DOLLFIE
ตุ๊กตาต้องสาป
7
วันนี้ผมกับน้องส้มเราพากันมาทำบุญที่วัดครับ...
มันเป็นความโชคดีของผมที่ผมกับน้องส้มค่อนข้างที่จะเข้ากันได้ดีเนื่องจากเจ้าตัวไม่ค่อยที่จะเรื่องมากเท่าไร มิหนำซ้ำผมสั่งให้ทำอะไรเจ้าส้มมันก็ทำโดยที่ไม่หืออือหรืออิดออดอะไรเลย อันที่จริงผมกับมันก็ไม่ได้สนิทกันมากมายแต่เนื่องด้วยเมื่อคืนทำให้ความสัมพันธ์ของเรากระเถิบขึ้นโดยเร็วเหมือนติดจรวด ก็เพราะมันดันมีรสนิยมชมชอบตุ๊กตาดอลฟี่นี่แหละคือสิ่งที่ผมตามหามานาน...
ผมนี่น้ำตาจะไหลขอเม้าท์นะครับ!
เมื่อคืนเรานั่งโม้กันอยู่นานมาก และเป็นครั้งแรกที่ผมสามารถอวดลูกๆผมให้คนอื่นได้เห็นอย่างภาคภูมิใจ จนทำให้ผมลืมเรื่องบางเรื่องไปเสียสนิท ถึงแม้ว่ามันจะดูชอบคริสมากก็ตามแต่ผมก็ระแวงไม่น้อยเพราะกลัวว่าไอ้ตุ๊กตาบ้านั่นเกิดพิเรนอาจจะคิดแกล้งน้องชายผมเข้า...
เอ่อ ตอนนี้เราดื่มแปปซี่สาบานเป็นพี่น้องกันแล้วครับผมเลยค่อนข้างที่จะหวงน้องเป็นพิเศษ และเป็นห่วงความปลอดภัยของมันเนื่องด้วยไอ้ตุ๊กตาบ้านั่นมันชอบทำอะไรที่ทำให้หัวใจวายอยู่เรื่อย แต่หลังจากที่มันกวนตีนผม ยักคิ้วหลิ่วตาเสมือนเตือนสติให้ผมรำลึกเอาไว้ว่ามันยังไม่ยอมไปไหน
แน่นอนครับว่าคำขอของผมสำริดผล คริสยอมกลับไปเป็นตุ๊กตาจริงๆแต่มันพิเศษหน่อยดันเสือกเป็นตุ๊กตาที่มีชีวิตนั่นล่ะ ผมนี่อยากจะCry
แต่เมื่อคืนเหตุการณ์ยังคงปกติดีครับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างเช่นคืนก่อนๆ ผมกับไอ้ส้มคุยกันจนเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ตื่นมาอีกทีก็ตอนเกือบสว่างนั่นล่ะครับ ก็เลยพาน้องมาทำบุญพร้อมกับพาคริสมารดน้ำมนต์สวดส่งวิญญาณหน่อยเผื่อมันอาจจะได้ผลอย่างที่คิดจริงๆ
แน่นอนครับว่า ไม่ว่าพวกผมจะเดินไปทางไหนก็มีแต่คนมอง ด้วยความหล่อเป็นทุนเดิมอยู่แล้วบวกด้วยดอลฟี่ที่เหน็บข้างเอาไว้เพราะขี้เกียจถือ จริงๆคริสก็หนักพอตัวครับแต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรสำหรับผมนอกเสียจากอยากแกล้งตุ๊กตาให้หัวมันโคลงเคลงเล่นจนไอ้ส้มมันว่าผมอยู่บ่อยๆจนมันอดไม่ได้ที่จะแย่งเอาไปอุ้มเอง แล้วคนทั้งวัดก็โฟกัสไปที่ไอ้ส้มที่อุ้มตุ๊กตาดอลฟี่ตัวสวยหน้ามุ้งมิ้งเดินหน้าบานเข้าไปทำบุญ ตั้งแต่ใส่บาตรนั่งฟังพระสวด แล้วรอพระฉันเช้าจนกรวดน้ำเสร็จเรียบร้อยนั่นล่ะครับมันถึงคืนให้ผมแล้วบอกว่ามันเมื่อย ยิ่งอุ้มยิ่งหนักยังไงไม่รู้ อันนี้ไม่ต้องสงสัยครับว่าทำไม...
ผมกับไอ้ส้มพากันไปรอหลวงพ่อซึ่งท่านเป็นพระพ่อเพื่อนเก่าผมนั่นล่ะครับ เพราะเรื่องคริสผมเลยต้องหาทางที่จะช่วยเขาให้หลุดพ้นออกมาจากวิญญาณที่สิงอยู่
"นมัสการครับหลวงพ่อ"
"เจริญพรเถอะโยม" ผมกับไอ้ส้มไหว้ท่านอย่างนอบน้อมแล้วท่านก็ถามว่าผมเป็นอย่างไรบ้าง ผมก็ตอบไปตามที่เป็นอยู่ทุกวัน
"สบายดีครับหลวงพ่อ แต่ก็ไม่ถือว่าสบายดีไปทั้งหมดช่วงนี้เหมือนจะโชคร้ายอยู่บ่อยๆ"
"อะไรล่ะโยมที่ว่าโชคร้าย"
"ผมโดนผีตุ๊กตาหลอกครับ แต่ก็... ไม่มั่นใจว่าใช่หรือเปล่าก็เลยอยากให้หลวงพ่อช่วย" แล้วท่านก็ชะเง้อมองไปทางไอ้ส้มที่นั่งยิ้มกับคริสอยู่ใต้ต้นไทรไม่ไกลจากเรานัก
"นั่นน่ะหรือ"
"ครับ"
พอผมตอบ ท่านกลับยิ้มขึ้นมาบางๆแล้วพยักหน้าเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง แต่ช่วยบอกผมได้ไหมครับว่าที่ท่านยิ้มนี่หมายความว่าอะไร แต่ผมไม่กล้าที่จะคาดคั้นหรอกครับ ท่านเงียบไปครู่เหมือนกำลังทำสมาธิอยู่ลำพังก่อนจะหันมามองผม ไอ้ผมที่กำลังนั่งรอด้วยอาการขี้เกียจนี่รีบดีดผึงนั่งหลังตรงในทันที
"ไม่เป็นอะไรหรอกเขาไม่ทำอะไรเรา"
"เอ๋? หลวงพ่อคุยกับเขาแล้วหรือครับ" ท่านไม่ตอบครับเอาแต่ยิ้มอยู่อย่างนั้น...
เอ่อ... หลวงพ่อ หลวงพ่อนี่ทำให้กระผมสงสัยในรอยยิ้มของหลวงพ่อนะครับ...
"บางสิ่งบางอย่างมันอาจจะเกิดมาจากกรรมเก่าหรือไม่ก็บุญที่เคยทำร่วมกันมา ไม่อาจที่จะหลีกเลี่ยงได้ แต่ไม่ต้องกลัวไปหรอกเขาไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรแต่เพราะมีเหตุผลที่ต้องทำแบบนี้ ซึ่งอาตมาก็ไม่อาจที่จะยื่นมือเข้าไปช่วย มีแต่เรานั่นล่ะที่จะยุติเรื่องนี้เอง"
"อ้าว! แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมละครับ"
"อาตมาพูดไม่ได้หรอก"
ผมมองหลวงพ่อตาปริบๆโดยที่ท่านไม่อาจไขข้อสงสัยให้แก่ผมได้ ท่านเอาแต่ยิ้มให้ผมด้วยความสงบนิ่ง แต่ในใจผมนี่กำลังเต็มไปด้วยคำถาม และเลือดร้อนปุดๆอยู่ในใจ สรุปคือผมไม่สามารถที่จะไล่วิญญาณนั่นออกไปจากคริสได้เลยสินะ?
"แล้วที่เขาบอกว่าไม่ใช่ผีล่ะครับ" ผมยังคงถามต่อไหนๆก็ไหนๆแล้ว
"อืม... มันก็อาจจะเป็นเช่นนั้นแต่เป็นแค่ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งไม่ใช่คนแต่อีกครึ่งเขาเป็นคน"
"เอ่อ..."
"ถ้าอยากรู้มากกว่านั้นก็ถามเขาเองเถอะโยม" หลวงพ่อพูดแทรกเมื่อผมคิดจะถามอีกครั้งโดยที่ไม่ให้ผมถามต่อ เหมือนท่านตัดบทสนทนาที่ไม่อยากจะตอบคำถามผมยังไงอย่างงั้น แต่ผมก็ทำได้แค่พยักหน้า และยกมือไหว้ขอบคุณท่าน "ขอบคุณครับหลวงพ่อ" ก่อนท่านจะให้ศีลให้พรแล้วเดินจากไปในเวลาต่อมา...
สรุปนี่ผมต้องทำใจยอมรับมันให้ได้ใช่ไหมเนี่ย โอ้ยจะบ้าตาย!
"สีหน้าไม่ดีเลยพี่ ไข้กลับอีกหรือเปล่า" ไอ้ส้มมันถามผมน้ำเสียงค่อนข้างที่จะเป็นห่วงผมมากครับ เลยหันไปมองมันกับคริสที่นั่งอยู่บนตักสลับกันไปมาก่อนจะก้มหน้าลงแล้วถอนลมหายใจออกมาดังเฮือก! หลังจากที่กลับมาที่ห้องผมก็กำลังนั่งมึนอึนอยู่บนโซฟา โดยที่ปล่อยให้ไอ้ส้มเล่นกับตุ๊กตานั่นล่ะ วันนี้ไอ้ไก่มันมีเรียนเกือบทั้งวันมันเลยไม่เข้ามาหา ส่วนไอ้น้องส้มนี่ไม่มีเรียนเลยได้โอกาสขลุกอยู่กับดอลฟี่ของผม ดูมันลั้นลาดีครับ แต่ผมอยากจะรู้จริงๆถ้ามันรู้ว่าคริสไม่ธรรมดามันยังจะกล้าเล่นอยู่อีกหรือเปล่า แต่เห็นแล้วก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ครับ
"ส้ม..."
"หืม?" มันหันมามองผมตาปริบๆ
"ถ้าเกิด... วันดีคืนดีตุ๊กตาเอ็งเกิดมีชีวิตขึ้นมาเอ็งจะทำยังไงวะ"
ไอ้ส้มมันทำสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะหันมาตอบด้วยท่าทางซื่อๆของมัน "ก็ดีสิ่พี่ ส้มชอบนะ"
บร๊ะ! คำตอบมันนี่ทำเอาผมอึ้งไม่น้อย
"ละ... แล้วไม่กลัวหรอ?"
มันส่ายหน้ารัวๆแทนคำตอบ "จะกลัวทำไมล่ะในเมื่อเป็ดรักของเป็ดอ่ะ จริงๆถ้าเขามีชีวิตพูดได้ว่าต้องการอะไร ชอบอะไร มันอาจจะทำให้เรามีความรู้สึกที่ไม่เหงาก็ได้ อย่างน้อยก็มีพวกเขาเป็นเพื่อนเล่นใช่ไหมละ"
ผมพยักหน้า เออ... มันก็จริงอย่างที่ว่า "แล้วไม่กลัวเขาจะทำร้ายเหมือนในหนังหรอ?"
"ฮื่อ ทำไมต้องกลัวล่ะ?" ไอ้ส้มมั่นส่ายหน้าแบบซื่อๆอีกตามเคย "เป็ดยังไม่เคยเห็นข่าวว่าตุ๊กตาจะลุกขึ้นมาทำร้ายใครเลย พวกหนังที่เอามาทำก็ทำให้มันดูน่ากลัวทั้งนั้น ทั้งๆที่เรื่องจริงตุ๊กตาพวกนั้นก็ทำได้แค่ให้คนประหลาดใจ และกลัว ซึ่งอันที่จริงมันก็ไม่ได้น่ากลัวเลย ยังมีคนที่เก็บตุ๊กตาแบบนั้นเอาไว้ด้วยนะทั้งๆที่เขาก็รู้ว่ามีสิ่งลึกลับที่ซ่อนอยู่"
ผมนี่หูผึ่งขึ้นมาในทันทีเลยครับ ขยับตัวนั่งหลังตรงแล้วหันไปหาไอ้ส้มด้วยอาการตื่นเต้น "มันจริงหรอวะที่มีเรื่องตุ๊กตาผีจริงๆ"
ไอ้ส้มมันทำหน้าลังเล "ก็ไม่เชิงหรอกเพียงแค่ว่าตุ๊กตามักจะหายไปแล้วโผล่ไปอยู่ตามที่ต่างๆโดยที่ไม่มีใครเห็น และไม่เข้าใจก็แค่นั้น"
ผมพยักหน้าด้วยความรู้สึกโล่งอกเมื่อมันอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ไอ้ส้มบอก แถมดูเหมือนมันจะสนใจเรื่องนี้ไม่ต่างจากผมเท่าไรนัก ก็แน่ล่ะในเมื่อมันก็มีลูกชายเป็นดอลฟี่เหมือนผมนี่หว่ายังไงคนรักตุ๊กตามันก็ต้องเข้าข้างกันอยู่วันยังค่ำ
"ว่าแต่ตุ๊กตาเราชื่ออะไรนะ" ผมเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากพูดถึงมันอีกยิ่งมีคริสอยู่ตรงหน้ายิ่งไม่อยากพูดเยอะ มันแปลกๆชอบกลที่เราสนทนาเรื่องตุ๊กตาผีทั้งๆที่ตัวอันตรายอยู่ในระยะเผาขนแบบนี้
ไอ้ส้มมันยิ้มตาหยีเห็นฟัน "ชื่อเลย์ไงพี่ รุ่นเดียวกันกับคริสเลย แต่เลย์ไม่ได้ทำขึ้นมาจากไม้นะแต่ของพี่น่ะแปลกดี"
"อ้าวแปลกหรอ?"
"อื้ม! ปกติแล้วดอลฟี่ทำมาจากเรซินชั้นดี แต่สำหรับคริสเขาดูแตกต่างเพราะพี่บอกว่าเขาทำมาจากไม้ คริสจะเป็นDODเพราะผมดูจากสีผิวของเขา แต่เวลาที่ผมสัมผัสผิวมันจะดูลื่นๆเหมือนผิวคน คือ... มันแปลก"
โอ้โห... นี่ผมเจอคนรักดอลฟี่ตัวจริงเสียงจริงแล้วใช่ไหมเนี่ย ถึงผมจะชอบแต่ก็ไม่ได้รู้ละเอียดขนาดนั้น ที่ซื้อนี่ก็เพราะเห็นว่าพวกเขาน่ารักหรอกนะถึงได้ยอมเก็บเงินซื้อมาจนได้ แต่ไอ้ที่น้องมันสงสัยนี่ก็ทำให้ผมทึ่งอยู่ไม่หยอก อยากจะบอกนะว่าไอ้ตุ๊กตาดอลฟี่ที่น้องอุ้มอยู่น่ะมันไม่ใช่ตุ๊กตาธรรมดา แต่พอเอาเข้าจริงๆผมก็ไม่กล้าที่จะบอกมันหรอก เพราะกลัวว่าน้องมันจะหาว่าผมคิดมากเหมือนที่ไอ้ไก่มันมักจะว่า แต่มันก็ทำให้ผมรู้ว่าการที่รักอะไรสักอย่างมันทำให้คนเราเห็นดำกลายเป็นขาวจริงๆ
อยากได้เจ้านายใหม่ไหมคริส? เดี๋ยวพ่อยกเราให้เขาแล้วแลกกับเลย์มาอยู่ที่นี่แทน...
ฮึก!
ผมกลืนน้ำลายเฮือกหลังจากที่คิดพิเรนออกมา เกิดอาการผวาเมื่ออยู่ๆใบหน้าของคริสค่อยๆหันมาทางผมอย่างช้าๆในระหว่างที่ไอ้ส้มมันเผลอ สายตาที่ดูไม่พอใจเหมือนอ่านใจผมออกว่าผมคิดอะไร จนต้องรีบถอยกรูแทบติดขอบโซฟาเลยให้ตาย!
"พี่เป็นอะไรอ่ะ?" สีหน้างุนงงมองผมเหมือนจะตลกที่พี่มันทำท่าทางประหลาด รีบแสร้งยิ้มแหยๆแล้วยักไหล่ไม่มีอะไรก่อนจะหยิบรีโมทมาเปิดซีรี่ย์ให้ไอ้ส้มมันดูเรียกร้องความสนใจ และมันก็ได้ผลเมื่อมันหันไปทางจอทีวีแล้วนั่งตาแจ๋วไม่ได้ถามผมอีก
ส่วนผมก็ดูไปกับมันนั่นละครับ แต่ก็ไม่วายหันไปทางคริสที่จ้องไปข้างหน้า มองด้านข้างของดอลฟี่ที่ตอนนี้อยู่ในมุมมองใหม่ที่ดูดีเหมือนคนเอเชีย ทีนี้ละครับผมรู้อะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับดอลฟี่แล้วหลังจากนี้ก็งามไอ้เต๋าสิเฮ้ย! คงมีเรื่องได้เสียตังซื้อนั่นนี่ให้ลูกๆอีกแน่ๆ
วันนี้ก็เป็นวันที่ทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้เปราะหนึ่งครับหลังจากที่ได้คุยกับไอ้ส้ม หรือแม้แต่ไปหาหลวงพ่อแม้ว่าท่านจะไม่ได้ช่วยอะไรผมเลย แต่ก็ยืนยันแน่ชัดว่าคริสคงไม่ใจร้ายทำร้ายเจ้านายของตัวเอง แม้ว่ามันออกจะกวนๆอยู่บ้าง และเป็นผมที่สับสนไปกับเหตุการณ์พวกนั้น ตอนนี้ผมเริ่มทำใจได้แล้วครับ เพราะงั้นเราจะต้องคุยกันให้รู้เรื่อง!
"เป็ดต้องกลับแล้วล่ะ เอาไว้วันหลังเดี๋ยวเป็ดพาเลย์มาเล่นด้วยนะ" ผมพยักหน้าให้ไอ้ส้มที่ยืนอารมณ์ดีอยู่หน้าห้องเตรียมจะกลับบ้านเมื่อพวกผมใช้เวลาคุยเรื่องดอลฟี่จนเย็น เวลาที่เราทำในสิ่งที่ชอบที่รักมีความรู้สึกว่าเวลามันมักจะหมุนไปเร็วจริงๆนั่นล่ะครับ
"โอเค แล้วอย่าลืมที่พี่กำชับล่ะว่าห้ามบอกใคร" ไม่วายยังเตือนให้มันไม่หลุดพูดความลับระหว่างเราสองคน ไอ้ส้มมันพยักหน้าหงึกหงักยิ้มจนตาหยี
"รับแซ่บ!" มันตะเบะท่ารับปากขึงขังก่อนจะหัวเราะ "ไม่หลุดพูดแน่นอนพี่ เป็ดก็ไม่เคยบอกใครหรอกว่าชอบตุ๊กตาแค่นี้เขาก็เข้าใจผิดกันแย่ว่าเป็ดเป็นเกย์"
"อ้าวไม่ใช่เรอะ?" ผมแกล้งชี้นิ้วเลิกคิ้วเหมือนประหลาดใจ ไอ้ส้มมันมองค้อนแล้วยู่ปากเหมือนจะงอน หัวเราะให้มันไปทีแล้วยีหัวมันไปเต็มแรงด้วยความหมั่นเขี้ยว
"ฮ่าๆพี่ล้อเล่น กลับบ้านดีๆล่ะ"
ไอ้ส้มมันกลับมายิ้มอีกครั้ง "ครับ หวัดดีคับพี่เป็ดไปล่ะ"
ผมพยักหน้าให้มันที่ยกมือไหว้ลา และปิดประตูห้องเมื่อเห็นว่าน้องมันเข้าลิฟต์ไปแล้ว ความรู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปเป็นเด็กตอนที่เพื่อนมันมาเล่นบ้านแล้วไม่อยากให้กลับเลยว่ะ
พ่นลมหายใจออกมาด้วยความรู้สึกเหนื่อยก่อนจะกลับไปที่โซฟาอีกครั้งแล้วนั่งลงเว้นระยะห่างระหว่างผมกับคริสสักเล็กน้อย พอเอาเข้าจริงๆเวลาที่ไม่มีคนอื่นนอกจากเราสองคน มันก็ทำให้ผมรู้สึกกลัวๆเหมือนกัน
นี่ผมจะทำอะไรต่อดีล่ะ หาข้าวกิน? แต่ยังไม่หิวเลยนะ
แต่ถ้ามานั่งเงียบนี่มันก็อึดอัดมากจริงๆในเมื่อคริสแกล้งนั่งนิ่งเป็นตุ๊กตาเหมือนเดิมแบบนี้ ผมนี่เดาอารมณ์เขายากมากครับ อย่าว่าแต่ตัวคริสเลย ตัวผมนี่ก็เดาใจตัวเองไม่ถูกว่าควรที่จะกลัวหรือจะชินดี
แต่... มันยากว่ะ
"เอาล่ะ..." เริ่มทำใจแล้วพูดขึ้นมาหลังจากที่นั่งเงียบไปพักใหญ่ หันไปมองคริสที่กำลังนั่งจ้องจอทีวีตาไม่กระพริบ "นี่พร้อมที่จะรับฟังทุกอย่างว่านายเป็นใคร แต่ขออย่างเดียวอย่าทำให้กลัว..."
"..."
ไม่มีการตอบรับจากดอลฟี่ที่ท่านเรียกในขณะนี้...
ก่าห้อย ก่าห้อย...
เฮ้ย! นี่มันจะกวนตรีนผมหรือไงวะ!? ทีเวลาถามแล้วทำใจได้นี่เสือกไม่หืออืออะไรเลย มันทำให้รู้สึกหงุดหงิดจนอยากจะเสยดั้งโด่งๆนั่นจริงๆตอนที่มันแปลงร่างเป็นคน ผมเอื้อมดึงขึ้นคริสเข้ามาหาแล้วสบตาสีน้ำตาลอ่อนนิ่ง
แต่... ผมไม่ค่อยชอบลูกตาของเขาเท่าไรมันเหมือนไม่ใช่ตัวตนของดอลฟี่ตัวนี้เลย หรือผมจะเป็นประเภทยึดติดกับสิ่งเดิมๆกันวะ?
"นี่ได้ยินไหมเนี่ยอย่าทำเป็นหูทวนลมได้ปะ?"
ก็อย่างว่าล่ะครับเหมือนคุยกับตุ๊กตาปกติไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลยจนน่าโมโห สุดท้ายแล้วกลับกลายเป็นผมที่เกิดอาการงอนมันขึ้นมาเสียดื้อๆ เลยจับมันวางไว้ที่โซฟาตามเดิมแล้วลุกขึ้นกระฟัดกระเฟียดหยิบผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำด้วยความหงุดหงิด
เออ! ให้มันได้อย่างนี้สิไอ้ตุ๊กตาผีสิง สงสัยอยากตายหมกตุ๊กตาอีกรอบเดี๋ยวพ่อเต๋าจัดให้แต่ตอนนี้ขอเข้าห้องน้ำก่อนเพราะรู้สึกปวดท้องมวลๆชอบกล สงสัยจะกินส้มมากไป ไอ้ส้มมันดันตะบี้ตะบันแกะให้ บอกว่าถ้ากินเยอะๆแล้วจะทำให้หายไข้ไว ไม่รู้ว่าโดนไอ้ส้มมันเล่นแล้วหรือเปล่าแต่ช่างมันเถอะ ตอนนี้ผมขอเวลานอกแพบนึง!
ยี่สิบนาทีผ่านไปไม่ขาดไม่เกิน...
วู้วววว!!! ออกมาด้วยสภาพที่โล่งสุดๆ แถมด้วยร่างกายกลิ่นหอมฟุ้งด้วยสบู่เด็กแคร์ รักเธอแคร์เธอต้องสบู่เด็กแคร์... เอ่อ.. มันใช่เวลามาตลกไหมเนี๊ยะ!
ผมเปิดประตูออกจากห้องน้ำด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้นหลังจากได้ปลดทุกข์ลงชักโครกไปเรียบร้อย แต่เพียงแค่ก้าวขาออกมาเท่านั้น
"อ่ะเฮือกกกก!!" ผมนี่แทบจะร้องลั่นผวาจนชะงักกึก! เมื่อร่างสูงที่กำลังหันหลังให้อยู่นั่นกำลังทำอะไรบางอย่างกับตัวของเขาอยู่ ผมมองคริสตาค้างไม่ได้รู้สึกตกใจกลัวเหมือนในคราแรกเพียงแค่เพลาๆอาการเหล่านั้นลงเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกตื่นเต้นที่เห็นแผ่นหลังนั่น
เสื้อผ้าในชุดใหม่ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้วอีกนั่นล่ะว่าคนตรงหน้าจะดูดีมากแค่ไหน แต่พอร่างสูงที่ค่อยๆเหยียดหลังตรงอย่างช้าๆเมื่อเขารู้ตัว ผมย่นคิ้วให้กับผมสีบรอนนั่นก่อนจะรู้สึกประหม่าเมื่อคริสหันกลับมามองเชื่องช้า เนิ่นนาน เหมือนภาพสโลโมชั่น สบนัยน์ตาสีครามที่ยืนระบายยิ้มให้กับผมบางๆจนตาหยี นาทีนั้นผมรู้สึกเหมือนถูกดวงตาคู่นั้นดึงดูดใจอีกครั้งเหมือนเมื่อตอนที่ได้เจอกับคริสครั้งแรกที่ร้านตุ๊กตา...
และแล้วก็กลับมาสู่สถานการณ์กดดันอีกเช่นเคยละคับ ท่านผู้ชม...
"เอ่อ... อ่า..."
เชี่ยเอ๊ย! ทำไมเวลาจะพูดนี่รู้สึกติดอ่างขึ้นมาเสียดื้อๆ ทำไมต้องประหม่ากับสายตานั่นด้วยวะ!
ฉึบ!
"ห่ะ เฮ้ย! จะ จะทำอะไร" ร้องลั่นด้วยความตกใจ และรีบถอยกรูจนตัวติดกับมุมตู้ที่อยู่ด้านข้าง ตกใจที่อยู่ๆร่างสูงก็เดินเข้ามาหาโดยที่ไม่พูดไม่จาอะไร เพียงแค่เขาเข้ามาใกล้อาการปอดแหกทำให้ผมหลับตาแน่นด้วยความตื่นกลัว และหดคอเมื่อเห็นมือใหญ่ๆเอื้อมมาที่แก้มอย่างช้าๆ
"ทำไมยังกลัวอีกล่ะ?"
ไม่ให้กลัวแล้วจะให้กรี๊ดเป็นแต๋วแตกแล้ววิ่งเข้าใส่เหมือนเจอเกิลกรุ๊ปหรือไงฟระ!
ผมสัมผัสได้ถึงฝ่ามืออุ่นๆจับมาที่แก้มของผมผะแผ่ว มันอ้อยยิ่ง และนุ่มนวลจนเคลิ้มไปกับสัมผัสนั้น ค่อยๆลืมตามองคริสอย่างช้าๆ จ้องมองใบหน้าคมหล่อที่กำลังยิ้มบางๆ...
เขาไม่ได้ทำร้ายผม พูดง่ายๆมันก็เหมือนมนุษย์ธรรมดาคนนึงนั่นแหละ ผิดที่ว่ามันหล่อเกินมนุษย์จนเกินไปก็เท่านั้น
"มะ ไม่ได้กลัวน้อย" แต่กลัวมาก
คนตรงหน้าเลิกคิ้วแล้วป้องปากหัวเราะ ทันใดนั้นเองร่างของผมกลับลอยหวือขึ้นมาจนผมต้องแหกปากร้อง "หวา!!!" เหลือกตาด้วยความตกใจเมื่อร่างของผมลอยเข้าหาอ้อมกอดแกร่งที่อ้ารับ
เฮ้ย! กูไม่ใช่สาวน้อยนะปล่อยกรู!!!!
ใช้สองมือยันไหล่แกร่งซึ่งตอนนี้ผมรับรู้ได้ว่าร่างของคริสหนามาก ไหล่กว้าง และแข็งเหมือนหินผาเลยก็ว่าได้ ความสูงของเขาบวกกับของผมที่ถูกโอบกอดให้นั่งอยู่บนแขนแกร่งทำให้หัวของผมนี่เกือบจะติดกับเพดานอยู่รอมล่อ ยิ่งเห็นวงหน้าคมหล่อใกล้ๆอย่างมีสติครบถ้วนยิ่งทำให้ผมตระหนักแล้วว่า โลกนี้มันยังมีคนที่หน้าหล่อเหมือนกับเจ้าชายในเทพนิยายจริงๆ
แต่... ได้โปรดเถอะครับ ปล่อยกรู...
"ปะ ปล่อย" แล้วทำไมต้องทำเสียงสั่นแบบนี้ด้วยวะ!
คนถูกสั่งยังคงจ้องสบตาผมนิ่งแถมด้วยการยิ้มหล่อทำลายล้างที่ทำให้ผู้ชายอย่างผมรู้สึกอิจฉายิ่งขึ้นไปอีก มันไม่ตอบครับแต่มันกลับพาผมเดินไปที่เตียงนอนทำเอาซะผมหวาดกลัวว่าจะหงายหลังหล่นลงพื้นในที่สูงๆ ถ้าเกิดมันหลุดมือขึ้นมาความซวยของไอ้เต๋ามาเยือนแน่นอนรับลองว่าเดี้ยงกับเดี้ยง!
"หวา!!!"
ตุบ!
ใจหายแวบขึ้นมาชั่วขณะเมื่อร่างสูงทิ้งตัวผมให้ลงไปบนที่นอนดังตุบ! ถึงมันจะไม่แรงมากแต่ก็ทำให้ใจหายแวบตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม ผมรีบลุกพรึบดีดตัวนั่ง ปากนี่เตรียมจะด่า "ไอ้..." แต่พอสบตาสีครามนี่ทีไรคำด่ามันกลับกลืนหายเข้าไปในลำคอทุกที...
ทำไมชอบหลอกให้กลัวอยู่เรื่อยวะ?
"ไม่ได้อยากให้กลัวเสียหน่อย"
"ฮะ?" ผมร้องเมื่ออยู่ๆมันกลับพูดขึ้นมาหลังจากที่ผมคิดอยากจะด่ามัน
"ก็กลัวไม่ใช่หรอ" เสียงทุ้มถามผมอีกครั้งแถมด้วยคิ้วหนาๆที่เลิกสูงขึ้นเหมือนข้องใจในตัวผม
"นี่มึงอ่านใจกูหรอ?" ชัด! ชัดแน่ๆ ชัดชัวร์ๆ
คริสไม่ตอบกลับมาเขานิ่งเงียบไปครู่แล้วค่อยๆระบายยิ้มแทนคำตอบ ทำไมเวลาที่ผมเห็นเขายิ้มแล้วมันรู้สึกคันแข้งคันขาคันไม้คันมือยิบๆชอบกล คือพูดง่ายๆมันเป็นยิ้มที่กวนประสาทผมม๊าก! รู้ไหมว่าเวลาที่คนอื่นเขาถามแล้วไม่ตอบกลับยิ้มนี่เขาเรียกว่าการกวนตรีนอย่างหนึ่งที่เสี่ยงเจ็บตัวเอามากๆ
"แล้ว... นี่ตกลงเป็นอะไรกันแน่ อย่าเสือกตอบตุ๊กตานะเดี๋ยวกูจับชำแหละแยกร่าง!" ถลึงตาชี้นิ้วสั่งเมื่อเห็นมันกำลังอ้าปากจะพูด แค่มันขยับปากเตรียมจะเอ่ยนี่ก็มองทะลุไปถึงลิ้นไก่แล้วล่ะครับ! คำถามเดิมคำตอบเดิมแน่ๆในเมื่อไอ้ตุ๊กตานี่มันก็กวนประสาทพอตัว
คริสยิ้มที่มุมปากบางๆแล้วจับมือของผมที่ชี้นิ้วสั่งจ่ออยู่ที่หน้ามันให้ลดลง แล้วส่ายหน้าเนิบๆ "ตอนนี้เป็นคนเหมือนกับเจ้านายแต่ก่อนหน้า... เป็นตุ๊กตา"
ผมค่อนข้างที่จะอึ้งกับคำตอบแต่ก็ยังเกิดความสงสัย ซึ่งตอนนี้ลบความกลัวออกไปจากหัวได้เลยในเมื่อความรู้สึกเหมือนผมคุยกับคนมากกว่าตุ๊กตาผี
"ละ แล้วเป็นคนได้ยังไง เป็นตุ๊กตาไม่ใช่หรอ หรือเป็นผีตุ๊กตากันแน่"
ถามเขาแบบกล้าๆกลัวๆนั่นละครับ แต่มันก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่องก่อนอย่างน้อยผมก็อาจที่จะช่วยเขาได้ หากเขาพยายามที่จะให้ผมเห็นอะไรแบบนี้ อีกอย่าง... หลวงพ่อบอกว่าเขาไม่เป็นอันตรายเช่นนั้นผมก็จะยอมทำเป็นใจดีสู้เสือสักครั้งในชีวิตล่ะกัน อย่างน้อยถ้าเกิดมีลูกมีหลานจะได้เล่าสู่กันฟังว่าครั้งหนึ่งคนอย่างไอ้เต๋าก็เคยได้เจออะไรที่มันเหนือปรากฏการณ์ธรรมชาติ เอาซะอยู่ในโลกของเทพนิยายเเฟนตาซี เท่ปะล่ะ!
เขากรอกตาไปมาเหมือนใช้ความคิดก่อนจะตอบ "ถ้าตอบไปแล้วห้ามถามต่อจากนี้นะ"
บ๊ะ! มีต่อรองด้วยว่ะ แต่ช่างเถอะขอแค่ให้มันตอบให้หายข้องใจก็พอ พยักหน้าหงึกหงักตอบกลับไป
คนตรงหน้าเมื่อเห็นผมตกลงเขายิ้มออกมาบางๆแล้วเริ่มพูดออกมา "เมื่อนานมาแล้วเราเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดพระคัมภีร์ทางศาสนา"
"ที่เขาเรียกว่าบาทหลวงใช่ปะ?" คริสพยักหน้ามันทำให้ผมยิ่งรู้สึกประหลาดใจจนหูผึ่ง
"อ้าวแล้วมาอยู่ในร่างตุ๊กตาได้ยังไง"
คริสยิ้ม "ฉันถูกพ่อมดด้านมืดคนหนึ่งใช้เป็นเครื่องมือทดลองกับสิ่งที่เหนือธรรมชาติ และเล่นตลกกับซาตาน"
"..." ผมนี่ถึงกับอึ้งเลยครับพี่น้อง
"ซาตาน... เนี่ยนะ?"
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วล่ะครับ! เพราะสิ่งที่ผมเห็นมันก็เกินความเป็นจริงอยู่แล้ว บนโลกใบนี้มันมีสิ่งประหลาดอยู่หลากหลายยากที่จะหาคำตอบจริงๆ แต่แบบ... มันดันมาเกิดกับผมด้วยนี่สิปัญหา ผมที่นั่งด้วยอาการอึ้งๆ ทึ่งๆ ตาค้าง แต่ท่านั่งตอนนี้สงบนิ่งมากคือเริ่มอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคริสยิ่งขึ้นไปอีกว่าเป็นไงมาไง รู้สึกเหมือนตัวเองมีหางแล้วกำลังกระดิกไปมาอย่างไงอย่างงั้น...
"ถูกทำอะไรบางอย่างก่อนจะกลายมาเป็นตุ๊กตา..."
"ละ แล้ว... ดอลฟี่นี่เกิดมานานตั้งกะสมัยนายเอ่อ..."
คริสเลิกคิ้วเมื่อเห็นผมชี้ไปที่ตัวเหมือนพยายามจะถามว่าตุ๊กตาแบบคริสนี่มีมานานแล้วหรือเปล่า "ตุ๊กตาเขาเรียกว่าดอลฟี่หรือ?"
"อ้าวแล้วนายไม่ใช่"
คริสหลับตาแล้วส่ายหน้าเชื่องช้าเขาดูสงบนิ่งมาก "เราเป็นคนที่กลายมาเป็นตุ๊กตาที่เหมือนกับดอลฟี่ที่เธอว่ามากกว่า แต่มีความพิเศษที่ว่าร่างกายนี่คือคนจริงๆไม่ใช่ไม้..."
"ฮะ!?" ผมนี่ถึงกับลุกขึ้นเลยครับ ตกใจสิวะ!
"สรุปแล้วนายไม่ใช่คน? เดี๋ยวๆ เดี๋ยวนะ ช่วยอธิบายให้มันละเอียดกว่านี้หน่อย" ผมพยายามตั้งสติที่กำลังสับสนให้กลับคืนมา แล้วเงยหน้ามองคริสที่กำลังยกยิ้มที่มุมปากบางๆให้กับผมจนดวงตาคมหรี่ลง ในขณะนั้นผมกลับเห็นว่ารอยยิ้มของเขามันดูเจ้าเล่ห์แปลกๆ แล้วคำตอบที่ผมได้กลับมา ทำเอาซะผมรู้สึกสตั้นไปหลายสิบวิ พูดง่ายๆ กรูอึ้ง...
"ถ้าอยากรู้มากกว่านี้ก็ให้กินก่อนสิ ฉันหิว"
"..."
ฉันหิว... นี่มันคุ้นๆนะ
เฮ้ย! กิน? กินอะไร? จะบ้าเรอะ!!!?
ฮรึก! ตอนนี้... ผมไม่อยากรู้เรื่องของมันแล้วล่ะครับ ฮอล์ลลลลล....
.....