…แปลกใจ…8
“จำได้มั้ยวันประกวดหนุ่มป๊อบสาวป๊อบประจำมหา’ลัยปีที่แล้วน่ะ” พี่หนึ่งถาม…จำได้สิ…ผมจำได้ไม่เคยลืม! แม้จะอยากลืมแค่ไหนแต่ทว่า…มันลืมไม่ลงหรอก! เรื่องน่าอายพรรค์นั้น!
คุณคงอยากรู้ล่ะสิว่ามันเรื่องอะไร…ก้มหน้าลงมาใกล้ๆ สิ แล้วผมจะเล่าให้ฟัง! เรื่องมีอยู่ว่า…
“เฮ้ย…ไอ้อาร์ตมึงจะไปไหนวะ” ไอ้ปีโป้มันถามขณะที่เห็นผมกำลังจะเดินออกไปจากห้องแต่งตัว
“ขี้” ผมตอบมันสั้นๆ มันทำหน้าเมื่อยรำคาญผม “เออ ไปเร็วๆ นะมึง การประกวดจะเริ่มแล้ว กูล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ว่ารุ่นพี่เขาเลือกมึงมาประกวดทำทำห่าอะไร กูไม่เข้าใจ เขาไม่คิดบ้างเหรอว่าเวลาพวกกรรมการถามมึงจะตอบเขาว่าอะไร เชี่ยแมร่ง…ไม่ใช่เงียบนะเว้ย อายเขาตายเลย” มันบอกกับผมตอนแรก แล้วมันก็หันมาบ่นกับตัวมันเอง …จะไปยากอะไรกูก็ตอบสั้นๆ แค่นั้นก็จบ ผมคิดในใจก่อนจะเดินออกมา
ความจริงผมไม่ได้จะไปขี้อย่างที่บอกมันไปหรอกแต่ผมจะออกมาสูดอากาศข้างนอกต่างหาก อยู่ข้างในโคตรร้อนเลย คนก็เยอะบอกตรงๆ ว่าผมรำคาญ
ผมเดินออกมาจากโดม พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นศาลาริมสระน้ำข้างตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์ ที่ตรงนั้นดูแล้วบรรยากาศร่มรื่นดี ผมจึงเดินเข้าไปหวังจะไปนั่งผ่อนคลายอารมณ์เสียหน่อย กะว่าพอใกล้เวลาแล้วค่อยกลับเข้าโดมไป
ขายาวๆ ของผมก้าวเข้าไปใกล้ศาลาไม้ดูร่มรื่นนั้นขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นเอง
ปึ้ก!!!
สาวน้อยคนหนึ่งหน้าตาดูจิ้มลิ้มน่ารักก็วิ่งเข้ามาชนผมเข้าเต็มเปา เธออยู่ในชุดเมดดูโลลิน่ารักเหมือนในการ์ตูน ท่าทางดูรีบร้อนเหมือนกำลังหนีอะไรบางอย่างมา ทั้งเธอและผมต่างก็ล้มลงไปด้วยกันทั้งคู่ ผมล้มเพราะไม่ได้ตั้งตัว แต่อีกฝ่ายล้มเพราะชนผมเข้าอย่างจังและประเด็นสำคัญเลยคือผมตัวใหญ่กว่าเยอะ
“อ๊ะ…ขอโทษทีนะ ไม่เป็นไรใช่ไหม” เสียงแหบหวานนั้นถามผมขณะที่กำลังลุกขึ้นปัดเนื้อตัวอยู่ก่อนจะยื่นมือมาให้ผมที่นั่งอยู่บนพื้น
ผมปฏิเสธมือคู่นั้นก่อนจะบอกว่า “ไม่เป็นไรครับ”
“แน่ใจนะ” ถามย้ำผมด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“ครับ แล้วคุณ?” ผมจะถามเขาว่าเป็นอะไรหรือเปล่าแต่เพราะผมเป็นคนพูดน้อยคำมันก็เลยหรืออยู่แค่นี้ อีกฝ่ายมองหน้าผมอย่างงงๆ “เอ่อ…ถามชื่อเหรอ หรือยังไง?” ฝ่ายนั้นเกาหัวอย่างงงๆ ผมถอนหายใจยาวก่อนจะบอกไปว่า
“เปล่าครับอาการคุณน่ะ”
“อ้อ…ครับไม่ไปไร ฮ่าๆ ว่าแต่คุณนี่พูดน้อยจังนะ” ฝ่ายนั้นหัวเราะเก้อๆ เขาใช้คำว่าครับ? แสดงว่าเป็นผู้ชายเหรอเนี่ย…ผมดูไม่ออกจริงๆ ให้ตายเหอะ!
“ครับ”
“ว้า..พูดน้อยอีกแล้ว” อีกฝ่ายบอกผมพร้อมกับหัวเราะเสียงดังออกมา
“ผมขอตัวครับ” ผมบอกพร้อมกับเดินห่างเขาออกมา หวังจะเข้าไปนั่งพักผ่อนในศาลาตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก แต่เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเสียก่อน
“เดี๋ยวครับ คุณครับ!” เขาตะโกนเรียกผมเสียงดัง ผมหันหน้าไปมองเขาเป็นเชิงถามว่า ‘มีอะไร?’
เขาชี้มือมาที่เป้ากางเกงของผมแล้วบอกว่า “เอ่อ…คือคุณไม่ได้รูดซิปครับ!”
ฉิบหาย!!!!!!
และหลังจากนั้นผมก็ไม่ได้เข้าไปนั่งในศาลาตามที่ได้ตั้งใจไว้ หลังจากที่เขาบอกผม ผมก็ช็อกไปสามวิก่อนจะหันไปบอกกับเขาว่า “ขอบคุณครับ” แล้วค่อยๆ เดินถอยห่างออกมาจากเขาเข้าไปนั่งรออยู่ในห้องแต่งตัวตามเดิม
หลังจากเหตุการณ์นั้นผมก็เงียบยิ่งกว่าเดิมเพราะความช็อกจนไอ้ปีโป้มันสงสัยว่าผมเป็นอะไร แต่ก็อย่างว่า…จะให้บอกมันได้ยังไงครับว่าผมลืมรูดซิปกางเกง…ทั้งยังเดินอล่างฉ่างออกจากโดมไปข้างนอกโดยไม่รู้ตัวอีก มันได้ล้อผมยันปีสี่แน่ เอ๊ะ…หรือมันจะแกล้งไม่บอกผมตั้งแต่ทีแรกเพราะหมั่นไส้…เอาเหอะ ช่างมัน!
ผมบอกเลย…จะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับผมอีก!!!
…นี่แหละคือเหตุการณ์ที่ผมจำได้ไม่ลืม…คุณอาจจะบอกว่านี่มันเรื่องเด็กอนุบาลชัดๆ แต่ผมว่ามันร้ายแรงสำหรับผมมากจริงๆ ให้ตายเหอะ!
ผมมองหน้าพี่หนึ่งนี่อย่าบอกนะว่า…
“พี่คือผู้หญิงคนนั้นที่ใส่ชุดเมดเหรอ!” ผมถามเขาก่อนจะลองเปรียบเทียบภาพในอดีตกับปัจจุบัน มีเค้าในอดีตอยู่พอสมควร แต่รู้สึกว่าเมื่อก่อนจะตัวบางและเตี้ย…เอ่อ เล็กกว่านี้ แล้วหน้าจะหวานกว่านี้มาก
“เออ…คนนั้นแหละพี่น่ะ” พี่หนึ่งบอกยิ้มๆ ผมมองหน้าเขาอย่างเคลือบแคลงสงสัย พี่หนึ่งเบ้หน้าเล็กน้อยก่อนจะบอกว่า
“มันไม่ใช่รสนิยมของพี่นะ! วันนั้นคณะพี่ออกร้านกันแล้วอย่างที่รู้กันว่าพวกผู้หญิงที่คณะพี่มีหนึ่งในล้านนน พี่รหัสตัวดีของพี่นั่นแหละเลยจับพี่ไปแต่งตัว เซ็งชะมัด…ขายของได้ไม่เท่าไรพี่เลยต้องหนีออกมา จนไปชนกับอาร์ตนั่นแหละ” พี่หนึ่งบอก…ผมอยากถาม…มันมีแต่เรื่องที่ผมหน้าแตก แล้วพี่หนึ่งมาชอบผมตอนไหนกัน?
เหมือนพี่หนึ่งจะรู้ว่าผมคิดอะไร เลยพูดออกมาว่า “พี่ไม่ได้จิตขนาดที่ว่าจะชอบอาร์ตเพราะแค่อาร์ตลืมรูดซิปกางเกงหรอก แต่พี่ชอบอาร์ตเพราะพี่คิดว่าอาร์ตดูแล้วน่าปกป้องมากๆ เลย อาร์ตดูเป็นคนเฉื่อยๆ ดูแล้วยอมคนพี่คิดว่านี่แหละ! คือคนที่จะมาเป็นแฟนของพี่! พี่มีความรู้สึกว่าพี่ต้องปกป้องอาร์ต! ตั้งแต่วันนั้นพี่ก็เข้าฟิตเนตทุกวันเพื่อที่ว่าวันใดวันหนึ่งพี่จะได้มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง และพร้อมที่จะใช้มันปกป้องอาร์ตจากอันตรายได้!” พี่หนึ่งบอกผมด้วยแววตามุ่งมั่น
ผมว่า…คนที่ต้องการการปกป้องน่ะเป็นพี่หนึ่งเสียมากกว่าล่ะมั้ง ตัวแค่นี้จะมาปกป้องอะไรผมได้ แม้เขาจะไม่ได้ตัวบางอย่างแต่ก่อน แต่ว่าก็ยังเล็กกว่าผมอยู่ดี
“แล้วอาร์ตล่ะชอบพี่บ้างหรือเปล่า” เขาถามผมด้วยแววตาคาดหวัง ผมก็ตอบเขากลับด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า
“ไม่รู้สิครับ” พี่หนึ่งเบ้หน้าเมื่อได้ฟังคำตอบของผม
“ทำไมไม่รู้! พี่ยังรู้เลย”
“ไม่รู้สิ เพราะผมก็…แปลกใจ…” ผมก็แกล้งเขาหน้าตายไปอย่างนั้นเอง
“แปลกใจอะไร!?” พี่หนึ่งถามสีหน้าเหมือนใกล้จะผิดหวังเต็มที
“แปลกใจว่าทำไมผมถึงได้…ชอบพี่” ตอนแรกพี่หนึ่งกลั้นหายใจฟังคำตอบของผม แต่พอประโยคต่อมาเขาก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
“งั้นเราเป็นแฟนกันป่ะ” พี่หนึ่งถามออกมาอย่างห้าวทั้งๆ ที่ใบหน้าแดงเถือกไปหมด ไม่ใช่แค่เขาคนถามประโยคนี้ออกมาจะใจเต้นคนเดียว… ใครจะรู้บ้างว่าประโยคนี้ของเขาทำให้ผมปั่นป่วนหัวใจมากแค่ไหน…ข้างในมันรู้สึกอิ่มเอมแปลกๆ เหมือนกัน
“ครับ”
“สั้นจัง ทีพี่ยังพูดอย่างยาว” พี่หนึ่งยิ้มออกมาอย่างน่ารัก ก่อนจะประท้วงในคำตอบของผม
“จะให้ยาวขนาดไหนล่ะครับ” ผมถามเขาเสียงนุ่ม เหมือนพี่หนึ่งจะหน้าแดงเพราะน้ำเสียงที่ผมเพิ่งใช้กับเขาตะกี้
“ชอบพี่มากขนาดไหนเราก็พูดให้ยาวเท่านั้นแหละ” พี่หนึ่งบอกเขินๆ
“ครับ”
“อีกแล้วพี่เซ็งกับอาร์ตว่ะ…พอๆ เลิกๆ ชอบพี่แค่คำว่าครับคำเดียวงั้นเลิกคุยกันเลย” ผมฟันธงได้ไหมนะ…ว่านั่นคืออาการ…งอน
พี่หนึ่งงอน เดินหนีผมออกไปที่ลานจอดรถก่อน ขณะที่เขาทำท่าทางเหม็นเบื่อใส่ผม ผมก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่…เออหนอ…ดูหนังรัก หนังตลก หนังเศร้า จะดราม่าแค่ไหนตลกแค่ไหนผมก็ไม่เคยแสดงอารมณ์ออกมา แต่นี่แค่เรื่องจิ๊บจ๊อยอย่าง ‘แฟน’ งอน ผมกลับหัวเราะออกมาอย่างยั้งไม่อยู่
ความรักนี่หนอ…ช่างน่าแปลกใจ…สามารถเปลี่ยนคนๆ หนึ่งได้มากถึงเพียงนี้…อัศจรรย์ใจจริงๆ ผมยิ้มออกมาอย่างสุขใจ สงสัยจะจริงล่ะมั้งที่พี่หนึ่งบอกว่า…’เออๆ แต่อย่าแปลกใจล่ะ ถ้านับจากนี้ไปพี่จะทำให้เราพูดมากขึ้นน่ะ’ ไม่เพียงแค่จะทำให้ผมพูดมากขึ้นหรอก แต่จากนี้ไปผมคิดว่าแค่เพียงมีเขาอยู่ข้างๆ ผมก็คงจะหัวเราะมากขึ้นกว่าเดิมล่ะมั้ง…ก็เขาน่าแกล้งขนาดนี้…คงมีเรื่องที่ทำให้ผมหัวเราะอีกเยอะเลยล่ะ…ผมว่า
หนึ่งปีต่อมา
“อาร์ตไปเที่ยวทะเลกันป่ะ” พี่หนึ่งเดินเข้ามาชวนผมในห้อง ตอนนี้ผมกำลังนั่งเล่นเกมอยู่ครับ ปกติผมจะแข่งกับพี่หนึ่งสองคนบางทีก็มีบิลมาร่วมแจมด้วย แต่วันนี้บิลไปทำงานเลยไม่ว่าง เหลือผม พี่หนึ่งและแม่ที่อยู่บ้านกัน
“อืมครับ” ผมตอบรับเขาไปสั้นๆ ตอนนี้เราปิดเทอมแล้วครับส่วนพี่หนึ่งเพิ่งทำโปรเจ็กต์จบเสร็จเห็นบอกว่าอาจารย์โคตรเหี้ยมกว่าจะให้ผ่านได้ก็แทบลากเลือดทั้งแก้ ทั้งพรีเซ็นต์งานหลายรอบเหลือเกินแต่เรื่องนี้จริงครับเพราะช่วงทำโปรเจ็กต์พี่หนึ่งแทบจะกินนอนอยู่ที่คณะเลยทีเดียว พี่หนึ่งยังบอกอีกว่า เขาคิดว่าเขาจะต้องใช้โควตาของมหา’ลัยเสียแล้วโควตา 8 ปีน่ะแหละ ช่างจะคิดไปได้เขาน่ะ
แม้ช่วงนี้ผมกับพี่หนึ่งจะไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไรเพราะพี่หนึ่งต้องไปฝึกงานด้วย ทั้งยังต้องทำโปรเจ็กต์อีก แต่ความสัมพันธ์ของผมกับพี่หนึ่งก็ยังเหมือนเดิม คือเราเข้าใจกันและกันดี ไม่ว่างไม่เป็นไร ขอแค่ไม่ลืมกันเท่านั้นเป็นพอ…
แต่มีเรื่องหนึ่งที่พี่หนึ่งไม่ยอมให้ผมบอกบิลก็คือเรื่องที่เราคบกัน แต่ผมไม่ซีเรียสอะไรหรอกนะเรื่องนี้ ผมเข้าใจพี่หนึ่งบางทีเขาคงจะอายไม่กล้าพูดหรืออาจจะทำหน้าไม่ถูกไม่รู้จะอธิบายยังไงก็ได้ ที่ลูกชายของป้าสะใภ้ดันมาเป็นแฟนของตัวเองน่ะ
ไม่รู้นะ…แต่เซ้นส์ของผมมันบอกว่าแม่กับบิลรู้เรื่องอยู่แล้ว แม้ทั้งสองจะเงียบไม่พูดอะไรออกมาให้พี่หนึ่งอายแต่ การกระทำมันก็ฟ้องแหละ คงมีแต่พี่หนึ่งคนเดียวล่ะมั้ง ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ผมอาจจะอ่อนประสบการณ์ในเรื่องความรักในตอนแรก…เพราะผมไม่เคยรักใครแล้วก็ไม่รู้ว่าความรักคืออะไร แต่เรื่องอื่นน่ะ ผมทันคนนะ จะมีก็แต่พี่หนึ่งนั่นแหละที่ไม่ค่อยจะทันใครเสียจริงๆ ทีแรกเขาดูเหมือนเป็นผู้ใหญ่ ดูจะเจ้าเล่ห์นิดๆ แต่ความจริงน่ะ นิสัยเด็กมากกกกก โดนเพื่อนหลอกเพื่อนแกล้งตลอดจนผมต้องคอยปรามๆ พวกพี่แวนพี่ไวไว้ สองคนนี้จะรู้สึกสนุกทุกครั้งที่ได้แกล้งพี่หนึ่งนะผมว่า
จากที่บอกว่าจะดูแลปกป้องผมน่ะตัดไปได้เลยสำหรับพี่หนึ่ง สรุปแล้วหน้าที่นั้นมันต้องตกเป็นของผมไปโดยปริยาย ก็อย่างว่าแหละครับคนแบบนี้ใครๆ ก็ชอบแกล้ง ใครๆ ก็…รักJ
“อาร์ต…” พี่หนึ่งเรียกผมขณะที่เดินเข้ามาคลอเคลียกอดคอผมที่ด้านหลังอย่างอ้อนๆ สงสัยจะขออะไรอีกหรือเปล่าเนี่ย
“ครับ…” ผมตอบรับเขาเสียงนุ่มเหมือนเดี๋ยวนี้ผมจะพูดมากขึ้นกว่าเดิมและคนที่เข้าใกล้จะรู้สึกว่าผมเป็นมิตรขึ้น จนมีคนมาชอบผม พี่หนึ่งเลยงอนไป บอกต่อแต่นี้ให้ผมพูดมาก และยิ้มให้เขาเพียงคนเดียวก็พอเขาบอก…เขาหวง ผมก็หัวเราะแล้วรับคำไป
“เราคบกันมาปีนึงแล้วนะ อาร์ตจะยอมเป็นของพี่ได้หรือยัง” ผมชะงักกึก…นิสัยที่แก้ไม่หายของพี่หนึ่งคือ เขามักจะคิดว่าตนเองเป็นผู้นำเสมอเปรียบได้กับว่า เขาเป็นสามีส่วนผม…เป็นภรรยา!
สงสัยคงต้องโดนสักทีสินะถึงจะรู้สึก!
“ครับ…ผมยอมเป็นของพี่” ผมแกล้งพูดออกไปด้วยท่าทางเอียงอาย แต่พี่หนึ่งชะงักตัวแข็งทื่อไปทันที หึๆ เดี๋ยวจะรู้สึกว่าไผเป็นไผ
ผมแอบวางแผนในใจอย่างเงียบเชียบ ให้พี่หนึ่งตายใจเมื่อไหร่ก่อนเหอะ…เสร็จผมแน่!
พี่หนึ่งที่ยังคงหน้าแดงค่อยๆ พยุงผมเดินไปนั่งบนเตียงนอน โดยให้ผมนั่งลงบนตักของเขา ผมอยากจะถามเขาจริงๆ ว่าหนักไหมล่ะนั่น ก็ผมตัวใหญ่กว่าเขาตั้งเยอะ หึๆ ยอมๆ ไปก่อนหลังจากนั้นพี่หนึ่งจะรู้สึก!
เมื่อเวลาผ่านไป…
“อะ…ไอ้อาร์ต เอาออกไปนะ!” พี่หนึ่งน้ำหูน้ำตาไหลขณะที่ผมสอดใส่เข้าไป สีหน้าเขามีแววปวดเล็กๆ เจือด้วยความเจ็บใจ คงคิดว่าเสียศักดิ์ศรีล่ะมั้ง แต่ไม่ได้หรอกถ้าครั้งนี้ไม่ได้สั่งสอนเดี๋ยวพี่หนึ่งจะเข้าใจไปผิดๆ อีก
“อ๊ะ…” เสียงหวานแหบพร่านั้นครางออกมาเสียงดัง ลำตัวบางของกระตุกไปทั้งตัวตอนที่ผมขยับเสียดสีที่บริเวณหนึ่ง อืม ตรงนี้สินะ…
“อ๊ะ…อาร์ต” ผมก้มลงจูบอย่างแผ่วเบาที่ริมฝีปากบาง “อืม พี่หนึ่งรู้มั้ยว่าพี่หวานมาก” ผมกระซิบบอกชิดใบหูบาง
นัยน์ตาหวานเชื่อมด้วยแรงอารมณ์นั้นเหมือนจะจิกกัดผม มันมีแววค้อนเคืองเล็กๆ ก่อนจะตัดพ้อออกมาว่า “พี่ชอบเราก่อนแท้ๆ! พี่ก็ต้องได้เป็นผู้นำเซ่ ผู้รุกอ่ะ ผู้รุก!”
“เรื่องอย่างนี้มันไม่เกี่ยวกับใครชอบใครก่อนหรอกครับ มันอยู่ที่ว่าผมดูแลปกป้องพี่ได้มากแค่ไหนต่างหาก” ผมบอกเขาเสียงสั่นพร่าขณะเร่งจังหวะเร็วขึ้น
“อ๊ะ…อา ทะ…ทำอย่างกับพี่ดูแลเราไม่ได้อย่างนั้นแหละ!” พี่หนึ่งประท้วง แต่ใบหน้านั้นผมลงความเห็นว่ามันยั่วยุและเร้าอารมณ์ผมแปลกๆ
“งั้นบอกมาซิ ตอนที่เด็กเทคนิกมารุมพี่ใครไปช่วย” ผมแกล้งพูดทวงบุญคุณอย่างหน้าหมั่นไส้ออกไป พี่หนึ่งเบ้หน้าบอกว่า “ไม่เห็นเกี่ยวนี่”
“เกี่ยวสิ ยังไงตอนนี้พี่ก็เป็นเมียผมแล้วนะครับ!” ผมบอกปัดไป
“เอ๊ะ ไอ้อาร์ต!” เมื่อเห็นพี่หนึ่งทำท่าจะพยศอีกแล้วผมก็เร่งจังหวะให้เป็นหนักหน่วงและกระชั้นถี่ยิ่งขึ้น จนเราทั้งคู่ขยับเข้าไปใกล้ดวงดาวยิ่งกว่าเดิม
“ฮะ…อา…”
“อืมมมม”
ผมดึงตัวพี่หนึ่งที่นอนหอบหมดเรี่ยวแรงอยู่ข้างๆ เข้ามากอด “ผมรักพี่นะครับ ให้ผมดูแลพี่ได้มั้ย พี่ไม่ต้องปกป้องดูแลผมมากมาย ขอแค่พี่รักผมให้มากๆ ก็พอ” ผมบอกก่อนจะกดจูบลงไปบนขมับที่ยังชื้นเหงื่อนั้นด้วยความรัก
“อืม…แต่รู้สึกเสียศักดิ์ศรีชะมัดเลยแฮะ…” พี่หนึ่งทำหน้ายุ่งก่อนจะถอนหายใจเฮือกออกมา
“งั้นเอางี้สิ วันหลังผมให้พี่เสียบผมคืนบ้างเลยเอ้า เราจะได้หายกันพี่หนึ่งจะได้ไม่ต้องเสียศักิด์ศรีด้วย” ผมเสนอเขาอย่างจริงจัง แต่พี่หนึ่งด่าผมเสียงดังว่า “ไอ้อาร์ตตตตตตตตตตตตตตตต! พูดห่าอะไรเอากูไปแล้วยังจะให้กูเอามึงอีกเหรอ แปลกพิลึก!” สงสัยเขาจะโกรธจริง ฮ่าๆ พี่หนึ่งก็เป็นอย่างนี้แหละครับ…แต่ให้ตายสิยังไงผมก็มีความสุขว่ะ
ตอนเย็น
ผมค่อยๆ พยุงพี่หนึ่งเดินออกมาจากห้องเพื่อจะพาไปหาอะไรกินในครัว ทีแรกผมบอกจะยกไปให้ แต่พี่หนึ่งดื้อบอกกูไม่ใช่ผู้หญิง ไม่อ่อนปวกเปียกเดินไปเองได้ แล้วก็เดินลงมาจากเตียงสุดท้ายก็ล้มตึงลงไปบนพื้น ก้นกระแทกเสียงดังน้ำตาเล็ดเลยทีเดียว แล้วหันมาบอกว่าเพราะผมคนเดียวที่ทำให้เขาเป็นอย่างนี้
จริงๆ เรื่องนี้มันผิดที่พี่หนึ่งเองไม่ใช่เหรอ? ที่มาขอให้ผมเป็นของเขาน่ะ ฮ่าๆๆๆ เหมือนตั้งแต่คบกับพี่หนึ่งมา…ผมจะชั่วยิ่งกว่าเดิมว่ะ
ขณะที่ผมพยุงเขาเดินมาถึงห้องครัวก็เจอกับบิลที่ยืนดื่มน้ำอยู่หน้าตู้เย็น บิลมองพี่หนึ่งยิ้มๆ ก่อนที่จะพูดบางคำออกมาที่ทำให้พี่หนึ่งถึงกับช๊อกไปเลย
“ไง…เสร็จเจ้าอาร์ตมันไปแล้วเหรอเดินท่านี้น่ะ” บิลยิ้มเจ้าเล่ห์แต่พี่หนึ่งหน้าแดงแป๊ดไปแล้ว
“ละ…ลุงเอาอะไรมาพูด! ไร้สาระ” พี่หนึ่งแก้ตัวตะกุกตะกักจนผมแอบหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้ จนบิลแอบยกนิ้วให้ผมนั่นแหละ ทีนี้เสียงหัวเราะผมดังลั่นบ้านเลย
พี่หนึ่งหันมาค้อนผมขวับๆ บิลเห็นท่าทางนั้นก็ปล่อยมาอีกหมัด ดอกนี้ทำเอาพี่หนึ่งน็อคไปเลย
“ไร้สาระที่ไหน ก็ลุงได้ยินเสียงหมาตัวไหนก็ไม่รู้ มันร้องครางลั่นบ้านเลย…ไม่เชื่อลองไปถามป้าสาสิ ป้าสายังอัดเทปไว้แบล็กเมล์ เอ๊ยไว้ถามลุงอยู่เลยว่าเสียงอะไร” พี่หนึ่งเงียบกริบทันทีเมื่อได้ฟัง หันมาค้อนผมเป็นเชิงว่า ‘เพราะอาร์ตคนเดียว!’ ผมหัวเราะหึๆ ไม่ได้อายอะไรเหมือนพี่หนึ่งหรอกก็อย่างที่ผมบอก…บิลกับแม่รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว คงสงสัยตั้งแต่ผมพูดเยอะขึ้น หัวเราะมากขึ้น และชอบแหย่ชอบแกล้งพี่หนึ่งสุดๆ ไปเลยล่ะมั้ง
“ผมไปแล้ว ไม่คุยกับลุงแล้วเสียอารมณ์” พี่หนึ่งดันแขนผมเป็นเชิงว่าพาไปส่งที่ห้องหน่อย
“เสียอารมณ์อะไรกันเล่าก็ลุงพูดเรื่องจริง!” บิลยังคงแหย่พี่หนึ่งต่อไป สงสัยก่อนหน้านี้พี่หนึ่งแกล้งบิลไว้มาก บิลเลยได้ทีเอาคืนเสียยกใหญ่เลยล่ะมั้ง
ผมหันไปมองบิล พร้อมกับหัวเราะไปกับเขาไม่ต้องแปลกใจแล้วล่ะครับที่ผมเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้…เพราะคำว่ารักตัวเดียว…
เย็นแล้ว…แต่ผมกับพี่หนึ่งก็ยังคงพากันเดินเล่นตามชายหาดอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มือของผมกับพี่หนึ่งต่างก็กุมกันมาตลอดทาง แม้จะมีคนมองด้วยสายตารังเกียจบ้าง ชื่นชมบ้างตกตะลึงบ้าง หรือแม้บางคนจะมองว่าการคบกันระหว่างผู้ชายกับผู้ชายมันเป็นเรื่องที่ผิด แต่ผมกับพี่หนึ่ง (ที่รู้แล้วว่าบิลกับแม่รู้เรื่องที่ผมคบกันนานแล้ว) ไม่ได้เอามันมาเป็นอุปสรรค์ในการคบกันอย่างคู่รักของพวกเราแต่อย่างใด…ในเมื่อ ผมกับพี่หนึ่งเรารักกันและผมก็คิดว่าเราไม่ได้ทำอะไรเสียหาย ดังนั้นเราจะต้องไปแคร์กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเพียงชั่วครู่และก็เป็นเหมือนลมที่พร้อมจะพัดผ่านไปอย่างรวดเร็วทำไมล่ะครับ สู้เราใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วยกันต่อไปไม่ดีกว่าเหรอครับ
อยู่ๆ พี่หนึ่งก็หยุดเดินเขาปล่อยมือผมแล้วหันหน้ามองไปยังทะเลอันเวิ้งว้าง ที่ขณะนี้พระอาทิตย์กำลังจะจมลงสู่ก้นทะเลลึก
“พี่คิดอะไรอยู่” ผมถามเขา
พี่หนึ่งหันมามองหน้าผมพร้อมกับบอกว่า “แม้ทะเลจะดูเวิ้งว้างว่างเปล่า ดูแล้วให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวแค่ไหน แต่พี่ก็ไม่คิดว่ามันน่าสงสารหรอกนะ…ในเมื่อมันยังคงมีพระอาทิตย์จมลงไปอยู่ด้วยกันกับมันนี่นา” พี่หนึ่งทำหน้าคิดหนัก กับการหาเหตุผลของเขา
“แล้วพี่จะไปคิดมากแทนทะเลกับพระอาทิตย์ทำไมล่ะครับ” ผมสงสัยจริงๆ ปกติคนมักจะเปรียบเทียบพระจันทร์กับพระอาทิตย์เสมอ มีก็แต่สุดที่รักของผมนี่แหละที่คิดไม่เหมือนใคร…
“หืม? เพราะผมกับพี่ไม่ใช่พระอาทิตย์สักหน่อย” พี่หนึ่งหันมามองหน้าผมก่อนจะบอกว่า
“นั่นสินะ พี่ไม่ใช่ทะเลว่างเปล่าที่เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่ดวงอาทิตย์จะตกลงมาอยู่ด้วยกันสักหน่อยนี่นะ ในเมื่ออาร์ตกับพี่ก็อยู่ด้วยกันเสมอ งั้นลืมมันไปเถอะ” เขาบอกแล้วก็เดินหนีผมไป…ผมรีบวิ่งตามพี่หนึ่งไปอย่างรวดเร็ว เข้าไปกอดคอเขาแล้วเราก็พากันเดินหายไปในที่ที่เราสองคนจะใช้เวลาช่วงนี้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
…แม้ว่าความรักของผมมันจะเริ่มขึ้นจากความแปลกใจของผม แต่ในเมื่อผมรู้แล้วว่านั่นคือรัก ผมก็จะถนอมมันไว้ให้ดีที่สุดครับ แม้ผมจะไม่รู้ว่าในอนาคตเราจะยังมีกันเหมือนเดิมอยู่ไหม แต่ผมกับพี่หนึ่งต่างก็รู้กันดีว่า ณ เวลานี้แค่เรามีกัน จับมือก้าวผ่านกาลเวลาไปด้วยกัน…เท่านั้นก็พอ
“THE END”
แง้วววว สารภาพตามตรงว่าตอนนั้นที่เขียน เรื่องนี้มันไม่มีพล็อตค่า T T มันก็เลยออกมาแปลกๆ มึนๆ อย่างนี้แหละ ตัวละครอาจจะมีหลุดไป (เยอะ) บ้างก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ค่า อ่านเอาสนุกๆ นะเราอยากเห็นทุกคนยิ้ม (หรือไม่หว่า?)
สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ (หรือไม่มี) แต่ไม่เป็นไร มายอยากอัพ อิอิ