วันที่สี่สิบห้าชีวิตมหาลัยต้องมีออกค่ายกันจริงไหมครับ ออกค่าย ออกหน่วยบริการชุมชน ใกล้ไกลก็สนุกสนานเฮฮากันได้ตลอดทาง และปีนี้ พวกผมได้ออกค่ายไกลยันถิ่นธุรกันดารเลยล่ะครับ
สำหรับแพทย์ เภสัช และเทคนิคการแพทย์ที่รับสมัครอาสาออกหน่วยบริการชุมชนแล้ว (แบบบังคับต้องมีคนไป) ก็มีคณะอื่น ๆ ที่ร่วมกันไปให้ความรู้ และซ่อมแซมห้องน้ำ ห้องสมุดกันด้วยครับ ไม่ต้องบอกก็รู้กันนะครับว่าพายุก็ลงชื่อไปกับผมด้วย
เหตุผลที่หมอนั่นไปน่ะเหรอครับ...
"ก็อยากไปเฝ้า กลัวเหนื่อย เดี๋ยวไม่มีคนทำอาหารให้กิน"
เหตุผลที่น่ารักดีว่าไหมครับ ตั้งแต่ผมตกลงคบกับมันกลางสนามบอลท่ามกลางสายตาคนนับพัน หลังจากนั้นมันก็ไม่กวนเบื้องล่างผมอีกเลย... พูดให้ถูกคือหวานมดจะขึ้นล่ะมั้งครับ ก็เล่นมารับไปกินข้าวกลางวัน ปั่นจักรยานไปรับไปส่งที่หอ
หรือว่ามันเป็นเรื่องปกติของคนที่เป็นแฟนกันนะครับ?
พูดก็พูดเถอะ จะให้ผมกลัวคนอื่นรู้ว่าเราเป็นอะไรกันเหมือนคู่อื่น ๆ ก็คงใช่ที่ ผมสองคนคบกันนี่รู้กันทั้งบาง รูปมาเต็มเฟสบุ๊ค ไม่เท่ากับคลิปแสตนด์บอกรักนั่นหรอกครับ
ใครจะไปเชื่อกันล่ะว่าพายุจะทำขนาดนั้นได้
นึก ๆ แล้วก็เขินเหมือนกันนะครับเนี่ย ผ่านมาก็พักนึงแล้ว ยังเขินไม่เลิกเลยนะผมเนี่ย
"แก้มแดง ๆ คิดอะไรอยู่น่ะ หนาว"คนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หันมาถามผม "คุณรู้สึกไม่สบายหรือเปล่า จะเอาพาราหน่อยไหม ลมหนาว"
"เปล่า ไม่เป็นอะไร ผมสบายดีอยู่น่า พายุ"ผมตอบปัดไป จะให้บอกว่ายังเขินกับเรื่องเมื่อสองเดือนก่อนมันก็ใช่ที่จริงไหมล่ะครับ
"แน่ใจนะ"มันถามย้ำอย่างเป็นห่วง
"อืม ไม่เป็นไรจริง ๆ"ผมยิ้มให้คนข้าง ๆ "คุณเถอะ ไม่นอนพักก่อนล่ะ เมื่อคืนก็ไม่ได้นอนไม่ใช่เหรอ"
เมื่อวานพายุมาค้างหอผมครับ มาจัดกระเป๋าให้ผม ทั้ง ๆ ที่ผมบอกแล้วว่าผมทำเองได้ เรื่องแค่นี้ แต่มันก็ไม่ยอม ผมเลยปล่อยเลยตามเลย นั่งทำงานไป ก่อนจะมารู้ที่หลังว่าพายุก็มีงานเหมือนกัน
ใกล้จะไฟนอลแล้วด้วย ไม่รีบทำให้เสร็จเดี๋ยวก็ได้ตาเหลือกันพอดีนะครับ... สุดท้ายพายุเลยโต้รุ่งทำงาน โดยมีผมนอนเป็นกำลังใจอยู่ที่พื้นข้าง ๆ
"ผมยังไม่ง่วงเท่าไหร่หรอก"ปากพูดอย่าง แต่ตาที่ตกลงไม่ได้สอดคล้องกับคำพูดเอาซะเลยนะครับ "คุณต่างหากที่ควรจะพัก ไปถึงงานคงยุ่งน่าดู"
ผมส่ายหน้าแล้วดึงคนปากแข็งให้นอนซบลงบ่าของผม และเจ้าตัวก็ดูไม่ขัดขืนอะไรให้ต้องมานั่งเถียงกัน... พวกเราสองคนเถียงกันมามากเกินกว่าคำว่าพอแล้วล่ะครับ
ตัวพิงลงมาไม่นาน เฮดของวิศวะก็หลับไป ลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะทำให้ผมยิ้มบาง ๆ
หลายคนชอบมาบอกผมว่าผมชอบฝืนตัวเองทำงานให้เสร็จ แต่ถ้าได้มารู้จักพายุ ทุกคนต้องถอนคำพูดที่ว่าผมแน่... หมอนี่ยิ่งกว่าผมอีก ผมง่วงมาก ๆ ก็นอนนะครับ ไม่ฝืน แต่พายุไม่ใช่ ต้องทำเสร็จจริง ๆ หรือใกล้จะเสร็จ ถึงจะนอน
เป็นผมที่ฟุบหลับก่อนตลอดเลย
หยุดครับ ช็อปวิศวะไม่อุ่นเท่าผ้าห่มบนเตียงหรอกครับ อุ่นไม่เท่ากาวน์หมอด้วยครับ แต่... ก็ทำให้อุ่นใจนะครับ เวลาอยู่ด้วยกัน
ฟังแล้วเหมือนมียันต์กันผีเลยนะครับ ฮ่า ๆ
เราใช้เวลาเดินทางอยู่หลายชั่วโมงกว่าที่จะถึงจุดหมายปลายทาง นั่งซะจนก้นกบแทบฝังลงไปในเบาะเลยล่ะครับ ถึงแม้ว่าเราจะแวะปั๊มกันเป็นช่วง ๆ ก็เถอะ
แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้หายเมื่อยสักนิด
"ปวดหลังเหรอ"คนที่คุณก็รู้ว่าใครเอ่ยถามผมขึ้น หลังจากที่เราลากกระเป๋าลงมายืนรอคนอื่น ๆ อยู่บนพื้นดินกันแล้ว "มา ผมนวดให้"
ผมยังไม่ทันที่จะตอบรับหรือปฏิเสธ มือร้อนก็เลื่อนมาจับที่ช่วงเอวผม ก่อนที่จะลงน้ำหนักที่ปลายนิ้ว นวดวนช่วงบั้นเอวลงไปถึงสะโพก
สบายจัง...
"โหยยย พี่หนาว พี่พายุ ให้มันน้อย ๆ หน่อยเหอะ"จะใครล่ะครับ ห้าวมาแบบนี้ น้องเทคผมเองนั่นแหละ "ใครเห็นจะเข้าใจผิดว่าเพิ่งกินตับกันมาแล้วพี่หนาวใะโพกเคล็ดเอานะเออ"
"ใครจะคิดอกุศลได้เหมือนเธอ หืม เกด"ผมส่านหน้าให้น้องจอมแซวอย่างหน่าย ๆ "แล้วนี่เป็นไร หน้ายุ่ง ๆ ไม่เหมือนคนที่เพิ่งสำเร็จจากการกวนคนอื่นเขาเลย"
"พี่เห็นข่าวยัง"
"ข่าวอะไร"ผมเดินเข้าไปหาน้องที่เปิดกระเป๋าล้วงเอาไอโฟนของตัวเองออกมา พร้อมกดยิก ๆ เปิดอะไรสักอย่างก่อนจะยิ่นมาให้ผม
ฉาว! ไฮโซตระกูลใหญ่ ชื่อย่อ ค. คั่วหนุ่มมหาลัย
หัวข้อที่มาพร้อมรูปประกอบ ทำเอาผมหน้าเปลี่ยนสี ถึงรูปจะไม่ได้ชัดอะไรมากแต่ก็มองออกว่านี่เป็นรูปเพื่อนผมเดินเข้าคอนโดหรูกับพี่คิส
“นี่...”ผมพูดอะไรแทบไม่ออก เงยหน้าขึ้นหาพายุที เกดที พายุมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น ส่วนเกดที่เป็นคนบอกข่าวก็ดูน้ำท่วมปากตาม ๆ กันไป
ผมเลื่อนอ่านข่าวอย่างรวดเร็ว เนื้อหาข่าวโจมตีปันปันค่อนข้างหนักว่าไปเรียกร้อง แบล็คเมล์พี่คิส ใส่สีซะจนผมหมดปัญญาจะพูดอะไร
“ปันปันรู้หรือยัง...”ผมเปรยถามอย่างไม่ได้ต้องการคำตอบ แต่คนสองคนที่ยืนอยู่ใกล้กับผมรวมทั้งตัวผมเองหันควับไปมองคนที่เป็นข่าวซึ่งเดินสะพายกระเป๋าเล่นหัวกับเพื่อนมา...
คงจะยังไม่รู้นั่นล่ะครับ
ก็ดี... หวังว่าพี่คิสเขาจะเคลียร์ทุกอย่างจบก่อนที่พวกเราจะกลับกันไปแล้วกันครับ
ขึ้นชื่อว่าค่ายอาสา จะมีที่นอนเป็นโรงแรมหรู ห้องพักสวยคงไม่ใช่ มีแต่ห้องเรียนที่ไม่มีพัดลมที่เคลียร์โต๊ะเอาไว้ห้าห้อง หรือใครใคร่จะกางเต้นท์นอนก็เอาเท่านั้นเองล่ะครับ
งานนี้คุณชายโซนร้อนเลยถือโอกาสกางเต้นท์ซะเลย แน่นอนล่ะว่าผมก็ต้องมานอนกับเขาอย่างไม่ต้องมีตัวเลือกอะไร ชักจะเหมือนมาแคมป์ยังไงไม่รู้สิ
งานของเราจะเริ่มในวันพรุ่งนี้ครับ วันนี้มาถึงก็เย็นมากแล้ว เลยได้แต่รับประทานอาหารที่ชาวบ้านแถบนี้ทำเอาเลี้ยงกันไป ใครเลือกกินก็ลำบากหน่อยนะครับ แต่ยังดีที่มีเมนูพื้นฐานอย่างไข่เจียวให้ได้กิน
การเดินทางทำให้เหนื่อยล้า อาบน้ำ กินข้าว เดินย่อยสักพัก แล้วสวดมนต์เข้านอน นั่นคือสิ่งที่ผมทำ พอหัวถึงหมอนไม่นานก็หลับไป...
แต่ก็สัมผัสได้ถึงความโอบรัดที่ช่วงเอว และไออุ่นที่แผ่มาทั่วแผ่นหลัง
เสียงการเต้นของหัวใจเป็นเหมือนบทเพลงขับกล่อมให้ผมได้นอนฝันดี...
พวกเราทุกคนตื่นกันตั้งแต่เช้ามืด อาบน้ำกินข้าว พอแสงสว่างสาดส่องไปทั่วท้องฟ้าให้มองเห็นทาง ก็ได้เริ่มงานกันอย่างจริงจัง
เราตั้งซุ้มรับตรวจสุขภาพ ทั้งวัดความดัน เจาะตรวจเบาหวาน ตรวจโรค จ่ายยา เท่าที่พวกเราจะได้รับอนุญาตให้กระทำได้ตามหลักเกณฑ์ของทางมหาวิทยาลัย
ในส่วนของเทคนิคการแพทย์เรานะครับ ครั้งเรามาตรวจแค่เบาหวาน เพราะเป็นโรคที่เราสามารถใช้อุปกรณ์ขนาดเล็กตรวจได้ ซึ่งผลค่อนข้างแม่นยำ จริง ๆ การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เราก็สามารถตรวจได้ แต่เป็นโดนคร่าว ๆ เท่านั้น ทุกโรคเราจะต้องมีการตรวจย้ำด้วยเทคนิคอื่น ๆ ย้ำอีกครั้งเพื่อการออกผลที่ถูกต้องและแม่นยำ
เรามีข้อกำหนดไว้ว่าการออกผล จะไม่ออกผลที่ไม่ถูกต้องไปเด็ดขาดครับ เพราะอย่างนั้น โรคที่ควรจะต้องได้รับการตรวจเช็คอย่างถี่ถ้วน เราขึ้นไม่เอาออกมาตรวจนอกสถานที่กัน ยิ่งกับนักศึกษาที่ยังไม่มีใบประกอบวิชาชีพอย่างเราแล้วต้องเพิ่มความระมัดระวังขึ้นไปอีก
และแน่นอนครับว่าการตรวจเบาหวานเราทำได้แต่ช่วงเช้า เพราะการอดอาหารของคนทุกคน คงไม่มีใครอดไปถึงเที่ยง ถึงบ่าย ถึงเย็น จริงไหมครับ หลังจากที่เราตรวจวัดเสร็จ เราก็ไปเปลี่ยนเครื่องแบบ แล้วออกมาช่วยคนอื่น ๆ ที่กำลังช่วยกันฟื้นฟูโรงเรียนแห่งเดียวนี้อยู่
เผลอไปครู่เดียว ตัวกลม ๆ ของน้องเทคผมก็ปีนขึ้นไปอยู่บนหลังคากับเพื่อนซี้ของเจ้าตัว ถือค้อน แบกไม้ไปตอกโป๊ก ๆ กันแล้ว
ผมเป็นพี่ ทั้งยังเป็นผู้ชาย จะน้อยหน้าได้ยังไงจริงไหมล่ะครับ
ผมจะเดินเข้าไปฝั่งที่เพื่อน ๆ และน้อง ๆ กำลังช่วยกันเลื่อยไม้อยู่ แต่หางตาเห็นใครอีกคนที่กำลังปีนลงมาจากหลังคา เลยเปลี่ยนเป้าหมายเดินไปหาหมอนั่นแทน
ผ้าเช็ดหน้าที่พกติดกระเป๋ามา กับน้ำดื่มที่หยิบจากระหว่างทาง ของทั้งสองอย่างถูกยื่นให้กับพายุ หมอนั่นเงยขึ้นมามองหน้าผม แล้วส่งยิ้มให้ ก่อนจะรับน้ำไปดื่มแล้วเทราดหัวตัวเอง
“เอาน้ำราดไปแบบนั้น เดี๋ยวก็เข้าตาหมดหรอก”ผมส่ายหน้าให้กับคนที่ทำเท่ห์เสยผม ไม่รู้จะโชว์ให้ใครดู ก่อนจะเอาผ้าซับหน้าที่เปียกน้ำเบา ๆ “ไปพักก่อนเถอะ เดี๋ยวผมขึ้นไปทำต่อเอง”
“ไม่ต้องเลย ลมหนาว”พายุจับข้อมือผมลากไปที่ร่มโดยไม่เปิดโอกาสให้ผมได้ค้านอะไร “คุณจะขึ้นไปตอกตะปูน่ะนะ หยุดเลย ถ้าโดนมือขึ้นมาจะทำยังไง”
“คุณพายุ ผมผ่านการฝึกลูกเสือ ฝึกรด. มานะครับ เรื่องแค่นี้ผมก็ทำมาหมดแล้ว”ผมเถียงคนที่เหมือนอยู่ ๆ จะมาเป็นห่วงไม่เข้าเรื่องกลับไป
“ตอนนั้นส่วนตอนนั้น แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกันนิ”คนหัวดื้อยังไงก็หาข้อโต้เถียงกลับมาได้ ผมจ้องตากับพายุเขม็งด้วยความไม่พอใจ
“คุณอย่ามาทำเหมือนผมเป็นผู้หญิงนะ!”ผมขึ้นเสียงกลับไป แต่ไม่ดังนัก มือร้อนที่กำข้อมือผมอยู่ กำแน่นขึ้นไปอีก “คุณก็รู้ ผมเป็นผู้ชาย เรื่องพวกนี้ผมทำได้อยู่แล้ว”
“แต่ผมเป็นห่วงนี่”คราวนี้เป็นพายุที่ขึ้นเสียงดังใส่ผม แต่คำของหมอนั่นทำเอาผมชะงัก “ผมไม่อยากเห็นคุณเจ็บตัว ไม่โอเคเข้าไปใหญ่ถ้าคุณต้องตากแดดจนหน้าแดง ตัวแดง คุณเข้าใจผมไหม ลมหนาว”
พายุไม่ได้ออมเสียงเหมือนผม คำพูดทั้งหมดเลยกระจายไปทั่ว ทำเอาทุกคนหยุดมือทำงานหันมามองพวกเราสองคนเป็นตาเดียว แต่เหมือนคนที่กำลังเลือดขึ้นหน้าจะไม่รู้สึกตัว
“ผมไม่ได้มองคุณเป็นผู้หญิง ไม่ได้มองว่าคุณอ่อนแอ แต่คุณเข้าใจผมไหม ว่าผมไม่อยากเห็นคนรักของผมต้องลำบากมาตากแดด โต้ลม ผมรู้ว่าคุณทำได้ แต่ผมไม่อยากให้คุณทำ มือคู่นี้ของคุณเอาไว้รักษาคนน่ะ ดีแล้ว เรื่องบำรุงสถานที่ ผมเป็นวิศวะ ผมจะทำเอง”คนหนึ่งร้อน อีกคนต้องเย็น ผมปรับอารมณ์ให้กลับมาคงที่ ครับ ผมเข้าใจที่พายุต้องการจะสื่อ แต่เรามาออกค่ายอาสา จะให้ผมทำเป็นนั่งเฉยได้ยังไง
ขนาดผู้หญิงยังออกลุยเลย
“พายุ ผมรู้ว่าคุณห่วงผม แต่เรามาค่ายอาสานะ คุณจะให้ผมนั่งงอมืองอเท้าหลังจากทำหน้าที่ตัวเองเสร็จ ทั้ง ๆ ที่คนอื่น ๆ ยังไม่ได้พักด้วยซ้ำ ผมทำไม่ได้หรอก”ผมใช้ความเป็นเหตุเป็นผลตอบกลับไป มือข้างที่ไม่ได้ถูกจับเอาไว้เลื่อนมากุมมือที่หมอนี่กำข้อมือผม “งานแค่นี้มันไม่ได้ทำให้ผมเหนื่อยจริง ๆ นะ”
“แต่ผมไม่อยากให้คุณทำ”คุณชายโซนร้อนยังคงยืนยันเหตุผลเดิม ถึงเสียงจะอ่อนลง แต่มองก็รู้ว่ามันไม่ยอมอ่อนข้อให้ผมแน่ ๆ
“ลมหนาว นายไปทาสีไป”สรุปแล้วเป็นพี่ทิวที่เดินเข้ามาห้ามทัพ ว่าที่คุณหมอในเสื้อกาวน์ยาวเดินมาหยุดตรงหน้าพวกเราสองคน “พายุก็อีกคน พี่เข้าใจที่นายเป็นห่วงลมหนาว แต่น้องชายของพี่ไม่ใช่เด็กอมมือที่ทำอะไรไม่ได้ อย่าทำอะไรที่มันเกินไปนัก”
“ครับ”ผมกับพายุรับคำพร้อมกัน พายุปล่อยข้อมือผมออก รอยแดงรูปห้านิ้วฉาบทับบนข้อมือของผม ทำสีหน้าของใครอีกคนไม่สู้ดีเข้าไปใหญ่
“เจ็บไหม”นิ้วหยาบไล้เบา ๆ ที่รอยตรงข้อมือผม “ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไร ผมไม่เจ็บ”ผมดึงมือออกจากการจับกุมของคนตรงหน้า แล้วหมุนตัวหันไปทางฝั่งที่มีคนทาสีอยู่ “รีบไปทำงานได้แล้ว เดี๋ยวใครจะหาว่ากินแรงเอา”
“หนาว...”ผมหยุดนิ่งตามคำเรียก แต่ไม่หันกลับไป ปล่อยให้เวลาผ่านไปพักหนึ่ง คนที่เรียกชื่อของผมก็ไม่พูดอะไรออกมา ผมเลยเดินเข้าไปทำงานโดยไม่พูดอะไรเช่นกัน
ไม่ได้โกรธอะไรหรอกครับ แต่ผมต้องทำให้เขารู้ ย้ำเตือนว่าผมเป็นผู้ชาย มีอวัยวะครบ 32 เหมือนกับทุกคน
ครับ ความเป็นห่วงมันเรื่องนึง แต่ความเป็นจริงมันก็เป็นอีกเรื่อง
ผมต้องย้ำให้มันจำเอาไว้
พวกเราต่างคนต่างทำงานไป ผมเหลือบไปมองพายุที่ทำหน้าบูดบ้าง ดูพี่ทิวที่มีน้องข้าวคอยเสิรืฟน้ำให้ และยัยเกดที่ลงมาจากหลังคาแล้ว
แต่แทนที่จะไปพัก ดันวิ่งไปช่วยงานที่กองลูกเสือ เป็นแค่กองเล็ก ๆ ครับ เด็ก ๆ เขามีเข้าค่ายกันพอดี ชุดลูกเสื้อที่มีรอยปะชุนมันสะท้อนใจไม่น้อย
ในขณะที่มีคนจำนวนหนึ่งเสวยสุขในห้องแอร์ กินข้าวครึ่งจานทิ้งอีกครึ่ง แต่ก็มีคนอีกกลุ่มที่ต้องสวมใส่รองเท้าขาด ๆ เสื้อผ้าที่ส่งทอดต่อกันมา
ชีวิตที่ต้องดิ้นรน ตะเกียดตะกายต่อสู้กับมัน
พวกเราทำงานกันจะเย็นครับ แสงอาทิตย์เริ่มลาลับ งานคืบหน้าไปได้ด้วยดี เหลือแค่เก็บรายละเอียดปลีกย่อยกันไป งานทำได้ไวกว่าที่คิดกันเอาไว้เยอะเลยครับ
ก็ไม่มีใครอู้งานนี่เนอะ
ถึงจะเหนื่อยล้ากันมา แต่เรื่องกองไฟเราไม่พลาดกันแน่นอน ระหว่างที่นั่งพัก ทำธุระส่วนตัวกัน พวกเด็ก ๆ ที่เข้าค่ายก็มีการเล่นรอบกองไฟ
นั่นล่ะครับ พวกเราก็รอต่อคิวกัน
“พอฤกษ์งามยามได้เวลา เชิญเทพบนฟ้าทุกทิศลอยมาร่วมเป็นพยาน ในคืนกองไฟนี้เชิดชูไว้ในองค์ประธาน สถิตสถาน พระวิญญาณร.6 ของไทย”เสียงเพลงที่เคยคุ้นหู เนื้อร้องที่ยังคงจำได้ลอยเข้าหูมา ผมนั่งมองการละเล่นรอบกองไฟของเหล่านักเรียนตัวน้อยยิ้ม ๆ
ตอนเด็ก ๆ ผมก็ชอบนะครับ เล่นกองไฟ แต่ในกรุงเทพฯ ไฟที่ใช้ไม่ค่อยจะใช้ของจริง ได้อารมณ์ไม่เท่ากับที่เห็นอยู่ตอนนี้หรอกครับ
สองชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว... จริง ๆ คงจะเชื่องช้านั่นแหละครับ แต่ผมดูเด็ก ๆ ไปเพลิน ๆ เผลอแป๊ปเดียวเวลาก็ล่วงเลยไปแล้ว
ตาพวกเราแล้วล่ะครับ
หลังจากที่เด็กๆ กลับกันไปนอนแล้ว พวกเราเด็กมหาลัยก็เข้ามาล้อมวงกันแทนครับ
ผมยกเอาผัก เนื้อหมู เครื่องปรุงออกมา ตั้งหม้อ ถ้าเป็นที่ญี่ปุ่นเขาคงทำสตูวกินกันเวลาตั้งแคมป์แต่นี่เมืองไทย ผมขอทำต้มแซ่บละกันครับ
เคล็ดลับของผมคือการใส่พริกไทยเม็ดที่ตำหยาบ ๆ ลงไป มันจะได้ทั้งรส ทั้งกลิ่น แซ่บครับ ผักต้องต้มไม่ระยะนึงให้เปื่อยเข้าเนื้อ จะหวานอร่อย
ปกติผมจะไม่ค่อยทำอะไรกินหรอกครับ ฝีมือมัน... เกินแกงไปหน่อย แต่มีแค่เมนูนี้แหละที่ทำแล้วรอด ถึงอย่างนั้นผมก็ต้องให้น้องมาช่วยหั่นของให้อยู่ดี
ผมเหลือไปเห็นปันปันเดินเกาหัวออกมาจากห้องด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดี ดูหงุดหงิดไม่น้อย ในมือถือโทรศัพท์เอาไว้
จริงสิ... มัวแต่ทำงาน ผมลืมเรื่องข่าวเมื่อเช้าไปเลย
ถึงปันปันจะไม่บอกอะไรผม แต่ผมก็รู้นะครับว่าระหว่างพวกเขาสองคน จะต้องมีอะไรที่ไม่ธรรมดาต่อกัน แต่นั่นแหละ ถ้าเมื่อไหร่ที่เพื่อนต้องการ ผมค่อยรับฟัง
ไม่ถามหรอกครับ ผมไม่อยากละลาบละล้วง
หมอนั่นนั่งลงข้าง ๆ ผม อีกฝั่งเป็นพี่ทิวที่มานั่งด้วย ผมตักเอาต้มแซ่บที่พอจะได้ที่แล้วส่งให้คนทั้งสอง
“รสมือยังดีเหมือนเดิมนะ หนาว”พี่ทิวหันมาพูดกันผม แล้วตักกะหล่ำต้มเปื่อยยื่นมาป้อนผม “กว่าจะยอมลงครัวทำ ต้องเป็นวันพิเศษเท่านั้นสิ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ พี่ทิว ผมแค่ขี้เกียจ”ผมหัวเราะเบา ๆ เมื่อพี่ทิวแกส่ายหน้าหน่าย ๆ แล้วตักหมูมาป้อนผมอีก “พี่ทิวก็ โน้น น้องข้าวนั่งมองตากลมป๊อกแล้วครับ”
ผมส่งถ้วยอีกใบให้พี่ทิวส่งให้ฟางข้าว ให้น้องเขากินอุ่นท้องล่ะครับ
ไม่ใช่มีแค่ต้มแซ่บนะครับ ยังมีพวกอาหารปิ้งย่าง เท่าที่เราจะพอทำกันได้นั่นล่ะครับ
พายุเดินออกมาหยุดอยู่ตรงด้านหลังของผม ผมรู้แล้วล่ะครับว่าหมอนั่นมา แต่ไม่ได้หันกลับไปมอง ใจผมยังไม่หายเคืองสักเท่าไหร่ กับการที่มันห้ามผมไม่ให้ผมทำงาน
ผมรู้ว่ามันไร้สาระ แต่ผมหงุดหงิดนี่ครับ
“ลมหนาว...”พายุเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ซึ่งความลังเลใจ ผมไม่เหลือบมอง และไม่ขานรับ เอาไว้หายหงุดหงิดก่อนนะ... ผมไม่อยากทะเลาะกับเขา “นี่... ลมหนาว หันมาคุยกันก่อนสิ”
นิ่งครับ... ไม่หัน แต่ก็ถูกพี่ทิวสะกิด พร้อมกับปันปันที่ผลักผมให้ลุกขึ้นไป
ผมถอนหายใจแล้วลุกขึ้นหันมาสบตากับพายุ มือร้อนยื่นมากอบกุมข้อมือของผม แรงลากจูงที่ทำให้ผมต้องเดินตามไปอย่างช่วยไม่ได้
หรือ... ผมไม่ขัดขืนเอง
“หนาว...”โซนร้อนเรียกชื่อผมเสียงอ่อน มันหันมาสอบตากับผมนิ่ง “ผมขอโทษ... ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณรู้สึกแบบนั้น ผมเป็นห่วง...”
ผมจ้องหน้าคนตรงหน้านิ่ง รอให้หมอนี่พูดต่อไป
“ที่ผ่านมา... ผมคบอยู่แต่กับผู้หญิง พวกเธอชอบให้ผมห่วง ให้ผมเทคแคร์ ผมคงติดนิสัยพวกนั้นมามาก... ผมขอโทษที่ทำให้หนาวรู้สึกไม่ดี... ผมจะปรับตัวผมเองให้ได้ ยกโทษให้ผมนะ. นะครับ”
“... เฮ้อ”ผมถอนหายใจอีกครั้ง แล้วยิ้มออกมาบาง ๆ “ผมรู้ว่าผมไม่ควรจะโกรธคุณ... ผมเป็นผู้ชาย คุณเองก็เป็นผู้ชาย ผมรู้ว่าคุณรู้สึก... คุณคิดอะไร ยังไง ไม่ใช่แค่คุณที่ต้องปรับตัว... ตัวผมเองก็เหมือนกัน”
หงุดหงิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง... ผมรู้ตัวดี
“หนาวจะโกรธ จะไม่พอใจอะไร ผมไม่ว่า คุณบอกผมได้ทุกอย่าง ผมขอแค่คุณอย่าเมิน อย่าเฉยชา หรือทำเหมือนผมไม่มีตัวตน... ได้ไหมครับ”น้อยครั้งนะครับ ที่พายุจะลงหางเสียงว่าครับ เสียงที่ฟังดูอ้อนวอน เจ็บปวด ทำเอาผมใจสั่นไม่น้อย
“คุณก็เหมือนกัน... ถ้าไม่พอใจอะไรผม ก็ขอให้คุณบอกผมมาเหมือนกัน...”พายุดึงผมเข้าไปกอดเอาไว้ ยังดีนะครับที่แถวนี้ไม่มีคน... ผู้ชายตัวสูง ๆ ไซต์พอ ๆ กันสองคนยืนกอดกันมันคงไม่ได้น่าดูนักหรอก
“ผมทุ่มเททุกอย่างให้ได้หัวใจของคุณมา... ผมไม่อยากเสียคุณไปเพราะเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆพวกนั้น...”
ผมกอดตอบคนตรงหน้าไปหลวม ๆ โดยไม่พูดโต้ตอบอะไร
ลิ้นกับฟัน ระวังแค่ไหนก็ยังมีกระทบกัน คนรักก็เหมือนกันล่ะครับ แต่ถ้าเราทำความเข้าใจกัน พูดคุยกัน เรื่องมันก็จะผ่านไปได้ด้วยดี
จริงไหมล่ะครับ
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
มาต่อแล้วค้าา เย้ ^o^ จริงๆ ตอนหน้าควรจะเป็นบทส่งท้ายเนอะ ฮ่าๆ แต่เอาพี่คิสกับปันปันยัดลงในตอนนี้ไม่ได้... เลยได้โควต้าบทแยกไปเลย
เอาไว้พอกันบทหน้าค้าา <3