ความลับที่เจ็ด
“ลม!! ลม!!”
“ลม ไหวมั้ย” ผมลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะความรู้สึกที่เย็นเฉียบที่แตะบนหน้าผาก วันนี้ผมลืมตาตื่นมาที่ห้องตัวเองจริงๆสักที และตอนนี้ผมหายใจไม่ออกครับ ปวดหัวหนึบๆ เวลาหายใจมันรู้สึกร้อนไปหมดเลย ผมคงจะไม่สบาย ให้ตายเถอะ ผมเป็นคนที่แข็งแรงมากเลยนะครับ นานๆทีจะไม่สบายแล้วก็ชอบเป็นหนักด้วยสิ
อ้อ วันไหนมีเรียนเช้าๆแพรจะตื่นมาปลุกผมครับ แฝดผมน่ารักมั้ยล่ะ?
“ไหว… วันนี้ลมมีควิซ” ผมฝืนพูดออกไปทั้งๆที่อยากจะถอดหัวออกให้รู้แล้วรู้รอด
“โหย เช็ดตัวมั้ยเดี๋ยวแพรช่วย” ผมโบกมือห้ามพัลวัน ไม่ใช่ว่าผมเขินอายรึมีจิตสำนึกที่ดีหรอกครับ แต่ไอ้รอยบ้าๆที่ผมอยากให้มันหายมันไม่ยอมหายไปสักที แต่มันก็จางลงนะครับ
“ลมอยากอาบน้ำ” ผมบอกปัดแล้วเดินมึนๆเข้าห้องน้ำ
……………………………….
ผมอาบน้ำเสร็จก็ไม่รู้สึกว่าดีขึ้นเลยสักนิด ทั้งร้อนและปวดหัวมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ความรู้ผมกระจายหมดแล้วมั้งครับเนี่ย เพราะการที่ผมเปิดน้ำทิ้งไว้แล้วนั่งให้มันไหลผ่านตัวเล่นๆเมื่อวันนั้นแน่เลยครับ แอบคิดว่าจะให้พี่เพลิงเสียค่าน้ำเยอะๆด้วยซ้ำ กลายเป็นโชว์โง่เลย
“แพรจะออกไปไหนอ่ะ” วันนี้แพรแต่งตัวน่ารักกว่าปกติครับ ปกติแพรมาปลุกผมก็ยังไม่ได้อาบน้ำหรอก แต่วันนี้ทุกอย่างเป๊ะมากครับ ตั้งแต่เสื้อผ้า หน้า ผม แถมยังมานั่งกินข้าวพร้อมผมด้วยครับ
“วันนี้ครบรอบ7เดือนแล้ว พี่เพลิงจะพาไป…เที่ยว” ผมเบ้ปากใส่ด้วยความหมั่นไส้ แพรก้มหน้าเขี่ยข้าวด้วยความเขิน อยู่ๆแพรก็ขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นมา
“เขาบอกว่าเลข7มันไม่ดีอะลม ลมว่าจริงมั้ย”
“ไม่หรอก มันอยู่ที่คน” ผมตอบไปตามความจริง ถ้ารักกันซะอย่างจะเดือนไหนมันก็รักกันอยู่ดีล่ะวะ
จะว่าไปมัน7เดือนแล้วหรอที่พี่เพลิงวนเวียนอยู่แบบนี้ ตอนจีบกันแรกๆ ลองนึกภาพตามนะครับ วิศวะปี4ที่กำลังเคร่งเครียดกับการสอบตามจีบเด็กม.6ที่วุ่นวายกับการเข้ามหาลัย แต่สุดท้ายแพรก็เข้ามหาลัยเปิดนะครับ ดูเป็นการจีบกันที่วุ่นวายมากครับในความคิดผม ตอนแรกผมคิดว่ายังไงก็ไม่น่าไปรอด ไหงมันกลายเป็นคบกันจนจะเกือบปีไปได้แล้วก็ไม่รู้
“แพรก็กลัวอยู่ดีแหละ”
“สวยเลือกได้แบบแพรหาใหม่เอาก็ได้” ผมพูดยิ้มๆ
“โหย พี่เพลิงมีคนเดียวนะลม” แพรเอานิ้วนิ้มหน้าผากผมเบาๆแล้วรีบชักมือออก
“ลมตัวร้อนมากเลย ไหวจริงๆรึเปล่าเนี่ย” แพรลุกขึ้นเอื้อมมือมาแตะหน้าผากผมซ้ายทีขวาที
“ไหวน่า”
“ช่วงนี้ลมสนิทกับพี่เพลิงใช่มั้ย” ผมเอียงคออย่างสงสัย
“ก็เหมือนเดิม แพรบอกให้ลมเลิกกัดพี่เพลิงไม่ใช่หรอ”
“แพรก็บอกพี่เพลิงให้เลิกกวนลมเหมือนกัน ชอบเล่นกันเป็นเด็กๆ” แพรส่ายหน้าไปมาช้าๆ
“ลมขอโทษ” เรื่องวันนั้นที่ลมทำบ้าๆกับพี่เพลิง….
“อย่าทำอีกก็พอ” แพรยิ้มขำ
“อือ”
ผมแอบคิดว่าให้พี่เพลิงมันกลับมากวนตีน กลับมาล้อผมนู้นนี่ กลับมาด่าว่าไอ้พี่ไม่รักก็ได้ ยังดีซะกว่ามาทำดีนู้นนี้กับผม มันทำให้ผมเห็นแง่ดีของพี่เพลิงมากขึ้น เริ่มรู้สึกว่าพี่เพลิงแม่งโคตรคนดีเลย มั้ง ก็แค่มั้ง แต่ยังไงผมคิดว่ามันไม่ได้ดีต่อตัวผมเลยถ้ายังคงเป็นแบบนี้ ผมรู้สึกได้
ผมลอบมองแพรอมยิ้มไปกินข้าวไป ท่าจะรอวันนี้มานาน หึ เรื่องเมื่อวันนั้นยังไงผมก็จะไม่มีวันบอกแพรหรอกครับ ผมโทษพี่เพลิงว่าพี่เพลิงผิดไม่ได้เลย ผมเป็นคนเริ่ม ผมเป็นคนทำให้เลยเถิด ผมเองแหละที่ทำเรื่องบ้าๆลงไปแบบไม่ได้คิดถึงคนอื่นเลย
ผมไม่คิดเลยสักนิดว่าพี่เพลิงจะเล่นตามผม อาจจะหน้ามืดเพราะผมหน้าเหมือนแพรก็ได้ อาจจะไปอ้วก อาจจะรังเกียจสุดๆ แต่ความเป็นคนดีมันค้ำคอ อ่า ผมมองโลกในแง่ร้ายไปมั้ย? ปวดหัวหนึบๆขึ้นมาอีกแล้วครับ ผมพ่นลมหายใจออกแรงๆเผื่อจะช่วยลดความร้อนในตัวได้บ้าง
“งั้นลมเก็บของไปเรียนเลยนะ เที่ยวให้สนุกครับแฝด” ผมลูบหัวแพรสองสามทีแล้วเดินออกมา
“หัวแพรเหม็นหมดลม!!” แพรตะโกนไล่หลังแต่ผมไม่ได้สนใจ แถมหัวเราะใส่อีกต่างหาก
……………………………………………………………..
“กูอยากตาย!!!” ไอ้พีทตะโกนลั่นขึ้นมาในโรงอาหารรวมครับ เน้นย้ำๆว่าโรงอาหารรวม ไม่ใช่ของคณะแต่อย่างใด มันเพิ่งโดนอาจารย์สั่งให้มาแก้งานรอบที่ล้านแปดได้แล้วมั้งครับ อดหลับอดนอนแทบจะมีกาแฟเป็นคู่ชีวิต ไอ้พีทน่ะมันเรียนสถาปัตย์ครับ ต่างจากหนุ่มบริหารแบบผมโคตรๆ มันเป็นเพื่อนผมมาตั้งแต่ประถมแล้วครับ ไม่เคยห่างกับมันเลยจริงๆ
“กูเหมือนเพิ่งไปตายมาว่ะ” ไอ้เคนที่นั่งข้างๆผมบ่นขึ้น มันเรียนเหมือนผมครับ และก็นั่นล่ะครับ เพิ่งสอบมา อาจารย์ออกข้อสอบได้น่าร้องไห้มากครับ ผมที่ปวดหัวอยู่แล้วเขียนไปปวดหัวจี๊ดจนแทบน้ำตาไหล
ผมได้แต่พยักหน้ายิ้มๆเพราะดูท่าว่าไข้ผมจะขึ้นสูงกว่าเดิมอีกครับ แค่ฝืนยิ้มยังเหนื่อยเลย ผมเขี่ยข้าวในจานไปมาคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ฤดูกาลสอบกลางภาคกำลังมาครับ หลายๆวิชาเริ่มเปรยๆขึ้นมาแล้ว
“ไอ้เหี้ยพี่เอิร์ธแม่งมาแดกไรแถวนี้วะ วิศวะไม่มีโรงอาหารรึไง” ผมสะดุ้งเฮือก มองตามสายตาของพีทไปก็สบเข้ากับสายตาที่พี่เอิร์ธมองมาพอดี ผมหลบสายตาแล้วหันหน้ากลับมานั่งแบบเดิม
ผมเกือบจะลืมไปได้แล้ว แต่ข้างในจริงๆ ผมยังกลัวพี่เอิร์ธอยู่
“ไอ้สัสนั่นพี่กู เบาๆหน่อย” ไอ้เคนปรามไอ้พีท
“ปั้นมึงเป็นไรวะ” ผมละสายตาเงยหน้ามองไอ้พีทแล้วส่ายหน้าไปมา
อ้อ ไอ้พีทมันเรียกผมว่าปั้นครับ ผมเคยคิดว่าชื่อลมเนี่ยคงไม่มีใครซ้ำหรอก แต่ตอนประถมมีคนชื่อลมอีกคนครับ ไอ้พีทเลยบอกให้เรียกผมว่าปั้น เพราะผมปั้นดินน้ำมันเก่งที่สุดในห้อง เป็นชื่อที่ได้มาอย่างน่าภาคภูมิใจมากเลยครับ และมันยังคงเรียกจนปัจจุบัน
“โกหก เอาหน้ามาใกล้ๆดิ้” ผมเขยิบเก้าอี้ยื่นหน้าเข้าหามันที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มันเอามือเย็นๆมาแตะหน้าผากผม
“มึงไม่สบายหรอ??”
“อือ” ไอ้เคนยื่นมือมาแตะหน้าผากผมอีกคน
“เกิดอะไรขึ้นกับมึงวะ มึงไม่เคยตัวร้อนขนาดนี้ โดดคลาสมั้ยมึง กลับบ้านไปนอนพักก่อนดิ”
“ป้าแกเช็คชื่ออะดิ แม่งไล่ทีละคนเลย” ไอ้เคนพูดตอบ
“กูไหวน่าไม่เป็นไรๆ” ผมพูดปัดๆไป ผมอยากจะออกจากโรงอาหารมากเลยครับ ผมรู้สึกเหมือนมีคนมองอยู่ และก็รู้ว่าใคร ผมไม่กล้าหันกลับไปมองด้วยซ้ำ
“พี่เอิร์ธๆ วันนี้ผมกลับด้วยดิ” ผมหันขวับไปมองไอ้เคนที่เรียกพี่เอิร์ธไว้ทันที พี่เอิร์ธกำลังจะเดินออกไปแท้ๆ แม่งเอ้ย พี่เอิร์ธกับกลุ่มเพื่อนเดินมาหยุดอยู่ตรงหัวโต๊ะผม
“ได้สิ กี่โมง”
“ลม เราเลิกกี่โมงนะ”
“บ่ายสองครึ่ง รึบ่ายสามนี้แหละ” ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ อยู่ๆก็รู้สึกอึดอัดเหมือนอากาศมันกดทับผมไว้ ลม มันไม่มีอะไร ลืมมันไปเดี๋ยวนี้!!
“ตามนั้นเลย”
ทำไมไม่ไปสักทีวะ พี่เอิร์ธมันยืนค้ำโต๊ะมองผมอยู่ครับ ผมก้มหน้าก้มตาเขี่ยข้าวในจานอย่างตั้งใจ
“น้องลมครับ…วันนั้น”
เสียงเก้าอี้กระทบพื้นดังลั่นโรงอาหารเรียกสายตาจากคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี และต้นเสียงมันก็มาจากเก้าอี้ผมเอง ทุกคนเงยหน้ามองผมที่อยู่ๆก็ลุกพรวดขึ้น ผมมึนหัวหน่อยๆแต่ไม่อยากจะรู้ว่าพี่เอิร์ธแม่งจะพูดอะไรจริงๆครับ
“กูไปเข้าห้องน้ำแป๊บนะ.. พีทมึงไปเป็นเพื่อนกูหน่อย”
“เอ้า แล้วกูอ่ะ”
“แป๊บนึงมึง”
ระหว่างทางเดินไปห้องน้ำไอ้พีทบ่นยิ่งกว่าหมีกินผึ้งครับ ผมไม่ค่อยได้สนใจอะไร ก้มหน้าก้มตาเดินจนถึงห้องน้ำครับ
“มึงมีอะไรจะบอกกูรึเปล่า…” ผมเงยหน้าจากอ่างล้างหน้าขึ้นมองไอ้พีทผ่านกระจก ผมรู้สึกวูบไหวไปพักนึงเพราะสายตาที่มันจ้องผม
“ไม่มีนะ กูปวดหัวมากเลยว่ะ” ผมพูดปัดๆไป
“ไม่ใช่ตรงนี้” เหมือนมันจะพูดกับตัวเองมากกว่าพูดกับผม มันคว้าข้อมือผมมาบีบจนแน่นแล้วลากผมให้เดินตามมัน
ใต้ตึกที่คนยังไม่ค่อยพลุกพล่าน ผมกำลังโดนเพื่อนตัวเองจ้องอย่างเอาเป็นเอาตาย แม่งบีบมือผมจนแน่นขึ้นเป็นรอยแดงตามนิ้วรอบข้อมือผมเลยครับ
“มึงมีอะไรจะเล่าให้กูฟังมั้ยปั้น?” มันดันผมนั่งลงบนเก้าอี้แล้วมันก็ยืนค้ำหัวผม
“เล่าอะไรวะ? ไม่มีนะ” ผมหลบตามัน อมยิ้มเหมือนมันกำลังพูดล้อเล่นกับผมอยู่
“มึงไม่เคยลุกหนีไอ้เหี้ยพี่เอิร์ธแบบนี้แน่ๆ”
“กูทำตัวแปลกมากหรอวะ” ผมเงยหน้ามองไอ้พีทตรงๆ ดูมันจะตกใจไปเล็กน้อยต่ก็ยังคงจ้องผมอยู่เหมือนเดิม
“กูเพื่อนมึงมากี่ปีแล้ว นิดหน่อยกูก็รู้ว่ามึงมีเรื่องไม่สบายใจอยู่”
“กูเป็นห่วงมึงนะเว้ย”
“แต่กูเล่าไม่ได้จริงๆ มึงต้องเข้าใจกูดิวะ” ผมใช้ระดับเสียงที่ดังขึ้นเพื่อยืนยัน
"มึงไม่เคยเป็นแบบนี้เลยจริงๆ" มันพูดพร้อมส่ายหน้าเบาๆ มันพูดถูกครับ ผมแทบไม่เคยขึ้นเสียงกับมันเลย
"กูไม่อยากพูดว่ะ" ผมมองหน้ามันอย่างลังเล
“กูขอโทษ กูคงห่วงมึงมากเกินไป” หน้ามันหงอยลงอย่างเห็นได้ชัด ใช่ว่าผมจะรู้สึกดีนะครับ เวลามีเรื่องหรือมีอะไร ผมจะบอกมันทุกเรื่อง แต่เรื่องนี้ผมไม่อยากบอกใครเลยจริงๆ ปล่อยให้มันเลือนหายไปเถอะ ผมคิดมากคนเดียวก็จะแย่แล้วครับ
“ไม่ต้องคิดมาก กูเข้าใจมึงก็ได้” มันทำให้ผมคิดมากยิ่งกว่าเดิมซะอีก ผมพรั่งพรูลมหายใจออกมาอย่างรู้สึกบอกไม่ถูก
เกิดความเงียบขึ้นมาชั่วขณะ ไอ้พีททิ้งตัวลงนั่งข้างผมแล้วตบไหล่ผมเบาๆ ผมยกนาฬิกาขึ้นดูก็เห็นว่าใกล้เวลาเรียนอีกแล้ว เลยอ้าปากจะบอกลามัน
“มึง”
“มึง”
“มึงพูดก่อนเลย” ไอ้พีทบอกให้ผมพูด ผมส่ายหน้าไปมาพยักเพยิดให้มันพูดก่อน
“กูลืมไปแล้วว่ากูจะพูดอะไร มึงพูดก่อนเลย” ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงสงสัย
“กูจะบอกว่ากูต้องไปเรียนแล้ว แล้วมึงจะพูดอะไรวะ?” ผมยืดตัวลุกขึ้นยืน
“กู…”
“ไอ้โลมมมมมมมมมมมม” เสียงไอ้เคนเรียกชื่อผมมาแต่ไกลเลยครับ ผมหันไปทำท่าจุ๊ปากใส่มันที่วิ่งมาหาผมเหมือนนักวิ่งเตรียมเข้าเส้นชัย
“เรียนกัน ป่ะ”
“มึงพูดมาดิ” ผมเร่งไอ้พีทที่ทำหน้าเลิกลั่กอยู่ไม่เลิก
“พูดไรวะ” ไอ้เคนถามขึ้น
“มึงไปเรียนเถอะ ไม่มีอะไร” มันพูดเสร็จก็ลุกเดินหนีไปเลยครับ ผมหรี่ตามองมันที่เดินกลับตึกคณะแบบงงๆ
หรือมันจะแกล้งผมเพราะผมไม่เล่าให้มันฟัง มันก็เลยทำให้ผมสงสัยเล่นๆ?
ผมหัวเราะเบาๆกับตัวเองแล้วเดินตามแรงจูงของไอ้เคนขึ้นตึก
…………………………………………………….
ผมกำลังนั่งทำหน้าโง่ๆอยู่คนเดียวในบ้านครับ ผมกลับจากมหาลัยนอนได้พักนึงก็ตื่นมาหายากิน แล้วก็กำลังนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟาพร้อมผ้าผืนเล็กที่ชุ่มน้ำเย็นๆแปะลงบนหน้าผาก กำลังเคลิ้มหลับไปอีกรอบก็มีเสียงดังจากหน้าบ้าน
ผมเด้งตัวจากโซฟาเดินไปเกาะประตูบ้านดูก็เห็นพี่เพลิงเอารถเข้ามาจอดพร้อมแพรที่เดินเข้ามาอย่างสดใสม๊ากมาก ยิ้มจนหน้าบานเลยครับ แล้วไอ้อาการที่ผมมาเกาะประตูดูเนี่ยมองยังไงมันก็เหมือนหมาเฝ้าบ้านเลยครับ
“ลม มาช่วยถือของหน่อย” ผมเกาหัวแกรกๆวางผ้าชุบน้ำเอาไว้แล้วเดินออกไปยืนข้างๆแพร
“พี่ถือช่วยครับ” พี่เพลิงยื่นมือมือดึงของจากมือผม สัมผัสที่ไม่ได้ตั้งใจทำให้ผมสะดุ้งตกใจจนปล่อยของตกพื้น พี่เพลิงก้มลงเก็บให้เดินถือเข้าไปในบ้านโดยไม่พูดอะไร ผมปิดประตูรถแล้วเดินตามเข้าไป
“ไหนดูซิ หายตัวร้อนยัง” แพรเอามือมาแตะหน้าผากผม สิวต้องขึ้นแน่ๆครับกี่มือแล้วเนี่ย
“น้องลมไม่สบายหรอครับ” ผมเงียบไม่ได้พูดอะไรตอบไป มือคุ้ยหาของกินที่แพรซื้อมาไปเรื่อยๆ
“ค่ะ ลมไม่สบาย” แพรตอบแหวกความเงียบขึ้นมา พี่เพลิงไม่ได้พูดอะไรแค่เออออเฉยๆ
ผมกลับมานอนเอกเขนกเหมือนเดิมทิ้งให้พี่เพลิงกับแพรนั่งสวีทกันอยู่ตรงนั้น พี่เพลิงทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ชวนผมคุยเหมือนปกติ แต่ผมไม่ได้ตอบอะไรไปเลยสักคำ เพราะผมกลับเป็นคนที่คิดมันตลอดเวลาจนไม่กล้ามองหน้าพี่เพลิงด้วยซ้ำ ผมถอนหายใจรอบที่ล้านออกมา ป่วยแล้วมันคิดมากหนักกว่าเดิมเยอะเลยครับ แค่คิดก็รู้สึกเหนื่อยในหลายๆเรื่องแล้ว
“ลม เอาเสื้อพี่เพลิงมาคืนสิ” ผมโผล่หน้าเท้ากับโซฟามองแพร
“อยู่ไหนอ่ะ”
“แพรวางไว้โต๊ะหน้าห้องแหละ” ผมพยักหน้างึกงักหอบสังขารขึ้นชั้นสองมาหยิบเสื้อพี่เพลิงที่ผมใส่มาวันนั้น แพรใส่ถุงไว้ให้เรียบร้อยแล้วครับ ผมคว้าถุงแล้วเดินลงมาที่เดิม
“พี่ก็เอาเสื้อน้องลมมาคืนนะครับ มานี่สิ”
“หือ?”
พี่เพลิงเดินนำออกไปข้างนอกผมเลยรู้ว่ามันอยู่ในรถ ผมหันไปมองแพรแว๊บนึงก่อนที่จะเดินตามพี่เพลิงไป เห็นพี่เพลิงยืนรอผมอยู่ข้างๆรถ ผมเดินเข้าไปใกล้ด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ
“น้องลมจะหลบหน้าพี่ทำไมครับ?” ผมขมวดคิ้วแน่นไม่เข้าใจว่าพี่เพลิงจะถามทำไม
“ลมไม่ได้หลบ ลมปวดหัวเฉยๆ”
“แค่ตอนนี้หน้าพี่น้องลมยังไม่อยากจะเห็นเลยใช่มั้ยครับ” ผมกำถุงเสื้อแน่นพร้อมกัดปากอย่างขัดใจที่โดนถามเหมือนกับรู้ดีไปหมดแบบนี้
ผมเงียบก้มมองเท้าตัวเองนิ่ง นึกขึ้นได้ว่าจะเอาเสื้อคืนพี่เพลิงเลยมือถุงขึ้นดันไว้กับอกพี่เพลิง ผมทำท่าจะปล่อยพี่เพลิงเลยเอามือรับถุงไว้ ผมกลับหลังเตรียมจะเดินหนีเข้า
“น้องลมจะหนีทำไมครับ ไม่อยากให้มันปกติเหมือนวันที่ผ่านๆมาหรอกหรอครับ” ผมหันหลังกลับมามองพี่เพลิงอีกครั้ง พี่เพลิงกำลังมุดตัวเข้าไปในรถหาอะไรสักอย่างเดาว่าคงเป็นเสื้อผม
“ลมรังเกียจตัวเอง”
“…เหมือนที่พี่เพลิงรังเกียจลม” พี่เพลิงค่อยๆหันมาช้าๆพร้อมกับถุงใส่เสื้อผม ปิดประตูรถเสียงดังจนผมตกใจ ที่ทำให้ผมไม่เข้าใจยิ่งกว่าคือสีหน้าของพี่เพลิง
โกรธหรอ? หงุดหงิดหรอ? ผมไม่เคยเห็นสีหน้าแบบนี้ของพี่เพลิงเลยจริงๆครับ
“อะไรทำให้น้องลมคิดว่าพี่รังเกียจน้องลมครับ” ผมขมวดคิ้วแน่น
“ไม่รู้”
“ถ้าพี่รังเกียจน้องลมจริงๆพี่ปล่อยทิ้งไว้ในห้องคนเดียวไปแล้วครับ” ผมส่ายหน้าอย่างไม่ยอมรับ จะไม่รังเกียจได้ยังไงวะ ผมน้องชายแฟนนะเว้ย
“เอาเถอะ พี่ก็ไม่รู้จะบอกยังไงเหมือนกันครับ” พี่เพลิงยื่นเสื้อให้ผม ผมรับไว้แบบงงๆ
“ลมรู้สึกไม่ดีเลยว่ะ” ผมเอ่ยปากพูดออกมาสายตายังคงก้มมองเท้าตัวเองอยู่เหมือนเดิม
“วันนี้ลมเจอมัน ลมกลัว ลมทำตัวไม่ถูกแล้ว”
“น้องลม…”
“ลมไม่อยากเจอพี่เพลิงอีกเลยด้วยซ้ำ”
“น้องลมไม่อยากให้ทุกอย่างมันเหมือนเดิมหรอครับ” ผมส่ายหน้าแรงๆหลายที
“อยากสิ..”
“น้องลมมองหน้าพี่สิครับ” ผมเงยหน้ามองพี่เพลิงอย่างลังเล
“น้องลมกำลังคิดว่าน้องลมผิดอยู่คนเดียวใช่มั้ยครับ” ผมเงียบ
“คิดว่าพี่ไม่ผิดหรอครับ ที่เป็นผู้ใหญ่มากกว่าแต่หยุดอะไรไม่ได้เลย” ผมส่ายหน้าพร้อมโบกมือไปมา
“พี่ขอให้น้องลมทำตัวเป็นปกติได้มั้ยครับ”
“ถ้าไม่เห็นแก่พี่ เห็นแก่แพรก็ได้ครับ”
ผมเงียบไปพักนึงแล้วพยักหน้า ก็แค่ ‘ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น’ ผมต้องไม่คิดอะไรสิ ช่วงเวลาไม่กี่นาทีนั้นทำไมผมต้องจำแล้วก็หลบ ทั้งๆที่มันก็คือความผิดของผมทั้งนั้น ผมต้องทำเหมือนไม่มีอะไร
ไม่ใช่เพื่อพี่เพลิง เพื่อแพร
แต่เพื่อตัวผมเอง
--------------------------------------------------------------------------
มาแล้ววววววววววววววววว ค่าาาาาาาาาา

[ถามค่ะ] คุณคนอ่านคิดยังไงกับตัวละครในเรื่องบ้างคะ? คนเขียนแอบอยากรู้ค่ะ55555 คำตอบของทุกคนคนแต่งจะเอาไปวิเคราะห์ประกอบการเขียนตอนต่อๆไปค่ะ 555555 (อีดิทเพราะอาจใช้คำงงๆ ยิ่งงไปใหญ่เลย)

ขอบคุณที่ติดตามกันนะค้าาา ขอบคุณทุกๆข้อความทุกๆยอดวิวที่มีให้กันจริงๆค่า
