DOLLFIE
ตุ๊กตาต้องสาป
ตอนจบ
"คุณ คุณคะ คุณ"
วูบบบบบ!!!!!!
"หะ หืม?" เสียงเรียกของใครบางคนพยายามเรียกสติของผมให้กลับคืนมา ดวงตาที่เหม่อลอยกลับคืนสู่ตัวตนของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง เสมือนวิญญาณที่เคยหลุดลอยไปไกลบัดนี้กลับคืนสู่ร่างกาย ราวกับว่าสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น...
นะ นี่มันอะไรกันวะเนี่ย...
มองไปรอบๆห้างซึ่งผู้คนกำลังเดินขวักไขว่ สะบัดหัวไล่ความมึนงงที่กำลังสับสนพลางมองเข้าไปในตู้กระจกซึ่งผมเคยจำได้ว่าเคยมีดอลฟี่ที่ผมหลงรักอยู่ตรงนั้นแต่ตอนนี้มันกลับว่างเปล่า ย่นคิ้วด้วยความมึนงงปนสับสนว่าผมกำลังทำอะไรอยู่กันแน่!
"ต้องการตุ๊กตาของเราหรือคะ เชิญเข้าไปดูด้านในก่อนก็ได้ค่ะ" คำถามยิ่งทำให้ผมรู้สึกงงมากเป็นสิบๆเท่า
บ้าน่า! ผมจำได้ว่าผมอยู่กับคริสไม่ใช่หรอ? ละ แล้วทำไม....
"เอ่อ.. คุณ... เป็นอะไรหรือเปล่าคะ" เธอมองผมเหมือนงุนงง ผมรีบเอามือเช็ดน้ำตาที่กำไหลลงมาเผลาะๆโดยที่ไม่ทราบสาเหตุก่อนจะยิ้มให้เธอบางๆ
"ไม่มีอะไรครับ ว่าแต่ตุ๊กตาดอลฟี่ที่เคยอยู่ตรงนี้..."
"เอ๋?" เธอร้องเสียงหลงเหมือนประหลาดใจ "เราไม่เคยโชว์ตุ๊กตาดอลฟี่หน้าร้านนะคะ" มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกมึนตื้อ!
"ระ หรอครับ ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไรครับ" รีบเดินหนีพนักงานร้านตุ๊กตาออกมาด้วยความเร็วเหนือแสง
มันเป็นเรื่องตลกร้ายที่สุดในชีวิตที่ผมเคยพบมา สิ่งที่ผมเห็นและรู้สึกมันเป็นเพียงแค่ความฝันหรือไงวะ! คริสนายหายไปไหน แล้วฉันมาเดินบ้าอะไรอยู่ที่นี่ ราวกับว่าก่อนช่วงเวลาที่ผมจะได้พบเขามันถูกย้อนเวลากลับมาใหม่ แต่ทว่าความทรงจำมันยังคงจดจำได้อย่างชัดเจน นี่มันเกิดอะไรขึ้น? หรือว่าคริสกำลังแกล้งผม
ใช่! มันต้องใช่แน่ๆให้ตายสิทำไมผมหยุดร้องไห้ไม่ได้เลย!
วางเปล่า... ภายในห้องก็ว่างเปล่าไม่มีใครที่เคยรออยู่ รู้สึกหมดเรี่ยวแรงจนแทบเข่าอ่อน พยายามกวาดสายตามองหาร่างสูงที่มักจะนั่งรออยู่หรือนอนรอผมอยู่ที่เตียงโล่งๆนั่น มีเพียงแค่ลูกๆสามตัวของผมเท่านั้นที่นั่งอยู่ตรงโซฟา หัวใจมันกระตุกวูบเหมือนจะขาดใจ...
ฮึก!... ทำไมล่ะ? หรือว่าพรที่ผมขอไปมันจะประสบผลสำเร็จ เรื่องทั้งหมดมันจึงกลายเป็นเพียงแค่ความฝัน...
นั่นสินะ... ถ้าหากพี่โอไม่ได้เป็นพ่อมด หรือคริสไม่ได้เป็นตุ๊กตาต้องสาป... ก็เท่ากับว่าเรื่องราวทั้งหมดจะไม่มีวันเกิดขึ้น แต่ทำไมความรู้สึกอบอุ่นนั่นยังอบอวนอยู่ เสียงที่กระซิบคอยบอกรักมันยังซ้ำเติมจิตใจว่าคริสเคยกอดผมอยู่ตรงนี้...
เจ็บ... เจ็บมากจริงๆ...
"ตอนนี้นายอยู่ที่ไหนกันนะคริส... เราจะไม่ได้เจอกันแล้วจริงๆน่ะหรอ? ฮึก..." รอยยิ้มทั้งน้ำตาทำไมมันเจ็บปวดแบบนี้วะ?
เอนคอไปตามโซฟาภายในห้องเงียบๆ ยังคอยได้ยินเสียงทุ้มหนักของคนที่เคยอยู่ที่นี่ด้วยกันดังแว่วแผ่วมาอยู่เลย หยิบรีโมทเพื่อเปิดทีวีดูการ์ตูนหวังดับความรู้สึกที่กำลังปั่นป่วนอยู่ข้างใน แต่มันกลับยิ่งซ้ำเติมหัวใจของผมให้ยิ่งรู้สึกคิดถึงเขา คำถามมากมายมักวนเวียนอยู่ในหัวว่าทำไมผมยังจดจดจำพวกเขาได้ หรือแม้แต่เหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมามันคือเรื่องที่เกิดขึ้นจริงมากกว่าความฝัน มันไม่ยุติธรรมเลยที่จะเล่นตลกกับหัวใจของผมแบบนี้
"คนบ้าอะไรจะยืนฝัน" หัวเราะครืนอย่างนึกสมเพศตัวเอง หากย้อนเวลากลับมาจริงๆ แสดงว่าวันนี้ต้องเป็นวันเกิดของผมแน่ๆ หลังจากที่กลับมาที่ห้องผมต้องมานั่งหมดอาลัยตายอยากมองดูสมุดบัญชีที่มีเงินไม่พอซื้อดอลฟี่ที่มีดวงตาสีครามนั่น แต่ในตอนนี้ผมกลับมานั่งเสียใจว่า ดอลฟี่ที่ผมเห็นเป็นแค่เพียงความคิดหรือภาพความฝันที่ผมเป็นคนปรุงแต่งขึ้นมา...
"ฮึก... บ้าเอ๊ย!" น้ำตามันไหลออกมาอีกแล้ว ทำไมผมอ่อนแอแบบนี้วะ? มันเจ็บจนน่าอึดอัด เมื่อคิดว่าผมไม่อาจอยู่คนเดียวแบบนี้ได้อีกต่อไป มันไม่ชินเอาเสียเลยกับโซฟาตัวยาว หรือแม้แต่เตียงกว้างๆที่ผมกับคริสเราเคยนอนเบียดเสียด ทั้งๆที่ไม่เคยคิดชอบผู้ชาย แต่กับดอลฟี่คนนั้นกลับทำให้ผมหลงรักจนหมดใจ และสิ่งที่ผมเสียใจมากที่สุดนั่นคือการที่ผมไม่ได้บอกรักเขา...
อย่างน้อยก็ขอโอกาสให้ผมบอกเขาบ้างก็ยังดี...
คริสฉันรักนาย รักนายมาก มากจนไม่รู้ว่าฉันควรทำอะไรต่อจากนี้...
RRRRrrrrrrr
เชี่ยไก่...
เหมือนกับตอนนั้นเป๊ะ...
"เอออออ...."
[[ตายยังคับคุณเพื่อน หรือมึงกลายร่างเป็นดอลฟี่ของมึงไปแล้วไม่โผล่หัวมาให้กูเห็นเลยนะแหม่]] น้ำเสียงติดประชดนั่นมันทำให้ผมต้องหัวเราะครืน มันโคตรเป็นเรื่องไม่บังเอิญ
"เออ ยังไม่ตาย แล้วยังไม่ได้กลายร่างด้วยแค่เบื่อๆนอนอืด"
[[อย่างมึงเนี่ยนะที่จะอยู่ในสภาวะนั้น ถามจริงเหอะที่ไม่มามหาลัยนี่มึงติดหญิงหรือติดดอลฟี่มึง]]
"ถ้ามีหญิงมาจีบกูๆคงไม่มานั่งเล่นตุ๊กตาหรอกเชี่ยไก่ แค่เขาเห็นหน้ากูก็วิ่งหนีกันหมดแล้ว"
[[เออไอ้คนหน้าโหด ว่าไงครับจะเข้าซุ้มหรือเปล่า]]
"ถ้ากูบอกว่าขี้เกียจล่ะ"
[[เชิญมึงนอนตายอยู่ในห้องมึงเถอะไอ้เต๋า! ไม่ได้เว้ยต้องเข้า วันนี้พี่โอเขาจะเซอร์วันเกิด...]]
ผมย่นคิ้วกับประโยคที่มันเงียบเสียง "พี่โอหรอ? พี่โออยู่ที่ซุ้ม?"
[[เออ มึงนี่ก็แปลก เขารอมึงกันอยู่เนี่ยไม่โผล่หัวออกมาสักที]]
ในนาทีนั้นความรู้สึกลิงโลดทำให้ผมลุกขึ้นพรวดและกอบโกยสิ่งของจำเป็นที่จะต้องพกติดตัวใส่กระเป๋าออกจากห้องในทันที
พี่โออย่างนั้นหรอ? พี่โอที่ผมรู้จักจะใช่พี่โอที่เป็นพ่อมดอะไรนั่นหรือเปล่า!
ความไม่แน่ใจ ความไม่ชัดเจนพยายามทำให้ผมวิ่งไปตามท้องถนน ผมใช้เวลาเดินทางไม่กี่ชั่วโมงเพื่อมามหาลัย และหลังจากลงหน้ามหาลัยผมก็วิ่งโกยอ้าวไปยังซุ้มไม่ได้สนสายตาชาวบ้าน หรือเสียงทักทายจากรุ่นน้องที่เดินผ่านเลย มันจะเป็นอย่างที่คิดหรือเปล่าว่าทุกๆคนที่ผมเคยรู้จักยังคงอยู่ แล้วพวกเขาในตอนนี้เป็นคนธรรมดาหรือเป็นในสิ่งก่อนหน้าที่ผมได้เจอ
หลังจากมาถึงหน้าซุ้มด้วยอาการกระหืดกระหอบ พวกพี่ๆค่อนข้างแปลกใจในความรีบร้อนของผม "หนีอะไรมาล่ะเต๋า เหงื่อแตกซกเลย" พี่โอ... พี่โอจริงๆด้วยว่ะ!
"พี่! พี่มาอยู่นี่ได้ไง แล้วคริสล่ะ? คริสมันอยู่ไหน?" ผมปรี่เข้าไปหาแล้วถามด้วยความร้อนรน แต่หน้าพี่โอแม่งโคตรเอ๋อ ก่อนจะย่นคิ้วทำหน้างงๆ
"ใครกันคริส ในซุ้มไม่มีคนชื่อคริสนี่" ในนาทีนั้นผมโคตรโมโห ทั้งๆที่มันเป็นคนทำร้ายคริสแท้ๆ แต่กลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำไมมันเป็นแบบนี้วะ!
"พี่อย่ามาโกหกผม พี่เป็นพ่อมดใช่ไหมพี่โอ!"
"ฮะ? เฮ้ย! เอ็งเป็นไรของเอ็งไอ้เต๋า มาอำพี่แบบนี้พี่ไม่เล่นนะเดี๋ยวพี่ดีดกระเด็น" พี่แกค่อนข้างเคืองผมมากจนพวกพี่ชินต้องเข้ามาลากผมออกมา รวมถึงไอ้ไก่ด้วย
"มึงเป็นไรวะไอ้เต๋า กูอุตส่าห์ชวนมึงมาเพื่อเลี้ยงวันเกิดมึงนะ แล้วพี่เขาก็ตั้งใจจะเลี้ยงน้องอย่างมึงด้วย ทำไมต้องไปโมโหใส่พี่เขาแบบนั้น?"
ผมพยายามสงบสติอารมณ์ที่กำลังพลุกพล่านจนกำหมัดแน่น ไอ้ไก่มันมองผมแบบไม่เข้าใจซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ผมหันไปทางพี่โอที่ย่นคิ้วมองผมนัยน์ตาเขาดูผิดหวังที่ผมทำแบบนี้ หรือว่ามันเป็นแค่ผมคนเดียวที่บ้าไปเอง สะบัดไหล่ออกจากมือไอ้ไก่แล้วเดินไปทางพี่แก
"ผมขอโทษพี่ ผม... ผมแค่กำลังสับสน"
พี่โอถอนลมหายใจเฮือกพลางพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะตบไหล่ผมเบาๆ "เออๆไม่เป็นไร แต่ทีหลังเป็นอะไรมาอย่าพาลใส่คนอื่นแบบนี้มันไม่ดีนะ" ผมพยักหน้าพาลจะร้องไห้เมื่อได้ฟังในสิ่งที่พี่เขาสอน
"เมายาป่าววะมึงเนี่ย เฮ้ย! ร้องไห้ด้วยอ่ะ" ไอ้ไก่มันชี้หน้ากลั้วหัวเราะ ไอ้ห่านี่ก็กวนตีนได้ถูกเวลาเลยเอาส้นตีนยันเอวมันไปทีจนมันกระเด็นเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของพี่ชิน เออนั่นล่ะอนาคตผัวมึง! เหมาะกันดี๊ดี
"ไอ้เชี่ยเต๋า สัดอย่าให้เผลอนะ" มันคลำเอวป้อยๆแล้วชี้หน้ามโนว่าวันนั้นคงมาถึง ผมเลยยักคิ้วจึกๆกวนตีนให้มันไปทีมันยิ่งฟึดฟัด แต่ก็ได้พี่ชินอีกนั่นแหละตบไหล่ให้มันสงบสติอารมณ์ ผมเงยหน้ามองพี่โออีกครั้งซึ่งมันรู้สึกแปลกๆหลังจากที่เรากลับมาเป็นไอ้เต๋าคนเดิม กับชีวิตเด็กมหาลัยเดิมๆ
"มีอะไรข้องใจกับพี่อีกหรือเปล่า" พี่โอเขายังกลัวใจผมเลยถามอีก ผมเลยยิ้มแล้วขอโทษพี่เขาอีกครั้ง "ขอโทษนะพี่"
พี่โอตบไหล่ "เออๆ พี่ไม่ว่าหรอกพี่ก็คิดว่าเอ็งเป็นน้องนุ่งของพี่นั่นล่ะ"
"แล้ว... พี่ไม่คิดมากกว่านั้นหรอ?" ผมถามแบบหยั่งเชิง ไอ้พี่โอมันยิ่งเลิกคิ้วขึ้นหนักเข้าไปอีก
"บ๊ะ! ไอ้นี่จะให้พี่คิดอะไรกับเอ็งวะ? อย่านะเว้ยพี่มีแฟนแล้วขอร้องอย่ามาจีบพี่ซะให้ยาก" แล้วพี่แกก็หัวเราะ ซึ่งมันทำให้ผมโคตรตกใจมากอ่ะ พี่โอโน้มตัวมาทางผมแล้วกกระซิบกระซาบ "ห้ามพูดเรื่องนี้ให้ใครฟังล่ะ" แล้วพี่เขาก็ตบไหล่ยักคิ้วหลิ่วตาก่อนจะกลับไปนั่งที่โต๊ะหินเมื่อเห็นพวกไอ้ส้มกับไอ้แบคที่กลับมาจากซื้อของ
ลูกตาไอ้เต๋านี่เท่าลูกโลกได้แล้วมั้ง!
ไอ้พี่โอแม่งร้ายกาจ...
สุดท้ายแล้วตัวผมก็ต้องเข้าสู้วงจรชีวิตของไอ้เต๋าเด็กมหาลัยธรรมดาๆเหมือนเดิม ไม่มีแฟน มีแต่เพื่อนกินเพื่อนเฮฮา แม้ว่าพวกเขาจะทำให้ผมหัวเราะได้แต่มันก็เป็นเพียงแค่อารมณ์ชั่วครู่หนึ่งเท่านั้น แต่เมื่อไรก็ตามที่ผมอยู่คนเดียวความรู้สึกเหงามันกลับยิ่งทำให้ผมคิดถึงคริสอยู่ตลอดเวลา...
มันไม่เคยชินหรอกหากผมจะอยู่คนเดียวตื่นขึ้นมาแล้วเจอแต่โต๊ะคอมเหมือนเดิม แม้ว่าคริสจะอยู่กับผมเพียงเวลาสั้นๆ แต่จริงๆแล้วความรู้สึกเหมือนเรารู้จักกันเป็นปีๆ แล้วผมต้องใช้เวลาเป็นปีๆหรือเปล่าวะที่จะต้องลืมเรื่องของพวกเขาเหล่านั้นให้ได้ ในเมื่อทุกวันหลังจากที่คริสหายไปจากชีวิตของผม พี่โอก็ยังคงลอยหน้าลอยตาอยู่ที่ซุ้ม ไอ้ส้มก็ยังชอบดอลฟี่อยู่เหมือนเดิมแถมมันยังชอบเอามาอวดผมบ่อยๆ แม้ว่าผมจะรู้สึกสยองไอ้ตุ๊กตาดอลฟี่ชื่อเลย์อะไรนั่นอยู่ แต่มันคงไม่มีวันกลายมาเป็นคนเดินได้แล้วล่ะ แถมทุกวันนี้ไอ้ส้มมันยังชอบมานอนค้างเอาลูกมานอนให้คิดถึงเรื่องเก่าๆอีก แถมไอ้พี่ชินมันก็ยังชอบพูดอะไรเป็นคำคม หรือปริศนาให้ผมคิดอีกตามเคยนั่นล่ะ ไม่รู้ว่าคนเหล่านี้โรคจิตหรือเปล่าที่คอยแกล้งผม แต่มาคิดๆดูอีกทีมันก็ตลกนะทั้งๆที่พวกเขาไม่ได้ทำอะไรผมเลยด้วยซ้ำในความเป็นจริง...
'เวลาเป็นเรื่องพิสูจน์ความรัก บางครั้งการรอใครสักคนก็เหมือนกับเราพิสูจน์ตัวเองนั่นล่ะว่าเรารักเขามากแค่ไหน'
นี่คือสิ่งที่ไอ้พี่ชินพูดกับผม ซึ่งเมื่อมานั่งคิดๆดูแล้วมันดูเหมือนคำพูดปลอบใจเสียมากกว่า อาการของผมมันเหมือนคนอกหักมากเลยหรือไงวะขนาดพี่ชินมันยังรู้เลยนับประสาอะไรกับคนอื่น แต่มันก็เป็นแค่คำพูดลอยๆเท่านั้นล่ะซึ่งผมไม่อยากที่จะรออะไรแล้ว
จากวันเป็นเดือน จากเดือนสู่การสอบกลางภาค เป็นช่วงเวลาที่ผมเกือบจะลืมใครสักคนไปในช่วงนาทีหนึ่งซึ่งต้องใช้สมองอย่างหนักในการทำข้อสอบ ก่อนจะเดินตัวปลิวออกมาด้วยสภาพที่ไม่ได้มีความรู้บรรจุอยู่ในสมองเลยเนื่องจากทุ่มเทลงไปในข้อสอบจนหมด
สุดยอดความหฤโหด!
"สอบเสร็จสักที กูนึกว่ากูอยู่ในสนามรบเลยสัด! อาจารย์ออกข้อสอบเหมือนกูฉลาดเท่าไอสไตน์" ไอ้แบคมันบ่นทันทีที่หย่อนก้นแหมะลงบนเก้าอี้ภายในซุ้ม สภาพของแต่ละคนกว่าจะสอบเสร็จนี่เหมือนศพเดินได้ ซึ่งตัวผมก็หมดแรงที่จะบ่นอะไรออกมาแล้วเหมือนกัน
"แค่นี้บ่น ปีหน้าก่อนเถอะมึงมีแต่วิชาเอก"
"เงียบเลยไอ้ดีโด้ เพิ่งจะสอบเสร็จอย่าเพิ่งนึกถึงเทอมหน้ากูจะอวกออกมาเป็นตัวหนังสืออยู่ล่ะ" ผมรีบห้ามไอ้เพื่อนจอมขยันก่อนที่มันจะพ่นอะไรที่ชวนสยองขวัญออกมา ในเมื่อเทอมหน้าผมกำลังจะเข้าปี4เต็มตัว ไม่พอวิชาเอกที่จะลงนี่มีตัวเลือกโคตรน้อย ฟังทีไรนี่สยองขนลุกทุกที
"ไปเที่ยวกันดีกว่า สอบเสร็จแล้วนี่ไปบ้านใครดีวะ?" ไอ้ไก่เสนอ ไอ้นี่จอมเที่ยวตลอด
"กูไม่เที่ยวอ่ะจะกลับไปหาแม่ที่จีน"
"โหย... จะบินอีกแล้วสิมึง"
ยักคิ้วจึกๆให้ไอ้ไก่แล้วชวนมันพอเป็นพิธี "สนใจไปกับกูไหมล่ะ"
"จะพามันไปไหว้แม่ผัวหรอวะ?"
"ผัวพ่องเดี๋ยวกูเอาส้นตีนอัดหน้าเลยนิ่ไอ้ห่าแบค"
แล้วพวกผมก็หัวเราะไส่ไอ้ไก่ที่โวยวายหลังจากที่โดนล้อเหมือนเดิม ทุกวันนี้ผมกับมันก็ตัวติดกันตลอดนั่นแหละแต่โดยส่วนใหญ่น่าจะเป็นผมเสียมากกว่าที่ติดมัน เพราะความโสดนี่แหละเลยต้องดึงให้ไอ้ไก่มันมาเป็นคู่จิ้นแก้ขัดไปก่อนทั้งๆที่มันก็คบกับพี่ชิน เรื่องพวกเขาคบกันอันนี้ผมรู้มาจากปากพี่ชินเหมือนเดิม
"อย่าลืมของฝากแล้วกัน" มันสั่งผมทั้งๆที่หน้ายังเป็นตูด ผมพยักหน้าให้มันส่งๆก่อนจะยืดเส้นยืดสายเพื่อไล่ความเมื่อยล้า
วันสอบนี่โคตรวุ่นวาย คนก็เยอะเวลาคุยเสียงดังคนภายนอกมันจะมองเข้ามาตลอดเพราะว่ามันเป็นทางผ่าน พอมองแดดที่เลียถนนจนขึ้นเป็นม่านแล้วรู้สึกสยองไม่กล้าชวนไอ้เพื่อนไปกินข้าวเลย แต่ตอนนี้มันก็รู้สึกหิวโคตรอ่ะ
"ไปแดกข้าวกัน"
"เออๆ ดีเหมือนกัน" ไอ้ไก่มันเห็นด้วยแถมลุกพรวดในทันที ก่อนจะเดินไปที่ชั้นวางของส่วนรวมของซุ้มคลำหาอะไรสักอย่างโดยที่ผมยืนรอเตรียมเดินไปที่โรงอาหาร มันออกมาพร้อมร่มคันใหญ่ที่ถืออยู่...
"แค่นี้เขายังคิดว่ามึงกับกูเกย์ไม่พอใช่ไหมไอ้ห่า"
"อ้าวเกี่ยวไรวะ แดดมันร้อนเว้ยเดี๋ยวเป็นมะเร็งไข่"
"ไข่บ้านมึงสิ" ผมส่ายหน้าให้มันขำๆ แต่ก็แทรกตัวเข้าไปในร่มกับมันนั่นแหละ กอดคอประหนึ่งรักกันปานจะแหกดากดม แต่จริงๆพยายามทำตัวลีบไม่ให้โดนแดดที่ร้อนเหมือนไฟกลัวผิวจะคล้ำเพราะแสงแดดอุนตร้าแมน ถุ้ย!
"วิวี้วววววว!!!"
วิ้วพ่อง!
"กูเกลียดซุ้มนี้ชิบหาย" เดินมาทีไรแม่งส่งเสียงขอส่วนบุญทุกที
"อย่าไปสนใจเลยมันพยายามกวนตีนเรา"
"เออ!" ไม่บอกกูก็รู้ไอ้พวกเอกอังกฤษเนี่ย ชอบใช้หน้าตาเป็นอาวุธไม่พอยังชอบดูถูกเอกศิลป์อย่างพวกผม มันอาจจะไม่ใช่ทุกคนแต่พวกผมก็เหมารวมไปแล้วล่ะ เรียกได้ว่าไม่ค่อยจะลงรอยสักเท่าไร ถ้ามองหน้ากันเมื่อไรนี่เตรียมเคาะระฆังมวยได้เลย
"ไอ้เดือนคณะที่นั่งอยู่หล่อดีนะ แต่แม่งเสียดายดันมาอยู่ซุ้มกับพวกไอ้เป๋งใครๆก็รู้ว่าแม่งเกรียน"
"เออ"
"แต่ไอ้เด็กนั่นกูเห็นมันมองมึงหลายรอบแล้วนะตาแม่งโคตรกวนตีนเลยหรือมันจะเหม็นขี้หน้ามึงวะ ไม่ชอบล้างหน้าป่าวอ่ะมึง"
"ไอ้สัดกูรักสะอาด แล้วใครมันจะเขม่นกูก็เรื่องของแม่งเหอะอยากมีเรื่องเดินมาเลยดีกว่าอย่าปอดแหกอยู่กับฝูง"
"ผมเปล่าปอดแหกนะ"
"เฮ้ย!!!!!"
ผมกับไอ้ไก่แหกปากร้องลั่นเมื่ออยู่ๆเสียงปริศนาทุ้มหนักดังแทรกกลางระหว่างพวกผม ทำเอาผมกับไอ้ไก่กระโดดออกจากใบหน้าหล่อๆนั่นแทบไม่ทัน แต่ทันทีที่ผมหันไปมองกลับทำให้ผมรู้สึกช็อคจนต้องอ้าปากค้าง...
"ที่ผมมองพี่เพราะผมชอบพี่ต่างหาก ถึงผมจะอยู่เอกอังกฤษแล้วอยู่ซุ้มกับพวกพี่เป๋ง แต่ก็ใช่ว่าผมจะต้องเขม่นพวกพี่ไปด้วยนี่" ไอ้หน้าหล่อๆที่ยิ้มด้วยสีหน้าใสซื่ออกไปทางกวนตีน มันทำให้ผมใจเต้นแรงจนพูดไม่ออก มันตกใจมากกว่าที่จะมายืนต่อปากต่อคำกับไอ้รุ่นน้องคนนี้...
บะ บ้าน่า!
"เฮ้ย! น้องโผล่พรวดมาแบบนี้อยากกินตีนหรอ?" ไอ้ไก่มันถกแขนเสื้อมองไอ้เสาไฟฟ้าแบบเอาเรื่องสุดๆ ผมยกแขนห้ามมันแล้วมองสำรวจ "คริส?" ตั้งแต่หัวจรดเท้า
ทำไมมันเหมือนจังวะ? ทำไมมันเหมือนอย่างกับพิมพ์เดียวกัน เพียงแค่เขามีเรือนผมสีน้ำตาลดวงตาที่กลมกลืนไปกับสีผม คิ้วหน้าจมูกโด่งๆ มันพาลให้หัวใจผมเต้นแรงระคนมึนงง เหมือนในนาทีนั้นความรู้สึกที่เคยคิดว่ามันอาจจะหายไปไม่มีวันกลับมา บัดนี้มันมาอยู่ตรงหน้าผมอีกครั้งแทบไม่ทันตั้งตัว..
คนตรงหน้ายิ้มให้ผมบางๆก่อนจะตอบ "ผมชื่ออู๋ครับ พี่ชื่ออะไรอ่ะ"
"อ่ะ เอ่อ..."
"เพื่อนกูชื่อไรมันหนักหัวเอ็งปะ? ไปๆไอ้เต๋ากูหิวจนจะแดกหัวใครบางคนได้ละ" แล้วไอ้ไก่ก็ลากผมออกมาจากตรงนั้นปล่อยให้ไอ้เด็กชื่ออู๋นั่นยืนแห้วแดกอยู่กับที่ ผมเอี้ยวตัวหันไปมองมันที่ยังไม่วายโบกมือให้ผมพลางยิ้มหวาน ความรู้สึกใจเต้นพาลให้หน้าร้อนวูบวาบมันทำให้ผมรีบหันขวับกลับมา...
อะไรวะ มันก็แค่เหมือนนั่นแหละคริสจะมาอยู่ตรงหน้าได้ไง...
ไม่แน่บางทีอากาศมันอาจจะร้อนจนเกินไปทำให้เกิดภาพหลอน ผมยังไม่ได้คุยกับไอ้เด็กนั่นเลยด้วยซ้ำไอ้ไก่ก็พาผมมากินข้าวแล้ว ไม่อยากจะบอกเลยว่าใจผมอยากเดินกลับไปที่ตรงนั้นมาก เลยพยายามรีบๆกินข้าวให้เสร็จไม่ได้ฟังไอ้ไก่ที่กำลังบ่นๆถึงเรื่องราวเมื่อก่อนหน้าที่มันพยายามจะคลายความสงสัยว่าไอ้เด็กอู๋ปี1นั่น มันพยายามที่จะมาจีบผมหรือว่ากวนตรีนจริงๆกันแน่ แต่เมื่อพวกเรากลับมาทางเดิมโดยที่ต้องผ่านซุ้มเอกอังกฤษ คนที่เคยนั่งอยู่ก็หายไปเสียแล้วซึ่งผมไม่อยากมองหาเขามากนัก เพราะมันคงไม่ดีแน่ถ้าพวกไอ้เป๋งมันเข้าใจผิดขึ้นมาว่าผมจะหาเรื่องพวกมัน เวลานั้นคงได้สั่นระฆังมวย...
มันเหมือนปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไปกับสายลมอีกครั้งโดยที่ไม่ยอมไขว่คว้าเอาไว้ ผมนั่งร้องไห้หลังจากที่หย่อนก้นนั่งลงบนโต๊ะหินอ่อนเผลาะๆ...
"เฮ้ยเป็นไรวะ?" ไอ้ไก่มันถามผมด้วยความตกใจ ซึ่งผมทำได้แค่ส่ายหน้าและตอบมันว่า "ไม่รู้" ไม่รู้อยู่แบบนี้ว่าผมเป็นอะไร รู้แค่เพียงว่าผมคิดถึงเขามาก มากเสียจนอยากจะกอดให้หายคิดถึงหากได้พบกันอีก
คริส... ฉันคิดถึงนายมาก คิดถึงนายมากจริงๆ...
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของภาคที่พวกผมจะเลี้ยงฉลองซุ้มกันก่อนที่จะแยกย้ายไปตามทางของตัวเองในระหว่างที่ปิดเทอม กว่าผมจะได้กลับก็เกือบจะหนึ่งทุ่มแล้วและเป็นช่วงเวลาที่รถติดโคตร ท้องฟ้าช่วงเย็นก็ยังคงออกสีส้มอมแดงอยู่ ความมืดกำลังบดบังทัศนียภาพ ทุกๆสิ่งมีเพียงแค่แสงไฟสีส้มตามทางเดินที่มอบแสงสว่างให้ ผมเดินเรียบไปตามสระพลางก้มหน้ามองพวกนกพิราบที่ยังคงเดินหากินอยู่ การแกล้งนกให้บินแตกฮือมันก็สนุกดีอยู่หรอกนะ แต่มันไม่ทำให้ผมลืมนึกถึงคนชื่ออู๋ได้เลย
ความหวังที่มันกำลังจุดประกายอยู่ในความคิด หากเชื่อเรื่องการเกิดใหม่ผมจะหลอกตัวเองได้หรือเปล่าว่านั่นคือคริสจริงๆ แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อคริสก็คือคริสไม่มีทางที่คนอื่นจะมาแทนที่หมอนั่นได้...
น้ำตาผมมันไหลอีกแล้วว่ะ...
"อะแฮ่ม!"
เฮือกกกกกก!!! "เชี่ยยยยยย!!!" ใครไม่รู้กระโดดพรวดมาดักข้างหน้าในขณะที่ผมกำลังเหม่อ เลยได้คำอวยพรไปเต็มๆตัว เงยหน้าย่นคิ้วมองร่างสูงด้วยความเร็วก่อนที่ผมจะรู้สึกผงะเมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย
"คะคริส..." ไม่สิไม่ใช่คริส
"พี่กลับเย็นจังเลย เดินคนเดียวเหงาหรอถึงกับร้องไห้เชียว"
ผมปาดน้ำตาออกไปลวกๆก่อนจะมองคนตรงหน้าด้วยอาการเอ๋อแดก บทเวลาที่สมควรจะพูดแต่ดันลิ้นแข็งซะงั้น ผมว่าหน้าของผมมันคงตลกมากในขณะนี้ เพราะร่างสูงมันมองผมเหมือนตลกมากจนผมรู้สึกเคืองขึ้นมา
"หลบสิ..."
"หลบไม่ได้หรอก มองอยู่ตั้งนานพี่ไม่รู้ตัวเลยหรอ? กว่าจะได้คุยกันรู้ไหมว่าผมรอพี่นานมากขนาดไหน"
ฮึก!
ทำไมคำถามมันรู้สึกสะกิดใจแบบนี้วะ!
"อะไร ไม่รู้จักกันสักหน่อยทำไมต้องมารอ" ทำไมอยู่ๆถึงได้รู้สึกเขินขึ้นมาวะ! มันเขินจนใบหน้าเห่อร้อนเวลาที่ร่างสูงมองลงมา รอยยิ้มนั่นมันเหมือนกับเขามากจริงๆให้ตายสิ!
ผมตั้งท่าจะเดินหนีเพราะไม่สามารถควบคุมหัวใจของตัวเองได้ อย่างน้อยก็หนีไปตั้งหลักก่อนก็ยังดี แต่มือใหญ่ๆและอบอุ่นนั่นกลับคว้ามือของผมเอาไว้หมับ! จนผมต้องหันกลับมาและเงยหน้าสบตาเขาอีกครั้งหนึ่ง
รอยยิ้มบางๆบนใบหน้าหล่อเหลา น้ำเสียงทุ้มอ่อนโยนที่คุ้นเคยและไม่ว่าจะฟังกี่ครั้งก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อ ในเวลาที่เขาเปล่งเสียงออกมามันพาลให้ผมรู้สึกอยากร้องไห้ออกมาทุกที แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นเมื่อคนตรงหน้าพยายามที่จะพูดกับผม...
"ไม่รู้ว่าพี่เชื่อในพรมลิขิตหรือเปล่า แต่... ผมเชื่อนะ ไม่รู้ทำไมแค่เห็นพี่ผมก็รู้สึกรักเข้าไปแล้ว มันทั้งโหยหาทรมานและอยากกอดเอาไว้ แต่ความรู้สึกกลับต้องปิดบังเพราะกลัวว่าพี่จะหาว่าผมบ้า... อะเอ่อ.. คือ... ผมได้ยินข่าวลือว่าพี่ไม่ชอบเกย์ แต่... แต่ผมก็ไม่ได้เป็นเกย์นะ แต่รู้สึกชอบ อยากกอดพี่ ผะผม..."
"นายพูดบ้าอะไร" คำพูดที่ยืดยาวมันทำให้ผมรู้สึกรำคาญ แต่หัวใจกลับยิ่งเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ามือของร่างสูงมันช่างอบอุ่นแตกต่างจากคริสที่เย็นเฉียบ และเหงื่อออกด้วยความประหม่า เด็กนั่นหน้าเสียหลังจากที่ผมพูดออกไปแบบนั้น เด็กนั่นตั้งท่าจะพูดต่อ
"คะคือ..."
"ไอ้ที่นายพูดเมื่อก่อนหน้าน่ะ นายพูดว่าอะไร" ความรู้สึกตื่นเต้นจนตัวสั่น มันทำให้ผมถามเขาย้ำเมื่อไม่ทันฟังให้ชัดเจน
"ฮะ ฮ๊ะ?" เด็กนั่นทำหน้างงๆก่อนจะตอบ "ผมไม่ได้เป็นเกย์"
ผมถอนลมหายใจออกมาพรืดใหญ่ "ไม่ใช่! ความรู้สึกของนายที่บอกฉันต่างหาก" ในนาทีนั้นผมเห็นหน้าเขาแดงจัดขึ้นมาหลังจากที่ผมถาม มันทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาบางๆก่อนจะตีสีหน้านิ่งสนิท เด็กนั่นคลำท้ายทอยแก้เขินก่อนจะพูดมันออกมา
"ผะ ผม... ผมรักพี่"
หมับ!
สวมกอดร่างสูงเอาไว้จนแน่นโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว เหมือนเขาตกใจที่เห็นผมกอดเขาแบบนั้นจนตัวเกร็ง ก่อนที่จะคลายจากความตกใจและกอดผมตอบแนบแน่น ไม่สนสายตาของนักศึกษาหรืออาจารย์ที่เดินผ่าน ในเวลานี้ผมอยากกอดเขาให้นานที่สุดเท่าที่ความคิดถึงมันจะหายไป ร้องไห้ออกมาเงียบๆ มันเป็นความตื้นตันมากกว่าความเศร้า
แม้ว่าไม่พูดอะไรออกมา แต่มันกลับสื่อความรู้สึกออกมาจากอ้อมกอดทั้งหมด มันทั้งคุ้นเคยและอยากให้คริสหรืออู๋กอดอยู่แบบนั้น เขาไม่ใช่คริสผมรู้ดีว่ามันไม่สามารถเป็นคริสได้ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมรู้ว่า... คนที่ผมรักมากที่สุดก็คือดอลฟี่คริสของผม หรือใครบางคนที่เป็นคริสกลับชาติมาเกิด...
รู้ไหม? ความรักที่แท้จริงน่ะมันบริสุทธิ์จะตาย การรักใครสักคนมันเป็นเรื่องง่าย แต่การตัดใจละทิ้งความรักด้วยจากลาน่ะมันทำได้ยากยิ่งกว่า ไม่มีใครรู้หรอกว่าความรักน่ะมันเริ่มอยู่ที่ตรงไหนเพียงแค่สบตาก็เกิดความรู้สึกนั้นได้แล้ว มันก็เหมือนกันกับผมที่เจอเขา...
ถึงเป็นตุ๊กตาก็ใช่ว่าจะไม่ต้องการความรักจากมนุษย์ หากพวกมันพูดได้พวกมันคงบอกรักพวกคุณเช่นกันที่คอยดูแลและพูดคุย มันอาจจะเป็นเรื่องตลกของใครหลายๆคน แต่มันกลับเป็นเรื่องที่ทำให้ชีวิตของผมมีความสุขมากที่สุด แม้จะเป็นเพียงแค่เวลาสั้นๆ แต่นั่นก็ทำให้ผมพิสูจน์อย่างหนึ่ง ว่าความรักน่ะมันสามารถเอาชนะความชั่วร้ายทุกสิ่งได้ อยู่ที่ว่า... พวกคุณทุกคนจะทนต่ออุปสรรค์นั่นได้นานแค่ไหน...
ผมพยายามไขว่คว้าความรักในรูปแบบใหม่โดยที่ไม่มีวันทำผิดพลาดเป็นครั้งที่สอง แล้วพวกคุณล่ะ? พร้อมที่จะมีความรักแล้วหรือยัง....
ฉันรักนาย... คริส...
จบบริบูรณ์
....
Happy Valentine's Day
จบแล้ว!!!! นักเขียนอยากถอนลมหายใจออกมาดังเฮือก!!!!
มันอาจจะจบง่ายไปนิดแต่ก็จบดีนั่นแหละ อาจมีใครหลายๆคน
ผิดหวังเรื่องคริส แต่เอาน่าได้อู๋มาแทนก็ไม่ต่างกันหรอกมั้ง อิอิ
ต้องขอขอบคุณแฟนๆคริสเต๋าทุกคนที่คอยติดตาม
และให้กำลังใจกันมาตลอดระยะเวลาในการแต่งนิยายเรื่องนี้นะคะ น้ำตาจะไหล
ขอบคุณอีกครั้ง และขอให้มีความสุขในวัน Valentine's Day ค่ะ!