…………………………………………………………..
โอเว่นกับริริเพื่อนของภาคินนัดเจอดันที่ห้องอาหารของโรงแรม แต่ผมลงมาช้าเพราะภาคินคนเดียวเลยครับ อันที่จริงมันน่าโกรธด้วยเพราะภาคินมันเอาคืนที่ผมถ่ายรูปมันลงไอจีด้วยการมัดจุกน่าเกลียดๆเต็มหัวผม แถมยังเอาครีมขมิ้นเหลืองๆมาทาบนหน้าผมด้วย มันดูน่าเกลียดมากกว่าน่ารักแบบที่มันบอก ต้องใช้เวตั้งนานกว่าจะล้างครีมออกจนหมด ด้วยเหตุนี้ผมจึงลงมาคนสุดท้าย เพื่อนของภาคินก็หล่อพอๆกับมันเลย จมูกโด่งผิวสีแทนสวยมาก แขนก็มีมัดกล้ามแต่พอดี มีลักยิ้มเล็กๆเวลาพูด ส่วนริริก็เป็นสาวสวยทรงสะบึ้มเช่นกัน ให้เดาคงเป็นแฟนโอเว่นแน่ๆ
“น้อยๆหน่อย เช็ดน้ำลายด้วย”ภาคินทำเสียงเข้มอยู่ข้างๆ
“ริริยังไม่ว่าอะไรเลย ใช่ไหม”ผมหันไปถามหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามผม
“ใช่เพราะฉันก็มองภาคินเหมือนกัน เจ๊ากันเนอะ”ริริยื่นมือมาเพื่อแตะมือกับผมที่ทำตามมึนๆ โอเว่นหัวเราะขำๆ จะมีก็แต่ภาคินนี่ล่ะนั่งหน้าบูดอยู่ข้าง ผมเลยดึงปอยผมที่ท้ายทอยของมันเบาๆ
“แค่แซวเล่น เลิกทำหน้าบูดได้แล้ว ฉันเห็นแล้วกินข้าวไม่อร่อย”ผมกระซิบเบาๆระหว่างที่สองคนนั้นกำลังก้มดูเมนูอาหารด้วยกัน ภาคินดึงมือผมไปจับ มือของผมวางอยู่บนตักภาคินแบบนี้ก็เลยได้แต่ใช้ส้อมม้วนเส้นสปาร์เก็ตตี้เข้าปากเหมือนเด็ก
“อ้าปาก”มันหั่นเนื้อสเต็กมาป้อนให้ผม เกรงใจคู่รักตรงหน้าจริงๆ ยิ่งที่นี่เป็นประเทศเสรี มันยิ่งเปิดเผยมากขึ้น ผมไม่ได้อายแต่ยังไม่ค่อยชินเท่าไหร่ ภาคินมันทำทุกอย่างได้อย่างไม่ขัดเขิน ซึ่งต่างจากผมที่พลอยเขินมันเหมือนเพิ่งโดนจีบ
“สองคนนี้จะหวานแข่งกับเราเหรอ”ริริย่นหน้าก่อนจะหันไปมองหน้าแฟน
“เราห้ามยอมแพ้นะ”
“อะไรกัน”โอเว่นหัวเราะเขินๆ ก่อนจะหันมาหาภาคิน
“เออ ฉันไปเอาชุดสูทจากร้านมาให้แล้วนะ ดูจากรูปร่างเมฆแล้วน่าจะใส่ได้พอดี”งานนี้ผมถึงกับหูผึ่งเลย ชุดสูทอะไรกัน ผมหันไปมองหน้าภาคินอย่างต้องการคำตอบ ทันเห็นมันทำสีหน้ามีลับลมคมในกับโอเว่นด้วย คราวนี้ผมเลยเปลี่ยนมาจ้องทั้งสองคน
“หมายถึงอะไรเหรอ”
“แค่รอดูเถอะ รับรองเซอร์ไพรแน่”ริริตอบแทน ผมทำปากยื่น เซอร์ไพสอีกแล้ว แต่ก็เอาเถอะ ถ้ายังบอกไม่ได้ ผมก็ไม่เซ้าซี้อะไร ช่วงค่ำๆผมกับภาคินและคู่รักหล่อสวยออกมาเดินเล่นที่ริมหาด ต้องบอกว่าหาดก้อนหิน เพราะมันไม่ใช่หาดทราย ผมถอดรองเท้าเดินไปบนก้อนหินเย็นๆมีภาคินคอยเดินระวังให้ผม เพราะมันกลัวนู่นกลัวนี่ไปหมด
“ระวังลื่นหัวแตกนะ”มันส่งเสียงปราม
“ไม่ลื่นหรอก นายนี่แปลกๆนะ”ริริมองผมกับภาคินด้วยสายตาขำๆ
“เธอทำเหมือนเมฆกำลังตั้งท้องแก่เลย”ผมคิดว่าหูฝาดที่ได้ยินเธอแซวแบบนั้น ภาคินแค่ยิ้มแต่ก่อนที่มันจะตอบออกไปผมก็ดึงมันให้พาไปซื้อไอติมซอฟครีมที่ร้านเล็กๆเสียก่อน ให้ภาคินเลี้ยงตามเคย คู่รักสองคนนั่นหายไปแล้ว ผมกับภาคินเลยเดินเรียบหาดไปดูท่าเรือขนาดใหญ่ที่ยื่นออกไปในทะเลสีฟ้าใสซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆของที่นี่ แต่น่าเสียดายที่โดมด้านหน้าโดนไฟไหม้ไปเมื่อตอนปีก่อน จึงเหลือแค่โครงสร้างหลังคาดำๆ แต่ส่วนอื่นก็ยังอยู่ครบดี ยิ่งตอนเย็นๆค่ำๆแบบนี้ก็มีเหล่านักท่องเที่ยวและครอบครัวเด็กเล็กเด็กน้อย คนแก่ออกมานั่งเล่นที่ชายหาดกันเยอะพอสมควร บนท่าเรือนี่ก็ด้วย ได้ยินเสียงเพลงแว่วมาจากในท่าเรือ ลมแรงจนต้องก้มหน้าเดิน ฝูงนกนางนวลส่งเสียงร้องอยู่บนผืนฟ้าที่ยังกระจ่างใสอยู่
“พรุ่งนี้...ถือเป็นวันสำคัญสำหรับฉันเหมือนกัน เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ฉันมาที่นี่”ร่างสูงบอกระหว่างที่เดินผ่านโดมที่เหลือโครงหลังคาไปยังส่วนท้าย คนพลุกพล่านมากเสียจนภาคินต้องกระซิบคุยกับผมใกล้ๆเพราะเสียงรอบตัวกลบหมด ทั้งเพลงสด และการแสดงหุ่นมือให้เด็กๆดู เมื่อเห็นมีเก้าอี้ว่างก็รีบเข้าไปจับจองทันที
“นายว่าอะไรนะ”ผมพูดใกล้ๆใบหูของอีกคน
“บอกว่าพรุ่งนี้เป็นวันสำคัญ”มันพูดอีกรอบ ผมเอียงหน้ามองอย่างสงสัย วันสำคัญอะไรกัน
“ทำไมอ่ะ”มันพูดแบบนี้ยิ่งกระตุกต่อมอยากรู้ของผมเข้าไปอีก
“พรุ่งนี้ก็รู้”ผมจิ๊ปากก่อนจะเอนพิงเก้าอี้ลมแรงเสียจนผมยุ่งหมด ภาคินลุกไปซื้อเบียร์กับเค้กชิ้นเล็กๆมาให้ผม กำลังมองหนูน้อยเต้นเพลินๆร่างสูงก็ยื่นขนมเค้กกับเบียร์มาให้
“ขอบใจ นายไม่กินเหรอ”ผมเห็นมันถือแต่แก้วเบียร์มา
“ไม่อ่ะ แต่ถ้านายป้อนก็ไม่แน่”มันจิบเบียร์ไปพลางฟังดนตรีสดไปด้วย เพลงแนวอินดี้หน่อย ก็เพราะดี เนื่องจากคนมาบนท่าเรือเยอะ เก้าอี้ไม่ค่อยพอนั่งนอกจากจับจองที่นั่งตรงพื้นแล้ว ผมยังโดนเบียดจนแทบจะซบไหล่ของภาคินได้อยู่แล้ว แต่มันดูไม่ค่อยเดือดร้อนเลยจริงๆ ผมจะกินเค้กก็ตักไม่ถนัด ภาคินเลยจะป้อนให้ผม แต่ท่ามกลางคนเยอะแยะแบบนี้ผมก็เขินเป็นนะ
“คนเยอะ ไม่มีใครมองหรอก เขาสนใจแต่การแสดงกัน”มันตักเค้กมาจ่อที่ปากของผมแล้ว ผมเลยต้องรับเค้กก้อนนั้นมาเคี้ยว พอมองไปรอบๆไม่มีใครสนใจจริงๆด้วย แต่ผมก็ยังเขินมันอยู่ดี ผมเลยให้มันตักคำใหญ่ๆจะได้หมดๆเสียที
“แถวนี้บรรยากาศดี แถมโรแมนติกด้วยเหมาะแก่การจัดงานแต่งจริงๆเนอะ”ภาคินเปรยมาเบาๆ มันวางมือที่หน้าขาของผมก่อนจะเคาะนิ้วตามจังหวะเพลง
“งานแต่งใครล่ะ”
“ของเราไง”มันพูดขำๆ ผมเริ่มยิ้มไม่ออกหรือเรื่องเซอร์ไพสที่ว่าคือเรื่องนี้...แต่คงเป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง มันก็รู้ว่าผมไม่ค่อยชินกับเรื่องแบบนี้สักเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าที่ภาคินพูดหมายความว่ายังไง มันแค่พูดเล่นๆรึเปล่า แต่นั่นก็ทำให้ผมนอนไม่หลับไปทั้งคืนเลย
- เช้าวันรุ่งขึ้น
07.24 น.
“ตื่นได้แล้ว เจ้าแมวขี้เซา”ภาคินปลุกด้วยการตะโกนใส่ใบหูของผม
“ฮื่อ”ผมพลิกตัวหนีอีกคนก่อนจะส่งเสียงหงุดหงิดที่ถูกรบกวน เมื่อใช้วิธีแรกไม่ได้ผล มันจึงเปลี่ยนมาใช้วิธีที่สองคือเกาบนฝาเท้าของผมเบาๆ และนั่นก็ทำให้ผมดีดดิ้นเหมือนคนเส้นกระตุกทันที
“เล่นอะไรของนายเนี่ย ยังเช้าอยู่เลย”ผมงัวเงียใส่ภาคิน เมื่อคืนได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง
“ตื่นได้แล้ว เดี๋ยวไม่ทันการ”ไม่ทันการอะไร ผมยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่ แต่มันไม่ปล่อยให้ผมงงนานเพราะมันเข้ามายกตัวผมพาดบ่าอย่างง่ายดายเหมือนตัวผมเป็นแค่กระสอบปุ๋ยเบาหวิว
“เฮ้ย”ผมโวยวายเสียงขุ่น แต่ร่างสูงก็มุ่งตรงไปยังห้องน้ำ
“อะไรของนายเนี่ย”
“นายมันดื้อ”ร่างสูงปล่อยให้ผมยืนเองเมื่อมาถึงห้องน้ำแคบๆก่อนจะกอดอกมองผมเหมือนผู้ปกครองที่กำลังดุเด็กเล็ก
“อาบน้ำเร็วๆเลย หรือจะให้ฉันอาบให้ ฮึ?”
“กล้าก็ทำสิ”พูดด้วยเสียงงัวเงียระหว่างที่ขยี้ตา อ้าปากหาวหวอดๆ เพราะภาคินแท้ๆที่ทำให้ผมคิดมากจนนอนไม่หลับแบบนี้ แล้วก็เป็นมันอีกที่มารบกวนเวลานอนของผม
“ถอดเสื้อ”มันพยายามดึงเสื้อออกจากทางศีรษะของผม แต่ก็เอาออกไม่ได้
“ยกมือขึ้น”ผมทำตามอย่างว่าง่าย ก่อนที่เสื้อนอนจะหลุดออกไป มันขยับเข้ามาดึงกางเกงขาสั้นของผมออกจนเหลือแค่ชั้นใน ก่อนที่อีกฝ่ายจะเปิดน้ำเย็นๆจากฝักบัวมาราดใส่ตัวผม เล่นเอาตาสว่างเลยทีเดียว ผมห่อไหล่เมื่อสายน้ำเย็นๆไหลผ่านร่าง ขนลุกเกรียว ปากสั่นน้อยๆ
“หนาวอ่ะ ทำไมไม่เปิดน้ำอุ่น”ผมลูบแขนไปมา ภาคินแค่มองหน้าผมเหมือนเอือมๆก่อนจะบีบครีมอาบน้ำใส่ฝามือแล้วเข้ามาถูๆฟอกๆตามเนื้อตามตัวให้ผมเหมือนอาบน้ำให้เด็กเล็ก ผมจักจี้เล็กน้อยเพราะมันก็แปลกๆที่มีคนมาอาบน้ำให้ทั้งๆที่โตเป็นหนุ่นแล้ว
“นี่ชอบใจใช่ไหม”มันพึมพำระหว่างที่ฟอกสบู่ที่หลังให้ผม
“ขัดๆไปเถอะน่า ….”ผมตัวสั่นเมื่อสายน้ำเย็นๆราดรดมาที่แผ่นหลัง กว่าจะเสร็จก็เล่นเอาภาคินเปียกไปด้วยเหมือนกัน ร่างสูงจะคว้าผ้าเช็ดตัวมาคลุมเนื้อตัวเปียกแฉะให้
“คราวนี้ตาสว่างหรือยัง”มันถามเสียงชื่นมื่น ผมได้แต่พยักหน้าหงึกๆ เดินตัวสั่นออกจากห้องน้ำ
“หิวอ่ะ”แล้วก็บ่นเบาๆ ภาคินแค่หันมามองก่อนจะวางชุดสูทสีอ่อนลงบนเตียง
“เดี๋ยวพาไปกิน รีบๆแต่งตัวเลย”ผมมองเสื้อสูทที่ภาคินเตรียมไว้ให้ นี่ใช่ที่โอเว่นพูดถึงรึเปล่า แล้วใส่ไปทำไม เนื่องในโอกาสอะไร
“ใส่ไปทำไมหรือว่ามีงานเลี้ยง”ถามระหว่างที่เช็ดผมให้แห้ง
“...เดี๋ยวก็รู้เองน่า”ผมล่ะเกลียดคำตอบทำนองนี้จริงๆ ภาคินเองก็เปลี่ยนมาใส่ชุดสูทสีฟ้าเทาเข้มด้วยเช่นกัน ผมได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจก่อนจะรีบแต่งตัว ภาคินมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกอย่างพอใจก่อนจะนั่งรอผมที่โซฟาแล้วสะบัดแขนดูนาฬิกาข้อมือด้วยมาดคุณชายที่ผมแอบหมั่นไส้อยู่ลึกๆ เมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ภาคินก็นำผมไปที่ชายหาดด้านนอก เสียงคลื่นกระทบฝั่งแว่วมาเข้าหู ท้องฟ้ายังคงเป็นสีตุ่นๆเช่นเดิม และเหล่านกนางนวลก็บินว่อนเต็มฟากฟ้า อากาศเย็นตามปกติแต่ผมก็ยังไม่ค่อยชินเสียที ยังดีที่สูทหนาเพราะนิ้วมือของผมเย็นจนเจ็บเลย
ผมเดินตามภาคินไปตามชายหาดก้อนหินไปเรื่อยๆ ขี้เกียจจะถามแล้ว เดี๋ยวมันก็คงจะบอกเอง ตอนนี้รอบๆบริเวณยังเงียบสงบอยู่เลย ผมหาวหวอดๆไปสามทีติด ผ่านจุดสนามเด็กเล่นไปแล้วก็ยังไม่ถึง
“อีกไกลรึเปล่า”ผมถามออกไปที่สุด
“ไม่หรอก”มันตอบพร้อมกับยิ้มกว้าง จนมาถึงที่หมายในที่สุด คาดว่านะ เพราะเห็นภาคินหยุดเดิน ผมกระพริบตามึนๆมองซุ้มดอกไม้โค้งๆตรงหน้า ที่ส่วนมากไว้ใช้ในงานแต่งงาน และตรงกลางซุ้มมีโต๊ะและเก้าอี้ที่ปูด้วยผ้าสีอ่อน ๆ ที่ผืนหาดมีกลุ่มดอกกุหลาบที่เรียงกันเป็นรูปหัวใจล้อมรอบโต๊ะกินข้าวอีกที
“อะไร…”ผมมองร่างสูงตรงหน้างงๆ สำหรับผม…หรือสำหรับใคร ผมมองหน้าภาคินเพื่อค้นหาคำตอบก็พบเพียงรอยยิ้มจริงใจ
“นาย...ทำให้ฉันเหรอ”ผมชี้ไปที่ซุ้มและดอกกุหลาบพวกนั้น
“ใช่ ตอนนี้สำหรับนาย”ภาคินก้าวเข้ามาหาผม ด้วยท่วงท่าที่น่ามอง ผมได้แต่หวังว่ามันจะไม่ทำอะไรพิเรนท์ๆแบบที่ผมคิด ฝามือหนาคว้ามือผมไปจับ
“ฉันอยากทำแบบนี้มานานแล้ว”ภาคินก็คว้ามือข้างซ้ายไปจับ ก่อนจะฝังจูบลงที่แหวนที่ภาคินให้ผมเมื่อปีก่อน ผมได้แต่มองไปรอบๆอย่างเก้อเขิน ทำตัวไม่ถูกและยังคงมึนงงอยู่
“นายคง…ไม่ได้ทำอะไรแปลกๆ อย่างขอแต่งงานใช่ไหม”ร่างสูงตรงหน้าเลิกคิ้วมองผมทันที
“ทำไมเดาเก่งจัง”
“ภาคิน…”ผมทำเสียงจริงจัง
“ฉันรู้ว่าเรื่องจริงเราทำแบบนี้ไม่ได้หรอก แต่ขอแค่ที่นี่…”ภาคินมองหน้าผมด้วยสายตาจริงจัง
“แต่งงานกันนะ”ถึงจะเป็นเรื่องที่ผมพอจะเดาได้ตั้งแต่เห็นซุ้มนั่น…แต่สำหรับผมก็ไม่พร้อมจะได้ยินอะไรแบบนี้เลยจริงๆ ผมกระแอมกระไอก่อนจะมองไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ภาคิน
“แต่งงานกันนะ”มันพูดซ้ำ
“แล้วจะให้ฉันตอบว่ายังไงล่ะ”ผมแหวใส่
“ก็ตกลงไง”ผมอ้าปากจะพูด
“แค่ที่นี่ แค่เป็นเรื่องสมมุติเฉยๆ”
“ก็…”ผมเม้มปากอย่างกังวล
“ก็โอเค”
“ถือว่าเป็นคำตอบก็แล้วกัน นายนี่ไม่มีความโรแมนติกเอาซะเลย”ภาคินหัวเราะก่อนจะเชื้อเชิญผมไปที่โต๊ะตัวเล็ก ๆ ผมไม่ชินกับบรรยากาศแบบนี้เอาซะเลย ถึงจะมีแค่ผมกับมันสองคนแต่ก็รู้สึกแปลกๆเหมือนมีคนมองอยู่
“นายเสียเงินไปเท่าไหร่”ผมมองอาหารเช้าบนโต๊ะ เสียงคลื่นซาดซัดเข้าฝั่งเหมือนกลบความประหม่ากังวลของผมไปด้วย
“ไม่เยอะหรอก ของพวกนี้มีคนหารครึ่ง”ผมเลิกคิ้วอย่างสงสัย
“ความจริงแล้ววันนี้เป็นงานฉลองงานแต่งงานของโอเว่นกับริริในโรงแรม แต่โอเว่นมันอยากเซอร์ไพรส์แฟน จังหวะเหมาะที่ฉันอยากเซอร์ไพรส์นายพอดี ก็เลยร่วมมือกัน รู้อะไรไหม ค่าเช่าหาดนี่…แทบทำเอาเนื้อฉันแหว่ง”ผมกำลังจะบ่นมันว่าไม่ได้ขอให้ทำ แต่ภาคินก็ชิงเสริมขึ้นมาซะก่อน
“แต่ถ้าเพื่อนาย ทุ่มเทาไหร่ฉันก็ยอม”ผมว่าผมเริ่มจะชินกับมุกหยอดของภาคิน ผมรีบๆยัดมื้อเช้าลงกระเพาะ ไม่อยากอยู่แถวนี้นานๆรู้สึกไม่เป็นส่วนตัวเลย
“ฉันรู้สึกเหมือนมีคนแอบมองเลย”ผมชักจะกลัวๆขึ้นมา เคยเป็นกันไหมเวลาที่รู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆเหมือนมีสายตาที่มองไม่เห็นจ้องมองอยู่
“หืม คิดไปเองมั้ง หรือว่าเป็นปาปารัซซี่”มันแกะกุ้งวางใส่จานให้ผม
“มีที่ไหนกัน”บางทีมันก็ชอบเพ้อเจ้อไม่สมอายุเลย
“มีสิ อย่าลืมฉันเป็นคนดังนะ”
“แค่ในไทยเท่านั้นหรอก”ผมแกะเนื้อปูส่งให้มันบ้าง ภาคินคิดผิดมากๆที่เลือกเมนูของทะเลแบบนี้ ผมขี้เกียจมานั่งงัดนั่งแกะพวกก้ามปูและกุ้ง หอยพวกนี้จริงๆ
“ตกข่าวจริงๆเลยเมฆ ฉันเคยมาถ่ายแบบนิตยสารนอกด้วยนะ”
“พวก Street newspaper อะไรงี้เหรอ”มันย่นหน้าทันที
“นายกำลังพูดถึงภาคินอยู่นะ”มันหัวเราะขำๆ แต่ก็ต้องมุ่นคิ้วแน่นเมื่อได้ยินเสียงไอดังมาจากบริเวณใกล้ๆ ผมวางส้อมลงทันที
“ฉันว่าฉันได้ยินเสียงคนไอนะ”ผมมองภาคินตื่นๆ แต่เช้าขนาดนี้แล้วผมไม่คิดว่าจะมีผีโผล่มาหรอก
“หูฝาดล่ะมั้ง”…ผมหรี่ตามองคนตรงหน้า ท่าทางบางอย่างของมันบ่งบอกว่ามีเรื่องปกปิด มันตอบไม่เต็มเสียง จู่ๆผมก็นึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อหนึ่งปีที่แล้ว ที่เกาะกูด
“แน่ใจนะ”ผมถามเสียงเข้ม
“แน่ใจสิ”มันยิ้มกว้างให้ผมก่อนจะส่งเนื้อปูมาให้ผมอีก
“ถ้าโกหกแล้วฉันจับได้ นายเข้าคลอสงดจับตัวฉันสามเดือนแน่”มันเม้มปากก่อนจะมองไปรอบๆ
“ความจริงแล้วฉันโกหก”นั่นไง ซื้อหวยไม่เคยถูก
“ความจริงแล้วทีเคก็อยู่ที่นี่”เหมือนเดจาวูเลยครับ
“พรีเวดดิ้งแบบสมจริงของเราไง”ภาคินยิ้มกว้างแต่สายตาแอบหวั่นวิตกเล็กน้อย ผมมองไปที่กำแพงสูงๆที่กั้นระหว่างถนนและหาด ทีเคที่สะพายกล้องพะรุงพะรังไถลตัวลงมาหาผมกับภาคิน
“ทำงานให้ภาคินได้เงินดีล่ะสิ”
“เงินดีที่ไหน ฉันโดนกดค่าแรงต่างหาก คราวก่อนมันก็จ่ายแค่ครึ่งเดียว”ทีเคเหมือนได้ทีรุมยำเพื่อนทันที
“ฉันก็เลี้ยงเครื่องดื่มแกไปแล้วไง”
“หวังว่าฉันคงไม่ได้มาทำลายบรรยากาศหวานมดขึ้นของนายสองคนหรอกใช่ไหม”ทีเคทำสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ไม่ตั้งแต่คุณมึงไอโคลกๆออกมาแล้ว”ภาคินทำหน้าเอือม ก่อนจะหันมาส่งยิ้มหล่อเอาใจผม ณ ตอนนี้ความหล่อก็ช่วยมันไม่ได้จริงๆ
“ไหน เอามาดูซิ นายได้ช็อตไหนไปบ้าง”ผมแบมือขอกล้อง กลัวได้ช็อตหน้าอายๆไปจริงๆ ทีเคหัวเราะระหว่างที่กดดูรูป
“สีหน้านายบ่งบอกทุกอย่าง…แต่รูปออกมาสวยทุกรูปเลย คงเพราะแสงสวย หาดสวย คนในเฟรมก็หล่อ เลยทำให้องค์ประกอบเพอร์เฟ็ค”ทีเคพูดเอาใจภาคินกับผม จากที่ผมเห็นแว๊บๆก็เห็นว่ารูปสวยจริงๆ แสงเป๊ะและมีรูปที่ผมกับภาคินยืนอยู่ใต้ซุ้มดอกไม้นี่พอดิบพอดี จึงพอทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นมาได้บ้าง
“ชอบไหม”ภาคินรีบถามเมื่อเห็นผมเริ่มยิ้มออก
“ก็สวยดี”ไม่ตอบว่าชอบหรอก เดี๋ยวมันได้ใจ นี่ถือเป็นรูปพรีเวดดิ้งที่ใกล้เคียงของจริงมากที่สุดแล้ว มีจับมือกันใต้ซุ้มดอกไม้ จุ๊บมือ(มันวางแผนสร้างภาพชัดๆ)แล้วมองตากันปิ๊งๆ
“ตอนแรกภาคินมันกะจะจ้างบาทหลวงมาด้วยเพื่อความสมจริงเข้าไปอีก”ผมแทบสำลักเนื้อปู
“ถ้าทำแบบนั้นจริง ฉันวิ่งหนีกลับห้องแน่”ทีเคกับภาคินหัวเราะพร้อมกัน เหมือนขำนักหนา แต่พอเจอสายตาของผมเข้าไปก็เงียบกันทั้งคู่
“ขอโทษที่ทำอะไรไม่บอก แต่เพราะว่าฉันอยากเซอร์ไพรส์นาย ทั้งหมดนี่…เพื่อนายเลยนะ”
“จริงๆ เพื่อนฉันทุ่มสุดๆแล้ว”ทีเคเสริม ภาคินเหลือบองเพื่อนตัวเองก่อนจะส่งซิกให้ออกไปก่อน แต่ตอนนี้ถือว่าหมดเวลาโรแมนติกแล้ว เพราะผมกลัวว่าสายๆคนคงมานั่งเล่นตามหาดแน่ๆ คงรบกวนคนอื่นแย่เลย
“ฉันอิ่มแล้ว”ผมหยิบทิชชูมาเช็ดมือ
“งั้นเราไปเดินเล่นกันก่อนดีไหม กว่างานฉลองของโอเว่นจะเริ่มก็ตั้งแปดโมงกว่าๆแหน่ะ”ผมตกลงตามนั้น
“แล้วไม่ต้องเก็บซุ้มกับโต๊ะเหรอ”ผมถามระหว่างที่เดินออกมาจากจุดนั้นแล้ว
“เดี๋ยวโอเว่นจะมาเซอร์ไพรส์แฟนต่อน่ะ เรื่องที่เซอร์ไพรส์กว่าคือมันไม่รู้ว่าฉันพานายมาฉลองก่อนแล้ว”ผมกลอกตามองคนข้างๆทันที
“ทำไมทำนิสัยแบบนี้”ร้ายกาจจริงๆ
“ไม่มีอะไรหรอก โอเว่นมันแค่พาแฟนมาถ่ายรูปพรีเวดดิ้งตรงนั้นเฉยๆ…พูดถึงรูปพรีเวดดิ้ง นายคงไม่โกรธฉันใช่ไหม”มันหันมามองหน้าผม
“ไม่หรอก ขอบใจที่ไม่คุกเข่าขอแต่งงาน”เคยได้ยินมันเปรยๆว่าอยากทำแบบนี้ แต่ผมยังไม่พร้อมกับอะไรทำนองนี้จริงๆ
“ฉันรู้ว่านายยังไม่ชิน แต่เรื่องที่ขอแต่งงานนี่พูดจริงนะ ฉันไม่อยากให้นายลืมนะ ถึงเหตุการณ์เมื่อเช้าจะเป็นแค่การจำลองสถานการณ์ก็ตาม”
“ฉันไม่ลืมหรอก”จะลืมได้ไง มีผู้ชายมาขอแต่งงาน(ปลอมๆ)เชียวนะ เรื่องนี้ต้องแกล้งแม่ซะหน่อย ไม่ได้เทียบเวลาว่าตอนนี้ที่ไทยกี่โมงกี่ยามแล้วแต่ผมส่งข้อความไปก่อกวนแทน เป้าหมายคืออยากให้แม่ตกใจเป็นเพื่อนผมอีกคน
Mek_P: ผมขายออกแล้วนะแม่ มีผู้ชายมาขอผมแต่งงานด้วย!