แจ้งข่าวค่ะ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: แจ้งข่าวค่ะ  (อ่าน 53756 ครั้ง)

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
ขนาดจีบอย่างไม่เป็นทางการ
ยังน่ารัก น่าเขินขนาดนี้เลยอ่ะ
ถ้าจีบอย่างเป็นทางการ รับรองเลยว่า
นิยายเรื่องใหม่ของแมท มดต้องขึ้นแน่ๆ

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
คิดถึงน้องแมทกับพี่เชนแล้วนะคะ

ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ตอนที่ 21


Matt Part


          รอ...รอ รอ นี่ก็ผ่านมาจะ 24 ชั่วโมงแล้วนะ คนจะจีบกันเขาทำกันแบบนี้หรอกเหรอ ไม่มีแม้แต่สายเรียกเข้า เดินไปรดน้ำต้นไม้ตอนเช้าก็ไม่เจอ หรือว่าพี่เชนจะไม่เข้าใจคำว่าจีบ จริงสิ! พี่เชนอาจจะไม่เข้าใจความหมายของคำว่าจีบก็ได้ แต่ว่าถ้าไม่เข้าใจทำไมถึงบอกมาว่าให้อยู่เฉยๆแล้วจะพยายามเข้ามาเองหล่ะ โอ้ย!!! ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวนะ เดินลงไปหาอะไรกินข้างล่างดีกว่า เผื่อจะฟุ้งซ่านน้อยลง

"ถือแต่โทรศัพท์จังเลยนะ รอใครโทรมาอยู่เหรอคะน้อง"       ยังไม่ทันจะได้ก้าวขาลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายก็ได้ยินเสียงแซะแซวจากพี่มัทที่นั่งอยู่ก่อนแล้วที่โต๊ะอาหาร แต่ผมเลือกที่จะไม่สนใจแล้ววางโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะแทน

"โทรศัพท์แมทต้องพังแล้วแน่ๆเลยพี่มัท"       ผมถามขึ้นหลังจากนั่งลงฝั่งตรงข้ามพี่มัท

"เรื่องที่ถามก็ยักไม่ตอบ แล้วรู้ได้ไงว่ามันพัง"       พี่มัทวางแก้วนมลงแล้วมองค้อนผมก่อนจะพยักเพยิดหน้ามาทางไอ้ฮีโร่

"ยังไม่มีใครโทรเข้ามาเลยวันนี้ พังแน่ๆอ่ะ"       ผมบอกพี่มัทก่อนจะยกมันขึ้นมาเคาะลงไปกับโต๊ะสองถึงสามครั้งหวังจะให้มันหายเงียบ

 พี่มัทกลับส่ายหน้าก่อนจะเอามือท้าวคางค้ำไว้กับโต๊ะแล้วบึนปากก่อนจะถามผม       "ตรรกะไหนของแกแมทที่ไม่มีใครโทรมาแล้วจะแปลว่าโทรศัพท์พัง"

"ไม่รู้อ่ะ มันต้องพังแน่ๆ พาไปซื้อเครื่องใหม่หน่อย"       ผมพูดบอกก่อนจะยื่นมันให้กับพี่มัท

"ซื้อสมาร์ทโฟนนะ เอารุ่นใหม่ล่าสุดไปเลย"       พี่มัทบอกหลังจากลองจิ้มๆอยู่สองสามที

"ไม่เอาๆ เอาแบบเดิมนี่แหละ แค่ให้มีสายโทรเข้ามาก็พอ"       ผมต้องการแค่นั้นจริงๆมีออพชั่นแอพชั่นเสริมมากมายไปก็ใช้ไม่เป็นอยู่ดี

"งั้นก็ไม่ต้องแก้ที่โทรศัพท์หรอกแมท มัทว่าแก้ที่คนจะโทรเข้ามาดีกว่า ประสาทจริงน้องฉัน"       พูดจบก็วางไอ้ฮีโร่ลงตรงหน้าผม แล้วลุกเอาแก้วนมไปเก็บที่อ่างล้างจาน

.......................................................................


ในขณะที่ผมกำลังจ้องมองมันอยู่เงียบๆ มันก็แผดร้องเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของการเป็นโทรศัพท์ออกมา

กริ๊งงงง! กริ๊งงงงง!

"ฮัลโหลๆ"       ผมรีบรับทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น

"แมท"       และก็คาดหวังอยู่ลึกๆว่าขอให้เป็นคนที่ผมกำลังคิดถึงทั้งๆที่เขาคนนั้นหายตัวไปทั้งวัน

"ครับ"       ผมตอบรับ

"ทำไมวันนี้พูดเพราะจังวะ"       พูดแบบนี้ไม่ใช่แล้วแหละ

"ไอ้เชี้ยโอ้ต"       โคตรจะผิดหวัง

"นี่คงคิดว่าคนที่รออยู่โทรมาละสิ รีบรับจนไม่ได้ดูเลยด้วยซ้ำ"       พี่มัทพูดแทรกขึ้นมาขณะเดินออกจากห้องครัว และที่พี่มัทพูดก็ถูกต้องทุกอย่าง นี่เลยเป็นสาเหตุที่ผมผิดหวัง

"มึงจะด่ากูทำไมครับเนี่ย"       'ก็เพราะเป็นมึงไง เลยผิดหวังแบบนี้ จะไม่ให้ด่าได้ไง' ทั้งหมดนี้ทำได้แค่คิดในใจ และถึงแม้มันจะทำให้ผมผิดหวัง แต่ถึงยังไงก็ไม่ใช่ความผิดมันอยู่ดี

"เออๆ โทษที นี่มึงโทรหากูยากไหม ต้องโทรหลายครั้งหรือเปล่า"       ผมถามมันเพราะอาจจะเพราะสัญญาณไม่ดีพี่เชนอาจจะติดต่อผมยาก

"ไม่นะ นี่ครั้งเดียว ติดเลย"

"งั้นโทรศัพท์กูก็ไม่ได้เสียหน่ะสิ"       แล้วทำไมพี่มันถึงปล่อยผมไว้เฉยๆแบบนี้วะ ไม่แม้แต่โทรมา อยู่ใกลล้กันแค่นี้ด้วย

"ถ้าเสียแล้วกูจะโทรติดได้ไงวะ โชว์โง่อีกละ"       เออ! พูดบ่อยเหลือเกินนะ เรื่องโง่เนี่ย

"แล้วตกลงมึงโทรมาทำไม"

"พอดีกูจะไปคุยกับเอเย่นต์ที่เช่าจอดเรือ แล้วก็กะว่าจะไปลองเครื่องเรือด้วย เผื่อมึงอยากไปเลยโทรมาชวน"

"ก็อยากไป"

"เออดี งั้นเดี๋ยวกูไปรับ ชวนพี่เชนด้วยนะ จะได้ถือโอกาสพาไปเที่ยวเลย"       จะชวนไปทำไม วันนี้ทั้งวันยังไม่ได้เจอหน้ากันเลย

"กูคงไปคนเดียว"

"อ้าวไมวะ"

"เออน่า มารับกูก่อน"

"โอเคๆ อีก 10 นาทีเจอกัน กูอยู่แถวบ้านมึงพอดี"

ได้ยินว่ามันอยู่แถวนี้ผมเลยรีบไปเปลี่ยนชุดแล้วหยิบของ เพื่อจะได้ไม่ต้องให้มันรอนาน

"จะไปไหนกัน"       พี่มัทถามขณะที่ผมกำลังจะวิ่งขึ้นบันได

"โอ้ตชวนไปดูที่เช่าจอดเรือ"       ต้องหยุดวิ่งก่อนแล้วหันมาตอบพี่มัท

"แล้วคุณเชนหล่ะ"       ถามถึงกันอยู่นั่น ตอนนี้ไปผุดอยู่แถวไหนก็ไม่รู้

"สนใจทำไม ไปหยิบเป๋าตังค์ก่อน ถ้าโอ้ตมาแล้วพี่มัทบอกมันรอแป๊บนะ"       พูดจบก็รีบวิ่งขึ้นบันไดไปที่ห้องตัวเองทันที

.......................................................................


"รอนานยังมึง"       ถามมันทันทีที่ขึ้นรถแล้วรัดเข็มขัดเรียบร้อย

"นิดหน่อย"       ค่อนข้างเป็นคำตอบในแบบที่ผมไม่คิดว่าจะได้รับ ไม่ใช่ว่าจะไม่พอในในคำตอบ เพียงแต่มันไม่เคยตอบแบบนี้มาก่อนไม่ว่าจะรอนานสักแค่ไหน

"โทดทีมึง กูหาโทรศัพท์ไม่เจอ ลืมไปว่าวางไว้ข้างล่างตอนลงมาคุยกับพี่มัท"

"สนใจจะตามหาโทรศัพท์ด้วยเหรอวะเดี๋ยวนี้"       ที่มันถามแบบนี้เพราะก่อนหน้านี้ผมไม่ใช่คนที่สนใจจะพกโทรศัพท์ แต่วันนี้กลับอยากถือมันไว้นั่นก็เพราะว่าเผื่อใครบางคนจะติดต่อมา

"เมื่อก่อนกูก็สนใจนะ"       เลยตอบแย้งแบบแถไปทั้งๆที่รู้ว่าสิ่งที่มันพูดนั้นถูกต้อง

"เหรอ"       คำพูดที่เหมือนจะประชดแต่น้ำเสียงเบาบางซะจนไม่น่าใช่

"เออดิวะ"

.......................................................................


          โอ้ตพาผมมาอีกอำเภอหนึ่งของจังหวัดภูเก็ต เป็นอำเภอที่อยู่ติดกับจังหวัดพังงา ที่ที่มันพาผมไปเป็นที่จอดเรือพวกเรือใบ เรือยอร์ช เรือสำราญส่วนตัวขนาดเล็ก เป็นท่าเรือที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ ถูกแบ่งซอยออกเป็นช่องๆไว้เป็นที่จอดเรือและมีทางให้เดินเป็นไม้ดูแข็งแรงสำหรับเดินไปขึ้นเรือได้ มันพาผมมานั่งที่ศาลาเล็กๆใกล้ๆทางลงไปสะพานเชื่อมกับทางเดินไปลงเรือ

"เช่าแพงไหมวะที่นี่"       ที่ผมถามก็เพราะก่อนหน้านี้มันบอกว่าเรือที่จอดอยู่ทั้งหมดนี้คือต้องมาเช่าที่จอดเอา

"ก็พอประมาณ"

 "แต่เจ๋งหว่ะมีคนมาดูแลคอยล้างเรือให้เราด้วย ฟูลเซอร์วิสมาก"       ผมเห็นบางลำมีคนที่ดูท่าทางน่าจะเป็นชาวบ้านแถวนี้กำลังล้างทำความสะอาดเรืออยู่

"อืม นี่ใส่แว่นกันแดดเอาไว้ แดดมันแรง  เดี๋ยวปวดตา"       มันพูดพลางถอดแว่นกันแดดยื่นมาให้

"ไม่เอาอ่ะ มึงใส่เหอะ ให้กูแล้วมึงจะใส่อะไร อีกอย่างมันมืด กูไม่ชอบ"       ผมตอบปฏิเสธไป

"อย่าดื้อดิวะ ใส่ไป กูมีอีกอัน"       ไม่รอให้ผมรับ มันกลับเอามาสวมเข้ากับหน้าผมแทน

"นั่งเล่นแถวนี้ไปก่อนนะมึง กูไปเช็คเรือกับสัญญาแป๊บเดียว"       มันพยักหน้าตอบแล้วบอกให้ผมนั่งรอก่อนจะเดินไปยังกลุ่มคนที่ยืนเช็คสภาพเรืออยู่ไม่ไกลมากนัก

"ไปด้วยไม่ได้เหรอวะ ไม่อยากนั่งรอตรงนี้คนเดียวเลยมึง"       มันส่ายหน้า

"ตรงนั้นมันแดดร้อน แค่ 5 นาทีนะ เดี๋ยวกลับมา"       ในความคิดผมมันก็ร้อนเหมือนกันแค่มีหลังคากับไม่มีหลังคาแค่นั้นเอง ถ้าผมไปด้วยอย่างน้อยก็ไม่ต้องยืนอยู่คนเดียว แต่ในเมื่อทำแบบนั้นไม่ได้ผมก็ไม่ควรทำตัววุ่นวายมาก ต้องเข้าใจว่ามันมาทำงาน ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรมากไปกว่านั้นมันก็เดินกลับมา

"ไวจังวะ"       ผมพูดบอกพลางก้มมองนาฬิกา       "5 นาทีจริงๆด้วย"

 "กูกลัวมึงรอนาน"

 "เห้ย! ไม่เป็นไร กูเข้าใจว่ามึงมาทำงาน กูรอได้"       ผมโบกมือเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร

"เสร็จแล้วๆ ไปดูที่เรือกัน"       พูดจบก็เดินนำผมไปที่ท่าเรือ

"เรือพวกนี้มีเจ้าของหมดเลยเหรอวะ"       เรือทุกลำดูหรูหราแม้กระทั่งลำเล็กๆ

"ใช่"

"มีป้ายบอกขายด้วย มึงซื้อสิโอ้ต"

"เอาเงินที่ไหนซื้อวะ ลำนึงนี่เลี้ยงมึงได้สิบชาติ"       ปัจจัยชีวิตผมมีมูลค่าถูกกว่าไอ้เรือนี่อีกเหรอ ทำไมมันโชคดีจังวะ เกิดมาก็มีราคา ดูมีคุณค่าเชียว

"แล้วมึงมาติดต่อที่นี่ไว้ทำอะไร"       ในเมื่อบ้านมันทำธุรกิจสปีดโบ้ทก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับเรือจำพวกนี้นะ

"ก็กูกะจะทำพวก premium tour ให้กับลูกค้าวีไอพีที่เอาเรือมาจอดที่นี่แล้วสนใจจะทัวร์เมืองหรือชายหาดแบบส่วนตัว ผู้จัดการที่นี่เลยให้ลองทำแผนมาเสนอดู เขาจะช่วยเสนอลูกค้าให้"       อย่างนี้นี่เอง

"อ่อ กูก็นึกว่ามึงมาเช่าที่จอดเรือซะอีก"

"นั่นก็ด้วย เฮียกูตั้งใจจะซื้อเรือต่อจากเพื่อนแฟนเขา เลยจะถามเช่าที่จอดแล้วก็ถามเผื่อปล่อยเรือให้เช่าด้วย เพราะกลัวว่าซื้อมาแล้วจะไม่คุ้ม"       นี่แค่ถามเล่นๆนะ เป็นเรื่องจริงซะงั้น ผมรู้นะว่าบ้านนมันครอบคลุมธุรกิจท่องเที่ยว แต่ไม่คิดว่าจะใหญ่โตขนาดนี้ ที่ผ่านมามันมีเวลามาเล่นมาหาผมบ่อยๆได้ไง คงเป็นแค่มันละมั้ง ส่วนคนอื่นคงยุ่งกันหมด

"เฮียคนไหนวะ"       ที่ผมถามก็เพราะพี่ชายของโอ้ตมีหลายคนมาก เท่าที่รู้ญาติๆมันมีลูกชายเยอะกว่าลูกสาว มันเคยเล่าว่าถึงกับขาดแคลนจนขาดทุนกันได้เลยทีเดียวถ้าต้องแต่งออกไป

"เฮียเอยไง ลูกของโกหนาน"

"อ่อโกหนานพี่ชายแป๊ะหนุนป๊ะ"       ผมลองที่จะล้อมัน เพราะวันนี้มันดูนิ่งๆกว่าที่เคย

"เออ แป๊ะหนุนพ่อกูนี่แหละ"       แปลกแฮะ ปกติถ้าเรียกพ่อมันว่าแป๊ะมันจะด่าผมกลับ เพราะมันบอกว่าถ้าเรียกแบบนั้นจะทำให้พ่อมันดูแก่ แต่วันนี้มันกลับไม่เถียง ไม่ด่า ไม่มีแม้แต่น้ำเสียงประชดประชันด้วยซ้ำ

"ทำไมวันนี้มึงแปลกๆวะ"       ผมหันไปมองหน้ามันที่กำลังมองตรงไปข้างหน้า แต่เนื่องจากมันใส่แว่นกันแดด ผมเลยไม่เห็นว่าสายตามันเป็นแบบไหน

"แปลกยังไงวะ"

"ไม่รู้ดิ กูอาจจะคิดไปเองมั้ง ไม่มีอะไรหรอก ไปทางโน้นกันเถอะมึง"       ผมชี้ไปตามทางเดินที่เป็นซอยเล็กๆสำหรับขึ้นเรือที่จอดเรียงรายกันอยู่เพื่อให้มันนำทางผมไป ที่สงสัยนั้นผมคงคิดมากไปเอง เลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องคงดีกว่า

"เอาดิ"

"ที่นี่สวยเนอะ กูไม่เห็นเคยรู้มาก่อนเลยว่ามีที่สวยๆแบบนี้ด้วย อย่างกับในหนังเลยมึง"       เราค่อยๆเดินใกล้เรือขึ้นเรื่อยๆ ที่นี่มีแค่เรือกับเสียงคลื่น ไม่มีความวุ่นวาย เพราะมีแค่คนดูแลเรืออยู่ไม่ถึงสิบคน ผมชอบบรรยากาศแบบนี้นะ มันเงียบ สงบ แต่ก็ไม่ใช่บรรยากาศที่ให้ความรู้สึกว่าอยู่คนเดียว

"กูรู้ว่ามึงชอบไง เลยชวนมา"       ผมยิ้มตอบก่อนจะตบบ่ามันเบาๆ โอ้ตเป็นแบบนี้เสมอ มันรู้ว่าอะไรที่ผมชอบ และมันก็รู้ว่าอะไรเหมาะหรือไม่เหมาะกับผม ยังไม่เคยลองคิดดูเลยสักครั้งว่าหากขาดมันชีวิตผมคงยากขึ้นแน่ๆ

"พี่"       มีเสียงเรียกของเด็กหนุ่มที่กำลังล้างเรืออยู่เอ่ยเรียกมาทางผมกับโอ้ตจนเราทั้งคู่หันมามองหน้ากันก่อนที่โอ้ตจะหันไปมองหน้าเด็กหนุ่มคนนั้นอีกครั้งแล้วชี้มาทางผมให้เด็กคนนั้นส่ายหน้ามันเลยเปลี่ยนมาชี้ตัวเอง

"พี่นั่นแหละ จำผมไม่ได้ละสิ"       โอ้ตส่ายหัวทำให้เด็กคนนั้นวางสายยางแล้วกระโดดลงมายืนตรงทางเดินข้างเรือที่เราสองคนยืนอยู่

"จำไม่ได้ พี่เคยเจอน้องเหรอ มึงรู้จักป่ะแมท"       มันหันมาถาม ผมเลยส่ายหน้าแสดงให้มันรู้ว่าไม่รู้จักเหมือนกัน

"โหพี่ เพิ่งเจอกันไม่นานยังไม่ถึงเดือนเลยนะครับ"

"โทษทีๆจำไม่ได้จริงๆ ไหนลองเล่ามาสิว่าเราไปรู้จักกันได้ยังไง"

 "ก็ที่พี่มาด่าผมตอนอุบัติเหตุตัดหน้ารถเมื่อปลายปีที่แล้วไง"       หน้าโอ้ตยังคงขมวดคิ้วต่อไป ไม่แปลกหรอกที่มันจะงง เรื่องที่เพิ่งผ่านมาเมื่อวานมันยังจำไม่ค่อยจะได้ นี่ผ่านมาตั้งเกือบสามอาทิตย์มันคงลืมไปแล้วแหละ ที่เป็นแบบนี้นั่นก็เพราะมันเป็นคนไม่ค่อยจะใส่ใจเรื่องในอดีตสักเท่าไหร่นั่นเอง

"อ่อๆ นึกออกแล้ว ไอ้เด็กไร้ความรับผิดชอบนี่เอง"       แปลกแฮะ จำได้ด้วย หรือว่ามันโดนตัดหน้าเอง แต่ก็ไม่น่านะถ้ามันโดนเองทำไมผมถึงไม่รู้

"แหมพี่ ผมเลิกแล้วน่า ตั้งแต่มีความรับผิดชอบชีวิตก็ดีขึ้นเยอะเลย"

"เออ ดีขึ้นก็ดีแล้ว มีความรับผิดชอบมันเป็นเรื่องที่ดี แล้วคู่กรณีเป็นไงบ้างหล่ะ หายดีแล้วใช่ไหม"

"หายดีแล้ว ตอนนั้นคุณเขาถามหาพี่ด้วยนะ"

"เขาจะถามหาไปทำไม เวลาแบบนั้น ไม่น่าจำกันได้ด้วยซ้ำ"

"อันนั้นผมก็ไม่รู้หรอกนะ แต่ผมบอกคุณเขาไปว่าผมจำพี่ได้ ถ้าเจออีกทีผมจะพาพี่ไปเจอเลย"

"อย่าดีกว่า แล้วไม่ต้องบอกเขานะว่าเจอ ไปละ โชคดีนะเว้ย"       มันพูดจบก็หันหลังให้กับเด็กคนนั้น ผมเลยต้องรีบเดินตามมันไป

"ขอบคุณนะพี่ที่ไม่ปล่อยผมไป"       น้องตะโกนไล่หลังในขณะที่โอ้ตทำแค่โบกมือให้โดยไม่หันไปมองสักนิด

.......................................................................


          ในขณะเดินมาเรื่อยๆตามทางเดินระหว่างที่จอดเรือ ผมก็คอยมองหน้ามันอยู่ตลอด ในใจก็นึกอยากจะดึงแว่นกันแดดออก จะได้รู้ว่ามันมองอะไรอยู่ถึงไม่รู้ว่าผมกำลังมองด้วยความสงสัย

"อย่าให้กูต้องถาม"       ในเมื่อมันจำได้แต่ไม่ยอมอธิบาย ผมก็ควรเริ่มทำตัวเป็นคนขี้สงสัยได้แล้ว

"กูว่าแล้วว่ามึงต้องอยากรู้ ทำหน้าเป็นหมางงเชียว ฮ่าๆๆๆ"       ท่าทางที่ดูสบายใจของมันจนล้อผมเล่นแบบนั้นต่างจากอารมณ์นิ่งๆของมันก่อนหน้านี้ และเรื่องที่มันคุยกับน้องเขาคงไม่ใช่เรื่องใหญ่นักแต่ผมก็หยุดความอยากรู้ไม่ได้อยู่ดี

"ไอ้สัด เล่ามาเลย"       ผมพูดบอกมันด้วยน้ำเสียงบังคับพร้อมด้วยตบหัวมันเบาๆเพื่อตอกย้ำ

"นี่กูตามใจมึงมากเกินไปป่ะวะ ตบหัวกูซะแรงเลยนะ"       พูดเกินจริงตลอด แค่ผลักเบาๆเองนะ

"อย่าเปลี่ยนเรื่อง เล่ามาเลย"

 "ไอ้น้องคนตะกี้มันขับรถมอเตอร์ไซค์ตัดหน้ารถยนต์คันหนึ่งจนเสียหลัก ตัวมันเองไม่เป็นไรหรอกแค่ถลอกนิดหน่อย แต่คู่กรณีนี่สิหักหลบข้างทางแล้วก็นิ่งไปเลย กูเลยเข้าไปเสือก ตะโกนเรียกน้องมันเอาไว้ไม่ให้หนี บอกให้มันรับผิดชอบก่อน"

 "แค่นั้น"       สรุปมันไม่เกี่ยวสินะ เป็นแค่คนเข้าไปเสือก

"เออ มึงจะเอาแค่ไหน วันหลังอยากได้มากกว่านี้ก็บอกแต่แรก กูจะได้แต่งเพิ่ม"       มันส่ายหัวเบาๆแล้วหันไปมองอีกทาง

"กูไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น กูได้ยินน้องมันบอกว่าคู่กรณีน้องเขาถามหามึง"

"อย่าไปสนใจเลยมึง วันนั้นกูเคาะกระจกอยู่ตั้งหลายครั้งก็ไม่ตอบ ดีนะประตูไม่ได้ล็อค เปิดประตูไปเขย่าตัวตั้งนานตบหน้าตั้งหลายทีก็ยังไม่รู้สึกตัว กูเลยปล่อยไว้งั้นอ่ะ เพราะกูต้องรีบไปรับมึงด้วย"

"ไปรับกูเหรอ"       ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองขณะทวนคำพูดมัน

"ใช่ วันที่มึงกลับจากฮ่องกง"

"ไม่เห็นมึงจะเล่าให้กูฟังเลย"       ผมขมวดคิ้วถาม

"ก็มันไม่ได้สำคัญอะไรนี่หว่า"

"งั้นแสดงว่าท่าทางมึงที่ดูแปลกๆวันนั้นเป็นเพราะเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า จริงๆมึงเป็นห่วงคนที่โดนชนใช่ไหม่ไม่ใช่แค่เรื่องที่หลินมากินข้าวด้วยวันนั้น"

"ไม่เกี่ยวเลย กูไม่ได้รู้จักเขาซะหน่อย จะเป็นห่วงไปทำไม ที่ช่วยก็แค่ทำตามหลักมนุษยธรรมเฉยๆเหอะ"

"แต่ที่จริงมึงอยู่ช่วยเขาก่อนก็ได้นี่หว่าบอกกูกูก็เข้าใจได้นะเว้ย"       ผมพยายามสังเกตท่าทีของมัน แต่มันกลับทำแค่มองไปข้างเหมือนนกำลังจ้องมองอะไรสักอย่าง คนอย่างโอ้ตเนี่ยนะจะลงไปยุ่งเรื่องของคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับมัน

"ตำรวจมาพอดี กูจะอยู่ทำไม ที่สำคัญกว่านั้นคือกู..."

ตูม!!!

"เห้ยมึง!" มีคนตกน้ำ"       หลังจากที่ได้ยินเสียงผมก็รีบบอกโอ้ต แต่นั้นคงช้าไปเพราะคนข้างตัวผมวิ่งไปปลายท่าและเตรียมจะกระโดดตามลงไปแล้ว

"เดี๋ยวกูไปตามคนมาช่วยนะมึง"       รีบตะโกนตามหลังมัน นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่ผมทำได้ตอนนี้

.......................................................................


          ผมรีบวิ่งมาตามคนไปช่วยมัน ทั้งที่เดินมาไม่ได้ไกลแต่ตอนวิ่งกลับมาทำไมถึงยังไม่ถึงสักทีก็ไม่รู้ แต่พพอได้เห็นศาลาที่ยืนรอมันตอนแรกมีคนนั่งอยู่ผมจึงรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิม

"ขอโทษนะครับ ขอความช่วยเหลือหน่อยครับ มีคนตกน้ำอยู่ด้านโน้นครับ"

"เด็กล้างเรือหรือเปล่าน้อง มันคงร้อนแล้วลงไปเล่นน้ำละมั้ง"

"ไม่น่าใช่นะครับพี่ เขาหันหลังทิ้งตัวลงทะเลไปเลย นี่เพื่อนผมกระโดดลงไปช่วยอยู่ พี่ช่วยไปดูหน่อยนะครับ"

"อ้าวเห้ย พวกมึงไปดูหน่อยสิ"

"ขอบคุณครับพี่"       ผมยกมือไหว้ขอบคุณทันทีที่พวกพี่เขายินดีจะไปช่วย

"ทางไหนน้อง"

"ทางนี้ครับ ทางนี้"       ผมชี้นิ้วไปทางซอยเล็กๆตรงข้ามที่พวกพี่ๆเขานั่งกันอยู่ซึ่งเป็นทางที่ผมวิ่งมา

.......................................................................


ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
         

          ในขณะที่ผมนำทางไปที่เกิดเหตุในหัวผมก็คิดแค่เป็นห่วงไอ้โอ้ต ผมพะวงไปหมดกลัวมันจะเป็นอะไรไปอีกคน  ถึงมันจะว่ายน้ำเก่งแค่ไหนผมก็อดเป็นห่วงมันไม่ได้อยู่ดี


"นั่นไงครับพี่"       ผมรีบบอกด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ และชี้ไปที่ปลายท่าทันทีที่วิ่งมาถึง แต่ปรากฎว่าเห็นโอ้ตช่วยคนที่ตกน้ำขึ้นมาแล้ว ผมเลยรีบวิ่งไปหามันที่กำลังลุกขึ้นยืนพอดี

"เป็นไงบ้างวะมึง"       ผมมองหน้าถามมันที่เดินมาทางผมก่อนจะมองเลยไปทางคนที่มันช่วยขึ้นมาซึ่งดูท่าทางว่าจะรู้สึกตัวแล้ว

"ฝากด้วยนะครับ ท่าทางยังงงๆอยู่"       มันไม่ตอบผมแต่กลับหันไปเอ่ยบอกพี่ที่วิ่งตามผมมาแทนก่อนจะจับไหล่ผมสองข้างให้หมุนตัวเดินไปอีกทาง

"มึงไม่อยู่ดูอาการเขาก่อนเหรอวะ"

"กัดปากกูได้เลือดซิบขนาดนี้คงไม่เป็นไรมากแล้วหล่ะ"

"แล้วเขากัดปากมึงทำไมวะ"

"คงตกใจละมั้ง"       ผมพยักหน้าให้ แต่มันกลับรั้งผมไว้ให้หยุดเดิน

"หยุดเดินทำไมวะ"

"ถ้าเหนื่อยก็พักหายใจก่อน เป็นห่วงกูหรือไง"

"เออดิ ถามอะไรปัญญาอ่อนวะ ถ้าจอดเรือได้น้ำคงไม่ตื้นแน่ๆ เสื้อชูชีพก็ไม่มี ห่วงยางมึงก็ไม่ได้เอาลงไป"       ผมรีบอธิบายทั้งที่ยังหายใจไม่ทัน

แต่มันกลับยิ้มบอก       "ใจเย็นมึง ค่อยๆพูดก็ได้"

"กูมีแบบนี้แค่คนเดียวนะเว้ย จะไม่ให้กูเป็นห่วงได้ไงวะ"

"ขอบใจนะ แค่นี้กูก็พอใจแล้ว เพราะแบบมึงกูก็มีแค่คนเดียวเหมือนกัน"       พูดจบก็เอามือมาขยี้หัวผมให้รู้สึกหงุดหงิดมากกว่าเดิม

"รีบไปเปลี่ยนชุดเลยมึง มีติดรถมาไหม ชักช้าเดี๋ยวหวัดแดกแน่มึง"       ผมรีบผลักไหล่มันให้รีบเดินนำไป จะได้รีบเปลี่ยนชุด

"มีคร้าบคุณแมท จะรีบไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้เลยครับ"       มันยื่นหน้ามาบอกมห้ผมส่ายหัวเบาๆ ผมละเกลียดเวลามันเสียงประชดประชันพร้อมกับร้อยยิ้มเต็มหน้าทั้งปากทั้งตาแบบนี้ของมันจริงๆ

"เออใช่ เมื่อกี้ก่อนมีคนตกน้ำ มึงพูดว่าไรวะ กูไม่ค่อยได้ยิน"

"พูดเรื่องไรวะ"

"ก็ที่มึงบอกว่า 'ที่สำคัญกว่านั้นคือ' แล้วก็ตามด้วยอะไรสักอย่าง แต่กูได้ยินเสียงคนตกน้ำพอดีเลยไม่ค่อยได้ยิน"

"อ่อ ไม่รู้สิ กูลืมไปละ อย่าไปสนใจเลย รีบไปกันเหอะ"       ผมที่รอฟังคำอธิบายอยู่กลับถูกปฏิเสธแล้วแทนที่ด้วยการที่มันใช้มือดันหลังผมเบาๆเพื่อเดินไปที่รถแทน

"เออๆ ก็ได้วะ"       ผมเลยต้องพยักหน้ายอมๆไปทั้งๆที่ยังไม่ได้คำตอบ นี่คือเรื่องผิดปกติอีกอย่าง โอ้ตเคยเป็นพวกชอบอธิบาย แต่สิ่งที่มันกำลังทำตอนนี้กลับกลายเป็นเหมือนพวกชอบหลีกเลี่ยงการอธิบายซะอย่างนั้น

.......................................................................


          ระหว่างทางกลับบ้าน ผมก็รู้สึกว่ายังไม่อยากกลับ แค่อยากลองหายไปให้อีกคนกระวนกระวายใจบ้าง น่าตลกตัวตัวเองจริงๆ ทั้งที่ยังไม่ได้เป็นอะไรกันก็ยังคิดเข้าข้างตัวเอง แถมยังเอาแต่ใจตัวเองไดถึงขนาดนี้ ไม่รู้สักนิดว่าอีกฝ่ายจะคิดถามหาหรือวุ่นวายใจอย่างที่ผมเป็นอยู่บ้างหรือเปล่า

"มึง"       ผมหันไปเรียกโอ้ต

"ว่าไงคะ"

"หือ มึงพูดเพราะนะวันนี้"       ไม่ใช่ไม่ชินที่มันชอบคะขาหรือพูดเพราะกับผมนะ แต่วันนี้ผมว่ามันบ่อยเกินไป

"กูพูดออกจะบ่อย มึงไม่เคยจะถาม"       ทำไมผมรู้สึกแค่วันนี้ที่บ่อย

"เหรอวะ งั้นมั้ง แวะหาไรกินก่อนกลับป่ะ"

"ไปกินแถวบ้านดีกว่าไหม นี่เย็นแล้ว กูไม่อยากส่งมึงถึงบ้านดึกไป"       ผมเหล่ตามองมันที่กำลังขับรถอยู่ พลางคิดในใจว่าอะไรของมันกลับตี 2 ยังเคยมาแล้ว นี่เพิ่งจะ 6 โมงเย็น มันดึกตรงไหน

"ไม่เป็นไร กูยังไม่อยากกลับบ้าน มึงรีบไปไหนป่ะ"       ผมถามขณะที่ตามองตรงไปบนถนน

"รีบ"       ผมตกใจหันไปมองหน้ามันทันทีที่ได้ยินคำตอบนี้

"อ้าวเหรอ เห้ย งั้นกลับบ้านเลยก็ได้"       คำตอบของมันทำให้ผมรู้สึกเกรงใจจริงๆ แค่วันนี้มันชวนผมออกมาด้วยทั้งที่มาทำงานก็เกรงใจมากพอแล้ว

"ฮ่าๆๆ กูล้อเล่น งานกูเสร็จแล้ว มีเวลาอยู่กับมึงทั้งคืนเลยจ้ะ"       หืม หัวเราะซะน่าถีบ นี่ถ้าไม่ขับรถอยู่นะ

"ต้องอย่างนี้สิ ค่อยสมกับที่เป็นมึงหน่อย"       พูดบอกพลางตบไหล่มันเบาๆ

"ครับๆ แล้วอยากจะกินอะไร"

"ส้มตำก็อยากกิน ปูนึ่งก็น่าอร่อย กินไรดีวะ"

"แล้วแต่มึงเลย อยากกินไรหล่ะ"

"ปูนึ่งละกัน ส้มตำอยู่คนเดียวก็กินได้ แต่อยู่กับมึงต้องกินปู"       ผมหันหน้าไปฉีกยิ้มให้มันเพื่อย้ำให้มันพูดหน้าที่เวลาผมอยากกินปูออกมา

"วันนี้กูไม่แกะ อยากแดกก็แกะเอง"

"เห้ย! ไรว้า กูไม่กินแล้วก็ได้"       กอดอกพลางเหล่มองมันด้วยหางตา ถึงจะพูดออกไปอย่างนั้นแต่ในใจก็คิดอยากจะให้มันล้อเล่น

"เออๆ แกะก็แกะ แกล้งนิดแกล้งหน่อยนี่หมาหงอยเชียวนะมึง"

"มึงอ่ะ หลายเรื่องละนะ"       ไม่ว่าจะท่าทางที่ดูมีความลับ นิ่งเงียบ แล้วยังจะปฏิเสธผมเรื่องปูอีก

"โอ๋เอ๋ ไม่งอนน้า เงยหน้าหน่อย คว่ำจะถึงพื้นรถแล้วหน่ะ"       ผมเลือกจะหันไปมองข้างทางแทนมือมันที่ยื่นมาสะบัดอยู่ตรงหน้า

"อย่าทำแบบนี้อีกนะ กูไม่ชอบเลย"

"คร้าบ แล้ววันนี้คนที่มึงเฝ้าคิดถึงหายไปไหนวะ ถึงมาอยู่กับกูได้ทั้งวัน"       คิดจะเปลี่ยนเรื่องก็ไม่ได้สรรหาสิ่งที่ดีขึ้นมาถามเลยนะ

"ไม่รู้เว้ย อย่าถาม อารมณ์เสีย"

"เขาไปทำอะไรให้มึงอีกอ่ะ"

"เปล่าหรอก"       เปล่าหรอก

"เปล่าก็เปล่า"       นี่ก็อีก ปกติมันต้องอยากรู้สิ มันทำตัวประหลาดหลายเรื่องแล้วนะ

"ก็พี่เชนดิแม่ง เมื่อวานบอกกูว่าขอคบกับกู"       ผมเปลี่ยนจากมองข้างทางไปมองหน้ามัน

"..."       มันเงียบ ผมเลยเริ่มเล่าต่อ

"กูเลยบอกว่าให้จีบกูก่อน ถ้าทำสำเร็จกูจะยอมคบด้วย"

"..."

"เขาเลยบอกกูว่าแค่กูเปิดใจให้เขาก็พอ... แล้วเขาจะพยายามเข้ามาเอง"       เล่าไปมองหน้ามันไปอยู่อย่างนั้น รอดูว่ามันมีปฏิกิริยากับเรื่องที่ผมกังวลอยู่แค่ไหน

"..."       แต่มันกลับยังคงเงียบ

"ไอ้โอ้ต มึงฟังที่กูพูดอยู่หรือเปล่าวะ"       ผมเลยถามมันพร้อมด้วยผลักหัวมันไปอีกทางเบาๆ

"เออ ฟัง ก็ดีแล้วนี่หว่า"       ต้องให้ลงไม้ลงมือก่อนนะถึงจะตอบได้

"ดีห่าไรหล่ะ หายหัวไปเลยตั้งแต่ตอนนั้น ถึงตอนนี้ก็เลย 24 ชั่วโมงมาแล้วนะเว้ย"       ยกนาฬิกาขึ้นมาดูพลางนับนิ้วไปด้วย คนอะไรคิดจะจีบแต่ดันหายหัวไปเป็นวัน

"พี่เขากำลังไปหาวิธีตั้งรับมึงอยู่หรือเปล่า มึงไปทำอะไรให้เขากลัวตอนอยู่ฮ่องกงบ้างไหมหล่ะ"

"ขนาดนั้นเลยเหรอวะมึง กูเป็นคนรับมือยากขนาดนั้นเลยเหรอวะ"       ผมเอียงคอถามมันด้วยความสงสัย

"มึงลองนับดูสิว่าตอนนี้มีเพื่อนสนิทกี่คน"

"คนเดียวคือมึง"       เท่าที่นับดูก็มีแค่มันนี่แหละ คนอื่นก็แค่เพื่อนแต่ไม่สนิท

"นั่นแหละ ขนาดเพื่อนยังขยาด เขาจะมาเป็นแฟนนะ ให้เวลาเขาเตรียมตัวหน่อย"

"ไอ้เพื่อนเลว ที่กูไม่มีเพื่อนสนิทเยอะ เพราะกูไม่อยากให้ความสำคัญกับใครหลายๆคนพร้อมกันต่างหาก"

"อย่างนี้สินะ ขนาดกูโทรไปมึงยังคิดว่าเป็นเขาเลย"       ในขณะที่ผมกำลังจะโกรธแต่มันกลับพูดอกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มบางๆ

"เออกูยอมรับว่ากูคิดว่าเป็นเขา แต่ก็ไม่ใช่ว่ากูจะไม่ดีใจที่เป็นมึงนี่หว่า"

"เหรอออออ ช่างเหอะ แล้วทำไมมึงไม่โทรหาเขาก่อนหล่ะ"      ประชดซะชัดเจนเลยนะ

"เรื่องดิ เขาจีบกู เขาก็ต้องโทรหากูดิวะ"

"เล่นตัวเป็นผู้หญิงไปได้นะมึง"       ในความคิดผม ผู้ชายก็เล่นตัวได้นะ

"เห็นกูมีนมไหมหล่ะสัด! หรือว่าเขาจะไม่เข้าใจคำว่าจีบวะ"

"เขาไม่เข้าใจคำว่าจีบหรือว่าเขายังไม่มีเบอร์มึงกันแน่วะ"       จริงสิ ยังไม่เคยให้เบอร์ไปเลย แล้วผมจะว้าวุ่นใจไปทั้งวันเพื่ออะไรเนี่ย

"ไม่งั้นเขาก็คงมีธุระกับพี่เมละมั้ง นี่ยังไม่ทันคบกันมึงก็คิดมากขนาดนี้ แล้วถ้าได้คบกันมึงจะไม่สติแตกเหรอวะ"       โอ้ตหันมาถามผม มันยังคงมองผมสลับกับถนนท่าทางเหมือนรอคำตอบ

"กูก็กลัวหว่ะ มึงก็รู้ว่ากูคิดเยอะ"

"งั้นก็เลิกคิด เลิกกังวลด้วย ปล่อยให้มันเป็นไปอย่างที่มันควรเป็นเหอะมึง แต่ถ้าสักสองสามวันยังเป็นอย่างนี้กูจะไปจัดการให้มึงเอง"       นี่ตกลงจะให้ปล่อยหรือไม่ปล่อยกันแน่

"ไม่ต้องหรอกมึง ถ้าเขาหายไปนานขนาดนั้นก็แสดงว่ากูคิดไปเองคนเดียวแล้วหล่ะ"

"เชื่อกูสิ พรุ่งนี้เดี๋ยวเขาก็มายืนโผล่หน้าอยู่หน้าบ้านมึงเองแหละ"

"เปลี่ยนเรื่องเถอะ มึงได้คุยกับหลินบ้างป่ะ ตั้งแต่ที่วัดแล้วกูยังไม่ได้เจอเลย"

"เพิ่งเจอเมื่อวาน"

"เหรอวะ กูว่ากูคงต้องหาเวลานัดหลินทานข้าวสักครั้ง"

"ไม่ต้องหรอกมึง ปล่อยไปเถอะ"       ได้ยินมันพูดแบบนั้นผมเลยต้องหันไปมองหน้า

"ทำไมวะ หลินก็เพื่อนกู แค่กินข้าวกันเอง"       ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงแสดงความสงสัย

"เชื่อกูสักครั้ง มึงเห็นแค่ด้านที่หลินอยากแสดงให้มึงเห็นก็พอแล้ว กูไม่อยากให้มึงต้องเจออย่างที่ไอ้มินเจอ"       คำพูดที่เหมือนมันรู้อะไร แต่กลับพูดบอกออกมาด้วยน้ำเสียงสบาย

"ตอนหลินคุยกับกูก็ดูเข้าใจเรื่องมินดีนี่หว่า เขาบอกกูว่ายินดีกับความรักทั้งคู่ด้วยซ้ำ เรื่องนี้หลินก็คงเจ็บปวดไม่แพ้ไอ้มินหรอก โดนทำร้ายกันทั้งคู่ มินมันยังมีวิน แต่หลินไม่มีใครนะเว้ย"

"นั่นคือด้านที่หลินอยากให้มึงเห็น ทั้งๆที่จริงๆหลินต่างหากที่เป็นคนทำร้ายไอ้มิน"

"นี่เป็นความจริงหรือมุมมองของมึง"       ผมไม่เข้าใจ มันพูดเหมือนกับไม่ชอบใจหลิน นั่นยิ่งทำให้ผมอยากรู้

"จะมุมกูหรือมุมใครก็ช่างเถอะ ต่างคนต่างอยู่ ให้หลินค่อยๆหายไปจากชีวิตมึงอย่างนี้แหละดีแล้ว ถึงแล้ว มึงลงไปสั่งอาหารก่อน กูไปจอดรถแป๊บ"       ผมยังอยากจะถามต่อแต่ถึงร้านพอดี เลยต้องหยุดและคิดว่าจะทำตามที่มันบอก มันคงมีเหตุผลที่เตือน เก็บไว้ดีกันเป็นเพื่อนกันต่อไปน่าจะดีกว่ารู้อะไรมากมายแล้วความสัมพันธ์มันแย่ลง

"โอเคๆ รีบตามมา"

.......................................................................


"มึงสั่งอาหารไปยัง"       โอ้ตที่เดินมาทางด้านหลังผมถามขึ้นก่อนจะนั่งลงข้างๆผม

"สั่งแล้ว ทำไมไม่ไปนั่งฝั่งโน้น"       ผมหันไปถามมัน

"นั่งนี่แหละจะได้แกะปูให้มึงถนัด"       ผมขมวดคิ้วเพื่อสื่อให้มันรู้ว่าไม่เข้าใจเหตุผลของมัน

"นั่งฝั่งโน้นมันไกล นั่งข้างๆมึงจะได้ยื่นง่ายๆ มึงจะได้กินเยอะๆ"       อย่างนี้นี่เอง ผมพยักหน้าบอกให้รู้ว่าเข้าใจ

"กูสั่งกุ้งผัดซอสมะขามให้มึงด้วยนะ ของโปรดมึง กูจำได้"       ยิ้มทั้งปากทั้งตาแบบนี้คงถูกใจมัน

"ส่วนเรื่องหลิน กูจะทำตามที่มึงพูดนะ กูเชื่อว่าสิ่งที่บอกต้องเป็นทางที่ดีที่สุด"       ผมยิ้มบอกในขณะที่โอ้ตพยักหน้าแทนคำตอบแล้วสายตามันก็เบนความสนใจเลยหน้าผมไป

"ปูของมึงมาแล้ว"       โอ้ตยื่นมือไปรับปูจากพนักงานเสิร์ฟมาวางที่โต๊ะ อันที่จริงผมไม่ได้อยากกินปูนักหรอก ไม่อยากให้มันต้องมาลำบากแกะให้ด้วย แต่นี่คงเป็นอาหารอย่างเดียวที่น่าจะใช้เวลากินนานที่สุด และมันจะทำให้ผมไม่ต้องรีบกลับบ้าน ไม่ว่าจะรู้สึกดีขึ้นแค่ไหนที่ได้หาเหตุผลมาแก้ไขว่าพี่เชนไม่ติดต่อมาหลังจากนั้นเพราะอาจจะติดธุระหรือไม่มีเบอร์โทรศัพท์ผม แต่ผมก็ยังรู้สึกไม่อยากเจอหน้าอยู่ดี พี่เชนกำลังทำเหมือนมีเวลาตั้งมากมายที่จะทำให้ผมแน่ใจและเลือกที่จะคบกับเขา แต่เขาคงลืมไปว่าต้องกลับไปฮ่องกง ต่อให้อยู่ที่นี่ได้นานแค่ไหนก็คงไม่มากไปกว่า 1 อาทิตย์  และผมก็ค่อนข้างแน่ใจว่าเขาเองก็รู้ว่ามีเวลาไม่มากนักที่จะชนะใจผม แต่กลับทิ้งเวลา 1 วันไปโดยไม่พยายามทำอะไรเลย มันรู้สึกแย่นะที่อยู่ก็เงียบหายไปเฉยๆ

"แมท กินดิมึง"       ผมคงจมอยู่กับความคิดตัวเองนานไป และมันก็นานจนโอ้ตแกะปูให้ผมเสร็จไปแล้วหนึ่งตัว

"มัวคิดอะไรอยู่วะ กูเรียกตั้งนาน ขนาดโทรศัพท์ดังยังไม่ได้ยิน"       ได้ยินมันพูดอย่างนั้นผมเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู

"แม่โทรมา"       ผมยื่นหน้าจอแสดงสายโทรเข้าให้มันดู

"ให้กูดูเพราะผิดหวังเหรอ"       มันถามในขณะที่มือก็แกะปูไปด้วย

"ป่าว ให้ดูเพราะคิดว่าแม่คงโทรมาตามแน่ๆ ตอนกูออกมาก็ไม่ได้บอกว่าจะไปไหน มีแค่พี่มัทที่รู้"     ผมบอกมันขณะกำลังต่อสายหาแม่

"ครับแม่"

'แมทอยู่ไหน'

"อยู่ถลางแม่ กำลังกินข้าวกับโอ้ตอยู่ครับ"       ผมบอกชื่ออำเภอแม่ไปก่อนจะอ้าปากรับปูที่โอ้ตป้อนให้

'กินเสร็จแล้วรีบกลับนะ แม่มีเรื่องจะคุยด้วย'       จากน้ำเสียงของแม่ฟังดูแล้วคงเป็นเรื่องสำคัญ

"แมทขอโทษนะแม่ที่ไม่ได้บอกแม่ก่อนออกมา"       ผมเดาว่าแม่อาจจะดุเรื่องที่ไปไหนไม่บอก

'รีบกลับมานะ แม่จะรออยู่ที่บ้าน'       คำพูดของแม่ทำให้ผมเกิดความรู้สึกกังวล

"เห้ย โอเคป่ะมึง กินก่อนๆ"       คงเพราะผมเงียบไปสักพัก

"โอเค"

"โอเคก็กินดิวะ อ่ะนี่ปู กูแกะให้เต็มจานเลย"

"กลับกันเถอะมึง ท่าทางคงมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย น้ำเสียงฟังดูเครียดๆ"

"อ่อๆ ได้ งั้นให้ห่อกลับบ้านนะ"       มันชี้นิ้วไปที่อาหารแต่ผมกลับส่ายหน้า

"ไม่เป็นไรอ่ะ กูอยากกลับบ้านมากกว่า ไม่อยากรอแล้ว"       มันอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก แต่ผมก็อดกังวลไม่ได้อยู่ดี ขอบคุณโอ้ตที่มันเข้าใจและพาผมกลับบ้านตามที่ต้องการโดยไม่เซ้าซี้ที่จะอยู่ทานต่อ



❤ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^^*
❤อดทนอ่านตอนนี้ไปก่อนนะ เราเข้าใจว่าคนอ่านรออะไร แต่ช่วยอดใจรออีกนิดนะ #โดนถีบ
❤คนอ่านบอกนี่ชั้นก็รอมากว่า 20 ตอนแล้วนะ 555 นะนะ อีกนิดๆ
❤ตั้งใจจะลงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่ไฟล์หาย ฮรืออออ คือสะเพร่ามาก
❤แต่ตอนนี้กู้มาได้สามตอนแล้ว จะรีบปั่นให้กลับมาเหมือนเดิม ยังมีคนรอเราอยู่ใช่มั้ย อิอิ
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะคะ ขอบคุณค๊า


ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
เเอบเชียร์ให้คนที่โอ๊ตไปช่วยเป็นคนที่จะทำให้โอ๊ตหายเศร้า

ปล.ตอนนี้พระเอกหาย พี่เชนนนนนนน ตั้งหลักไกลไปรึป่าว
เเม่อย่ามาม่านะ รึพี่เชนไปขอเเมทกับเเม่ อะไรยังไง

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
บอกตรงๆ เสียดายปูในจานแมทมากมาย

แล้วนี่พี่เชนตัวหาย เฮ้ย หายตัวไปไหนนะ
รู้มั้ยน้องแมทเปิดใจรอให้มาจีบอยู่
แม่มีเรื่องอะไรกันนะ ดูเครียดๆ

โอ๊ตจะเจอเนื้อคู่แล้วใช่ป่ะ คนที่กัดปากนะ
และน่าจะเป็นคนเดียวกับที่ช่วยเรื่องรถด้วยใช่ป่ะ

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
อ่านเรื่องนี้ละโคตรหิวเลยค่ะ กรี๊ด

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
เพิ่งเข้ามาอ่าน สนุกมากๆ เนื้อเรื่องน่ารักดี

แม่มีเรื่องไรคุยกับแมท ท่าทางจะสำคัญมาก
มาต่อไวๆนะ อยากรู้มาก

ออฟไลน์ maii

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 222
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-2
รอๆ ชอบทั้งสองคู่เลย  :katai2-1:

ออฟไลน์ maew189870

  • รักทุกคนนะคับ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 736
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
เอาขันหมากมาแน่ๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ตอนที่ 22


Matt Part


"แมท ถึงบ้านแล้วมึง"       ผมค่อยๆรู้สึกตัวจากการที่โอ๊ตเขย่าเบาๆที่ไหล่

"อื้อๆ ตื่นแล้ว"       ตอบมันก่อนจะก้มลงมองนาฬิกา ทุ่มครึ่งแล้ว

"ให้กูเข้าไปเป็นเพื่อนไหม"       มือมันยังคงวางบนไหล่ผมอย่างนั้น และที่มันพูดคงจะเพราะเป็นห่วง

"ไม่เป็นไร คงไม่ใช่เรื่องใหญ่ ขอบใจนะ วันนี้กูสนุกมาก"       ผมบอกมันก่อนจะปลดเข็มขัดออก ขอบคุณที่วันนี้ผมมีมันอยู่ข้างๆ

"โทรหากูนะ กูจะรอ"       ผมพยักหน้ารับขณะที่มันกำลังใช้มือที่ยังวางอยู่บนบ่าตบลงเบาๆ

"กูไปนะ ขับรถดีๆ"       บอกมันด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มบางๆระบายอยู่แล้วพาตัวเองลงจากรถ

"อืม"       มันตอบก่อนที่ผมจะปิดประตูรถ

.......................................................................


   เปิดประตูเข้ามาในบ้านก็เห็นแม่นั่งอยู่ตรงโซฟารับแขกหน้าทีวี ท่าทางเรียบเฉยแบบนั้นที่แม่มักแสดงออกเวลามีเรื่องไม่พอใจหรือไม่ชอบใจในการกระทำบางอย่างของใครสักคนในบ้าน และวันนี้ที่แม่เรียกผมกลับบ้านคงเพราะมีอะไรให้ไม่พอใจและต้นเหตุของความไม่พอใจของแม่นั้นคงเป็นผมไม่ผิด

"แม่ครับ"       ผมเอ่ยเรียกแม่ด้วยน้ำเสียงเบาๆ สิ่งที่ผมกังวลอยู่ในใจตอนนี้คือแม่คงรู้เรื่องพี่เชนแล้วอาจจะไม่ชอบใจ ลึกๆในใจภาวนาให้เป็นเรื่องอื่น เพราะเรื่องระหว่างผมกับพี่เชนยังไม่เริ่มเลยด้วยซ้ำ อย่าเพิ่งให้มันจบลงตอนนี้เลย

"มานั่งนี่สิ"       แม่ตบลงบนที่นั่งข้างๆตัวให้ผมเดินลงไปนั่งก่อนจะหันมามองหน้าแล้วจับมือผมเอาไว้

"แมท"

"ครับ"

"พอเดาออกไหมว่าเรื่องสำคัญที่แม่จะพูดคืออะไร"

"นึกไว้ แต่ก็ไม่อยากให้เป็นเรื่องเดียวกับที่แม่จะพูดเลย"

"จริงๆแม่ไม่อยากยุ่งเรื่องของเด็กๆหรอกนะลูก แต่มันทำให้แม่ไม่สบายใจ"       แม่จับมือผมขึ้นมาลูบไปมายิ่งทำให้ผมคิดไปถึงเรื่องที่คาดเดาไว้ แม่รู้และอาจจะกำลังพยายามปลอบใจ

"ครับ"

"แมทกำลังล้อเล่นกับความรู้สึกของใครอยู่หรือเปล่า"       คำถามที่ทำให้ผมถึงกับขมวดคิ้ว

"แม่หมายถึง..."       ผมเว้นวรรค รอให้แม่พูดออกมา

"น้องหลิน"

"หลินเหรอครับ"       ท่าทางจะไม่ใช่อย่างที่คิด

"ใช่ นี่แมทกำลังทำร้ายความรู้สึกใครโดยที่ไม่รู้ตัวอยู่หรือเปล่า"       ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ ไม่ชอบเลยความรู้สึกที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้ ความรู้สึกแย่ที่ตัวเองเป็นต้นเหตุที่ไปทำให้ใครสักคนรู้สึกไม่ดี

"เดี๋ยวนะครับ แม่อธิบายให้แมทฟังก่อนได้ไหม"       เพราะเรื่องมันผิดจากที่ผมคิดไว้

"เมื่อวานแม่มีนัดสอนน้องหลินทำขนม เรานัดกันตอน 10 โมงที่ร้าน แต่แม่รอจนเที่ยงแล้วหลินก็ยังไม่มา แม่เลยโทรไปถาม หลินเขาบอกแม่ว่าขอโทษด้วยที่ไม่ไปตามนัด ยังไม่พร้อมจะมาเจอทุกคนในครอบครัวเรา แม่เลยนัดเขาไปเจอที่ห้าง แม่ไม่อยากให้ครอบครัวเราเป็นสาเหตุให้เขาต้องรู้สึกไม่ดี แต่แม่ก็ยังสงสัยอีกอย่างนะ เพราะตั้งแต่วันที่ไปที่วัดแล้ว เรื่องนี้แม่ไม่ได้ถามหลิน ที่อยู่ๆเขาก็รีบกลับ แมทกับหลินมีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าลูก"       แม่เปลี่ยนจากมือมาจับที่ไหล่ผมด้วยสีหน้านิ่งๆอย่างเดิม ในขณะที่ผมนั่งฟังอย่างเงียบๆ

"หลินเล่าให้แม่ฟังแค่นี้เหรอครับ"

"ก็มีมากกว่านี้ แต่แม่อยากลองฟังจากแมทก่อน"       ถึงจะไม่ชอบใจยังไงแต่แม่ก็มักให้โอกาสผมอธิบายเสมอ แม่จะไม่ดุด่าว่ากล่าวทันทีที่ได้ฟังจากใครต่อใครมา

"เอาจริงๆแมทยังไม่รู้เลยว่าหลินเป็นอะไร ตั้งแต่วันนั้นแมทก็ยังไม่ได้เจอหลินเหมือนกัน ถ้าจากที่แม่บอกว่าเป็นเรื่องสำคัญที่อยากคุยกับแมท และที่แม่เล่ามา ก็แสดงว่าแม่เข้าใจว่าแมทกำลังเป็นคนทำร้ายจิตใจหลิน...หรือเปล่าครับ"

"แม่เองก็พอรู้มาบ้างนะว่าแมทเคยชอบหลิน แต่มันก็นานมาแล้ว แม่ก็ไม่รู้ว่ามันยังเหมือนเดิมหรือเปล่า แล้วคนที่แมทเคยพูดให้แม่ฟัง แม่ก็เดาว่าคงไม่น่าจะเป็นหลินไปได้ แม่ไม่ได้เชื่อที่หลินเขาพูดทุกอย่างหรอกนะ เพราะแม่เองก็มีด้านที่อยากจะเข้าข้างลูกของตัวเองเหมือนกัน แต่ถึงยังไงแม่ก็อยากให้แมทไปปรับความเข้าใจกับหลินซะ ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ก็มีแต่จะคาราคาซัง เมื่อวานที่แม่เห็นหลินร้องไห้แม่ยังรู้สึกเจ็บปวดตามไปด้วย"       แม่ยังรู้สึก แล้วเจ้าตัวจะเจ็บปวดขนาดไหนกัน

"แมทจะหาเวลาไปคุยกับหลินครับ"       แม่พยักหน้า

"หลินเขาพร้อมเมื่อไหร่ก็คงติดต่อมาเอง เพราะเขาบอกแม่ก่อนจะกลับบ้านว่าคงจะคุยกับแมทอีกทีหลังจากพี่เชนกลับไปแล้ว"

"ทำไมต้องรอพี่เชนกลับไปแล้วละครับ"       ผมเอ่ยด้วยความสงสัย

"นั่นหน่ะสิ แม่ก็ไม่เข้าใจ เอาเถอะ เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น แม่ขอแค่ให้เราทั้งคู่ได้คุยกันให้เข้าใจก็พอ แค่นี้แม่ก็สบายใจแล้ว"

"ครับแม่"       ผมตอบตกลง แต่ในหัวก็คิดไม่ตกว่าทำไมถึงต้องรอจนพี่เชนกลับไป ถ้าหากหลินมีเรื่องไม่สบายใจหรืออยากปรับความเข้าใจจริงๆก็ควรรีบมาคุยกัน คนเราจะทนอยู่กับเรื่องที่เราไม่สบายใจได้ยังไง ถ้าเลือกจะรอแบบนี้ก็แสดงว่าเรื่องที่หลินไม่สบายใจต้องเกี่ยวกับพี่เชนหรือเปล่า

"แล้วนี่วันนี้หายไปไหนมาทั้งวัน"

"โอ้ตชวนไปท่าเรือครับ เบื่อๆก็เลยไปกับมันด้วย"

"เบื่อนี่เพราะว่างหรือไงหื้ม งานเราเสร็จแล้วเหรอ"

"ใกล้จะเสร็จแล้วครับแม่ เหลืออีกนิดหน่อยก็น่าจะไปส่งได้ ก่อนกำหนดด้วย"

"ดีแล้ว ถ้ามันว่างแล้วก็น่าเบื่อขนาดนั้นก็พาพี่เชนไปเที่ยวสิ หัดทำตัวน่ารักตอบแทนที่เขาดูแลเราที่ฮ่องกงซะบ้าง"       ผมไม่อยากทายเลยจริงๆว่าถ้าแม่รู้ว่าพี่เชนไม่ได้มาแค่เพราะต้องการจะท่องเที่ยวอย่างที่แม่เข้าใจ แม่จะยังสนับสนุนอยู่ไหม

"ถ้าอยากไปเขาก็เดินมาบอกเองแหละ วันนี้หายไปไหนทั้งวันแมทยังไม่รู้เลย"

"อ้อ...ใช่ พูดถึงพี่เชนหายไปทั้งวันแม่ก็เกือบลืมไปเลย ชาเขียวปั่นโอรีโอ้ของแมทอยู่ในตู้เย็น ไปหยิบมาชิมสิ"       ได้ยินอย่างนั้นผมก็รีบพุ่งตัวไปที่หน้าตู้เย็นทันที

"แม่นี่น่ารักจริงๆเลย แม่รู้ไหมว่าสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตแมทคืออะไร"       หยิบชาเขียวจากตู้เย็นที่น้ำแข็งเริ่มละลายก่อนจะกลับมานั่งข้างแม่เหมือนเดิม

"อะไรหล่ะ"

"คือแม่ไง แม่แบบนี้ แบบที่เอาใจใส่แมท แบบที่รู้ว่าตอนนี้แมทต้องการอะไร"       เอนหัวไปพิงที่ไหล่แม่ในขณะที่ปากก็ดูดชาเขียวไปด้วย ละลายไปบ้างแล้วก็ยังอร่อย

"เดี๋ยวอีกไม่นานคงจะไม่พูดแบบนี้"       แม่บอกก่อนจะหยิบรีโมทมาเปิดทีวี

"พูดตลอดไปนั่นแหละ ใครจะแทนแม่ได้"       พูดจบก็เงยหน้าขึ้นไปหอมแก้มแม่ฟอดใหญ่

"แม่เขินนะเนี่ย แล้วเป็นไงชาเขียวอร่อยไหม"

"โหแม่ แค่ได้กลิ่นก็รู้แล้วว่าอร่อย โอรีโอ้แบบไม่ละเอียด แม่รู้ใจแมทที่สุด"       เคี้ยวโอรีโอ้ที่ยังพอเป็นชิ้นอยู่ก่อนจะยิ้มกว้างให้แม่

"สงสัยจากวันนี้ไปคงมีคนรู้ใจแมทเพิ่มอีกคนแล้วละมั้ง"       เลิกคิ้วและเงยหน้าเล็กน้อยไปมองก็เห็นแม่ที่กำลังมองผมด้วยหางตา นี่คงไม่ใช่การประชดหรอกนะ จะมีใครที่จะรู้จักผมดีขนาดนี้ได้อีก พี่มัทเหรอ มองผ่านได้เลย เพราะขนาดตัวพี่แกเองยังไม่ค่อยจะเข้าใจ

"ใครอ่ะแม่ ไม่มีๆ รสชาตินี้มีของแม่คนเดียว กินที่ไหนก็ไม่เหมือนหรอก"

"แล้วแก้วนี่เหมือนไหมหล่ะ"

"เหมือนสิ ก็แม่ทำนี่ อร่อย"       พยักหน้าเพิ่มเพื่อยืนยันคำตอบ

"ใช่ที่ไหน"

"อ้าว ไม่ใช่แม่แล้วใครทำ"       เคยลองให้พี่อินทำตามสูตรแม่ ยังไงก็ไม่เหมือน

"พี่เชนทำต่างหาก"

"ห๊ะ! พี่เชน"       ยังมีเรื่องเซอร์ไพรส์ที่แม่ยังไม่ได้พูดอีกไหมเนี่ย

"แปลกใจละสิ วันนี้ไปหาแม่ที่ร้านแต่เช้าเลย แล้วอยู่ๆก็บอกว่าอยากให้แม่สอนทำชาเขียว"

"ทำไมต้องให้แม่สอนหล่ะ"

"เห็นเล่าให้แม่ฟังว่าแมทเคยคุยเอาไว้ว่าชาเขียวแม่อร่อย พี่เชนได้ชิมแล้วก็เลยอยากหัดทำ"

"แล้วหลังจากนั้นพี่เชนไปไหนต่อเหรอ แม่รู้ไหม"

"ไปไหนต่ออันนี้แม่ไม่รู้นะ แต่ก่อนแม่ออกมาจากร้านก็เห็นคุยอยู่กับมัท"

"เหรอครับ"

"จ้ะ น่าจะกลับมาแล้วละมั้ง เพราะตอนแม่เข้าบ้านมาเห็นประตูรั้วเปิดอยู่"

"งั้นเดี๋ยวแมทมานะแม่"       พูดจบก็ลุกเดินออกมาจากบ้านทันที นี่เพิ่งจะสองทุ่มครึ่ง คงยังไม่ดึกเกินไปที่จะคุยกัน

.......................................................................


11 ชั่วโมงก่อนหน้านี้

   ผมอาสาไปส่งเมที่รีบกลับไปทำธุระที่กรุงเทพฯตั้งแต่เช้า เลยถือโอกาสผ่านทางร้านของคุณมัท

"คุณแม่สวัสดีครับ"

"อ้าว...พี่เชน ทำไมมาแต่เช้าคะ ร้านแม่ยังไม่เปิดเลย"

"ผมไปส่งเมที่สนามบินมาครับเลยลองผ่านทางนี้ดูเผื่อมีร้านอาหารน่าสนใจ พอดีเห็นพนักงานยืนอยู่หน้าร้าน เลยคิดว่าเปิดแล้วครับ"       ความจริงผมตั้งใจอยู่แล้วว่าบ่ายๆเข้ามาหาคุณแม่กับคุณมัทที่ร้าน ผมจะเริ่มต้นทำความรู้จักและเรียนรู้อีกฝ่ายจากคนในครอบครัว ถ้าได้พูดคุยกันคงน่าจะซึมซับอะไรได้บ้าง

"ร้านมัทเปิดเช้ากว่าค่ะ ส่วนร้านแม่เปิดประมาณ 11 โมงเลย แล้วนี่น้องเมกลับกรุงเทพฯเหรอคะ"

"ใช่ครับ"       ผมได้ยินเมบอกว่าจะกลับไปจัดการงานประมาณหนึ่งอาทิตย์

"แล้วนี่พี่เชนทานข้าวเช้ามาหรือยังคะ ให้แม่ทำอะไรง่ายๆให้ทานรองท้องก่อนไหม"

"ไม่เป็นไรครับแม่ ผมรองท้องด้วยกาแฟกับขนมปังมาแล้วเมื่อเช้าครับ"       ผมยิ้มบอก

"แค่นั้นจะไปพออะไร มานั่งนี่มาพี่เชน รอ 15 นาทีเดี๋ยวแม่ยกมาให้"       แม่กวักมือเรียกให้ไปนั่งที่โต๊ะใกล้ตู้เค้กของร้าน

"เอางั้นก็ได้ครับ แต่ขอผมไปแอบล้วงความลับหน่อยได้ไหมครับ"       ผมตอบตกลงและเลืกที่จะเดินตามแม่ที่กำลังยืนอยู่ที่ประตูหน้าร้านแทน

"ได้สิคะ เมนูของแม่ไม่เป็นความลับหรอกค่ะ "       พูดจบแม่ก็เดินนำผมออกไปทางร้านคุณมัท

"ทำยากไหมครับ"       แม่ของแมทเป็นคนน่ารัก เป็นผู้ใหญ่ในแบบที่ผมอยู่ด้วยแล้วรู้สึกไม่อึดอัด

"ไม่ยากเลยจ้ะ แค่สิบนาทีก็เสร็จ"       แม่หันมาตอบคำถามผมพร้อมกับยกฝ่ามือสองข้างขึ้นมาเพื่อขยายความคำว่าสิบ

"สงสัยต้องให้แม่สอนแล้วหล่ะครับ"       พอผมพูดจบแม่ก็ยิ้มกว้างแล้วตอบกลับมา

"ยินดีมากค่ะ รับรองพี่เชนลืมทั้งกาแฟแล้วก็ขนมปังปิ้งที่ว่าง่ายไปได้เลย"

.......................................................................


   พนักงานที่อยู่ในครัวมีแค่สองคนซึ่งกำลังเตรียมผักและเครื่องปรุงให้อยู่ตรงตำแหน่งที่ใกล้มือพ่อครัวหรือแม่ครัวมากที่สุด ภาพเหล่านี้ผมพอคุ้นชินมาจากที่ร้านตัวเองบ้าง แต่อาจจะมีการจัดการบางอย่างที่ออกจะแตกต่างกันเล็กน้อย พอเข้ามาด้านในแม่ก็จัดการหยิบเนื้อหมูออกมาจากตู้แช่และไข่ไก่สองฟอง จากนั้นก็ตักข้าวสวยจากหม้อหุงข้าวใบใหญ่ใส่ลงไปในหม้อใบขนาดกลางๆ ไม่เล็กไม่ใหญ่มากนัก

"นี่ค่ะพี่เชน ใช้ข้าวสวยนะคะ จะได้ไม่เสียเวลารอต้มข้าวจนเมล็ดพอง เราเอาข้าวใส่ลงไปในหม้อก่อนแล้วค่อยใส่น้ำตามลงไปจนท่วมเลยนะคะ โรยเกลือลงไปเล็กน้อยแล้วตั้งไฟอ่อนไว้เลยค่ะ ข้าวจะดูดน้ำจนค่อยๆนิ่มเอง"       แม่พูดอธิบายพร้อมกับทำไปด้วยตามที่พูดจนครบแล้วยื่นหม้อมาให้ดูก่อนจะตั้งลงบนเตาที่มีอยู่ถึงสี่หัวแบบในร้านอาหารใหญ่ๆทั่วไปแล้วจึงจุดไฟ จากนั้นก็ใช้หม้อขนาดเล็กใส่น้ำแล้วต้มข้างๆกันจนน้ำเริ่มจะเดือด

"เคล็ดลับของแม่อยู่ตรงนี้จ้ะ ลวกหมูสับพอสุกแล้วเอามาผัดกับน้ำมันหอยใส่ซอสปรุงรสเล็กน้อยนะคะพี่เชน ทีนี้เนื้อหมูก็จะไปเพิ่มรสชาติให้ข้าวที่เราต้มไว้โดยไม่ต้องปรุงเพิ่มเลย"       หลังจากพูดจบแม่ก็เอาหมูสับที่มีอยู่แล้วลงไปลวกในน้ำร้อนให้พอสุกตามที่แม่อธิบาย ก่อนจะเปลี่ยนจากหม้อมาเป็นกระทะ แล้วแม่ก็จัดการผัดมันกับนน้ำมันหอยและซอสปรุงรสตามที่ได้อธิบายให้ผมฟังจนเสร็จก็ตักใส่จานพักไว้ อาหารจานนี้ดูเหมือนจะมีหลายขั้นตอนแต่ทุกขั้นตอนสามารถทำพร้อมกันได้และใช้เวลาไม่นาน เพราะจากที่ผมหันไปดูหม้อที่แม่ต้มข้าวเอาไว้ก็ดูจะเริ่มเดือด และข้าวก็ดูจะพองตัวอย่างที่แม่บอกจนเกือบจะเต็มหม้อ

"ครับ"

"ส่วนไข่เราก็ต้มไว้ประมาณ 5 นาทีระหว่างรอต้มข้าว"       จากนั้นก็เอาหม้อมาตั้งไฟบนหัวเตาที่เหลือ แล้วใส่น้ำลงไปไม่เยอะมากพอใส่ไข่ตามลงไปก็ดูเหมือนแค่พอท่วมฟองไข่

"ดูเหมือนข้าวจะได้ที่แล้วพี่เชนช่วยตักใส่ถ้วยให้แม่หน่อยนะค่ะ"       แม่บอกพร้อมชี้มาทางถ้วยที่ถูกเรียงกันอยู่บนชั้นวาง

"ถ้วยนี้เลยนะครับ"       ผมหยิบมาแล้วถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง

"จ้ะ"       หลังจากได้รับการยืนยันผมก็จัดการตักข้าวที่ดูนิ่มลงแต่ยังมีสภาพเป็นเมล็ดสวยลงในถ้วยตามที่แแม่บอก แล้วยกไปวางบนโต๊ะเตรียมอาหารด้านหลังแม่ที่กำลังจะตักไข่ที่ต้มผ่านไปแล้ว 5 นาทีขึ้นมาจากหม้อ

"ทีนี้เราก็ตอกไข่ที่ลวกพอสุกเอาไว้ เรียกว่าไข่ยางมะตูมค่ะ ใส่ลงไปในถ้วยเลยแบบนี้นะคะ"       แม่จัดการตอกไข่ลงไปในถ้วยข้าวต้มที่ยังร้อนอยู่

"ครับ"

"ทีนี้ไข่โดนข้าวที่เพิ่งต้มร้อนๆก็จะสุกมากขึ้นอีกนิดหน่อย เราก็ตักหมูที่ผัดเอาไว้มาราดด้านบนแค่นี้ก็เรียบร้อยค่ะ"       ชี้ให้ผมดูไข่ขาวที่เริ่มกลายเป็นสีขุ่นขึ้น ก่อนจะตักหมูสับจากในจานที่พักไว้มาราดด้านบน

"อ้อ พี่เชนทานต้นหอมผักชีไหมค่ะ"       แม่เงยหน้าจากจานข้าวต้มที่ดูน่าทานขึ้นมาถามผม

"ทานครับ"       ผมพยักหน้าตอบ

"งั้นก็โรยเพิ่มไปบนหมูสับเลยนะคะ เด็กๆที่บ้านไม่ชอบผักโรยแม่เลยต้องถามก่อน"       แม่เปิดตู้เย็นหยิบต้นหอมผักชีออกมาหั่นอย่างละต้นก่อนจะโรยลงในถ้วยให้ดูมีสีสันเพิ่ม

"นี่จ้ะ อาหารเช้าจานด่วนของแม่ ข้าวต้มหมูสับใส่ไข่ร้อนๆ"       แม่ยื่นถ้วยข้าวต้มที่มีจานรองใบเล็กอยู่มาตรงหน้าให้ผมรับไว้ หน้าตามันดูดีจนรู้สึกน้ำย่อยในกระเพาะกำลังถูกกระตุ้น

"ขอบคุณครับแม่ แต่ดูท่าทางแล้วน่าทานจนไม่คิดว่าจะทำง่ายๆเลยนะครับเนี่ย"       พูดจบก็ลองตักขึ้นมาชิม

"เป็นไงคะ ถูกใจไหม"

"อร่อยครับ"       ผมพยักหน้าตอบ

"อย่าแกล้งชมแม่นะคะ เพราะฝีมือแม่อร่อยแค่ในครัวเรือนส่วนบุคคลเท่านั้นแหละค่ะ"       แม่เอียงคอพูดด้วยรอยยิ้มและท่าทางน่ารัก

"ไม่เลยครับผมชอบ"

"เราไปนั่งทานที่โต๊ะตรงระเบียงม่านน้ำดีกว่าค่ะ ยืนทานในครัวเดี๋ยวจะเมื่อยเอา"       ผมพยักหน้าแล้วถือถ้วยข้าวต้มเดินตามมาบริเวณริมสุดของร้านคุณมัทที่ติดกับร้านกาแฟของแม่ซึ่งถูกกั้นด้วยม่านน้ำให้ดูสดชื่นพร้อมกับมีธารน้ำเล็กๆที่น่าจะไหลมาจากมุมน้ำตกหน้าร้าน

"ผมเดาว่านี่ต้องเป็นเมนูโปรดของทุกคนในบ้านเลยใช่ไหมครับ"       ผมถามขึ้นหลังจากที่วางข้าวต้มลงบนโต๊ะแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามแม่

"ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ มัทกับแมทเป็นคนทานยาก  โจ้ก ข้าวต้มพวกนี้เขาจะไม่ค่อยชอบทานเท่าไหร่ แมทเขาชอบพวกอาหารเส้นๆ ข้าวต้มหมูของแม่หน่ะเขาทานเพราะแม่ทำหรือชอบจริงๆก็ไม่รู้นะคะ"

"คงจะเพราะชอบฝีมือแม่ครับ เพราะที่ฮ่องกงเขาก็เลี่ยงที่จะไปทานโจ้ก"       ผมเล่าไปพร้อมกับค่อยทานข้าวต้มในถ้วยไปด้วย

"นี่ดื้อกับพี่เชนด้วยเหรอคะ ปกติกับคนที่เพิ่งเจอ ไม่ค่อยสนิทเขาจะปากหนักนะ ชอบไม่ชอบอะไรไม่ค่อยจะพูดหรอกค่ะ เป็นคนชอบเก็บความรู้สึก ต้องให้คอยถาม เหมือนจะมีแค่โอ้ตคนเดียวแหละค่ะพี่เชนที่เขายอมเล่าอะไรต่อมิอะไรให้ฟัง ตายละ นี่แม่มานั่งเม้าท์ลูกๆให้พี่เชนฟัง น่าเบื่อแย่เลย คนแก่ก็งี้แหละค่ะ"       ผมยิ้มตอบ

"เล่าเยอะๆเลยก็ได้ครับแม่ ผมชอบฟัง"

"พี่เชนนี่น่ารักจังเลยนะคะ"       แม่ยกยิ้มทั้งใบหน้าทำให้ผมรู้สึกว่าเธอรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ

"นี่ถ้าลูกสาวแม่ครบเครื่องกว่านี้แม่คงเชียร์ยัยมัทให้แล้วหล่ะคะ"

"ขอบคุณครับ"       ผมก้มหัวเล็กน้อยพร้อมบอกขอบคุณ

"แต่แม่เปลี่ยนใจไม่สนับสนุนแล้วดีกว่า แม่สงสารพี่เชน"       แม่บอกก่อนจะโบกมือเป็นเชิงปฏิเสธ

"ยังไงครับ"       ผมถามกลับด้วยความไม่เข้าใจ

"อย่างที่พี่เชนพอเห็นมาบ้างนั่นละค่ะ แม่ขอถามอะไรหน่อยสิคะ"

"ครับ"

"แม่สงสัยหน่ะค่ะ พี่เชนพูดไทยชัดจนแม่ไม่คิดว่าเป็นคนฮ่องกง"       แม่หรี่ตาถาม

"แม่ผมเป็นคนไทยครับ ส่วนพ่อผมถึงเป็นคนฮ่องกงก็พูดไทยได้ เราใช้ภาษาไทยในการสื่อสารกันในบ้านครับ"

"แต่หน้าพี่เชนนี่ดูตี๋อินเตอร์มากเลยนะคะ ไม่บอกไม่รู้เลยว่ามีเชื้อไทย คุณแม่คงสวยคมมากๆแน่เลยใช่ไหมคะ"

"ก็ถ้าในสายตาผมเธอสวยมาก คงไม่ต่างกันกับแม่ในความคิดของแมทนะครับ"       ผมยิ้ม และมองหน้าแม่อยู่อย่างนั้น แมทกับแม่เหมือนกันมาก

"ไม่จริงหรอกค่ะ ถ้าเขาไม่ใช่คนขี้อ้อนนี่แม่คงไม่ได้ยินคำว่าสวยจากปากเขาแน่ค่ะ"       แม่บอกพร้อมส่ายหน้าเบาๆ

"แต่สำหรับผมแม่สวยนะครับ ดูแล้วแมทเองก็คงได้มาจากแม่ไม่น้อย"

"แม่นี่เหรอคะ ปากหวานจริงค่ะพี่เชน"       เธอยกมือขึ้นทาบอกแล้วถามซ้ำ และผมพยักหน้าเพื่อยืนยันครับตอบ

"ทานเยอะๆนะคะ"       เธอพูดบอกด้วยรอยยิ้มที่กว้างขึ้นกว่าเดิม

"ขอบคุณครับแม่"       พยักหน้าตอบแล้วทานข้าวต้มในชามต่อ

.......................................................................




ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0

"แม แม๋ แม่ แม่อยู่ไหน"       คุณมัทที่ส่งเสียงเรียกทั้งๆที่ยังไม่เห็นตัว

"อยู่นี่มัท เรียกทำไม"       สายตาแม่ที่มองผ่านหัวไปด้านหลังผมจนต้องหันมองตาม แล้วก็พอคุณมัทที่กำลังเดินมา       

"อยู่นี่เอง แอบมาเต๊าะพี่เชนเหรอแม่ นี่รุ่นลูกเลยนะ"       คุณมัทที่พูดแซวแม่ทั้งๆที่ตัวยังเดินมาไม่ถึง

"เห็นไหมละคะ เจอแบบนี้ไปพี่เชนจะกลายเป็นผู้ชายที่น่าสงสารทันทีเลยละค่ะ แม่กลับร้านดีกว่าค่ะ"       แม่ยกมือป้องปากยื่นหน้าผ่านโต๊ะมากระซิบบอกผมก่อนจะลุกขึ้นยืนให้ผมลุกตาม

"แม่พูดอะไรมัทไม่ได้ยิน แล้วนั่นจะไปไหนละคะ"       พอแม่ลุกคุณมัทก็รีบเร่งฝีเท้าให้ถึงโต๊ะที่ผมกับแม่ยืนอยู่ไวขึ้น

"นั่งทานเถอะค่ะพี่เชน แม่ไปก่อนนะคะ ทานให้อร่อยนะ ทานเยอะๆ"       พูดจบแม่ก็เหลือบตามองหน้าคุณมัทก่อนจะส่ายหน้าในแบบที่ดูไม่จริงจังนัก

"ขอบคุณมากๆครับแม่"       ผมยกมือไหว้ขอบคุณแล้วแม่ก็เดินออกจากโต๊ะไปทางร้านกาแฟ

"เมื่อกี้แม่กระซิบอะไรเหรอคะคุณเชน"       คุณมัทเลือกจะนั่งที่เดิมที่แม่ลุกออกไป

"ไม่มีอะไรหรอกครับ"       ผมส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม

"อะไรกันคะ ไม่ทันไรก็ไปเป็นพวกแม่แล้วเหรอ"       ท่าทางกอดอกและใบหน้าที่ดูรั้นๆเหมือนกับแมทตอนถูกขัดใจเรื่องกินเเยอะเกินไปไม่มีผิด

"ป่าวหรอกครับ"       ผมตอบปฏิเสธไป เพราะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญนัก

"แล้วนั่นทานอะไรอยู่ค่ะ"       ตามองและชี้มาทางถ้วยตรงหน้าผม

"ข้าวต้มครับ คุณมัททานด้วยกันไหม"

"ไม่ละคะ ตามสบายเลย มัทเรียบร้อยตั้งแต่ก่อนออกจากบ้านแล้วหล่ะคะ แล้วนี่พี่เมไม่มาด้วยเหรอคะ"

"เมไปกรุงเทพฯตั้งแต่เช้าแล้วครับ"       พูดตอบก่อนจะตักข้าวต้มขึ้นมาทานเป็นคำสุดท้าย มันออกจะอึดอัดไปสักหน่อยที่จะต้องทานข้าวต่อหน้าใครสักคน

"อ่อคะ แล้วนี่คุณเชนมาหาแมทเหรอคะ"

"ป่าวครับ ผมผ่านทางนี้เลยแวะเข้ามา"

"นึกว่านัดกันซะอีก แต่คงไม่ใช่เพราะก่อนมัทออกมาเห็นออกไปกับโอ้ตแล้ว"

"ครับ ดีแล้วหล่ะครับ"       ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ ผมอยากใช้เวลา 1 วันตามหาสิ่งที่แมทชอบและสนใจ หากแมทไปเที่ยวกับโอ้ตอย่างน้อยเขาจะได้ไม่ต้องสนใจว่าทำไมวันนี้ผมหายไปและไม่พยายามไปเอาชนะใจคนที่กำลังจีบอยู่ หากมีอะไรให้ทำ แมทอาจจะลืมไปและข้อดีคือผมจะได้ไม่ติดลบในความรู้สึกเขา

"ดีงั้นเหรอคะ"       คุณมัทขมวดคิ้วถาม

"เอ่อ คุณเชนคะ มัทขอเสียมารยาทถามอะไรสักอย่างได้ไหมคะ"       วางฝ่ามือทั้งสองข้างลงบนโต๊ะ แล้วยืดตัวขึ้นหลังตรงตามด้วยสายตาที่มองผมอย่างจริงจัง

"ครับ"

"คุณเชนชอบน้องชายมัทเหรอคะ"       ผมไม่คิดว่าเธอจะถามตรงขนาดนี้

"ครับ"       ผมพยักหน้าตอบ

"แล้ว 'ครับ' นี่คือย้อนถามหรือคำตอบคะ"       คุณมัทเอียงคอถามแสดงให้เห็นว่ากำลังสงสัย

"ผมชอบแมทครับ ตอนนี้กำลังพยายามจีบอยู่"       ผมเดาว่าเธอคงจะพอรู้หรือดูออกถึงได้กล้าถาม และในเมื่อผมชอบและต้องจีบตามที่เจ้าของเงื่อนไขต้องการก็ไม่มีเหตุผลที่จะปิดบัง

"โอ้โห ไม่มีอ้อมค้อมเลยนะคะ พยายามจีบนี่แสดงว่าแมทมันเล่นตัวงั้นเหรอคะ"       ผมกลับไม่คิดอย่างนั้นนะ ผมรู้สึกแค่ว่าเงื่อนไขของแมทอาจจะเกิดจากความกังวลและความไม่แน่ใจ เรื่องนั้นผมพอเข้าใจได้

"คงไม่ใช่หรอกครับ เขาอาจจะต้องการเวลาปรับตัว"       และหากเขาต้องการพิสูจน์ผมก็แค่ทำตามที่เขาต้องการ

"แหม คำพูดคุณเชนทำให้น้องชายมัทดูดีขึ้นโขเลยค่ะ ถ้าเป็นอย่างนี้ งั้นมัทจะช่วยเองคะ"       ผมดีใจที่ได้ยินคำนี้ เพราะนั่นก็แปลว่าคุณมัทไม่ได้รังเกียจ และอาจจะยอมรับผมกลายๆ

"คุณมัทไม่ว่าอะไรเหรอครับที่แมทจะรักชอบกับผู้ชายด้วยกัน"       ผมว่ามันคงไม่ง่ายที่จะทำความเข้าใจ

"แล้วคุณเชนมาเพื่อรักน้องมัทจริงๆหรือมาเล่นๆละคะ"       เธอถาม

"ผมจริงจังครับ"       และผมก็ตอบออกไปด้วยสีหน้าจริงจัง

"นี่ไงค่ะ มัทเองก็ดูออก ถึงแม้จะต้องพยายามทำความเข้าใจสักหน่อยแต่ถ้าคุณทำให้น้องชายมัทมีความสุขมัทก็โอเคค่ะ"       เธอยิ้มบอก

"ขอบคุณมากครับ งั้นผมขอรบกวนคุณมัทสักเรื่อง"

"หลายเรื่องก็ได้ค่ะ มัทบอกแล้วไงคะ ว่ามัทยินดี"

"ตอนนี้ผมอยากให้เขายอมรับผม และผมก็อยากจะค่อยๆเรียนรู้ตัวตนของเขาด้วยตัวผมเองก่อนครับ"

"ทำไมฟังแล้วมัทรู้สึกตัวเองจุ้นจ้านจังค่ะ แหะๆ"       ท่าทางที่กำลังยิ้มแหยๆทำให้ผมต้องรีบอธิบายต่อ

"ไม่หรอกครับ ผมอยากรับความช่วยเหลือของคุณมัทมาก แต่มันดูไม่ค่อยพยายามเท่าไหร่ถ้าหากคนผมเอาแต่จะเรียนรู้แมทจากการถามไถ่คนใกล้ตัวเขาเพียงอย่างเดียว ตอนนี้ผมยังพอมีเวลาที่จะค่อยๆเรียนรู้ในสิ่งที่เขาชอบและความสนใจของเขา คุณมัทช่วยผมแค่อย่างเดียวก็พอ"

"อะไรคะ"       เธอเลิกคิ้วถาม

"ผมอยากได้นิยายที่แมทเขียนทั้งหมดครับ"       คุณมัทพยักหน้าก่อนจะพูดต่อ

"ดูคุณเชนใส่ใจรายละเอียดจนมัทชักจะรู้สึกอิจฉาน้องชายตัวเองขึ้นมาแล้วค่ะ แต่เอาเถอะค่ะ ถ้าคุณเชนต้องการแค่นั้น เดี๋ยวมัทจะโทรให้เฟย์ขนนิยายของแมทไปให้ที่บ้านนะคะ"

"ขอบคุณมากครับ"

.......................................................................


ออด!!! ออด!!!

   จริงๆก็ยังไม่รู้เหตุผลหรอกว่าพาตัวเองมายืนอยู่หน้าบ้านพี่เมทำไม เพราะชาเขียวแก้วนี้ละมั้งที่นำทางผมมา และอีกอย่างคงเป็นเรื่องหลิน

"แมท"

"พี่เชน"       ยิ้มทั้งปากทั้งตาแบบนี้คืออะไร โมโหตัวเองจริงๆ ทำไมไม่เตรียมป้องกันตัวเองมาก่อน พี่เชนเป็นคนมีความสามารถในการละลายใจแค่ไหนก็เคยเจอมาบ้าง นี่แค่ยิ้มให้ก็ลืมเหตุที่มายืนอยู่ตรงนี้ไปหมดแล้ว

"มาหาพี่ใช่ไหม"       พี่เชนถามขึ้นขณะกำลังเลื่อนประตูรั้วเหล็กที่สูงแค่ไหล่

"ใช่"       อยากต่อยปากตัวเองที่พูดออกไปไวกว่าที่ใจคิด ผมขมวดคิ้วแต่พี่เชนกลับยิ้มแล้วยื่นหน้ามากระซิบใกล้หู

"ขอบคุณนะ"       ผมรู้สึกหลังจากพี่เชนดึงตัวเองกลับไปว่าทำไมตัวเองถึงไม่ถอยตัวหนี

"อือ...อืม ขอบคุณทำไม"       พยักหน้ากลับไปแบบเก้อๆ

"แค่อยากขอบคุณ เข้าไปในบ้านก่อนไหม"       แล้วผมก็พยักหน้า พี่เชนก็หันหลังเดินนำเข้าไป ในขณะที่เดินตามผมรู้สึกตัวช้าอีกครั้ง ทำไมใจง่ายได้ขนาดนี้

"แมทกินข้าวเย็นมาหรือยัง"

"พี่หายไปไหนมาทั้งวัน"       เราทั้งคู่พูดออกมาพร้อมกัน

"ที่ถามนี่เพราะรอพี่อยู่หรือเปล่า"       พี่เชนถามขึ้นพร้อมยกยิ้มมุมปาก ทำไมผมรู้สึกเหมือนคนที่กำลังโดนจับผิดเลย หรืออาจจะเพราะสายตาที่เหล่มองมาแบบนั้น

"เปล่าเลย วันนี้ไปเที่ยวกับโอ้ตมาทั้งวัน สนุกมาก"       ผมส่ายหน้าก่อนจะอธิบาย

"ดีแล้วครับ แล้วตกลงว่าทานข้าวเย็นมาหรือยัง"

"นิดหน่อย"

"งั้นก็ดีเลย ตามพี่มานี่สิ"       พูดจบก็เดินนำไปทางห้องครัว

"พี่ทำอะไร"       ผมถามขึ้นหลังจากเห็นของสดวางอยู่เต็มเคานเตอร์ครัว

"ตอนแรกกะจะทำอะไรง่ายๆ แต่พอแมทมาก็เลยว่าจะเปลี่ยนเป็นสปาเก็ตตี้ ดีไหม"       พี่เชนเงยหน้าขึ้นมาถามหลังจากค่อยๆขยับของบนเคานเตอร์ให้ดูเป็นระเบียบมากขึ้น

"ทำไมต้องเปลี่ยน ผมไม่ได้จะมากินข้าวเย็นกับพี่ซะหน่อย"

"วิธีจีบของพี่ต้องเริ่มจากการเดทกันก่อน และกินข้าวด้วยกันมันเป็นจุดเริ่มต้นของการเดทนะ หรือแมทจะให้พี่ข้ามขั้นไปจับมือหรือกอดเลยไหมหล่ะ พี่จะได้ทำเลย"       พูดจบก็ยื่นแขนสองข้างแล้วเดินมาทางที่ผมยืนอยู่ให้ต้องรีบยกมือห้าม

"เออๆๆ เริ่มจากกินข้าวก่อนก็ได้ แล้วนั่นพี่จะทำสปาเก็ตตี้อะไร"       ผมพยักเพยิดหน้าไปทางของที่วางอยู่บนเคานเตอร์เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ

"คาโบนาร่าไหม"       แค่นึกภาพตามก็เห็นเบคอนลอยไปลอยมาแล้วอ่ะ

"ก็ดีนะ"

"ได้ครับ งั้นแมทไปนั่งที่โซฟาก่อนก็ได้ เสร็จแล้วพี่เรียก"

"นั่งรอในนี้ไม่ได้เหรอ"       ผมถามขึ้นด้วยความสงสัย

"พูดออกมาตรงๆก็ได้ไม่ต้องอายหรอก แค่บอกพี่ว่าอยากอยู่ใกล้ๆ อ่ะตรงนี้เป็นไงใกล้พอไหม"         พี่เชนพูดไปก็เดินไปลากเก้าอี้บาร์ทรงสูงที่วางอยู่ข้างเคานเตอร์ครัวมาวางข้างเตาที่ตนเองยืนอยู่แทน

"แค่อยากรู้ว่าพี่จะทำยังไงต่างหาก ผมค่อนข้างแน่ใจแล้วหล่ะว่าพี่มันพวกเข้าข้างตัวเองเต็มขั้นจริงๆ"       พูดจบผมก็เดินไปนั่งตรงเก้าอี้ที่พี่เชนลากมาไว้ใกล้ๆเตา ถ้าพี่เชนเป็นพวกเข้าข้างตัวเองแล้วอย่างนี้ผมควรเรียกตัวเองว่าอะไรดี

"ปกติกินข้าวเย็นเยอะไหม"       พี่เชนหันมาถามขณะกำลังหยิบกระเทียมมาสับแล้วตามด้วยหอมใหญ่มาหั่นจนมันกลายเป็นลูกเต๋า

"แล้วแต่ ถ้าอร่อยก็กินเยอะ"       ผมตอบในขณะที่ตาก็จ้องไปที่เขียง พี่เชนหั่นหอมใหญ่ไวมาก และที่สำคัญคือขนาดมันดูใกล้เคียงกันซะจนดูผ่านๆเหมือนเท่ากันทั้งหมด ความเชี่ยวชาญมันเป็นแบบนี้นี่เอง

"แล้วกำลังลดน้ำหนักอยู่เหรอ"       พี่เชนหยุดหั่นแล้วเงยหน้าขึ้นมาถาม ออกจะขัดใจผมเล็กน้อยที่กำลังเพลินอยู่กับฝีมือการใช้มีดของพี่เชน

"ไม่หรอก ถ้าอยากก็กิน"       ถามคำผมก็ตอบไปคำ เพราะความสนใจของผมทั้งหมดมันอยู่บนเขียงนั่นต่างหาก ซึ่งตอนนี้มันเปลี่ยนเป็นเห็ดที่ถูกฝานจนบางเฉียบ

"พี่ว่าแมทต้องกินให้เยอะกว่านี้รู้ไหม เราผอมไป"

"อืมๆ พี่ไม่ต้มเส้นก่อนเหรอ"       ผมพยักหน้ารับส่งๆ แล้วถามเรื่องเส้น เพราะเท่าที่เคยรู้มาเส้นมันต้องใช้เวลาต้มนานพอสมควร ทำไมพี่เชนถึงไม่ต้มเส้นก่อน ปากก็ถามไป ส่วนสายตาก็จับจ้องอยู่ที่เขียงเหมือนเดิมแต่ตอนนี้เปลี่ยนจากเห็ดมาเป็นเบค่อนแทน

"เอ้าพี่ หยุดทำไม ทำต่อดิ"       อยู่ๆพี่เชนก็หยุดหั่นทั้งๆที่เบค่อนยังเหลืออีกตั้งครึ่งท่อน ผมถามอะไรผิดไปงั้นเหรอ

"เส้นพี่ต้มไว้แล้ว อยู่ที่อ่างล้างจาน และที่หยุดเพราะดูเหมือนเบค่อนนี่จะน่าสนใจกว่าสิ่งที่พี่พูด"       ผมละสายตาจากเขียงมามองหน้าพี่เชนแทน

"ก็ยังไม่เคยเห็นคนใช้มีดเก่งใกล้ๆขนาดนี้มาก่อนเลย พี่โคตรจะเป๊ะ!"      พอผมอธิบายจบพี่เชนกลับยิ้มกรุ้มกริ่มก่อนจะหยิบกระทะไปวางบนเตา

"อย่างอื่นก็เก่ง เดี๋ยวแมทก็ค่อยๆรู้เอง เรายังมีเวลาอีกเยอะ"       นี่รวมเป็นประโยคจำพวกเดียวกับที่ใช้พูดเพื่อจีบได้ไหม เพราะผมกำลังเข้าใจแบบนั้นถึงแม้มันจะค่อนไปทางเข้าข้างตัวเองของพี่เชนสักหน่อย

"อือๆ ทำเถอะ เตาร้อนแล้วนั้นอ่ะ"       ผมพยักเพยิดหน้าที่กำลังอมยิ้มไปทางเตาด้วยความเขิน

"หยิบเนยให้พี่หน่อยสิ"       ลงจากเก้าอี้แล้วหยิบเนยไปส่งให้

"ใส่เบค่อนเยอะๆนะ ผมชอบ"       แล้วพี่เชนก็ยิ้มพยักหน้าอีกครั้งก่อนจะหันไปจัดการใส่เนยในกระทะก่อนตามด้วยเบค่อนเยอะๆตามที่ผมต้องการแล้วค่อยๆผัดไปเรื่อยๆจนมันกลายเป็นสีเหลืองทอง

"ขอถามอะไรหน่อย"       ผมพอเห็นว่าพี่เชนกำลังมองหน้าผมอยู่ แต่เบค่อนในกระทะที่กำลังสะดุ้งตัวดูแล้วน่าสนใจกว่าพี่เชน

"ว่ามาสิ"       สายตาผมจับจ้องอยู่ที่กระทะและมือพี่เชน ถึงหูฟังแต่สมาธิมันก็ถูกจับจดอยู่ที่อาหารตรงหน้ามากกว่า

"แมทไม่ได้เล่นไลน์แล้วเหรอ"       ผมส่ายหน้าโดยไม่ได้มองหน้าพี่เชน มองแค่มือที่กำลังใส่หอมใหญ่ลงไปผัดกับเนยที่ผสมน้ำมันจากเบค่อนและตามด้วยกระเทียมสับ จนมีกลิ่นหอมดึงดูดให้รู้สึกหิวอีกครั้ง

"ไม่อ่ะ ไม่รู้จะเล่นกับอะไร แมทคืนไอแพดพี่มัทไปแล้ว"

"อะไรนะ"       คำถามของพี่เชนทำให้ผมต้องเบนความสนใจจากกระทะมาอยู่ที่ใบหน้าของคนที่กำลังถือมันแทน

"บอกว่าคืนไอแพดพี่มัทไปแล้ว โทรศัพท์ที่ใช้อยู่ถ่ายรูปยังไม่ได้เลย คงไม่ต้องพูดถึงโซเชียลหรอกนะ"       แล้วผมก็หันมาสนใจกระทะอีกครั้งซึ่งตอนนี้พี่เชนกำลังเทครีมลงไปจนท่วม แล้วค่อยๆเคี่ยวมัน

"อันนั้นได้ยินแล้ว"       พี่เชนตอบพร้อมรอยยิ้ม

"แล้วพี่จะถามซ้ำทำไม"

"เหมือนพี่จะได้ยินเราแทนตัวเองว่าแมท อยากให้ทำต่อไป"       ผมเงียบแล้วมองหน้าพี่เชนนิ่งๆ

"มันไม่ค่อยชินนะ เอาไว้ผมยอมคบกับพี่เมื่อไหร่ผมจะแทนตัวเองอย่างที่พี่ต้องการละกัน"

"งั้นก็ฝึกไว้ก่อนก็ได้ อีกไม่นานหรอก จะได้ชิน"       พูดจบก็ยิ้มที่มุมปากก่อนจะหันไปหยิบถ้วยชีสมาโรยในกระทะที่ครีมกำลังเดือด       

"โห! มั่นเนอะ"       พี่เชนยิ้มรับด้วยสีหน้ามีความสุข ทำอย่างกับไม่รู้ว่าผมกำลังประชด

"ใช่สิ พี่จะถามอีกอย่าง"

"พี่นี่ก็ช่างสงสัยนะ"

"พี่เคยโทรมาหาแมท แต่ไม่มีคนรับสาย"       พี่เชนถามในขณะที่มือก็กำลังคนซอส

"พี่รู้เบอร์ผมเหรอ"       ผมตาโตถามด้วยความสงสัย

"ก็เบอร์ที่ให้ไว้ตอนจองที่พัก"       พี่เชนพูดไปก็คนซอสที่เริ่มดูข้นๆหนืดๆในกระทะไปด้วย ก่อนจะหันตอกไข่สองฟองใส่ถ้วยแล้วตี

"นั่นมันเบอร์พี่มัท ไม่แปลกหรอกที่จะไม่มีคนรับ ใส่ไข่เพิ่มอีกฟองได้ไหม"       ผมอธิบายสาเหตุที่ไม่มีคนรับสายก่อนจะขอเพิ่มไข่ลงไปอีกสักฟอง     

"คุณมัทไม่ค่อยใช้โทรศัพท์เหรอ"       พี่เชนถามในขณะที่ตอกไข่ใส่ลงไปเพิ่มแล้วตีสักพักก่อนจะเทลงในกระทะ แล้วค่อยๆคนจนมันผสมกันตามด้วยโรยเกลือเล็กน้อย

"ใช้ แต่พี่มัทไม่รับเบอร์แปลก"

"อย่างนี้นี่เอง ซอสคาโบนาร่าเสร็จแล้ว"       พี่เชนปิดเตาแล้วใช้ช้อนเล็กๆตักซอสยื่นมาให้

ผมรับมาไว้ในมือ ความรู้สึกแรกที่ได้ชิมคือมันกลมกล่อมและ       "อร่อย"       ผมยิ้มตอบ มีอาหารจานไหนที่ผู้ชายคนนี้ทำไม่อร่อยบ้าง อร่อยแม้กระทั่งชาเขียว

"พี่"       ผมหันไปมองพี่เชนพร้อมเรียกทันทีที่นึกเรื่องที่ตั้งใจมาถามได้

"ครับ"       ลุกไปหยิบแก้วชาเขียวที่วางไว้ตรงเคานเตอร์ครัวมาชูตรงหน้าพี่เชน

"แก้วนี้แม่บอกว่าสอนพี่ทำ"

"ครับ"       พี่เชนพยักหน้าแล้วหันไปใส่เส้นที่หยิบมาจากตะกร้าที่อ่างล้างจานลงไปในกระทะ แล้วใช้ช้อนส้อมคลุกเคล้าซอสกับเส้นจนทั่วก่อนจะตักใส่จาน

"ทำไมพี่ถึงทำมันได้อร่อยเหมือนที่แม่ทำ ทั้งๆที่พี่ที่ร้านลองหัดทำเหมือนที่แม่บอกทุกอย่าง แต่...มันไม่เหมือน"       ผมส่ายหัวเป็นท่าทางประกอบคำพูด

"จำที่แมทเคยบอกพี่ได้ไหมว่าเพราะอะไรชาเขียวของแม่ถึงมีมากกว่าความอร่อย"       พี่เชนยกจานที่มีสปาเก็ตตี้มาวางบนเคานเตอร์ครัวแล้วโรยชีสเพิ่มลงไป       

"เพราะใส่ใจ"       พี่เชนพยักหน้าและยกยิ้มอย่างอ่อนโยน

"ถึงแม้พี่จะไม่รู้ว่าแม่ใส่ใจลงไปแค่ไหน หากวัดปริมาณได้ ของพี่ก็คงมากมายไม่ต่างกัน"       คำพูดที่ผมทำได้แค่ยิ้มตอบ ยิ้มอย่างคนที่กำลังมีความสุขเพราะถูกใส่ใจ ผมไม่รู้แม้แต่จะพูดอะไรต่อ ทำแค่ใช้ส้อมม้วนเส้นสปาเก็ตตี้ในจาน เอาแต่หมุนช้อนอยู่อย่างนั้นจนมันกลายเป็นก้อนใหญ่ขนาดที่ไม่น่าเอาเข้าปากไหว หวังในใจแค่ว่าพี่เชนคงจะดูไม่ออกว่าผมกำลังเขิน

.......................................................................


❤ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^^*
❤พี่เชนกลับมาแล้วววววว แอบหายไปเตรียมตัว
❤ตั้งใจให้มินวินเป็นดราม่าเรื่องเดียวในชีวิตที่จะเขียน แต่มันแอบโหดร้ายเกินไปจนเขียนต่อไม่ไหว เลยพักเอาไว้ก่อน เปลี่ยนมาเขียนเรื่องโอ้ตแทน ตอนนี้ไปได้เกือบครึ่งทาง แต่อ่านทวนแล้วเครียด 555 ไม่ค่อยชอบแนวนี้เลย รู้สึกมันมีความหดหู่แฝงอยู่ตลอดเวลา อนาชอบแบบเรื่อยๆ สบายๆ ตอนแรกกะจะลงเป็นตอนพิเศษของเรื่องนี้ มีสัก 10 ตอน แต่จบไม่ลงค๊ะ ตามสไตล์เวิ่นๆของอนา เพราะงั้นเอาเป็นเรื่องใหม่เลยละกันเนอะ แต่รอให้พี่เชนกับแมทเค้าตกลงปลงใจกันก่อน เพราะถ้าโอ้ตมาแทรกตอนนี้กลัวความสัมพันธ์มันจะระส่ำ เกี่ยวมั้ย แหะๆ นี่คิดเอาเองล้วนๆ
❤ซาวน์เสียงระหว่างมิน-วิน vs โอ๊ต-... ขอเชิญแฟนคลับที่มีน้อยนิดผู้น่ารักและเหนียวแน่นของอนาลงคะแนนเสียงได้เลยค่ะ ^^
❤อย่าลืมแวะไปติดแท็ก #รักระหว่างทาง กันด้วยน้า
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะคะ ขอบคุณค๊า



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-05-2015 08:46:47 โดย anana »

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
ที่แท้พี่เชนไปฝึกการจีบแมทนี่เอง

อนาจะว่าอะไรไหม
ถ้าคนอ่านจะบอกว่า
อยากอ่านทั้งมินวินและโอ๊ต-

ออฟไลน์ nicksrisat

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 948
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
พี่เชนสู้ๆได้ใจไปเยอะละ   :mc4:

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
พี่เชนนี่น่ารักดีนะครับ ดูอบอุ่น ใส่ใจแมทดี
ขอให้จีบสำเร็จไวๆนะ

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
พี่เชนใส่ใจทุกรายละเอียด ชอบๆๆๆ  :mew1:

ออฟไลน์ milkteabeige

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 336
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
พี่เชน 'ใส่ใจ' ขนาดนี้ เป็นเราเก็บข้าวของตามกลับฮ่องกงแล้วล่ะ น้องแมทอย่าปล่อยหลุดมือเชียวววว

ปล.แอบสงสารหลิน ชอบใครก็กลายเป็นของชายอื่นไปหมด 555 แต่ดูนางจะร้าย(ลึก)นะ

เพิ่งเข้ามาอ่านครั้งแรก และขอมานั่งรอตอนต่อไปค่ะ ^^

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
เขินไหมละ อ่านเเล้วอยากกินชาเขียวเลยอะ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ minenat

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1661
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
พี่เชนน่ารักจังง

หลินนี้นางมีแผนการอะไรหรือเปล่า รู้สึกเกลียดนางมากขึ้น :m16:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ตอนที่ 23


Matt Part


          แล้วผมก็กลายเป็นมนุษย์ที่หุบยิ้มไม่ได้ไปกว่า 10 ชั่วโมง แม้กระทั่งในฝันผมยังยิ้ม แล้วเมื่อวานก็มัวแต่เขินไร้สาระจนลืมเรื่องที่จะไปถามเสียสนิท สรุปว่าเพราะอะไรหลินถึงอยากให้พี่เชนกลับไปก่อนถึงค่อยมาเจอผมก็ไม่ได้รู้ มัวแต่เสียสติกับความสุขที่วิ่งชนเข้าอย่างจัง เวลาเขียนให้นางเอกในนิยายเขินยังไม่รู้สึกอยากจะจิกเล็บขนาดนี้ แต่นี่ถึงกับตื่นเต้นใจสั่น เหมือนร่างกายกำลังสูญเสียการควบคุม ความเขินนี่ก็น่ากลัวไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ

          วันนี้ก็อีก ชะตาชีวิตเหมือนสาปให้ช่วงนี้ชีวิตต้องตกอยู่ในสภาวะไร้การควบคุม ทุกคนรอบข้างดูจะเป็นใจกับการปล่อยให้ผมไปใช้เวลากับพี่เชนซะเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็น

"แมท ไปชวนพี่เชนมาทานข้าวเช้ากัน"

"แมท ชวนพี่เชนไปเก็บมังคุดที่สวนสิ จะได้มีอะไรทำ"

"แมท วันนี้มีตลาดนัดอาหารทะเล ชวนพี่เชนไปเดินเล่นไหม"

"แมท เอาขนมจีนแกงปูไปให้พี่เชนหน่อยไป"

          และอีกหลายแมทที่เรียกเพื่อให้ไปทำอะไรเกี่ยวกับพี่เชนตั้งแต่เช้าจนเที่ยง แต่มีอยู่อันหนึ่งที่ออกจะแปลกไปซะหน่อย

"พี่แมท ไปบ้านพี่เมกัน"       เฟย์ถามขึ้นก่อนจะนั่งลงที่โซฟาข้างๆผม

"เฟย์ พี่แมทไม่ควรไป พี่แมทอยู่บ้านนิ่งๆนะ อย่าออกไปเพ่นพ่าน มีงานก็หาทำ จนกว่าจะ 4 โมงเย็น"       สิ่งที่ฟินพูดนี่แหละ สิ่งที่ผมว่ามันแปลก

"ทำไมหล่ะ จะแอบไปทำอะไรกันหรือไง"       ผมถามฟินที่ยืนเกาะประตูหน้าบ้านอยู่

"ก็ไม่ถึงกับแอบหรอก เออน่า อยู่แค่บ้านพี่เมนี่เอง"       บ้านพี่เม แต่ตอนนี้พี่เมไม่อยู่ ก็แสดงว่าไปหาพี่เชนงั้นเหรอ สองแฝดที่แทบจะไม่ค่อยได้คุยกับพี่เชนจริงๆจังๆ แล้วไปสนิทกันตอนไหน

"ถ้าไม่บอกเดี๋ยวแอบไปนะ"       ผมหันไปมองหน้าเฟย์แต่เฟย์กลับหันไปมองฟินต่ออย่างมีพิรุธ

"แค่จะให้พี่เชนสอนภาษาอังกฤษให้หน่ะ ไปเถอะเฟย์เดี๋ยวการบ้านไม่เสร็จ"       ฟินกวักมือเรียกเฟย์ให้รีบลุกตามแต่ผมขว้าแขนเฟย์เอาไว้ก่อน

"ให้พี่สอนให้ก็ได้"       ปกติเคยมีพี่เชนอยู่ช่วยซะที่ไหนก็เห็นเรียนมาได้จนจะจบม.ปลาย

"ไม่ต้องอ่ะ อยู่บ้านไล่ tense ให้ครบ 12 อันก่อนเถอะ"       ผมปล่อยแขนเฟย์ทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น ไม่ได้โกรธนะ แค่กำลังอึ้ง ฟินมันรู้ได้ยังไง อย่างกับมีสัมผัสที่หก ยังไม่ทันจะได้ถามต่อ สองแสบก็ออกจากบ้านไปเรียบร้อยแล้ว และผมก็คงไม่ตาม ในเมื่อสองคนนั้นไปทำการบ้าน ผมก็ไม่ควรจะตามไป ขืนพี่เชนพูดจาอะไรทำนองเมื่อคืนต่อหน้าสองแฝดมีหวัง ความลับแตกถึงหูแม่แน่นอน มันยังไม่ถึงเวลาที่แม่จะรู้

.......................................................................


Chen Part


   วันนี้ผมจะเริ่มภารกิจที่ 2 และผมก็ต้องการความช่วยเหลือ นั่นก็คือจากน้องแฝด อันที่จริงผมอยากใช้เวลากับมันให้มากพอ ผมอยากเรียนรู้และเข้าใจในสิ่งที่เขารักและถ่ายทอดมันออกมาด้วยตัวผมเอง แต่เวลาที่ผมมีมันจำกัด ภาษาไทยที่พออ่านได้ก็ไม่ค่อยจะดีมากนัก กลัวว่าจะตีความผิด อีกอย่างภาษาในนิยายค่อนข้างยากสำหรับคนที่ไม่ค่อยคล่องหรือได้อ่านหนังสือภาษาไทยบ่อยๆ ผมจำเป็นต้องมีผู้ช่วย

"พี่เชนอยู่ไหมคะ"

"ครับ"       ผมรีบเดินออกจากครัวไปก็เห็นน้องทั้งคู่ยืนอยู่ที่ห้องรับแขกแล้ว

"พวกเรามาเร็วไปไหมคะ"

"ไม่ครับ พี่อบเค้กเพิ่งจะเสร็จพอดี ฟินกับเฟย์จะได้มีอะไรทานระหว่างช่วยพี่"

"ดีจังเลยค่ะ หอมขนาดนี้ต้องอร่อยแน่เลย"       ผมช่วยยกลังหนังสือที่ขอเอาไว้มาวางที่โต๊ะหน้าโซฟา

"น่าจะมาบอกให้พี่ไปช่วยยกนะครับ"       ผมบอกน้องทั้งคู่หลังจากวางลังหนังสือลงแล้ว

"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่นี้เอง เราสองคนยกได้ ปีนึงพี่แมทเขียนแค่เล่มสองเล่ม สบายมากค่ะ"       น้องเฟย์ยกหนังสือนิยายของแมทขึ้นมาโชว์ประกอบการอธิบายหนึ่งเล่ม

"ว่าแต่พี่เชนอ่านออกเหรอคะ นี่มันเป็นนิยายภาษาไทยนะคะ"       น้องฟินขมวดคิ้วถามให้ผมยิ้มตามกับท่าทางสงสัยนั้น

"จริงๆพี่ก็พออ่านได้ แต่อาจจะไม่ค่อยคล่อง พี่เลยขอความช่วยเหลือนี่แหละครับ"

"แล้วทำไมพี่เชนต้องอยากอ่านนิยายพี่แมทด้วยละคะ หรือว่าจะเป็นแฟนคลับ"       ผมยิ้มให้อีกครั้งกับท่าเอียงคอถามที่ดูน่ารักของน้องเฟย์

"จะใช่ได้ไงเฟย์ ถ้าเป็นแฟนคลับก็ต้องเคยอ่านสิ เป็นแฟนเฉยๆมากกว่าละมั้ง ใช่ไหมคะพี่เชน"     

"ทำไมพูดอะไรแบบนั้นฟิน พี่เชนก็เป็นผู้ชาย พี่แมทก็เป็นผู้ชาย จะเป็นแฟนกันได้ยังไง"       ผมได้แต่ฟังแล้วมองหน้าน้องทั้งคู่สลับกันไป

"ทำไมจะไม่ได้หล่ะ เฟย์นี่ไม่รู้อะไร ก็เนี่ยพี่เชนมาที่นี่ก็เพราะมาหาพี่แมทโดยเฉพาะเลย"       เสียงพูดที่ไม่ได้เบาเลยสักนิดมันช่างดูขัดกับทาป้องปากกระซิบของน้องฟิน

"ฟินไปเอาจากไหนมาพูด เกรงใจพี่เชน เรื่องจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้"       น้องเฟย์ก็กระซิบถามตามกันก่อนจะเหลือบตามามองหน้าผมให้รู้สึกเหมือนกำลังโดนนินทาแต่ดันได้ยินทุกอย่าง

"งั้นถ้าเฟย์คิดว่าฟินโกหกก็หมายถึงเฟย์คิดว่าป้าศิโกหกด้วย เพราะเรื่องนี้ป้าศิบอกฟินเอง"       

"เอ่อ อะไรนะครับ"       

"นี่พี่เชนก็ไม่รู้เหรอคะว่าป้าศิรู้ว่าพี่เชนมาจีบพี่แมท"       ในที่สุดผมก็ได้มีส่วนร่วมในการสนทนา

"รู้ถึงขั้นนั้นแล้วเหรอครับน้องฟิน"       ผมถาม

"ค่ะ แต่ป้าศิบอกว่าให้เก็บเป็นความลับค่ะ"       น้องฟินพูดบอกผมด้วยท่าทางจริงจัง

"เป็นความลับแล้วมาบอกพี่เชนทำไมหล่ะฟิน"       นั่นสิ

"ตายแน่ๆ ฟินต้องโดนป้าศิดุแน่ๆ"       คงจะเพิ่งนึกออกว่าตัวเองหลุดปากเรื่องที่ไม่ควรพูดออกมา

"น้องฟินไม่ต้องกังวลไปหรอก พี่ไม่พูดหรอกครับ แต่ยังไงก็ขอบคุณนะที่หลุดปาก"

"งั้นเรื่องที่พี่เชนมาจีบพี่แมทก็เรื่องจริงหน่ะสิคะ"

"ครับ"

"อีกแล้วที่มีแค่เฟย์คนเดียวที่ดูไม่ออก  ทุกคนรู้กันหมดเลย"

"ไม่เป็นไร ไม่เสียใจนะ ตอนนี้เฟย์ก็รู้แล้วไง รู้ช้าแต่ก็รู้"       อีกคนที่ก้มหน้าเสียใจอีกคนก็คอยปลอบ คนเป็นแฝดกันเขาดูแลเข้าใจกันดีนะ ดูแล้วอบอุ่น

"ฟินไม่แปลกใจบ้างเหรอ ผู้ชายทั้งคู่คบกันได้ยังไง"       ดูเหมือนน้องทั้งคู่จะลืมไปแล้วว่าผมนั่งอยู่ใกล้ๆแถวนี้

"ไม่แปลกใจหรอกเฟย์  เพื่อนเราที่ชอบแบบนี้ก็มีตั้งเยอะแยะ ป้าศิก็บอกว่าไม่แปลก"       แล้วจู่ๆบทสนทนาก็จบลงด้วยการที่น้องฟินยื่นหนังสือนิยายหนึ่งเล่มมาให้ผม

"นี่เป็นเล่มแรกที่พี่แมทเขียนค่ะ เริ่มอ่านเลยค่ะ"       ผมไม่กล้าที่จะถามเรื่องที่เพิ่งคุยกันไปต่อ ทำได้แค่รับนิยายมาไว้ในมือแล้วเริ่มเปิดอ่าน


.......................................................................


   ผมเริ่มอ่านนิยายของแมทไปทีละเล่ม เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง นิยายของแมทส่วนใหญ่จะเป็นนิยายที่ไม่ได้มีแค่เรื่องความรัก ผมรู้สึกได้ว่าแมทให้ความสำคัญกับทุกเรื่องรอบตัว แต่มีสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นจนน่าสงสัย ตัวเอกในนิยายของแมททุกเรื่องจะว่ายน้ำไม่เก่งหรือไม่ก็ค่อนไปในทางไม่เป็น ชอบทะเลแต่ก็เลี่ยงที่จะอยู่ใกล้ทะเลจนฟ้ามืด มันชัดเจนจนเกินไป เพราะอะไรแมทถึงเลือกที่จะสื่อความกลัวนี้ในทุกเรื่องที่เขียน นอกเสียจากเจ้าตัวจะรู้สึกกลัวเสียเอง

"แมทกลัวทะเลเหรอ"       ผมถามขึ้นหลังจากปิดนิยายเรื่องสุดท้ายและวางลง

"ไม่มั้งคะ ก็เห็นไปทะเลได้ปกตินะคะ"       น้องฟินส่ายหน้า

"แล้วแมทเคยลงเล่นน้ำไหม เท่าที่พี่อ่านดูเหมือนจะกลัวทะเลตอนก่อนจะมืดไปจนมันมืดสนิทนะ"

"เฟย์ไม่แน่ใจนะคะ พี่แมทเคยไปว่ายน้ำที่ทะเลด้วยกันหนนึง แต่ก็ตอนกลางวัน ส่วนกลางคืนก็ไม่เคยเห็นไปนะคะ แต่ใครจะไปทะเลตอนกลางคืนกันหล่ะคะ"

"อันนี้ฟินว่าก็คงเหมือนคนอื่นๆนั่นแหละค่ะ ทะเลกลางคืนไม่มีอะไรให้น่ามอง จะไปเห็นอะไร ใครๆก็คงคิดเหมือนกันว่าทะเลตอนกลางคืนมันน่ากลัวนะคะพี่เชน"       ถ้าแค่เฉพาะกลางคืนมันคงไม่น่าห่วงขนาดนี้ แต่ที่ผมอ่านๆดูแมทน่าจะกลับตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ตกดินเลยด้วยซ้ำ ในนิยายเล่มหนึ่งเขียนว่า 'หากฉันมีโอกาสสักครั้งในชีวิต ฉันอยากจะเดินทางไปดูพระอาทิตย์ตกริมทะเลกับคนที่ฉันรัก แต่นั่นคงเป็นเพียงแค่ความฝัน เพราะความหวาดกลัวในใจฉันมันช่างเอาชนะได้ยากเย็นเสียเหลือเกิน'

"หรือพี่เชนไม่คิดงั้นคะ"

"ครับ พี่คิดว่าแมทคงกลัวจริงๆ"       ความกลัวมีมากมายหลายร้อยชนิด แมทถ่ายทอดมันออกมาในนิยายจนผมรู้สึกได้ แมทพยายามกล่อมให้คนอ่านเป็นพวกของตัวเองและพยายามบอกคนอ่านว่าความกลัวสิ่งนั้นสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องประหลาด เขาทำเพื่อให้ตัวเองรู้สึกสบายใจว่าการกลัวทะเลในเวลากลางคืนนั้นไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร หากมันถูกเขียนไว้อยู่แค่ในนิยายแค่เรื่องเดียวมันอาจจะเป็นพล็อตเรื่องปกติ แต่มันอยู่ในแทบจะทุกเรื่องที่อ่านผมว่ามันไม่น่าใช่ และสิ่งเดียวที่จะยืนยันความสงสัยผมได้คือการพิสูจน์


.......................................................................


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-05-2015 23:11:00 โดย anana »

ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0

   
          ผมเลือกที่จะปรึกษาเพื่อนที่เป็นจิตแพทย์อยู่ที่ฮ่องกง เพื่อนผมแนะนำให้ลองพาแมทไปในที่ที่เราคิดว่าเขากลัว หากมันเป็นเรื่องจริงสิ่งแรกที่เขาแสดงออกคืออาการต่อต้าน และปฏิเสธ หรืออาจจะรุนแรงกว่านั้นขึ้นอยู่กับความทรงจำหรือเรื่องฝังใจ

"แมท"       ผมเรียกให้อีกฝ่ายหันมา หลังจากวางโทรศัพท์ก็รีบวิ่งไปที่บ้านแมท อีกครึ่งชั่วโมงก็จะ 6 โมงแล้ว เห็นคนที่ต้องการเจอกำลังยืนจัดรองเท้าที่ตู้ข้างที่จอดรถ

"ไปข้างนอกกับพี่หน่อยสิ"       ผมพยักหน้าเอ่ยชวน

"ไปตอนนี้เลยเหรอ ไปที่ไหน"       คนที่กำลังนั่งยองๆเรียงรองเท้าเข้าตู้อยู่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มจะเปลี่ยนสี

"ตอนนี้แหละดีแล้ว"       ค่อยๆเดินเข้าไปใกล้แล้วขว้าข้อมือเพื่อดึงให้ลุกขึ้นยืน

"ไปสิไป ไปก็ได้"       แมทพยักหน้างงๆแล้วก็เดินตามมา       

"ไปรถพี่นะ จอดอยู่หน้าบ้านแล้ว"       ดันหลังคนตัวเล็กกว่าให้พ้นประตูรั้ว

"พี่จะไปไหน"        แมทถามขึ้นขณะที่ผมกำลังเปิดประตูรถให้ ผมไม่ตอบและเลือกที่จะไปประจำที่นั่งคนขับแล้วออกรถ

"นี่มันถนนเลียบทะเลนี่ มีธุระที่โรงแรมแถวนี้เหรอ ทำไมไม่มาตั้งแต่ตอนกลางวัน นี่มันเย็นมากแล้วนะ"       คนข้างๆก็เริ่มมีคำถามเมื่อขับมาถึงถนนที่เลียบหาดไปเรื่อยๆ

"ตอนเย็นนี่แหละดีแล้ว แล้วพี่ก็ไม่ได้จะมาโรงแรม แต่พี่มาทะเล"       ผมยิ้มตอบเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะกังวล

"แล้วทำไมต้องไปทะเล ทะเลตอนกลางคืนมันน่ากลัวนะ"       ท่าทางขมวดคิ้วที่แสดงออกมาอย่างนั้นมันทำให้ผมเองก็รู้สึกกังวล

"ทะเลนี่แหละดีแล้ว"       ผมตอบด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง

"พี่จะไปทะเลที่ไหน"       ผมลังเลที่จะตอบเพราะกลัวว่าคำตอบจะทำให้แมทเปลี่ยนใจ แต่หากไม่ตอบผมก็กังวลว่าแมทจะไม่พอใจ ตอนนี้ผมเสียคะแนนไม่ได้ซะด้วยสิ

"หาดกะตะ แมทรู้จักใช่ไหม"       สุดท้ายผมก็เลือกที่จะบอกออกไป ถ้าแมทปฏิเสธหรือต่อต้านมันก็จะเป็นข้อมูลที่ดีให้กับผม

"เห้ย! พี่ไม่ไปที่นั่นได้ไหม"       แล้วมันก็เกิดขึ้น

"ที่นั่นแหละดีแล้ว"       ใช้หางตาลอบมองก็เห็นสีหน้ากังวลที่ฉายชัดขึ้น

"พี่พูดเป็นอยู่คำเดียวหรือไงวะ อะไรๆก็ดีแล้วๆ ผมขอใช้สิทธิ์ในการที่พี่จีบผม ให้พี่กลับรถแล้วพาผมกลับบ้านเดี๋ยวนี้"       คำพูดที่ต่อต้านและออกคำสั่งแต่น้ำเสียงกลับตรงกันข้าม มันค่อยๆอ่อนลงๆเรื่อยๆ จนรู้สึกได้ว่าน่าจะเป็นประโยคขอร้องเสียมากกว่า

"ต่อให้สิ่งที่พี่กำลังทำ จะเป็นสิ่งที่ทำให้แมทไม่ตกลงคบกับพี่ พี่ยอม"       ผมตอบออกไปก่อนจะตั้งใจขับรถไปตามทางที่จำมาจากแผนที่

"พี่เชน..."       เสียงเรียกที่อ่อนลงกว่าเดิม ให้ผมต้องหันไปมองแล้วเลื่อนมือข้างซ้ายไปกุมมือแมทเอาไว้

"เชื่อใจพี่สักครั้งนะ"       ผมประสานมือให้แน่นขึ้นก่อนจะส่งสายตาให้เป็นความหมายเดียวกับคำพูด

"พี่บอกก่อนดิว่ามาทำอะไรที่นี่ตอนนี้"       คนที่นั่งอยู่ข้างๆถามขึ้นทันทีที่รถจอดสนิท

"แมทกังวลอะไรบอกพี่ได้ไหม"       ส่ายหน้าแต่กลับขมวดคิ้ว

"ไม่ได้กังวล แค่ไม่ค่อยชอบ"       เอื้อมตัวเอามือข้างขวามากุมมือคนที่กำลังกังวลเอาไว้แล้วใช้มือซ้ายลูบหัวเบาๆเป็นเชิงปลอบ

"พี่อยู่ตรงนี้ ถ้ากลัวอะไรก็แค่บอกพี่"       ผมไม่รู้ว่าแมทเจออะไรมา ผมไม่รู้ว่าอะไรที่ฝังอยู่ในใจเขา ผมรู้แค่ว่าผมอยากเป็นคนพาให้เขาผ่านไป และผมก็เชื่อว่าแมทเองก็อยากจะผ่านมันไปให้ได้

"ไม่หนุกหรอก กลับเหอะ"       ยังคงขมวดคิ้วอยู่อย่างนั้นผมจึงตัดสินใจปล่อยมือแมทและลงจากรถ ผมเดินมาเปิดประตูรถอีกฝั่งแล้วก้มตัวลงมาคว้ามือคนที่กำลังขมวดคิ้มเป็นปมมากขึ้น

"พี่รู้ว่าแมทอยากมองทะเลคู่กับท้องฟ้าที่กำลังเปลี่ยนสี ถ้าแมทกังวลก็มีพี่อยู่ข้างๆไง ไปดูด้วยกันนะ"       

"พี่รู้ได้ยังไงว่าผมอยากเห็น"       ถึงจะลุกขึ้นมายืนตามแรงดึงแต่ก็ยังฝืนตัวเองไม่ยอมเดินตาม

"ไปดูด้วยกันก่อนนะ แล้วพี่จะบอก"

"โอเคพี่ ผมจะบอกว่าไม่ การที่ผมจะเห็นหรือไม่ได้เห็นมันไม่ได้ทำให้คุณภาพชีวิตผมดีขึ้นหรือแย่ลง เพราะงั้นถ้าพี่อยากดูพี่ก็ลงไปคนเดียว ผมจะรออยู่ตรงนี้"

"พี่คงไม่ถามว่าเพราะอะไรแมทถึงกลัว ไม่สิ แค่ไม่ชอบใช่ไหม แต่แค่เดินลงไปด้วยกัน มันก็ไม่น่าใช่เรื่องยากไม่ใช่เหรอ"

"พี่คงไม่เข้าใจผมจริงๆ โอเค ผมยอมรับว่าผมกลัว แล้วนี่มันก็ใกล้จะมืดแล้ว ผมทำใจให้เดินลงไปกับพี่ไม่ได้จริงๆ ผมขอโทษ"

"ไม่เห็นต้องขอโทษเลย แค่เผชิญหน้ากับมัน และไว้ใจพี่นะ พี่บอกแล้วไงว่าพี่จะอยู่ข้างๆ"

"พี่ไม่ได้มาเห็นอย่างที่ผมเห็นนี่ ถ้ามันง่ายขนาดนั้นผมคงทำไปนานแล้ว"

"พี่รู้ว่ามันคงไม่ง่าย เอางี้ ถ้าลงไปแล้วแมทไม่ไหวจริงๆเราจะกลับทันที และพี่สัญญาว่าพี่จะไม่พยายยามฝืนใจแมทอีก"       ไม่รู้ว่าเพราะอีกฝ่ายเชื่อใจผมหรือเพราะอยากผ่านมันไปให้ได้เช่นกันถึงได้ยอมเดินตามมา ผมกุมมือแมทเอาไว้หลวมๆ และเริ่มรู้สึกว่ามันแน่นขึ้นเรื่อยๆเมื่อเราเดินใกล้ทะเลมากขึ้น

"ไปตรงโขดหินตรงนั้นกันนะ"       ผมหันไปถามคนข้างตัวที่เริ่มมีเหงื่อซึมบริเวณขมับ และมือที่ผมกุมเอาไว้ก็เริ่มชื้นขึ้น ผมเลยเปลี่ยนจากการกุมเป็นค่อยๆประสานนิ้วแล้วจับให้แน่นขึ้น อย่างน้อยก็อาจจะช่วยให้เขามั่นใจว่าไม่ได้เผชิญหน้าเพียงลำพัง

"นั่งไหม"       ผมถามขึ้นอีกครั้งหลังจากเดินมาถึงบริเวณโขดหินเล็กใหญ่ที่เรียงรายกันอยู่

"ไม่ ผมอยากเห็นพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าชัดๆ"       ทั้งที่พูดอย่างนั้นแต่กลับเอาแต่ก้มหน้า

"ถ้าก้มอยู่อย่างนั้นจะเห็นได้ยังไง วันนี้พระอาทิตย์จะตกตอน 6 โมง 42 นาทีนะ นี่ก็ 37 นาทีแล้ว เหลืออีก 5 นาทีเองนะ เงยหน้าขึ้นมามองสิ"       ถึงผมจะบอกอย่างนั้น แต่คนข้างตัวกลับยังก้มหน้าอยู่อย่างเดิม เหงื่อที่มือก็เริ่มเยอะขึ้น ไม่รู้เพราะเราจับมือกันแน่นเกินไปหรือเพราะความกังวลกันแน่

"เงยหน้าขึ้นนะ ไม่ว่าแมทจะเห็นอะไร ให้คิดว่าพี่เห็นอย่างเดียวกัน เราจะเห็นไปพร้อมๆกัน ถ้ามันเลวร้าย แมทจะเห็นมันพร้อมกับพี่ พี่สัญญาว่าจะไม่ปล่อยมือ พี่จะไม่ปล่อยให้แมทเห็นเพียงลำพัง"       พอพูดจบแมทก็เงยหน้าหันมามองผมที่กำลังยิ้มและพยักหน้าให้ ผมรู้ว่าผมทำอะไรไม่ได้มาก เพราะผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าเรื่องที่แมทฝังใจมันหนักหนาแค่ไหน แต่สิ่งที่ผมทำได้ตอนนี้คือยืนอยู่ข้างๆ และปลอบใจให้แมทรู้ว่าเขาจะไม่ต้องเจอเรื่องเลวร้ายเพียงลำพังอีก


.......................................................................

         
           เหลือเวลาอีกแค่สองนาที ผมยังมองหน้าแมทอยู่อย่างนั้น ผมจะไม่เร่งให้เขาผ่านมันไปให้ได้ เพราะหากวันนี้ทำไม่ได้ พรุ่งนี้ก็จะลองใหม่ ผมจะลองไปเรื่อยๆ ทำไปเรื่อยๆจนกว่าแมทจะยอมแพ้ หรือถ้าแมทจะยอมแพ้ตั้งแต่วันนี้ผมจะยอมรับมัน อย่างน้อยก็ให้ผมได้พยายามให้แมทลองเผชิญหน้าและรับมือกับมันแล้ว จากที่ผมเห็นอาการกลัวและกังวลของแมทไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ได้ฟังตัวอย่างจากเพื่อนมา เขาแค่หลีกเลี่ยงการต้องอยู่ใกล้แค่ในบางช่วงเวลา ไม่ใช่ตลอดเวลาจนมีปัญหากับการใช้ชีวิตอย่างที่เจ้าตัวพูด และเพราะมันไม่มีผลต่อการดำเนินชีวิตผมเลยคิดว่าคงจะไม่คะยั้นคะยอถ้าหากแมทไม่อยากทำมัน

"แมท พระอาทิตย์กำลังจะตกแล้ว ดูสิ"       ผมกระตุกมือให้แมทเงยหน้าขึ้นมามอง พอดีกับที่แมทกำลังค่อยๆเงยหน้า

"ตอน 10 ขวบผมมาที่นี่ แล้วระหว่างรอแม่จอดรถผมเดินลงมาก่อน ผมยืนมองทะเลตอนพระอาทิตย์ใกล้ตกแบบนี้"       แมทค่อยๆเล่าในขณะเดียวกันพระอาทิตย์ก็ค่อยๆเคลื่อนตัวลงมาใกล้กับผิวน้ำ

"มีคนวิ่งมาจากด้านหลังชนเข้าที่ไหล่ขวาจนผมล้มก่อนจะหันมามองหน้าผมแล้ววิ่งในทะเลต่อไป"      ปล่อยให้แมทเล่าทุกอย่างออกมา ผมทำเพียงแค่กุมมือเขาไว้แล้วฟังอย่างเงียบๆ

"เขาค่อยๆเดินลงไปในทะเล ค่อยจมหายไปพร้อมๆกับพระอาทิตย์ที่ค่อยๆลับขอบฟ้า"       ผมเอื้อมมืออีกข้างไปซับเหงื่อที่ข้างขมับของแมท ก่อนจะเลื่อนลงมาลูบที่บ่าไปมาเบาๆ

"พอท้องฟ้ามืดสนิท ทั้งผู้ชายคนนั้นและพระอาทิตย์ก็หายไป ผมรอนานแค่ไหนไม่รู้แต่รู้ว่าผมกลั้นหายใจไปพร้อมกับตอนที่เขาจมหายไป จนผมกลั้นต่อไปไม่ไหวเขาก็ยังไม่โผล่ขึ้นมา สิ่งเดียวที่ผมคิดในตอนนั้นคือ เขาอาจจะว่ายน้ำไปโผล่ที่ไหนสักที่ที่ผมไม่เห็นแล้วขึ้นมาจากน้ำแล้วแน่ๆ"       พอแมทเล่าถึงตอนนี้พระอาทิตย์ก็กำลังจะลับสุดขอบฟ้าไปทั้งดวงพอดีกับท้องฟ้าที่เปลี่ยนจากสีแดงส้มเป็นสีน้ำเงินครามและค่อยๆมืดลงเรื่อยๆ

"แล้วเช้าวันรุ่งขึ้นก็มีคนพบศพถูกซัดขึ้นมาบนชายฝั่ง ลักษณะเสื้อผ้าในข่าวหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นที่ผมเห็นเป็นแบบเดียวกันกับที่เขาใส่คืนนั้น"       

"หลังจากนั้นผมก็ฝันเห็นภาพเดิมวนซ้ำทุกคืนๆ มันถูกฉายซ้ำอยู่อย่างนั้นจนผมกลัวที่จะมาที่นี่ในเวลาเดียวกันแบบนี้ และ 10 ปีหลังจากนั้นผมก็ลองพิสูจน์ความกลัวเหล่านั้นด้วยตัวเองอีกครั้งนะ ผมมาที่นี่ในเเวลาเดียวกันนี้ แต่ผมกลับทำใจให้ยืนอยู่จนพระอาทิตย์ตกไม่ได้จริงๆ ผมคิดว่าผมคงทำไม่ได้อีก ผมเลยละความพยายามแล้วปล่อยมันไว้ลึกๆในความทรงจำแล้วค่อยๆถ่ายทอดมันออกมาในนิยายเพื่อปลอบใจตัวเองว่ามันไม่ใช่เรื่องประหลาดที่ผมจะมายืนที่ชายหาดในเวลานี้ไม่ได้  ไม่ใช่เรื่องประหลาดที่เราจะไม่มาทะเลในเวลากลางคืน และไม่ใช่เรื่องประหลาดที่จะไม่มีโอกาสเห็นพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่ริมทะเลแบบนี้อีกต่อไป"       สายตาที่ทอดมองออกไปกลางทะเล และน้ำเสียงที่ฟังดูหดหู่ทำให้ผมรู้สึกเสียใจไปกับเรื่องที่แมทเคยเจอ มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายกับการที่ต้องเจอสิ่งเลวร้ายเพียงลำพังแล้วยังฝังใจตั้งแต่เด็ก

"แต่ตอนนี้แมททำได้แล้วนะ"       ผมพยายามพูดให้เขารู้สึกดีขึ้น

"ขอบคุณนะ ที่เหลือก็รอแค่ว่าผมจะยังฝันแบบเดิมอยู่ไหม เพราะเมื่อ 5 ปีที่แล้วที่ผมลองมาที่นี่อีกครั้ง ผมก็ยังเก็บเอาไปฝันอยู่อย่างเดิม"       ได้ยินอย่างนี้ก็ยิ่งอยากไปอยู่ข้างๆ สิ่งที่ผมกำลังกังวลคือเขาจะผ่านคืนนี้ไปได้ไหม ในเวลาที่เขากำลังฝันมันจะะเลวร้ายแค่ไหน ผมไม่รู้ว่าจะทำให้แมทอุ่นใจขึ้นได้บ้างไหม แต่ผมก็อยากอยู่ตรงนั้น

"ความฝันบางครั้งมันก็มาจากจิตใต้สำนึกนะ ตอนนี้แมทผ่านมันไปได้แล้ว แมทอาจจะไม่ฝันแบบเดิมๆแล้วก็ได้"       ถ้าหากคำพูดมันช่วยได้ ผมก็อยากจะโน้มน้าวให้แมทได้ฟังแต่ความเห็นในทางที่ดี

"พี่นี่ก็วิเคราะห์เก่งนะ อย่างกับเป็นจิตแพทย์"       อย่างน้อยก็ยิ้มออกมา มันทำให้ผมเบาใจ

"ป่าวหรอก พี่ถามเพื่อนมา แล้วตอนนี้พี่คิดว่าอาการ Thalassophobia ที่แมทเป็นอยู่คงจะค่อยๆดีขึ้นแล้วหล่ะ"       มันเป็นลักษณะอาการที่เพื่อนผมบอก ชื่อที่ฟังดูเฉพาะ แต่มันก็มีอยู่จริง

"อาการอะไรนะ"       แมทถามซ้ำ คงสงสัยไม่ต่างกับที่ผมได้ยินมันครั้งแรก

"อาการกลัวทะเลที่แมทเป็นอยู่ไง ประมาณว่ากลัวทะเลที่ลึกๆหรือมืดจนมองไม่เห็นอะไรทำนองนี้"      ผมอธิบาย

"ว่าแต่พี่รู้ได้ยังไงว่าผมกลัวทะเลเวลานี้"       แมทหันมามองหน้าผมแล้วถามขึ้น ท้องฟ้าตอนนี้เริ่มมืดขึ้นเรื่อยๆ ยังดีที่พอมีแสงไฟจากถนนอยู่บ้าง

"แล้วมีใครที่รู้เรื่องนี้บ้างหล่ะ"       ผมถาม เรื่องสำคัญขนาดนี้คนในครอบครัวรวมทั้งโอ้ตน่าจะรู้

"มันน่าอาย ผมเลยไม่เคยบอกใคร"       ความกลัวไม่ใช่เรื่องน่าอายเลยสักนิด

"น่าแปลกนะ กลัวขนาดนี้แต่กลับไม่มีใครรู้"

"ทะเลกลางคืนมันไม่มีอะไรให้ดูมากนัก และคงไม่มีใครมาขอให้ผมพามาทะเลตอนใกล้จะมืดแบบนี้หรอก มันปฏิเสธที่จะไม่มาง่าย ผมเลยไม่จำเป็นต้องเล่าให้ใครฟัง ว่าแต่พี่เถอะ รู้ได้ยังไง"       คำถามที่ออกมาทั้งที่ไม่ได้มองหน้าผม เอาแต่มองพื้นแล้วใช้เท้าเขี่ยทรายไปมา

"นิยายที่แมทเขียนไง"       ผมอยากจะเอื้อมมือไปโอบไหล่แมทเอาไว้นะ แต่เรายืนห่างกันเกินไป เลยทำได้แค่ค่อยๆขยับไปยืนให้ใกล้กว่าเดิม

"นี่พี่กำลังเอาชนะใจผมโดยการศึกษาตัวตนผมจากนิยายที่ผมเขียนงั้นเหรอ"       ในที่สุดก็ละความสนใจจากทรายบนโขดหินมาที่หน้าผมแทน

"เรียกว่าเรียนรู้จะดีกว่า ถ้าเราต้องการจะรู้คาแรกเตอร์และนิสัยของตัวละครในนิยายเราก็ต้องอ่านเรื่องนั้นไปเรื่อย  แต่ถ้าหากเราอยากรู้จักตัวตนของคนที่เขียน เราก็ต้องอ่านนิยายที่เขาเขียนให้ครบทุกเรื่อง"       ผมยิ้มให้ ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการเข้าไปใกล้อีกฝ่ายโดยใช้สิ่งที่เขาชอบเป็นตัวช่วย

"นี่พี่อ่านครบทุกเรื่อง"       ผมพยักหน้าตอบ

"ใช่ และก็โชคดีที่พี่เห็นตัวตนแมทผ่านนิยายที่แมทถ่ายทอดจริงๆ อย่างเรื่องนี้ก็ด้วย"

"พี่เชน"       ลากเสียงเบาๆพร้อมเลิกคิ้วมองหน้าผมให้ยิ้มตอบ

"แมทยอมแพ้แล้ว ไม่ต้องจีบแมทแล้วนะ"       

"นี่พี่ทำอะไรไม่ถูกใจแมทหรือเปล่า"       ผมผูกปมระหว่างคิ้วแล้วเอ่ยถาม ผมกำลังทำพลาดใช่ไหม

"เปล่าเลย ไม่ต้องเสียเวลาจีบแล้ว คบกันเลยนะ แมทไม่สนเงื่อนไขอะไรที่อยู่ในหัวก่อนหน้านี้แล้ว แมทเชื่อว่าถ้ามีพี่อยู่ข้างๆแล้วแมทจะผ่านมันไปได้แน่นอน"       ขอบคุณที่ไม่ใช่อย่างที่ผมคิด คำพูดของแมททั้งหมดนี้ทำให้ผมกล้าที่จะขยับตัวไปยืนชิดอีกฝ่ายมากขึ้น มือที่ยังกุมอยู่อย่างนั้น รอยยิ้มที่กว้างขึ้นกว่าเดิม คำเรียกแทนตัวเองที่เปลี่ยนไป และคนตรงหน้า ทั้งหมดนี้เป็นของผม


.......................................................................


Matt Part


          ฟ้าที่เริ่มมืดลงเรื่อยๆ ท้องฟ้ายามค่ำคืนแบบนี้ผมไม่รู้มาก่อนว่ามันสวย จริงไม่รู้ขึ้นเพราะได้ยืนมองจากริมทะเลที่มีคลื่นซัดสาดเข้ามาหรือเพราะมีคนข้างๆยืนมองมันด้วยกัน ในที่สุดผมก็ได้มองอาทิตย์ลับขอบฟ้าอย่างที่เคยตั้งใจไว้ได้แล้ว คงต้องขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้เราเจอกัน ขอบคุณตัวผมเองที่เป็นคนขี้ลืมไม่รอบคอบ ขอบคุณที่เลือกจะช่วยเหลือผม ขอบคุณที่มองเห็นผม มองเห็นตัวตนและอะไรหลายๆอย่างในตัวผม ขอบคุณที่เดินตามผมไปที่รถไฟฟ้า ขอบคุณที่มาหาผมถึงที่นี่ ความรักของผมตอนนี้มันอาจจะเร็วไปสำหรับใครหลายๆคน แต่สำหรับผมมันเกิดขึ้นแล้ว นับตั้งแต่นี้ต่อไปผมจะใช้หัวใจมอง ผมจะไม่ใช้เรื่องเพศมาตัดสินความรู้สึกที่ผมมีให้ ผมจะเชื่อในความรักที่ผมเลือก และคนตรงหน้าที่รวมความรักให้มันเกิดขึ้น

"กอดกันไหม"      ผมถาม

"ทำไมถึงคิดว่าเราควรทำอย่างนั้น"

"สัญชาตญาณมั้ง"      ไม่ต้องพูดอะไรต่อ ผมหันหน้าไปหาพี่เชนแล้วจับไหล่อีกฝ่ายให้โน้มตัวเข้ามาใกล้ และผมเองก็ขยับตัวเข้าหา วินาทีแรกที่ตัวเราค่อยๆสัมผัสกัน รู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน ผมปล่อยให้พี่เชนนำผมไป ผมคว้าไหล่กว้างนั้นไว้อย่างแน่นราวกับกลัวว่ามันจะหายไปและพี่เชนก็กระชับอ้อมกอดกลับมา ต่อจากนี้ผมจะไม่หนีอีกแล้ว

เรากอดกันอย่างนั้นอยู่สักพัก       "พอไหม"       ผมถาม

"อยู่แบบนี้สักพักก่อนนะ"       พี่เชนกลับกอดแน่นขึ้น เรากอดกันอย่างไม่รู้สึกเมื่อย ขอบคุณก้อนหินที่ทำให้เราสูงเท่ากัน ขอบคุณมันที่ทำให้เรากอดกันอย่างไม่ลำบาก

"ติดใจอ้อมกอดแมทขนาดนั้นเลยเหรอ"       ผมพูดก่อนจะผละออกมา และตอนนี้ผมไม่รู้ว่าตัวเองแสดงสีหน้าแบบไหน พี่เชนถึงได้ยิ้มให้อย่างอบอุ่นแบบนี้


"พี่อยากแน่ใจว่าสัญชาตญาณของแมทเป็นสิ่งที่พี่เชื่อได้"      พูดจบพี่เชนก็คว้าเอวผมแล้วแล้วดึงตัวเข้ามากอดอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันแน่นกว่าเดิม แน่นจนอบอุ่นใจ และแน่นแบบที่ผมไม่รู้สึกอึดอัดเลยสักนิด

"เพราะอะไรแมทถึงยอมรับพี่"       พี่เชนค่อยๆลดคางลงมาวางบนไหล่ผม

"ลองทายดูสิ"       ผมตอบด้วยรอยยิ้มที่อีกฝ่ายไม่เห็น

"เพราะพี่พยายามเหรอ ดูเหมือนจะเป็นอย่างเดียวที่พอทำให้แมทมองเห็นได้"

"ไม่ใช่เลยสักนิด ความใส่ใจต่างหาก ความใส่ใจในทุกๆเรื่องเกี่ยวกับตัวแมท ตังแต่ที่ฮ่องกงจนถึงที่นี่ตอนนี้"       ถ้าพี่เชนมีแค่ความพยายามแต่ไม่มีความใส่ใจทุกอย่างมันคงดูไม่มีความหมาย พี่เชนใส่ใจแม้กระทั่งผมทานข้าวเช้าไปเยอะแค่ไหน ถึงเวลาต้องทานข้าวเที่ยงก็วิ่งไปซื้อเบอร์เกอร์มาให้ จำได้ว่าผมชอบเครื่องดื่มอะไร ใส่ใจแม้กระทั่งความหนาวเย็นทั้งๆที่ผมก็เป็นผู้ชาย ตอนนี้ผมมรู้แล้วว่าเพราะอะไรผมเอาแต่คิดถึงผู้ชายคนนี้

"พี่ทำทั้งหมดก็เพราะพี่อยากทำ ทำเพราะว่าเป็นแมท เข้าใจไหม"       ผมพยักหน้าอยู่บนไหล่พี่เชนอย่างนี้นี่เอง เพราะเป็นผม คำพูดนี้มันทำให้รู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

"แมทดีใจนะที่เราต่างก็คิดถึงกันและกัน"

"หึหึ...ความคิดถึงนี่มันน่ากลัวจริงๆ"       พี่เชนหัวเราะออกมาเบาๆ ใช่...ความคิดถึงมันน่ากลัว มันเคยทำให้ผมไม่มีแม้แต่เวลาจะไปคิดถึงเรื่องอื่นเลย

"ขอบคุณที่พี่พยายาม ขอบคุณจริงๆ แมทไม่รู้จะพูดอะไรดีนอกจากคำว่าขอบคุณ และขอโทษนะครับที่แมทไม่พยายามจะทำอะไรสักอย่าง และยังไม่กล้าพอ  ไม่กล้าแม้แต่ในความคิด"

"พี่ก็ต้องขอบคุณ ขอบคุณที่เราซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง"       ผมเคยเป็นคนที่ตั้งความหวัง คาดหวังอะไรไว้มากมายกับความรัก ผิดกับตอนนี้ ความรักในแบบที่ไม่เคยคิด ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้มันอาจจะผิดจากที่คิดไว้ แต่ทั้งหมดนี้เป็นความรู้สึกที่ออกมาจากใจเราทั้งคู่ ไม่ได้ไม่ได้ปรุงแต่งอะไรทั้งนั้น ความสุขมันก็แค่นี้เอง แค่เรายอมรับและซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง

"ขอบคุณครับ"       อีกครั้ง แสดงให้เห็นว่ามันออกมาจากใจจริงๆ

"พี่ไม่อยากปล่อยเราเลย"       ผมก็ไม่อยากเอาตัวเองออกจากอ้อมกอดนี้เช่นกัน แค่กอดนี้ก็ตอบคำถามในใจผมได้ทุกอย่าง

"อย่าปล่อยนะ กอดแมทเอาไว้ให้แน่นๆ อย่าปล่อยให้แมทจากพี่ไปไหนอีก"       อย่าให้เราต้องทรมานเพราะความคิดถึงกันอีกเลยนะ  ตอนนี้ผมทั้งอบอุ่น มีความสุข และสบายใจ นี่คือความรู้สึกที่ผมรับรู้ได้เมื่ออยู่ในอ้อมกอดนี้

.......................................................................


❤ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^^*
❤อยากมีสัญชาตญาณแบบนี้บ้าง ฮรือๆๆๆ เขียนเองก็อิจฉาเอง
❤อย่าเพิ่งย่ามใจไปกับความดีของพี่เชนนะ หึหึหึ !!! อนาขอเตือนไว้ นี่มันเพิ่งเริ่มต้น แค่ความรักมันไม่ได้หมายความว่าจะอยู่ด้วยกันได้นะ ความฝันก็สำคัญเช่นกัน แอบสปอย เหอะๆ กลัวคนอ่านทิ้งเรา
❤ขอบคุณนะคะ คุณ snowbox เร็วๆนี้เตรียมตัวเจอความน่ารักของโอ้ตกับหนุ่มปริศนาได้เลย เพราะตอนนี้พี่เชนกับแมทเค้าตกร่องปล่องชิ้นกันไปครึ่งทางละ อิอิ
❤อย่าลืมแวะไปติดแท็ก #รักระหว่างทาง กันด้วยน้า
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะคะ ขอบคุณค๊า


ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ nicksrisat

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 948
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
คบกันแล้ววว ดีใจด้วยนะพี่เชน :katai2-1:

ออฟไลน์ milkteabeige

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 336
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
หือออ จะวางใจได้ไงคะ ถึงตกร่องปล่องชิ้นแล้ว แต่เดี๋ยวพี่เชนกลับฮ่องกงอีก ฮรืออออ

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
ไม่ต้องจีบเเล้ว คบกันเลยเถอะ
ดีลูกดี 555 รออะไรผู้ชายดีๆ เดี๋ยวหนูจะถูกน้องนีคาบไปก่อน

ออฟไลน์ minenat

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1661
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
อ่านจบนี้ก็เขินเลย

แต่มันมาสะดุดตรงที่คุณอนาบอกสิคะ
คุณอนาจะทำร้ายคนอ่านหรือคะ :z3:

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
ในที่สุดก็คบแล้ว ต่อจากนี้จะเป็นยังไงนะ

ซึ้งอ่ะ ตอนนี้ น้ำตาจะไหล

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
นี่แค่เริ่มคบกันเองนะ
ขอหวานๆเพื่อเป็นกำลัง
ในการกินมาม่าสัก 2 3 ตอนนะ

ว้าวๆๆๆคู่โอ๊ตจะมาแล้ว ขอน่ารักๆนะ
เพราะคนอ่านหวงโอ๊ตมากๆเลยแหล่ะ
แอบสงสารบุคคลปริศนาล่วงหน้าแล้วนะ
ก็โอ๊ตรักแมทมาตั้งนาน จะเปลี่ยนใจ
ไปรักคนอื่น คงต้องใช้เวลาและความผูกพันธ์

ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ตอนที่ 24


Chen Part


          คบกันแล้วมีความสุขกว่าตอนที่ทำได้แค่คิดถึงอย่างเดียวอีกนะ ว่ากันว่าช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ ผมไม่อยากให้ช่วงเวลาเหล่านี้มันรีบผ่านไปเลย ไม่เคยคิดมาก่อนว่าการกอดผู้ชายด้วยกันก็ทำให้รู้สึกดีได้ ผมว่ามันคงเป็นเรื่องของความรู้สึกแล้วหล่ะ ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นใคร ขอแค่เป็นคนที่เรารู้สึกรัก รู้สึกดีด้วย ก็จะรู้สึกอยากอยู่ใกล้ๆ อยากโอบกอดไว้ตลอดเวลา เหมือนอย่างตอนนี้ที่ผมไม่อยากปล่อยมือจากคนข้างตัวเลย แค่อยากทำอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ เอื้อมแขนไปกอดแล้วขว้ามืออีกฝ่ายมาจับไว้ มันดีกว่านั่งห่างๆกันตั้งเยอะ

"เมื่อยแล้วอ่ะ"       ผมยังคงกอดแมทไว้อย่างนั้นทั้งๆที่เราดูหนังจบไปแล้วถึงสองเรื่อง ผมชวนแมทมาดูหนังด้วยกันตั้งแต่เช้า เพราะความสุขมันจุกอกผมทั้งคืนจนต้องตามหาต้นเหตุให้มาอยู่ใกล้ๆเผื่ออาการจะดีขึ้น
       
"งั้นพี่เปลี่ยนไปนั่งฝั่งโน้นนะ จะได้สบายขึ้น"       เสนอตัวเพื่อเปลี่ยนที่นั่ง ก่อนจะลุกย้ายฝั่งมาตามที่พูดแล้วสอดแขนเข้าที่ระหว่างหลังแมทกับโซฟารั้งให้คนข้างตัวเข้ามาใกล้ การที่ต้องต้องนั่งเอียงตัวอยู่ข้างเดียวเป็นเวลานานก็พอเข้าใจว่ามันเมื่อย และในเมื่อผมไม่อยากจะปล่อยผมก็ควรหาทางให้อีกคนนั่งได้สบายขึ้น ก่อนจะกอดไว้อย่างเดิม

"นั่งข้างๆอย่างเดียวได้ป่ะ มันอึดอัด"       ผมคิดว่านั่นคงเป็นเพราะแมทยังไม่ชิน การกอดมันคือการแสดงความรักอย่างหนึ่ง ถ้าเรารักกันแล้วก็ควรทำบ่อยๆ มันเหมือนกำลังถ่ายทอดและส่งต่อความรัก

"ไหนเมื่อวานยังบอกว่าให้กอดแน่นๆ อย่าปล่อยให้แมทไปไหนอีก พี่ก็ทำอยู่นี่ไง"       ผมยังจำคำพูดทุกอย่างที่แมทพูดเมื่อวานได้เป็นอย่างดี แต่สำหรับเรื่องนี้ผมก็ยกมันมาเพื่อเป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น

"ปล่อยบ้างก็ได้"       แต่รอยยิ้มที่เห็นดูเหมือนจะไม่อยากให้ปล่อย ซึ่งแน่นอนผมคิดเองโดยไม่ได้ถาม และเริ่มรั้งแขนเพื่อดึงตัวแมทเข้ามาใกล้ขึ้น

"แต่การกอดกันมันช่วยยกระดับความสัมพันธ์นะ"       จริงๆผมก็อ้างไปเรื่อย ไม่รู้หรอกว่ามันช่วยมากแค่ไหน ตอนนี้คิดแค่อยากกอด ทำมากกว่านี้ก็ยังไม่กล้า

"ก็เข้าใจ"       พยักหน้าไปด้วยทั้งที่ตายังคงจดจ้องอยู่ที่จอทีวี

"การกอดมันแสดงให้เห็นว่าพี่ยังอยู่ที่นี่ ตรงนี้ข้างๆแมทนะ"       ผมรู้สึกตัวเองกำลังเป็นคนน่าสงสาร หนังตรงหน้าดึงดูดความสนใจคนข้างตัวได้มากกว่า

"ก็เห็นอยู่"       ปากบอกว่าเห็นทั้งๆที่ตาไม่ได้แม้แต่จะมอง

"พี่ว่าหนังมันก็เหมือนกันทุกเรื่องนะ นั่นอ่ะ นางเอกกำลังงอน เดี๋ยวอีกสักพักก็ต้องง้อ มันมีแพทเทิร์นของมัน แต่พี่ไม่มีแพทเทิร์นนะ ดูพี่อาจจะตื่นเต้นกว่าก็ได้"       ตลกตัวเองชะมัดที่พูดอะไรแบบนี้ออกไป เหมือนโฆษณาชวนเชื่ออะไรสักอย่าง
 
"เดี๋ยวนะ เมื่อเช้าพี่ไปชวนแมทมาดูหนังเองไม่ใช่เหรอ แล้วตอนนี้แมทก็กำลังเข้าถึงอารมณ์หนัง พี่ก็มาขัด อะไรของพี่วะ"       หลังจากกดรีโมทหยุดหนังก็ยกขาขึ้นมาขัดสมาธิบนโซฟาโดยหันตัวเข้าหาผมแล้วมองด้วยสีหน้าและท่าทางที่จริงจัง

 "หนังมันก็แค่ข้ออ้าง ที่ชวนมาก็แค่อยากอยู่ใกล้ๆ ไม่คิดว่าหนังจะน่าดึงดูดกว่าพี่"       ใครจะไปคิดว่าแมทจะไม่เข้าใจเจตนาของผม พูดจบก็แบะปากก้มหน้า ผู้ชายตัวโตๆอย่างผมทำท่าทางแบบนี้ถ้าได้เห็นตัวเองในกระจกคงอยากทุบให้แตก แต่ก็ต้องกลั้นใจทำเพื่อเรียกร้องความสนใจ

"พี่นี่ก็มุ้งมิ้งเหมือนกันนะ วันหลังจะให้มาทำอะไรก็พูดให้มันชัดเจน ไม่ต้องหาอะไรมาบังหน้า เข้าใจนะ"       ถึงจะไม่ได้เชยคางให้ขึ้นมามองหน้ากันให้ดูอ่ออนหวาน แต่การก้มลงมาช้อนมองหน้าผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์แบบที่ไม่เหมาะกับแมทเลยสักนิดนั้น ก็ทำให้ผมที่กำลังก้มหน้าอยู่ถึงกับหลุดยิ้มออกมา ผู้ชายด้วยกันนี่นะ จะไปคาดหวังความอ่อนหวานอะไรอย่างนั้น

"มุ้งมิ้งคืออะไร"       คำศัพท์ที่ผมไม่คุ้นชิน อาจจะเป็นศัพท์ใหม่หรือแสลงที่ผมไม่เข้าใจ แต่มันก็เป็นคำที่น่าฟัง

"มุ้งมิ้งก็แบบนี้ไง"       พูดจบก็ใช้มือทั้งสองข้างมาประคองหน้าผมก่อนจะโยกไปมาโดยที่เจ้าตัวนั้นยิ้มหยีทั้งปากทั้งตา แล้วก็โยกหน้าตาม สักพักก็หยุดแล้วยื่นหน้ามาทำปากจู๋แบบที่ม๊าชอบบอกให้ผมทำตอนเด็กๆ ดูแล้วน่ารัก ผมชักจะชอบคำว่ามุ้งมิ้งซะแล้ว

"มุ้งมิ้งบ่อยๆนะพี่ชอบ"       ขยิบตาให้หนึ่งครั้งพร้อมรอยยิ้ม เดาว่านี่คงรวมอยู่ในจำพวกเดียวกับมุ้งมิ้ง

"ฮ่าๆๆ ทำไรของพี่เนี่ย ตลก ไหนว่ามาสิแพทเทิร์นของพี่น่าสนใจกว่าหนังที่ผมดูตรงไหน"       ถามจบก็หันตัวไปนั่งห้อยขาอย่างเดิม แมทคงอยู่คนเดียวมาจนชิน สงสัยคงต้องค่อยๆใส่ความโรแมนติกให้ซึมซับบ่อยๆ

"พี่บอกไปแล้วไงว่าคนอย่างพี่ไม่มีหรอกแพทเทิร์น มันเลยน่าค้นหา อย่างวันนี้พี่อยากกอดพี่ก็จะกอด เพราะการกอดมันก็เหมือนการเริ่มต้นก่อนจะทำสิ่งต่อไปด้วย"       ยังคงพยายามดึงดูดความสนใจต่อไป ในขณะที่อีกคนก็สนใจแต่จะกดรีโมทเพื่อเล่นหนังต่อ

"อืม"       คำตอบกลับสั้นๆทำให้ผมตัดสินใจที่จะทำสิ่งต่อไปอย่างที่พูด ว่าแล้วก็เอื้อมแขนไปคว้าเอวคนข้างตัวแล้วออกแรงลากมาใกล้ๆ ก่อนจะโน้มตัวลงไปหอมแก้มฟอดใหญ่
 
"หือ"       รีโมทที่หลุดมือและท่าทางเหวอๆอ้าปากตาโตแบบนั้นคงจะตกใจ แสดงว่าผมเรียกร้องความสนใจสำเร็จสินะ     

"พี่เชน"       ก้มหยิบรีโมทที่หลุดมือขึ้นมาวางบนโต๊ะแล้วหันมามองหน้าผมด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนยังอึ้งอยู่

"ครับ"       ผมยิ้มตอบอย่างคนมีความสุข

"ฉวยโอกาสหว่ะ"       ผมว่าแล้วว่าอย่างแมทคงไม่ปล่อยให้ผมทำโดยที่ตัวเองทำแค่ยิ้มเขินอย่างเดียวแน่ ต้องโดนบ่นบ้างแต่ก็คุ้ม

"ยอมรับ"       และถ้าผมปฏิเสธก็คงโดนว่าต่อ ยอมรับไปซะแมทจะได้ชินคราวหน้าจะได้ไม่เรียกว่าฉวยโอกาส เพราะสำหรับผมมันคือการแสดงความรัก

"งั้นมาให้เอาคืนเลย"       พูดจบก็วางรีโมทแล้วโน้มตัวลงมาค้ำกับพนักพิงโซฟาก่อนจะก้มลงหอมแก้มซ้ายของผม
 
"ถ้าจะทำแบบนี้บอกดีๆเดี๋ยวยื่นหน้าให้"       ผมยิ้มกว้างก่อนจะหันอีกข้างให้แมททำอย่างเดียวกันแต่เจ้าตัวกลับส่ายหน้าแล้วถอยตัวกลับไปนั่งอย่างเดิมตามด้วยหยิบรีโมทมากดเล่นหนังต่อ ผมคิดในใจว่าน่าเสียดาย แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

"พี่"       แล้วสายตาก็กลับไปจดจ้องอยู่ที่ทีวีอย่างเดิม

"ครับ"       ผมตอบก่อนจะก้มลงเลือกแผ่นหนังเรื่องต่อไป ทั้งๆที่สุดท้ายมันจะถูกสนใจมากกว่าผมก็ตาม

"หิวแล้วอ่ะ"       ได้ยินอย่างนั้นผมก็เงยหน้าขึ้นมองนาฬิกา บ่ายโมงกว่าแล้วผมเองก็ลืมดูเวลา นี่ผมปล่อยให้คนที่กินได้ตลอดเวลาลืมมื้ออาหารของตัวเองได้ยังไง

"กินอะไรดี"       วางแผ่นหนังกลับลงไปที่เดิม ตอนนี้เรื่องปากท้องของคนข้างๆสำคัญกว่ากองหนังตรงหน้า

"อะไรก็ได้ง่ายๆ"       

"มีขนมปังในตู้เย็น พี่ทาแยมให้เอาไหม"       ผมถามคนที่เอาแต่สนใจดูหนัง ไม่ใช่ว่าหนังมันไม่น่าสนใจนะ แต่แผ่นที่เมมีผมดูมาหมดแล้ว รวมทั้งเรื่องที่แมทกำลังดูอยู่นี่ด้วย

"ไม่เอาอ่ะ มันไม่อยู่ท้อง"

"แต่ที่นี่ไม่มีอะไรเลยนอกจากขนมปังกับนม งั้นออกไปข้างนอกกันไหม"       ผมไม่คิดจะซื้ออะไรตุนเอาไว้เยอะ ผมมาอยู่ที่นี่แค่ไม่นาน ออกไปทานข้างนอกน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

"ไปข้างนอกมันร้อน ไปบ้านแมทดีกว่า ในตู้เย็นน่าจะพอมีอะไรให้กิน"       ระหว่างที่พูดก็กดหยุดหนังแล้วลุกขึ้นไปปิดทีวี แล้วก็เดินออกจากบ้านไปให้ผมต้องรีบเดินตาม ช่างเป็นคนที่ตัดสินใจไว คิดจะทำอะไรก็ทำอย่างที่คิดเดี๋ยวนั้น ผมยังไม่ทันได้ตอบตกลงสักคำ แต่ในเมื่อแม้แต่พยักหน้าตกลงยังไม่ทันก็ทำได้แค่รีบปิดล็อกประตูบ้านแล้วเดินตามไป


.......................................................................


          คงเพราะเป็นเวลาบ่ายแล้ว ดูเหมือนจะไม่มีใครอยู่สักคนบ้านเลยเงียบขนาดนี้ ผมเดินตามเข้ามาในบ้าน เดินมาจนถึงในครัว มองหาแต่ก็ไม่เจอคนที่บอกว่าหิว มันคงเป็นอย่างที่ผมคิดไว้ แมทใช้ชีวิตอิสระและคนเดียวมาตลอด การจะให้มารออีกคน มาอยู่ใกล้กันตลอดเวลาคงยังไม่ชิน ผมเข้าใจนะว่าคนที่เป็นแฟนกันไม่จำเป็นต้องตัวติดกันตลอดเวลา แต่ก็อยากให้รู้สึกว่ายังมีอีกคนอยู่นะ ไม่ได้อยู่คนเดียวแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้คงต้องใช้เวลาปรับตัว นี่ผมไม่ได้กำลังจะกลายเป็นผู้ชายที่ชอบน้อยใจแฟนใช่ไหม

"พี่เชน แมทไปเก็บผ้าหลังบ้านก่อนนะ ดูเหมือนฝนจะตก"       เสียงเรียกของแมทที่ถือตะกร้าออกมาจากประตูห้องข้างครัวที่มีเครื่องซักผ้าอยู่ด้านใน จากสิ่งที่กำลังเห็น ทำให้คิดได้ว่าก่อนหน้านี้ผมอาจจะคิดมากไป อาจจะเพราะฝนกำลังจะตก แมทเลยต้องรีบมาเขาคงไม่ได้ลืมผมหรอก

"ให้พี่ไปช่วยนะ"       ผมเดินอ้อมโต๊ะทานข้าวเพื่อจะไปช่วยยกตะกร้า

"ไม่ต้องหรอก พี่ลองดูในตู้เย็นไปก่อนนะ เดี๋ยวมา"       แมทยกมือข้างที่ไม่ได้หิ้วตะกร้าขึ้นมาเป็นเชิงห้ามผมไว้ ผมเลยพยักหน้าแล้วเดินไปที่ตู้เย็น ผมคงคิดมากไปเอง บอกตัวเองให้เลิกคิดแล้วเปิดตู้เย็นหาอะไรที่พอทำเป็นอาหารได้ดีกว่า
ตู้เย็นที่ดูเป็นระเบียบมาก ของทุกอย่างถูกจัดวางเป็นหมวดหมู่ไว้เป็นอย่างดีจนไม่อยากจับต้อง กลัวมันถูกสลับตำแหน่งแล้วไม่เรียบร้อยเหมือนเดิม ลองเปลี่ยนมาดูที่ช่องแช่แข็งด้านล่าง คงพอมีเนื้อสัตว์ให้ทำอะไรง่ายๆได้บ้าง พอเปิดดูก็เห็นมีแค่ปลาอยู่ในกล่องพลาสติกที่มีล็อค 4 ด้านถูกจัดเรียงเป็นชั้นๆ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ไม่เข้าพวก  นั่นก็ถุงพลาสติกใสที่มีห่อกระดาษอยู่ด้านใน ที่น่าตกใจคือถุงนั้นมีโลโก้ร้านผมอยู่

"เฮ้ออ...เหนื่อย สงสัยต้องไปออกกำลังกายซะบ้าง เก็บผ้าแค่นี้ก็หอบแล้ว"       แมทที่ถือตะกร้าผ้าเดินเข้ามาพร้อมถอนหายใจและเสียงบ่น

"ฝนต้องตกแน่ๆเลย อากาศร้อนขนาดนี้ ดีนะที่ผ้าแห้งแล้ว"       ผมทำแค่หันไปมองก่อนจะค่อยๆเอื้อมมือเข้าไปหยิบถุงที่ว่านั้นออกมาดู

"แมทเอาผ้าไปเก็บข้างบนก่อนนะ อย่าเพิ่งทำหล่ะ จะลงมาช่วย"        ผมพยักหน้าแล้วแมทก็เดินขึ้นไปพอดีกับที่ผมหยิบถุงนั่นออกมาได้ จริงๆมันออกจะเสียมารยาทนะที่มาเปิดดูแบบนี้ แต่ด้วยโลโก้ที่ประทับอยู่บนถุงมันทำให้ผมอยากรู้ว่าข้างในมันคืออะไร  ถุงที่ถูกมัดไว้เบาเริ่มมีเกล็ดน้ำแข็งเล็กๆเกาะอยู่รอบๆ เปิดออกมาก็เป็นห่อกระดาษอย่างที่เห็นจากนอกถุง ผมค่อยๆเปิดห่อกระดาษนั้นเบาๆ เห็นภายในเป็นวาฟเฟิลบอลแบบที่มีขายที่ฮ่องกงถูกห่อแรปเอาไว้ และผมคงจะไม่คิดว่ามันเป็นชิ้นเดียวกับที่ผมซื้อให้ถ้าหากไม่มีกระดาษแผ่นเล็กๆที่มีชื่ออีเมล์ของผมถูกจดเอาไว้ น่าแปลกนะที่กระดาษแผ่นนั้นถูกแปะด้วยเทปใสเอาไว้ที่ข้างห่อวาฟเฟิลทั้งๆที่ก่อนหหน้าผมแค่ใส่มันไว้ที่ก้นถุง แสดงว่าแมทคงเห็นอีเมล์แล้ว นั่นทำให้ผมยิ่งสงสัยว่าทำไมถึงไม่ติดต่อกัน

"พี่เชนดูนี่ดิ มีตั้งสองอันแน่ะ"       ผมหันไปมองตามเสียงเรียกเห็นคนที่พยายามทำตัวน่ารักโดยการเอาหูมิกกี้เม้าส์มาใส่เอาไว้ที่หัว ที่บอกว่าพยายามน่ารักก็เพราะมันเป็นภาพที่ผมเคยอยากเห็นและคิดว่ามันต้องน่ารักแน่ๆ ยังไงผู้ชายก็คือผู้ชาย จะให้มาใส่แล้วดูน่ารักเหมือนเด็กหรือผู้หญิงก็คงไม่ขนาดนั้น แต่ผมกลับชอบนะ มันดูเหมาะกับแมทมากเลยทีเดียว กลับไปผมจะซื้อให้ครบทุกแบบ ให้ใส่แล้วถ่ายรูปเก็บไว้ แค่เห็นก็ทำให้ยิ้มได้กว้างๆแล้ว

"งั้นอีกอันพี่ขอ"       ผมเอ่ยขอหูมินนี่ย์เม้าส์อีกอันที่อยู่ในมือแมท แล้วแมทก็ยื่นให้แล้วผมก็รับไว้ทั้งที่ในมือนั้นถือถุงวาฟเฟิลที่ถูกแช่แข็งเอาไว้จนไม่น่าจะอร่อยต่อให้เอามาอุ่นแล้วก็ตาม

"นั่นมัน"       ชี้มาที่ถุงในมือผมก่อนจะกระชากกลับไปซ่อนเอาไว้ด้านหลังของตัวเอง

"น่าน้อยใจ ทั้งที่อีเมล์ก็มีแต่ไม่ยอมติดต่อ"       ผมมองหน้าแมทพร้อมกับคำพูดตัดพ้อก่อนจะวางหูมินนี่ย์ไว้บนโต๊ะทานข้าว

"แล้วให้มาแค่นั้นใครจะไปตอบกลับได้หล่ะ คราวหน้าจะให้ใครก็หัดเขียนให้มันครบๆสิ ไม่ๆๆ คราวหน้าต้องไม่ไปให้ใครสุ่มสี่สุ่มห้าแล้วนะ"       ที่พูดออกมาแบบนี้หมายความว่าหวงหรือเปล่า

"จะไปให้ใครอีกได้ละครับ เพิ่งลองให้เป็นคนแรกยังผิดหวังขนาดนี้"       ผมยิ้มมุมปากก่อนจะดึงแขนแมทให้ขยับตัวมาใกล้ๆ

"อ่อยเหรอ"       ผมขมวดคิ้วกับคำศัพท์แปลกๆของแมทอีกครั้ง

"ไม่เข้าใจอ่ะดิ ว่าแล้ว ม๊าพี่คงสอนแต่คำที่ไพเราะดูเรียบร้อยละมั้ง เลยไม่รู้จักคำนี้"

"ใช่เฟลิตหรือเปล่า"       ผมลองทายออกไปแล้วก็กลายเป็นแมทที่ขมวดคิ้วแล้วยกมือขึ้นเกาหัวแทน

"ไม่น่าจะรู้จักได้นะ"       พึมพัมก่อนจะส่ายหัวเบาๆสองสามทีแล้ววางถุงวาฟเฟิลลงบนโต๊ะทานข้าว

"ในนิยายแมทเขียนคำนี้ไว้เยอะแยะ แค่ลองหาในอินเตอร์เน็ตก็รู้แล้วว่าแปลว่าอะไร"       ผมอธิบายในขณะเดียวกันก็คว้ามือคนที่กำลังเดินผ่านหน้าไปหาตู้เย็นให้ต้องหันมาสบตากันก่อนพยักหน้าไปทางที่คาดผมที่อยู่บนหัว

"แล้วไอ้ที่ใส่อยู่บนหัวนี่เรียกอ่อยด้วยหรือเปล่า"       พอผมพูดจบหูมิกกี้เม้าส์บนหัวก็ถูกถอดลงมาวางบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว

"ไม่ได้เรียกอ่อย เขาเรียกเซอร์วิสเพราะเคยมีคนบ่นว่าอยากเห็น แต่ตอนนี้คงไม่จำเป็นแล้วละมั้ง"       ปลดมือผมออกจากมือตัวเองแล้วเดินไปทางตู้เย็น

"จำเป็นสิ เดี๋ยวกลับไปจะไปเหมามาให้ครบทุกแบบเลย"       ผมพูดบอกพลางหยิบหูมินนี่เม้าส์บนโต๊ะมาคาดให้ตัวเองบ้าง

"สิ้นเปลืองน่าพี่ มีอยู่แล้วตั้งสองอัน"       น้ำเสียงคนที่กำลังเปิดตู้เย็นฟังแล้วเหมือนกำลังน้อยใจปนหงุดหงิดเล็กๆ

"ไม่พอหรอก ต้องผลัดกันเซอร์วิสบ่อยๆถ้ามีแบบเดียวคงน่าเบื่อ"       ผมค่อยๆเดินไปยืนข้างประตูตู้เย็น

"อืม พี่คงเบื่อง่ายละสิ"       มีกระแทกเสียงตรงท้ายประโยคให้พอสัมผัสได้ว่ากำลังงอน

"ไม่นะ น่ารักขนาดนี้จะเบื่อได้ไง ลองหันมาดูสิ"     เตรียมชูสองนิ้วพร้อมยิ้มหวานๆก่อนจะใช้มืออีกข้างดันประตูตู้เย็นเพื่อปิด เป็นจังหวะเดียวกับที่อีกฝ่ายหันหน้ามาพอดี

"ท่าจะบ้า"     ปากก็ว่าทั้งที่กำลังอมยิ้ม

"หิวจนแก้มแดงเลย ลืมหิวไปแล้วหรือเปล่า"     ผมเอ่ยแซวคนแก้มระเรื่อที่กำลังเดินผ่านหน้าไปที่โต๊ะทานข้าว

"ลืมไปเลยว่ากำลังหิว"     คนที่ดูท่าทางจะเขินลากเก้าอี้ออกมานั่งก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าโหลใส่คุ๊กกี้มาเปิดออก

"คงไม่ต้องกินแล้ว สงสัยว่าจะอิ่มความรักจากพี่"     พูดจบก็เดินตามไปยืนข้างๆอีกคนก่อนจะค้ำมือข้างหนึ่งลงกับพนักพิงหลังของเก้าอี้และอีกข้างไว้กับโต๊ะตามด้วยก้มตัวลงใกล้ๆ

"ต่อไปคงต้องป้อนให้บ่อยๆ"     กระซิบเบาๆที่ข้างหู     

"พอเลยถ้าพี่ยังไม่เลิกเล่นแมทจะออกไปกินข้าวคนเดียว"       พูดจบก็หยิบคุ๊กกี้ออกจากโหลแก้วมาเข้าปากแล้วหมุนเกลียวปิดฝาลุกออกจากโต๊ะจนผมต้องรีบถอดหูมินนี่ย์บนหัวแล้วเดินตามไป


.......................................................................


          แมทเป็นคนขับรถพาผมมายังร้านอาหารเล็กๆไม่ไกลจากหมู่บ้านนัก สั่งอาหารทานไปแค่อย่างสองอย่าง ทุกอย่างอร่อยแต่รสจัด ทานไปไม่เยอะก็เริ่มจะไม่ไหวเพราะอิ่มน้ำแทนข้าว จำที่แม่เคยเล่าให้ฟังได้ว่าอาหารทางภาคใต้ของประเทศไทยจะมีรสชาติเผ็ดเครื่องเทศที่ร้อนแรง ผมยังนึกไม่ออกในตอนนั้น แต่วันนี้ได้ลองสัมผัสมันทำให้ผมอยากจะนำเอาส่วนผสมพวกนี้ไปปรับใช้ที่ร้านดูบ้าง อาจจะถูกใจลูกค้าบางกลุ่มที่ชอบอาหารรสชาติจัดจ้าน

          อากาศข้างนอกค่อนข้างร้อน เราใช้เวลาทานข้าวไม่นานนัก เลยตัดสินใจว่าจะไปเดินเล่นที่ห้างกัน ลองเปลี่ยนบรรยากาศไปลองเจอผู้คนเยอะๆดูบ้าง ห้างที่นี่มีสัดส่วนชาวต่างชาติที่เดินอยู่เยอะพอๆกับคนไทย เผลอๆอาจจะมากกว่าเพราะผมแยกไม่ออกว่าคนไทยในสายตาผมนั้นอาจจะเป็นชาวต่างชาติ หรือไม่ชาวต่างชาติที่ผมคิดอาจเป็นคนไทยก็ได้ เพราะจากที่เห็นกลุ่มวัยรุ่นที่เดินผ่าน ให้ผมทายคงคิดว่าเป็นจีน เกาหลี ไม่ก็ญี่ปุ่นแถบๆนั้น แต่พอได้ยินพวกเขาคุยกันเป็นภาษาไทยมันทำให้ผมประหลาดใจเล็กน้อย

"พี่อยากดูอะไรเป็นพิเศษป่ะ"       แมทถามขึ้นพลางตักไอศกรีมที่แวะซื้อมา 1 สกู๊ปก่อนเดินขึ้นบันไดเลื่อน

"พี่อยากดูหนังสือ แต่ตอนนี้พี่อยากได้กาแฟสักแก้วก่อน"       ตั้งแต่เช้ามากาแฟยังไม่ตกถึงท้อง นี่ก็บ่ายแล้วถ้าได้ดื่มสักแก้วน่าจะดี

"กาแฟอะไรก็ได้ใช่ไหม"       คนที่เดินอยู่ข้างๆหันมาถาม

"พี่ทานแค่อเมริกาโน่อย่างเดียว"       ผมบอก

"หวานไหม"       

"หวาน"       ผมยิ้มตอบ

"หวานมากไหม"       

"ต้องลองชิมดูก่อน"

"พี่ครับ รบกวนคุยเรื่องเดียวกัน แมทถามถึงกาแฟ"       เสียงถอนหายใจเบาๆและคำพูดเชิงประชดที่แสดงออกมาทั้งสีหน้า ทำให้ผมต้องยิ้มกว้างขึ้น

"ไปซื้อด้วยกัน เดี๋ยวพี่สั่งเอง"       ผมบอกด้วยรอยยิ้มแต่แมทกลับหยุดเดินแล้วชี้ไปด้านซ้ายมือผม

"พี่รอที่ร้านหนังสือนี่แหละ แมทไปสั่งให้ ตกลงหวานไหม"

"เอาแบบที่แมทอยากให้พี่ชิม"

"แน่ะ ชิมแก้วของแมทแล้วระวังจะลืมกาแฟถ้วยเก่านะ"       ผมหัวเราะเบาๆให้กับท่าทางขยิบตาแล้วยิ้มกรุ่มกริ่มแบบนั้น ดูๆแล้วแมทคงไม่ค่อยเหมาะกับการทำท่าทางแบบนี้ ให้ยิ้มกว้างๆตาหยียังจะดูน่ารักซะกว่า

"ครับ รีบไปรีบมานะพี่อยากให้แฟนอยู่ข้างๆตลอดเวลา"       ยิ้มมุมปากก่อนจะหยิบธนบัตรให้

"ทำตัวเป็นเสี่ยไปได้ เมื่อกี้ก็จ่ายค่าข้าวแล้วแก้วนี้แมทเลี้ยงเอง"       ผมไม่อยากคะยั้นคะยอเลยเก็บธนบัตรไว้ในกระเป๋าสตางค์ตามเดิม

"รีบไปรีบมานะครับ"       ผมย้ำอีกครั้ง ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะไปด้วยซะมากกว่า แต่หากทำแบบนั้นก็กลัวจะทำให้อีกคนรำคาญ เว้นระยะห่างบ้าง จะได้ไม่อึดอัด

"อยู่ชั้นสองนี่เอง ตอนนี้บ่ายสาม ไม่เกิน 20 นาทีนะ เผื่อมีลูกค้าต่อคิว"       แมทก้มลงมองนาฬิกาอย่างกับกำลังจะเริ่มต้นแข่งแรลลี่ก่อนจะชี้นิ้วลงไปชั้นถัดจากที่เรายืนอยู่หนึ่งชั้น ผมมองตามก่อนจะพยักหน้ารับรู้ แล้วแมทก็เดินลงบันไดเลื่อนไป ผมเลยเดินเข้าร้านหนังสือบ้าง


.......................................................................

มีต่อหน้าถัดไปนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-06-2015 00:06:39 โดย anana »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด