Special 3 ผมอยากจะไปหาภาคินเสียตอนนี้เลย แต่ก็ติดที่ว่าเรือที่จะไปเกาะกูดมีแค่ไม่กี่เที่ยว และดึกขนาดนี้คงไม่มีเรือที่ไหนออกตอนนี้หรอก ผมก็เลยจองห้องพักไว้ก่อน หวังว่าภาคินจะไม่รีบกลับมาหรอกนะ ผมส่งข้อความไปหามันตั้งหลายครั้งแต่มันแค่อ่านแต่ไม่ได้ตอบกลับมา ผมถอนหายใจก่อนจะหยิบแฟ้มเอกสารมาดู ไล่สายตามองได้ไม่กี่บรรทัดผมก็ปวดหัวซะแล้ว ขมับเต้นตุบ ราวกับกำลังประท้วง ผมกวาดเอาเอกสารรวมกันไว้อีกด้านหนึ่งก่อนจะเอนตัวพิงพนักโซฟาปล่อยให้ความคิดวิ่งพล่านอยู่ในหัว ความเงียบที่คืบคลานเข้ามาทำให้ผมนึกทบทวนคำพูดของตัวเองที่เคยพูดกับภาคิน ยิ่งนึกถึงผมก็ยิ่งรู้สึกแย่ พลานทำเอานอนไม่หลับไปเสียเฉยๆ
ผมไล่อ่านข้อความจากเพื่อนร่วมงานที่ส่งมาถามไถ่เรื่องที่ผมหยุดงาน มีข้อความจากพี่กุมภ์ว่าคุณลุงนัดคุยกับผมพรุ่งนี้ คุยอะไรอีกนะ ผมโทรหาอีกฝ่ายทันที รอสายอยู่นานพี่เขาก็รับ
“ผมเห็นข้อความของพี่อ่ะ”
[อ้อ...เรื่องงานนั่นแหละ พ่อจะเรียกเมฆไปคุยรายละเอียด] เสียงของอีกฝ่ายดูลำบากใจไม่น้อย
“คือเลื่อนออกไปก่อนได้ไหมครับ พอดีผมไม่ว่าง”ผมอยากไปเคลียร์กับภาคินให้รู้เรื่องก่อน ไม่อย่างนั้นผมต้องว้าวุ่นใจอยู่แบบนี้แน่ๆ
[เมฆมีธุระเหรอ?]อีกฝ่ายถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ ผมเม้มปากเข้าหากัน ก่อนจะพยายามห้ามไม่ให้ตัวเองเล่าสิ่งที่ขังแน่นอยู่ในใจ
“ครับ ผมมีเรื่องสำคัญน่ะครับ”
[โอเคหรือเปล่า] พี่กุมภ์ถามขึ้นมาราวกับจับน้ำเสียงผิดปกติของผมได้
“ก็โอเคครับ ผมแค่ต้องการเวลา ตอนนี้ผมไม่ค่อยมีสมาธิทำงานเท่าไหร่ ขอโทษด้วยนะครับ”
[เรื่องภาคินเหรอ?]ผมนิ่งงันไปเพราะไม่คิดว่าจะโดนถามตรงจุด เมื่อผมยังเงียบอยู่พี่กุมภ์เลยเอ่ยขึ้นมา
[มีไม่กี่เรื่องหรอก ที่ทำให้เราเครียดได้ ว่าแต่ทะเลาะกันเหรอ]
“ก็...มีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อยน่ะครับ”ผมถอนหายใจอีกครั้ง
[โอเคไว้พี่จะบอกพ่อให้นะ ยังไงก็เคลียร์กันเร็วๆล่ะ]
“ผมก็หวังว่างั้นเหมือนกัน”ดูเหมือนภาคินจะโกรธผมเอามากๆ ไม่อย่างนั้นมันไม่หายหน้าไปแบบนี้หรอก หรือไม่ก็มันอาจจะอยากใช้เวลาอยู่คนเดียวก็ได้
'เดี๋ยวนี้นายกลายเป็นคนยิ้มยาก ขี้หงุดหงิด ยึดตัวเองเป็นหลัก เห็นแก่ตัว นี่แหละตัวนายในตอนนี้' คำพูดของมันลอยเข้ามาในหัวอีกครั้ง ให้ตายเถอะ ผมเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ก่อนจะส่งข้อความไปหาภาคิน
‘อย่านอนดึกล่ะ ระวังจะเป็นหวัด’
เพราะจำได้ว่าช่วงดึกๆที่เกาะกูดอากาศจะเย็น แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะอ่านข้อความของผมรึเปล่า เพราะหลายๆข้อความที่ผมส่งไปมันก็ไม่ได้ตอบกลับมา ผมอาบน้ำก่อนจะเข้านอนเร็วกว่าปกติในรอบหลายเดือน แต่ก็นอนไม่ค่อยจะหลับนัก พลิกตัวไปมาอยู่หลายรอบด้วยความว้าวุ่นใจ ผมไม่ชอบให้เรื่องมันค้างคาแบบนี้เลย ผมตัดสินใจโทรหาภาคินอีกครั้ง ไม่อย่างนั้นคืนนี้คงนอนไม่หลับแน่ๆ ผมเม้มปากระหว่างที่รอลุ้นว่ามันจะรับสายของผมหรือไม่
[มีอะไร] ผมถึงกับผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อมันรับสายของผม
“นอนไม่หลับ…”ปลายสายเงียบไปพักหนึ่ง
[งานหนักล่ะสิ นายคงเครียดสินะ] มันยังคงประชดผมอยู่
“เปล่า ฉันไม่ได้เครียดเรื่องงาน นายก็รู้ว่าฉันเครียดเรื่องอะไร”ผมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง หยิบตุ๊กตาเก่าๆมาบีบเล่น ได้ยินเสียงมันถอนหายใจ
[…นอนได้แล้ว]
“นายอ่านข้อความฉันหรือยัง”
[อือ นายนอนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปทำงานสาย]
“โธ่ ภาคิน…”
[…]
“ฉันไม่มีอารมณ์ทำงานหรอก ฉันอยากคุยกับนายให้เคลียร์ ไม่อย่างนั้นฉันก็ว้าวุ่นใจอยู่แบบนี้แน่ๆ ฉันรู้ว่าตัวเองเห็นแก่ตัวแค่ไหน ขอโทษที่ทำให้นายรู้สึกเหมือนเป็นคนนอกมาตลอด ขอโทษที่ไม่ได้ใส่ใจนายมากพอ แต่ฉันก็แค่อยากพิสูจน์ตัวเอง นาย …ความรู้สึกของฉันยังเหมือนเดิมนะ”ผมบีบเจ้าตุ๊กตาในมือแน่นมากขึ้นระหว่างที่พูดออกมา
[พักผ่อนเถอะ] โทนเสียงของอีกคนอ่อนลง ถ้าตอนนี้มันอยู่ตรงหน้าผมก็คงจะดี
“ภาคิน”แต่มันวางสายไปแล้ว ผมปาตุ๊กตาทิ้งก่อนจะทิ้งแขนลงเหมือนคนหมดแรง เล่นแบบนี้เหรอ ผมไม่อยู่เฉยแน่ พรุ่งนี้ผมจะไปเคลียร์ให้รู้เรื่องถึงแม้จะเสี่ยงสวนทางกับมันก็ตาม
…………………………………………………………………….
ผมรู้สึกอึดอัดจนต้องขยับตัวไปมา กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคยทำให้ผมลืมตาขึ้น ใจเต้นถี่รัว เมื่อรับรู้ว่าอ้อมแขนอุ่นๆที่กอดรัดอยู่นี้เป็นของใคร ผมเลื่อนมือแตะฝามือหนาที่วางอยู่ตรงหน้าท้องของผม แอบหยิกตัวเองเพื่อพิสูจน์ว่าผมไม่ได้ฝัน ผมอยากหันไปหาอีกคนแต่ก็ขยับตัวได้ไม่ถนัดนัก
“ภาคินเหรอ”ผมพึมพำขึ้นเบาๆ ลมหายใจจากคนด้านหลังเป่ารดอยู่ใกล้ๆ ไออุ่นคุ้นเคยทำให้ผมผ่อนคลายมากขึ้น
“นายมาได้ไง”ปกติเรือของเกาะไม่ออกตอนกลางคืนนี่นา แถมตอนนี้ก็เกือบๆตีสามแล้วด้วย
“ขับรถมา”คำตอบของมันทำผมขมวดคิ้ว
“ฉันไม่ได้ไปเกาะ”ภาคินพูดเสริม
“ฉันกะจะไปหานายพอดีเลย”ถ้าผมไปก็คงเก้อสินะ
“อันที่จริงก็กะไว้แล้วว่านายต้องไป กะจะให้ไปเสียเวลาเล่น แต่ก็…ไม่ได้ทำ”มันพูดเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจ
“ฉันขอโทษ”ผมพูดขึ้นมาอีกครั้ง บีบมือของมันแน่น
“ช่างเถอะ ฉันเองก็งี่เง่าเหมือนกัน ทั้งๆที่ฉันโตกว่านาย ผ่านจุดที่นายเคยเป็นมาแล้วแต่ก็ยังไม่เข้าใจนาย”
“ไม่หรอก เรื่องนี้ฉันผิดที่ไม่ได้ใส่ใจนายเพราะคิดว่านายเป็นคนใกล้ตัวและคงเข้าใจฉันมากกว่าใคร ฉันไม่ได้อยากกันนายออก
จากชีวิตเลยนะ”พูดถึงตรงนี้ก็ทำให้ผมหน่วงในอกอีกครั้ง ภาคินเงียบไปก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“แต่แผนชีวิตนายไม่มีฉัน จะให้คิดยังไง”น้ำเสียงปนความเสียใจของมันทำให้ผมรู้สึกแย่ขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่ใช่ว่าไม่มีนาย ฉันแค่อยากให้ตัวเองมั่นคงก่อน…”
“เพราะคิดว่ายังไงฉันก็รอได้ใช่ไหม”ผมเม้มปากก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเพื่อให้น้ำเสียงของตัวเองเป็นปกติ
“อือ ขอโทษที่คิดแบบนั้นนะ”ผมละเลยความรู้สึกของมันไปมากจริงๆ ภาคินยังคงเงียบอยู่ ผมสอดมือเข้ากับฝามือของมัน สัมผัส
ได้ถึงแหวนเย็นๆบนนิ้วมือของมัน
“มั่นใจเหรอว่านายยังเหมือนเดิม”มันถามขึ้นมาเบาๆทำเอาผมใจหาย
“เหมือนเดิมสิ ทำไมถามแบบนั้น”
“สองสามวันมานี้ฉันเอาแต่คิดมาตลอดเลยว่านายเปลี่ยนไปรึเปล่า”
“ความรู้สึกของฉันยังเหมือนเดิมนะภาคิน แค่ฉันสนใจงานมากกว่านายไม่ได้หมายความว่าฉันไม่รักนายนะ ฉันยังเหมือนเดิมเสมอ”ผมซุกหน้าลงกับหมอน จู่ๆน้ำตาก็ไหลออกมาเอง ทำไมมันต้องพูดเรื่องนี้ด้วยก็ไม่รู้ ภาคินยกตัวมามองผม มืออุ่นสัมผัสแก้มผมเบาๆ
“ร้องไห้ทำไม”
“เปล่า ฉันแค่เครียดมากไปหน่อย”ผมบิดหน้าหนีฝามือของอีกคน ภาคินยิ้มจางก่อนจะปัดเส้นผมที่ปรกหน้าผากของผมออก
“รู้ไหม ว่านายโกหกไม่เก่ง”
“ขอโทษ”ผมพูดอีกครั้ง
“ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะโกรธนานหรอก…ขอโทษด้วยที่หลบไปแบบนั้น ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คิดมาก ฉันแค่อยากทบทวนตัวเองเฉยๆ เรื่องงานฉันเข้าใจนายนะ เข้าใจว่านายกำลังเติบโต แต่ก็อย่างที่ฉันคอยบอกนายตลอด นายควรจะยืดหยุ่นกับตัวเองบ้างนะเมฆ ฉันยอมรับว่าไม่เข้าใจเรื่องงานของนายหรอกแต่ฉันอยากให้นายคุยกับฉันบ้าง ฉันอยากเป็นที่พึ่งให้นายนะ”ภาคินกระชับอ้อมแขนเข้ามามากขึ้น ผมสูดจมูกเบาๆ
“อือ เข้าใจแล้ว สัญญาว่าจะไม่ทำตัวแบบนี้อีก ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้นายเสียความรู้สึกจริงๆ ขอโทษนะ”ภาคินหัวเราะเบาๆ ก่อนจะบิดจมูกผม
“เลิกขอโทษได้แล้ว ชักจะคิดแล้วนะว่านายเมาหรือเปล่า”
“ไม่ได้เมา แต่แค่อยากพูด ขอบใจนะที่คอยเตือนฉันมาตลอด”ผมรู้ว่าตัวเองฝืนมาตลอด เพราะคำว่าอยากพิสูจน์ตัวเองว่าผม
ทำได้และอยากให้คนที่ทำงานยอมรับผม
“เพราะฉันอยู่ข้างนายตลอดไง จำไว้นะ”ภาคินซุกหน้าลงกับต้นคอของผมที่ยิ้มออกมาได้ น้ำหนักบนบ่าที่เคยกดทับหายไปปลิดทิ้ง ตอนแรกก็คิดว่ามันจะโกรธผมนานกว่านี้ซะอีก
“ภาคิน”ผมขยับตัวก่อนจะพลิกตัวหันหน้าเข้าหามัน ภาคินเลิกคิ้วมองผม
“ว่า”
“ขอบคุณที่มานะ”ผมยิ้มให้มันในความมืดก่อนจะแตะแผ่วเบาลงที่ริมฝีปากของภาคิน
“นอนได้แล้ว ฝันดีล่ะ”เป็นคืนที่ผมหลับอย่างง่ายดาย
……………………………………………………………………………..
ผมตื่นแต่เช้า ตื่นก่อนภาคินอีก ทั้งๆที่เพิ่งนอนไปได้ครู่เดียวเอง แต่ผมอยากชดเชยให้ภาคิน ผมมองคนที่นอนหลับด้วยท่าทางเป็นสุข ก่อนจะค่อยๆออกจากห้องเงียบๆเพราะกลัวอีกคนจะตื่น ผมขยี้ตาให้หายงัวเงีย เปิดไฟที่เคาน์เตอร์ครัว เปิดตู้เย็นเพื่อดูว่ามีวัตถุดิบพอให้ทำอาหารเช้าไหม วันนี้ผมจะลงมือทำอาหารเช้าไถ่โทษให้ภาคินเอง ผมใส่ผ้ากันเปื้อน เลือกเอาเห็ดกับมะเขือเทศออกมาล้าง เตรียมพวกเบคอน ไก่อบ และไข่ออกมา ก่อนจะจัดการตั้งกระทะ ใช้ไฟอ่อนๆ กันไหม้เพราะผมก็ไม่ค่อยถนัดทำอาหารซักเท่าไหร่
“ทำอะไร”ผมสะดุ้งโหยงเมื่อไอ้คนที่สมควรจะนอนอยู่ในห้องดันนั่งเท้าคางมองผมด้วยสีหน้างัวเงีย ผมที่หันมาเจอทำเอาตกใจหมด
“จะทำอาหารเช้าให้”ผมตอบ ภาคินอมยิ้มก่อนจะชะโงกมาดูว่าผมจะทำอะไร
“ไถ่บาปเหรอ”
“ส่วนหนึ่ง ลาหยุดทั้งที ฉันก็อยากลองทำข้าวเช้าให้นายบ้างไง”ผมดูเบคอนกับเห็ดในกระทะไปด้วย
“ไว้จะรอชิมนะ อาบน้ำก่อน”มันยื่นหน้ามาหอมแก้มผมก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้อง ผมพยายามทอดไข่ให้ออกมาสวยๆแต่ก็ทำ
ไข่แดงแตกซะก่อน ผมย่นหน้าอย่างหงุดหงิด ก่อนจะทอดใหม่อีกลูก ไข่ด้านเล็กน้อยเพราะน้ำมันไม่ค่อยร้อน แต่ช่างมันเถอะ ยังไงก็ต้องไปอยู่ในท้องอยู่ดี
ภาคินอาบน้ำนานพอๆกับที่ผมทำอาหารเช้าเลย กลิ่นครีมมาร์คหน้าลอยฟุ้งเมื่อมันเดินเข้ามา ผมเหลือบมองร่างสูงที่พอกครีมไว้ทั่วใบหน้า แถมยังใส่ที่คาดผมไว้กันเส้นผมเปื้อนด้วย
“เสร็จแล้วเดี๋ยวฉันพอกหน้าให้ ไม่ได้ทำให้นายนานแล้ว”ภาคินถือกระปุกครีมมาด้วย อีกมือถือที่คาดผมสีเหลืองไว้
“นั่นสิ”นานมากแล้ว ปกติถ้าว่างๆมันจะพอกหน้าให้ผม แต่เมื่อผมเริ่มจริงจังกับงานช่วงเวลาเหล่านั้นก็หายไป มานึกๆดูแล้ว การใช้ชีวิตของผมเปลี่ยนมากไปจริงๆ หรือผมจะไม่เหมาะกับงานแบบนี้เหมือนที่หลายๆคนบอก ภาคินลากเก้าอี้มาให้ผมนั่งเมื่อผมล้างหน้าเสร็จแล้ว มันดันที่คาดผมลงบนศีรษะของผม ครูดหนังหัวผมด้วยตอนที่ผมเอนตัวออกเพราะตกใจ มันค่อยๆพอกครีมทั่วใบหน้าของผมอย่างเบามือ ผมหลับตาปล่อยให้มันละเลงได้ตามใจชอบ
“จำได้ไหมตอนนั้นฉันก็พอกครีมให้นายแบบนี้”มือนวดคลึงใบหน้าของผมไปด้วยระหว่างที่มันพูด
“จำได้ เพราะตอนนั้นฉันต้องเล่นโฆษณาเป็นครั้งแรกไง”ยังจำความรู้สึกตื่นเต้นได้อยู่เลย
“ตอนนั้นนายก็ทำหน้าเหมือนตอนนี้”มันหัวเราะก่อนจะบอกให้ผมลืมตา
“เอาจริงๆเราไม่ได้อยู่แบบนี้นานแล้วนะ”ผมมองอีกคนที่ดูสดชื่นเป็นพิเศษ
“ไม่ต้องขอโทษแล้วนะ”มันพูดดักคอ ผมหัวเราะ มันเดาถูกอีก
“ถ้าอยากขอโทษ นายก็แค่ปรับตารางชีวิตของนายใหม่ ทำตัวให้สมกับเป็นเมฆหน่อยสิ โอเคนะ”
“พ่อพี่กุมภ์อยากคุยกับฉันล่ะ”ผมเลิกคิ้วไปมาเพราะหน้าเริ่มตึง ภาคินหันมามองอย่างสนใจ
“เขาอยากคุยเรื่องดึงนายไปทำงานด้วยสินะ”
“คงงั้นแหละ แต่ฉันคงปฏิเสธ”ภาคินขมวดคิ้วทันที
“เพราะฉันรึเปล่า”มันถามสีหน้าจริงจัง ผมส่ายหน้า ถึงลึกๆแล้วผมอยากเข้าไปทำงานอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อมาคิดดีๆ มันคงยังไม่
ถึงเวลาให้ผมเลื่อนขั้น ก็อย่างที่ภาคินเคยบอกผมไว้ ว่ามันหนักไป
“เปล่าหรอก แต่ฉันไม่อยากทำอะไรเกินตัว คิดดูสิแค่ตอนนี้ฉันก็หัวหมุนมากแล้ว ถ้าต้องทำงานกับคุณลุงด้วย ฉันคงกลายร่างแน่ๆ”
“ถ้าคิดได้แบบนี้ก็ดีแล้ว”ภาคินพึมพำก่อนจะหมุนเก้าอี้มาหาผม
“ฉันรู้มาว่านายมีหุ้นอยู่ในบริษัทใช่ไหม”
“ทำไมเหรอ”ผมถามด้วยความสงสัยเพราะท่าทีลังเลของภาคิน
“ฉันพอจะมีเพื่อนอยู่ในบริษัทนั้นน่ะ”
“อ๋อ…ที่นายรู้เรื่องข่าวซุบซิบของฉันเพราะนายมีสายลับนี่เอง”ผมพูดแทรก ภาคินไหวไหล่
“ฉันก็อยากรู้นี่ว่านายเป็นยังไงบ้าง คือแบบนี้นะ เพื่อนฉันมันบอกว่าตอนนี้ภายในบริษัทไม่ค่อยจะดี มันบอกว่าทางที่ดีนายควรจะถอนหุ้นออกมาก่อน เพราะเพื่อนฉันมันคาดการณ์ว่าสถานการณ์มันต้องย่ำแย่กว่านี้แน่ๆ”ผมเองก็คิดแบบนี้ไว้เหมือนกัน ทางผู้ใหญ่ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วยแล้ว ทำให้ผมตงิดว่าสถานการณ์ของบริษัทอาจจะแย่กว่าที่ผมรู้มา
“ฉันก็คิดอยู่เหมือนกัน แต่…จะให้ฉันถอนหุ้นได้ไง คือ…”ผมลำบากใจอยู่เหมือนกันเพราะคุณลุงเหมือนเป็นผู้มีพระคุณสำหรับผม ถ้าไม่หยิบยื่นโอกาสให้ ผมคงไม่ได้อยู่ในจุดนี้แน่
“นายจะกลัวอะไร หุ้นก็ซื้อมาด้วยเงินของนายนะ”
“ต้องรอจังหวะเวลาที่เหมาะหน่อยน่ะ ภาคิน ฉันรู้ว่าภายในบริษัทไม่ค่อยดี แต่ฉันไม่อยากทำตัวเหมือนชิ่งหนีปัญหา”ถ้าเป็นไปได้ก็คงต้องรอให้ผ่านช่วงวิกฤติไปก่อน ภาคินพยักหน้าอย่างเข้าใจ การสนทนาจบลงเพราะหน้าตึงๆ หลังจากที่ล้างหน้าเสร็จ ผมก็รู้สึกสดชื่นเหมือนเป็นคนใหม่ยังไงไม่รู้ มื้อเช้าถึงจะเย็นชืดแต่ก็ใช้ได้ระดับหนึ่งแถมผมซดมาม่าไปอีกถ้วยเพราะไม่อิ่ม
“วันนี้ไปหาหมูอ้วนกัน”ภาคินเอ่ยชวนหลังจากที่ล้างจานเสร็จเรียบร้อยแล้ว หมูอ้วนที่ว่าก็คือน้องนินทกรคือน้องชายวัยสามขวบกว่าๆของภาคินนั่นเอง หน้าตาน่าเอ็นดูไม่ต่างจากคนพี่เลย แต่น้องแก้มเยอะอ้วนปุกไปหน่อย แต่ก็วัดตอนนี้ไม่ได้หรอก ต้องดูตอนโตว่าจะหล่อสู้คนพี่ได้ไหม
“ดีเลย ไม่ได้ไปหาซะนาน”ผมใส่เสื้อผ้าสบายๆที่ไม่ได้ใส่มานานแล้ว ภาคินเองก็หาเสื้อที่สีใกล้เคียงกับผมมาใส่ ไม่รู้มันจะทำแบบนั้นทำไม
“จะได้เหมือนเสื้อคู่ไง”มันไขข้อสงสัยให้ผม ที่บ้านของภาคินเป็นบ้านสองชั้นขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ก็ไม่เล็กจนชวนอึดอัด เพราะพ่อภาคินไม่ชอบบ้านที่ใหญ่จนเกินไป ผมเห็นน้องนินทกรกำลังนั่งเล่นตัวต่ออยู่ ข้างๆมีแม่นั่งมองอยู่
“โห่ อะไรกันเนี่ย อ้วนเหมือนหมูเลย”ภาคินเข้าไปหาน้องตัวเองก่อนจะทำจมูกหมูใส่ แต่คนน้องก็แสบพอตัวปาตัวต่อใส่ภาคินที่หลบได้อย่างว่องไว
“อย่าแกล้งพี่เขาสิ”คุณแม่ปรามเสียงอ่อนก่อนจะชี้หน้าภาคิน
“สวัสดีครับ แม่”ผมส่งยิ้มทักทาย
“นึกว่าลืมแม่ไปแล้ว ไม่เห็นมาหากันบ้างเลย”คุณแม่ย่นหน้าก่อนจะเข้ามาหอมแก้มผมกับภาคิน
“น้องนินจาหอมด้วย”นินหมูอ้วนชูมือขึ้นมา แม่จึงต้องก้มไปหอมแก้มยุ้ยนั้นอีกฟอด
“พ่อไปไหนอ่ะแม่”ภาคินถามระหว่างที่ดึงน้องชายของตัวเองมากอดแต่เจ้าหนูไม่ค่อยจะยอมเท่าไหร่
“อยู่ในบ้าน กำลังทำของว่าง คินกับเมฆมาได้จังหวะพอดีเลย”
“พี่ชายนิสัยไม่ดี น้องนินจะฟ้องปะป๊า”ว่าแล้วก็เอากำปั้นอ้วนๆตีแขนภาคิน ก่อน
“ฟ้องเลยสิ ใครกลัวล่ะ หือ”แล้วมันก็บีบพุงที่โผล่พ้นออกมาจากชายเสื้อของน้อง
“ไปแกล้งน้องทำไม”ผมฟาดแขนภาคินไปหนึ่งที
“พี่ชายทำไมไม่ค่อยมาหาน้องนินเลยอ่า วันก่อนน้องนินไปกินขนมมาตั้งเยอะ อดกินเลย”เจ้าหมูอ้วนเดินเข้ามาเบียดผมก่อนจะหัวเราะ
“น่าเสียดายจังครับ ไว้วันหลังน้องนินชวนพี่ไปด้วยนะ”ผมอยากจะฟัดแก้มยุ้ยๆนั่นให้ช้ำแต่ก็ต้องห้ามตัวเองไว้ เพราะเจ้าหมูไม่
ค่อยชอบให้ใครหอมแก้ม ขนาดพ่อกับแม่ยังดิ้นหนีเลย ไม่รู้เป็นโรคอะไร
“ไม่อาวหรอก เดี๋ยวพี่ชายจาแย่งน้องนิน”เจ้าหมูหัวเราะคิกคักก่อนจะโถมตัวเข้ามาชนผม จนเจ็บน้อยๆ ภาคินขยับมารวบตัวน้องชายขึ้นไปอุ้ม ก่อนจะหมุนไปรอบๆ เรียกเสียงกรีดร้องจากเจ้าหมูนินดังลั่น และมันก็ทำน้องร้องไห้ตามระเบียบ ผมมองภาพที่ภาคินโดนแม่ดุด้วยสายตาขบขัน เอาจริงๆผมว่าภาคินเหมือนเด็กที่ไม่รู้จักโต ตั้งแต่มีน้องชายมันก็เปลี่ยนไปค่อนข้างเยอะ มีมุมน่ารักมากขึ้น แต่ก่อนมีแต่มุมชวนให้หมั่นไส้
“เด็กๆน่ารักเนอะ”ภาคินนั่งลงข้างๆผมพร้อมยื่นโดนัทเคลือบช็อคโกแลตมาให้
“ทำไม เห็นแล้วอยากมีลูกเหรอ”ผมก็แซวมันไปขำๆ แบบทุกครั้งที่มันพูดถึงเด็กๆ
“ก็ไม่หรอก ถึงจะน่ารักแต่ฉันว่าฉันไม่พร้อมจะมีลูกแน่ๆ นายไม่มีมดลูกนี่นา”ภาคินกัดขนมคำโตก่อนจะหัวเราะ
“แต่ถึงมีฉันก็ไม่พร้อมหรอก”
“เพราะ”อยากฟังเหตุผลจากคนอย่างภาคิน
“ก็…ฉันว่ามันยากนะที่จะเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งให้เติบโตมาได้สมบูรณ์แบบ”มันนั่งกอดเข่ามองหน้าผม
“ไม่มีใครสมบูรณ์แบบเสียหน่อย แต่ก็จริงอย่างที่นายว่านั่นแหละ มันยาก”ผมกับภาคินเห็นตรงกันเรื่องนี้ ไม่รู้สิเรื่องลูกไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับผมกับภาคินเลย
“ฉันก็อยากจะรู้ว่าหมูนินจะโตมาเป็นแบบไหน”สายตามันจับจ้องอยู่ที่น้องชายที่ร้องงอแงขว้างปาของเล่นทิ้งเมื่อโดนขัดใจ
“หล่อเหมือนนายล่ะมั้ง”ผมตอบติดตลก ภาคินหัวเราะทันที
“หมูแน่นอน ถ้ายังกินเป็นพายุแบบนี้”มันยังคงขำหึๆต่อไป
“เด็กวัยกำลังโตก็แบบนี้แหละ”ผมอดขำไปด้วยไม่ได้ ระหว่างที่ภาคินออกไปคุยกับแม่ คนพ่อก็เข้ามานั่งข้างๆผมแทน ช่วงหลาย
ปีที่ผ่านมาคุณพ่ออ้วนขึ้นเยอะเหมือนกัน
“ได้ข่าวว่าทะเลาะกับคินมันเหรอ”พ่อถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“พ่อรู้ได้ไงครับ”หรือว่าภาคินบอก
“คินมาปรึกษาพ่อน่ะเมื่อสองวันก่อน เสียงหม่นเชียว”ผมยิ้มก่อนจะก้มมองโดนัทที่หมดไปครึ่งอันในมือของตัวเอง
“ไม่ง่ายเลยใช่ไหมสำหรับการเป็นผู้ใหญ่”
“ครับ แต่ก็มีเรื่องให้ท้าทายเสมอเลย”ผมมองร่างสูงของภาคินด้วยสายตาเหม่อๆ
“ต้องเข้าใจภาคินหน่อยนะ พ่อว่าลึกๆแล้วมันเองก็ต้องการความรัก ความอบอุ่น คินเคยบอกพ่อว่าชอบเมฆที่รอยยิ้ม พ่อก็เข้าใจ
ทันทีเลยว่าเพราะอะไร”พ่อหยุดพูดครู่หนึ่งก่อนจะมองผมยิ้มๆ
“วัยเด็กของภาคินไม่ค่อยจะดีนักหรอก เพราะตอนนั้นพ่อยังวัยรุ่นอยู่ ทะเลาะกับแม่ก็ออกบ่อย นับครั้งได้เลยที่เราจะยิ้มให้กัน รู้ไหม ครั้งแรกที่พ่อเจอเรา พ่อแปลกใจมากที่เมฆมีทุกอย่างในช่วงวัยที่ภาคินไม่มี เขาก็แค่คนที่ต้องการความรักความเอาใจใส่ก็เท่านั้นเอง เด็กใช่ไหม”ท่านกระซิบเมื่อภาคินเดินใกล้เข้ามา
“เด็กจริงๆแหละครับ”
“นินทาผมกันแน่ๆ ทำหน้าแบบนี้ ใช่ไหม”ภาคินชี้นิ้วไปที่ผมกับพ่อด้วยสายตาจับผิด
“กำลังนินทาว่าแกปัญญาอ่อนไง พอๆกับไอ้นินมันเลย”ภาคินเบ้หน้าทันที
“พ่ออย่าตามใจน้องให้มากล่ะ เดี๋ยวจะเคยตัว อ้วนเป็นหมูขึ้นมา นี่แย่เลยนะ ผมกะจะเอามาเป็นพิธีกรคู่ในรายการซะหน่อย”มันพูดด้วยทางทีเล่นทีจริง แต่พ่อก็หรี่ตามองมันอย่างจับผิด
“อย่าแม้แต่จะคิด พ่อไม่มีทางปล่อยให้น้องแกเข้าวงการแน่”ทำตัวเหมือนคนพี่นี่แย่เลยนะ พ่อกับแม่คงปวดหัวน่าดู
“ล้อเล่นน่า ล้อเล่น”ภาคินรีบพูด ก่อนจะหันมาหาผมเมื่อพ่อเดินออกไปแล้ว
“นายกับพ่อนินทาอะไรฉัน ฮึ”มันทำหน้าดุใส่
“เปล่านินทา แค่ชมว่านายยังหล่อปิ๊งอยู่เลย”
“คิดว่าฉันจะเชื่อเหรอ แต่อย่าไปฟังพ่อฉันมากล่ะ รายนั้นชอบใส่ร้ายฉัน”ผมมองผู้ชายตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม ในตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจตัวตนของภาคินมากขึ้น การกระทำตั้งแต่วันที่ผมได้เจอมัน จนถึงวันนี้ น่าแปลกที่ผมกลับเข้าใจอย่างลึกซึ้งก็ตอนนี้แหละ
“ทำหน้าแบบนั้นทำไม”มันเลิกคิ้วมองผม
“เปล่านี่”
“แน่นะ?”มันยังดูไม่เชื่อ
“ภาคิน ต่อจากนี้นายสบายใจได้เลยนะ เรื่องที่เราทะเลาะกันจะไม่มีอีกแล้ว สัญญาเลย”ผมยื่นนิ้วก้อยไปให้มัน มันทำสีหน้าแปลกๆ
“อายุขนาดนี้แล้วต้องเกี่ยวก้อยด้วยเหรอ”แต่มันก็ยอมเกี่ยวก้อยกับผม
“ถ้าผิดสัญญาล่ะก็…”มันเม้มปากแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ไม่ผิดแน่นอน…”ผมยื่นหน้าไปกระซิบใกล้ๆมัน
“รักนายนะ ภาคินเด็กน้อยของฉัน”
---------------------------------------------------------------
ภาคินเองไม่ได้โกรธเมฆมากขนาดนั้นเนาะ เพราะพื้นฐานของสองคนนี้คือความเข้าใจกัน
ภาคินเข้าใจเมฆ แต่แค่ต้องการเวลาจัดการกับความรู้สึกน้อยใจที่ระเบิดออกมาเท่านั้นเอง
เมฆก็คือตัวตนในวัยเด็กที่ภาคินไม่มี(งงไหม
)
ส่วนเรื่องรวมเล่มอาจจะได้เปิดจองเดือนตุลาเลยนะคะเพราะทางสนพ.เปิดจองเป็นรอบ
แล้วจะแจ้งความคืบหน้าให้ทราบอีกทีค่ะ
ตอนพิเศษหน้าคือพ็อกเก็ต บุ๊ค This is Phakin การเขียนอาจจะแปลกๆ
เพราะอยากให้เหมือนว่าภาคินเป็นคนทำเอง ขอบคุณที่ติดตามนะคะ