มันช่างเป็นมื้ออาหารที่ฝืนใจผมแทบจะทุกอย่าง ไม่เคยกินข้าวแล้วรู้สึกอยากให้เวลาผ่านไปเร็วกว่านี้เลยสักครั้ง เวลาสองชั่วโมงสำหรับมื้อนี้มันนานเหลือเกิน  สิ่งเดียวที่ผมคิดตอนนี้คือผมกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าคนที่ผมเคยหวังจะได้นั่งทานข้าวด้วยกันผมควรจะมีความสุขแต่ผมกลับมีอีกคนอยู่ในใจอยู่ตลอดเวลา มันไม่ใช่ภาวะที่จะเรียกได้ว่าปกติ และความรู้สึกที่ผมมีต่อหลินคงเรียกว่าเคยรู้สึกได้อย่างเต็มปากแล้วจริงๆ

"เดี๋ยวเราจ่ายเองนะหลิน"        ผมอาสาจ่ายหลังมื้ออาหารจบลง

"ไม่ๆแมท หลินพามาให้หลินจ่ายเถอะ แถมแมทยังมาช่วยหลินซื้อของอีก ยังต้องรบกวนอีกเยอะเลย"        อีกเยอะเลยเหรอ ผมคิดในใจและไม่ได้ตอบอะไรออกไป เลือกที่จะเดินจากโต๊ะไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์แทน

"นี่ถ้ามีเวลาเยอะกว่านี้นะ หลินจะพาไปทานขนมหวานร้านอร่อย"        ห๊ะ...! ยังมีอีกเหรอ

"แมทต้องชอบแน่ๆ"        ไม่ชอบแน่ๆ ดูท่าทางแล้วรสชาติอาหารที่ชอบของเราทั้งคู่จะไม่ตรงกันเท่าไหร่

"หลินไม่ต้องไปทำงานเหรอวันนี้"

"วันนี้วันเสาร์นะแมท"

"อ้อ จริงสิ"

"ถึงกับหลงลืมวันเลยเหรอคะ"

"เหอะๆ เราไม่ค่อยได้สนใจวันเท่าไหร่หรอก"

"แมททำงานอะไรอยู่เหรอคะ"

"เราเป็นนักเขียนอิสระ ทำงานอยู่กับบ้านหน่ะ"

"ดีจัง ได้มีเวลาอยู่กับตัวเองเยอะๆ"

"เยอะจนบางทีก็น่าเบื่อนะ เพราะมันอิสระเกินไป"

"แมทว่างบ่อยๆก็ดีแล้วค่ะ หลินจะได้มีเพื่อน ไว้หลินจะมาชวนไปไหนมาไหนบ่อยๆนะ"       วินาทีนี้ผมควรจะดีใจสิแต่ทำไมผมกลับไม่รู้สึกอย่างนั้นเลยสักนิด

"ไปไหนมา หิวข้าวอ่ะ พาไปกินข้าวหน่อยสิ"       ทันทีที่ลงจากรถก็เห็นยัยแว่นหน้าเปียกๆยืนหารองเท้าอยู่หน้าบ้าน

"เพิ่งตื่นเหรอ แม่หล่ะ"

"อืม เพิ่งตื่น แม่ไปคุยกับป้าข้างบ้านเนี่ย"

"คุยทำไมอ่ะ ในบ้านไม่มีข้าวเหรอ"

"เห็นว่าเขาจะไปอยู่กับลูกที่กรุงเทพฯ ปล่อยขายได้ก็จะขาย ขายไม่ได้ก็ให้เช่า เลยฝากแม่ดูให้ เผื่อคนที่มาอยู่ใหม่จะได้ถูกใจเรา"       ผมพยักหน้ารับรู้ บ้านข้างๆนี่ไม่มีใครอยู่ได้นานจริงๆ เท่าที่รู้มากสุดก็สองเดือน จนสุดท้ายเจ้าของต้องมาอยู่เอง แต่จนแล้วจนรอดก็อยู่ไม่ได้

"ในบ้านมีแต่ข้าวต้ม มัทไม่ชอบ แล้วนี่ใครอ่ะ"       ชี้มาทางหลินที่ยืนอยู่ข้างผม หน้าหลินก็ดูงงๆไม่ต่างจากพี่มัท เป็นใครก็ต้องตกใจกับสภาพนี้ของพี่มัทกันทั้งนั้นแหละ

"นี่หลิน เพื่อนแมทเอง หลิน นี่พี่มัทพี่สาวเรา"       ช่างเป็นการทักทายที่ดูเจื่อนๆปนความอึดอัดมากไปนะผมว่า เพราะต่างฝ่ายต่างทำแค่ยิ้มให้กัน

"มีอาหารญี่ปุ่น กินได้ไหม"

"ไปกินมาเหรอ แกไม่ชอบพวกนี้นี่ แต่ก็ดีละ เพราะมัทชอบ ไปๆเข้าบ้าน อยู่ข้างนอกมันร้อน"

"นี่ใช่หลินที่เรียนพิเศษที่เดียวกับแมทตอนม.ปลายป่ะ"

"ใช่ค่ะ พี่จำหลินได้ด้วยเหรอค่ะ"

"จำได้สิ ก็ตอนพี่ไปรอแมท เคยเห็นผู้ชายทะเลาะกันเรื่องเธอด้วย เลยจำได้"

"เอ่อ คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดละมั้งคะ"

"ไม่นะไม่ เต็มสองตาเลย พวกเขาสองคนตะโกนบอก หลินเลือกสิ เลือกเลย อย่างงี้อ่ะ แล้วพอกลับมาบ้านไอ้น้องชายตัวดีของพี่กินข้าวกินปลาไม่ค่อยลงไปหลายวัน เพราะมันบอกอกหัก เป็นแบบนี้หลังจากที่มันยืนมองเหตุการณ์ตอนนั้น พี่เลยเดาว่ามันคงอกหักเพราะเธอ นี่คือสาเหตุที่พี่จำเธอได้แม่นเลยหล่ะ"

"ที่เรื่องอย่างนี้หล่ะจำได้เป็นฉากๆเลยนะ"       เรื่องบางเรื่องในอดีตผมก็ไม่ได้อยากให้ใครมารื้อฟื้นมันหรอกนะ แต่ก็ต้องขอบคุณหลินนะ เพราะความเจ็บปวดจากการที่หลินเคยปฏิเสธมันทำให้ผมเข้าใจความรักได้มากขึ้น

.......................................................................


"อย่าบอกนะว่าคบกันอยู่"       พี่มัทถามขึ้นมาระหว่างหลินขอตัวไปเข้าห้องน้ำ

"เปล่า"       

"เก็บไว้หลอกเด็กเถอะแมท ฉันพี่แกนะ"       พี่มัทยกนิ้วชี้ที่หน้าผมก่อนจะชี้ไปที่ตัวเองเพื่อยืนยันคำพูด

"งั้นเราคงเป็นพี่น้องที่ไม่สนิทกันเอามากๆเลยละมั้ง พี่มัทถึงดูไม่ออกว่าแมทไม่ได้รู้สึกอะไรกับหลินแล้วจริง"

"แต่แกเคยชอบเขามากๆเลยนี่หน่า ตอนนี้มีโอกาสทำไมไม่คว้าเอาไว้หล่ะ หรือตอนนี้เขามีเจ้าของไปแล้ว"

"นั่นมันเมื่อก่อน ถึงตอนนี้เขาไม่ได้มีใครแล้วก็จริง แต่ความรู้สึกแมทคงเปลี่ยนไปแล้ว"       ผมไม่รู้สึกอยากไขว่ขว้า อยากเดินตามไม่ว่าหลินจะรู้ตัวหรือไม่อย่างเมื่อก่อนอีกแล้ว

"แต่ท่าทางเขาดูชอบแกนะ"       พี่แกไปเห็นท่าทางนั้นตอนไหน แค่ไม่กี่นาทีที่เจอกันมันบอกได้ขนาดนั้นเลย

"ไหนเมื่อก่อนบอกไม่ชอบเขา"       พี่มัทเคยไม่ชอบหลินมากๆ แต่ไม่เคยบอกเหตุผล พูดแค่เพียงว่าไม่ถูกชะตา แต่วันนี้กลับมาสนับสนุนกันซะอย่างนั้น

"ฉันโตแล้วนะ ถ้าน้องมีความสุขฉันก็โอเคทั้งนั้นแหละ ต่อให้เป็นโอ้ตฉันยังโอเคเลย"

"จริงอ่ะ งั้นไปบอกไอ้โอ้ตดีกว่า จะไปบอกมันว่าพี่มัทอนุญาตให้เราสองคนคบกันแล้ว"

"เฮ้ยๆ เดี๋ยว นี่พวกแกจริงจัง"       ระหว่างที่ผมยังไม่ทันได้ตอบหลินก็ออกจากห้องน้ำและกำลังเดินมาทางโต๊ะอาหาร เป็นโอกาสดีที่ผมจะเปลี่ยนเรื่องคุย

"หลินมานั่งก่อน เดี๋ยวเราไปตามแม่ให้"

"ไม่เป็นไรค่ะแมท หลินว่าหลินจะกลับแล้ว วันนี้ตั้งใจแค่จะซื้อส่วนผสมอย่างเดียว"       ว่าทำไมถึงดูไม่รีบซื้อรีบกลับมาทำ

"อ่อ ครับ ให้เราไปส่งนะ"

"จริงๆอยากให้เป็นอย่างนั้นมากเลยค่ะ แต่พอดีหลินมีนัดกับเพื่อนแถวนี้ ไว้คราวหน้านะคะ"       ผมพยักหน้ารับไป       "หลินไปก่อนนะคะพี่มัท สวัสดีค่ะ"       

ผมทำท่าจะเดินออกไปส่งหลินที่ประตูหน้าบ้าน       "ไม่เป็นไรค่ะแมท แค่นี้เอง แมทนั่งคุยกับพี่มัทต่อเถอะ ไปก่อนนะคะ ไปก่อนค่ะพี่มัท"       แล้วหลินก็รีบเดินออกจากบ้านไป

"แมทไปส่งหลินหน่อยนะคะ นะคะ นะนะนะนะนะ คราวหน้าต้องเป็นแบบนี้แน่เลยแก เห็นไหมบอกแล้วว่าเขาชอบแก"       พี่มัทพูดด้วยเสียงล้อๆ

"อย่าเล่นหน่าพี่มัท"       ผมส่ายหน้าก่อนจะลุกเดินออกจากโต๊ะเพื่อขึ้นไปบนห้อง

"มันมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นแหละที่แกจะไม่สนใจหลิน คือแกมีใครในใจอยู่แล้ว ยอมรับความจริงซะนะคะน้องรัก ฮ่าๆๆๆ"       พี่มัทตะโกนไล่หลังมาพร้อมเสียงหัวเราะอย่าสะใจ ผมไม่รู้และไม่แน่ใจในสิ่งที่พี่มัทพูดหรอก แต่ผมไม่มีหลินอยู่ในใจแล้วจริงๆ นั่นแหละที่ผมแน่ใจ

.......................................................................



❤ ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^^*
❤ขอโทษที่มาช้ามากๆๆๆๆๆๆ
❤สารภาพผิด ติดแพลนทริปไปเที่ยวบวกงานประจำอันยุ่งเหยิง แต่วันนี้จะเดินทางเลยแว่บมาลงไว้ก่อน อันนี้เรียกว่าสารภาพผิดได้มั้ยคะ หรือแก้ตัว 555
❤ขอบคุณ คุณ snowboxs มากเลยค่ะที่ติดตามมาตลอด ซาบซึ้งอย่างจริงจัง เข้ามาอ่านคอนเม้นท์แล้วรู้สึกผิด แหะๆ
❤กลับมาจากเที่ยวเมื่อไหร่ จะไม่เกเรอีกแล้วนะคะ
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยน้า ขอบคุณค๊า




 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด