วันที่ยี่สิบหกวันนี้ต้องพาน้องไปนอกมหาลัยตอนเย็น เหมืออาจารย์จะเห็นใจเลยยกคลาสช่วงบ่ายให้พวกผมได้ไปเตรียมตัวกันบ้าง อะไรบ้าง ก็ดีครับ จะได้ไปเช็คของรอบสุดท้ายดู
พวกเรานัดกันตอนห้าโมงเย็นที่ลานเกียร์ครับ รอบนี้คุยกันรู้เรื่องไวเพราะพายุมันไม่ได้มาคุยเอง แต่เป็นนิคกับพิชที่เป็นคนมาคุย
เอาจริง ๆ ผมไม่เห็นหน้าหมอนั่นมาสองสามวันแล้วล่ะครับ ตั้งแต่พวกน้องวิศวะได้ธงมาครอง ไม่รู้เหมือนกันว่าไปเอามายังไง
จากคำบอก แล้วก็การส่งข่าว พวกรุ่นพี่ที่จบกันไปแล้วของพวกเราเมดเทค และพวกวิดวะจะมารวมตัวกันที่รีสอร์ท จะมาให้รุ่นพวกน้องกันเอง ผมตามใจพวกพี่เขาอยู่แล้ว ยังไงก็เหมือนทุกปีล่ะครับ พี่ปีสูงจะมาเป็นคนเปิดตู้กับข้าวปลดวินัย
ไปกันแค่สองวันสองคืน คงไม่ต้องอะไรกันมากหรอกมั้ง จะขนไปเยอะแยะก็เท่านั้น หนักกันเปล่า ๆ ล่ะนะครับ เอาเท่าที่จำเป็นก็พอ
ผมประชุมรวมวินัยทั้งหมดอีกครั้ง ก่อนจะแยกย้ายกันไปหอบกระเป๋าและโคตรอุปกรณ์ไปไว้บนรถบัสคันพี่ คันน้อง ๆ ก็จะมีพวกพี่สันไปนั่งอยู่ล่ะครับ ส่วนวินัยอย่างเรามากองรวมกันเอง ให้พวกเขาเฮฮาไป ดีกว่ามาคุตลอดทาง
นั่งรอน้องตั้งแต่สี่โมง ก็มีทยอยกันมาเรื่อย ๆ ประปราย ฝั่งวิศวะเห็นพิชกับนิคมารอน้องแล้วเหมือนกัน เปรี้ยวจี๊ดสมกับเป็นตัวแม่อย่างที่เขาลือกันจริง ๆ
นอกจากพวกเราแล้ว ก็มีแขกพิเศษที่ไม่ต้องเชิญอย่างพี่คิส พี่ทิว แล้วก็น้องฟางข้าวไปด้วยนะครับ พวกพี่เขาเอารถไปด้วยกัน แต่อยากจะบอกไฮโซทั้งสองว่าช่วยเอาแค่โตโยต้าวีออสธรรมดามาได้ไหม พี่แกล่อเอาพอร์เช่มานี่คืออะไรกันครับ... เวอร์ทุกที เห็นว่าเป็นรถของพี่คิสแกน่ะครับ
เอาเถอะ ปล่อยคนมีเงินปูแทนพรมบ้านไปเถอะครับ ของปันปันมัน ทุกคนอย่าไปยุ่ง เมื่อมะรืนแอบเห็นมันขึ้นรถพี่คิสแกไปข้างนอกด้วยกันสองต่อสอง ไม่บอกผมด้วย เอาสิ
ปากบอกหงุดหงิดที่พี่แกมายุ่มย่าม แต่ก็เห็นยอมไปด้วยกับพี่แกทุกที (ถึงส่วนใหญ่จะโดนลากไปก็เถอะ เห็นสูง ๆ เพรียว ๆ อย่างพี่คิส แต่แรงนี่ ช้างฉุดเลยนะครับ”
ยืนกอดอกรอพวกน้อง ๆ มากันโดยมีพลอยยืนเก๊กไม่ต่างกันอยู่ข้าง ๆ และมีน้องเทคนั่งเล่นเกมอยู่ปลายเท้า เกดมันมาไวตลอด พร้อมกับกล้องคู่ใจมัน แต่ไม่ยกขึ้นถ่าย ปล่อยมันติดเกมไปก่อนเถอะครับ เห็นว่าจะเคลียร์แล้ว
ไม่ไปเรียนนิเทศน์ให้รู้แล้วรู้รอดไปเนี่ย น้องเทคผม
พอใกล้ ๆ ห้าโมง น้องมากันครบแล้ว ตรงเวลากันดีนะครับ หางตาผมเห็นไกล ๆ เห็นวิศวะกับปั้มพยุงคนที่หายหน้าหายตาไปพักนึงมา พอมาใกล้จุดรวมพล พายุมันถึงค่อย ๆ เดินมาเอง เป็นอะไรของเขากันล่ะนั่น
"มากันครบไหมครับ"พายุมันถามขึ้นเสียงเข้มตามฉบับ เมื่อมันเดินมาถึงหน้าแถวที่พวกน้องนั่งเรียงกันอยู่ "มีใครขาดหายไปหรือเปล่าครับ"
"ไม่มีครับ/ค่ะ"น้องตอบกลับพร้อมกันเป็นเสียงเดียว พายุมันพยักหน้ารับแล้วหันมามองหน้าผม ให้ผมพูดต่อจากมัน โอเค ได้
"ดีครับ รู้กันแล้วใช่ไหมว่าใครอยู่รถคันไหน"ผมถามขึ้นบ้าง หลังจากเสียงเงียบลงไปชั่วครู่ "ไปรายงานตัวกับพี่ประจำรถ ห้ามสลับคันกันเองโดยพลการรู้ไหมครับ"
"ครับ/ค่ะ"
"เชิญครับ"สิ้นเสียงผมพวกเฟรชชี่หน้าใสทั้งหลายก็พากันลุกขึ้นไปที่รถของตัวเอง ผมหันไปมองเฮดของวิศวะที่ดูนิ่งกว่าปกติอย่างสงสัย พอ ๆ กับที่สงสัยว่าทำไมพวกวินัยของวิศวะมันถึงคอยมองหัวหน้าของพวกเขากันตลอด
เมื่อน้องซาลง พายุที่ยืนนิ่งมันมุ่นหัวคิ้วแน่น ก่อนที่ตัวมันจะค่อย ๆ ทรุดลง ผมรีบพุ่งเข้าไปพยุงมันเอาไว้ก่อน ร่างกายมันไปไวกว่าความคิดตลอด ตัวก็ไม่ร้อนนี่หว่า เป็นอะไรไปล่ะเนี่ย
พิชกับนิครีบปราดเข้ามาดูเพื่อนของพวกเขาอย่างเป็นห่วง ปากถามย้ำ ๆ อยู่หลายรอบว่าไหวไหม ไหวแน่หรือเปล่า ซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น
"คุณเป็นอะไรไปเนี่ย คุณพายุ"ผมอดถามคนที่ผมพยุงน้ำหนักเอาไว้ข้างหนึ่งไม่ได้ อีกข้างปั้มมันเข้ามาพยุงเพื่อนตัวเองเอาไว้แล้วครับ "ทำไมคุณโทรมแบบนี้ล่ะ"
พวกวิศวะหันควับมามองผมเป็นตาเดียวด้วยสายตาที่ดูออกจะเคืองใจกันไม่น้อย แล้วไอ้สายตาค้อน ๆ นั่นคืออะไร ผมถามอะไรผิดเหรอครับ...
"หึหึ"พายุมันหัวเราะในลำคอเบา ๆ แล้วส่ายหน้าน้อย ๆ "ไม่มีอะไร ผมแค่เหนื่อย"
ผมมองคนข้าง ๆ อย่างไม่เชื่อถือนัก มันต้องมีอะไรแน่ครับ ถ้าเป็นปกติหมอนี่ไม่มีทางพูดกับผมดี ๆ แบบที่ไม่มีการกวนประสาทสักนิดแบบนี้แน่
แล้วอีกอย่าง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นพวกลุยแหลกอย่างวิศวะ แต่ก็มีดีกรีเป็นเดือนมหาลัย ถ้าไม่ใช่เหตุจำเป็นจริง ๆ มันไม่มีทางโทรมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้แบบนี้แน่
แต่มันไม่พูด ผมก็ไม่มีสิทธิ์อะไรไปก้าวก่าย
เพื่อนวินัยวิศวะของมันพากันมาหอบหิ้วมันไปขึ้นรถ ส่วนผมก็ขึ้นไปพร้อมกับเพื่อนผมเหมือนกันครับ นั่งรถคันเดียวกัน แยกคนละฝั่ง ข้างหลังเป็นของพวกวิดวะไปโดยปริยาย ก็จำนวนคนมันมาแบบนี้ ทำใจครับ
"กูว่า รถคันนี้ควรติดป้ายว่ะหนาว"เสียงพลอยมันตะโกนมาจากแถวหลังสุดของเมดเทค เงียบรอฟังทั้งคันรถล่ะครับ งานนี้ "ระวัง รถคันนี้คนเฮี้ยน"
ครับ เสียงฮามาทั้งคันรถ ก็จริงของมัน วินัยเป็นสิ่งที่เฮี้ยนมากสำหรับเฟรชชี่ เรียกว่าเดินไปไหนก็มันจะเจอเหมือนเงาตามตัว
"อะไร หนูออกจะใส ๆ นะพี่พลอย"ป๊อปเถียงขึ้นมา ก่อนหน้าเพิ่งงอแงที่ลากไอ้เกดมานั่งด้วยไม่ได้ รายนั้นไปนั่งคันน้องเทคตัวเองครับ ผมว่าไปเป็นเจ้ามือชัวร์
สาวน้อยตัวกลมแมน ๆ เตะบอล หนึ่งในฉายาที่มีคนตั้งให้น้องเทคผม แล้วมันก็ดูจะเป็นจริงซะด้วย ฮะ ๆ
คงเป็นจิตวิญญาณของวิชาชีพล่ะมั้งครับ ที่คนดลใจให้ผมกันไปมองพายุมันบ่อย ๆ ระหว่างที่เพื่อน ๆ น้อง ๆ มันนั่งล้องวงป๊อก แน่นอนว่าเมดเทคเราก็ไปร่วมกับเขาด้วย หลังจากต้องร่วมมือทำงานกันมา หลายอย่างมันก็เปลี่ยนไปนะครับ เราพูดคุยกันได้ เล่นกันบ้าง ถึงจะยังมีเขม่นกันเหมือนเดิม แต่ก็ไม่จะกระโจมใส่กัดกันเหมือนก่อนแล้วครับ แต่พายุมันกลับนั่งนิ่งไม่ลงไปล้อมวงกับเขาด้วย คิ้วมันก็ขมวดเป็นปมตลอด... มันทำให้ผมอดที่จะลุกไปดูหมอนั่นไม่ได้
ผมนั่งลงข้าง ๆ พายุ พร้อม ๆ กับที่มันลืมตาขึ้นมาดูน้อย ๆ พอเห็นเป็นผมก็ปิดลงไปอีก ผมหลุบตาลงไปดูขามัน ดูเกร็ง ๆ ทั้งที่อ่อนแรงเนี่ยนะ
"ปวดขาเหรอ"ผมเดาสุ่มอาการมันไป ตัวไม่ได้ร้อน คงไม่ได้ไม่สบาย พายุมันพยักหน้าให้ผมอย่างไม่อิดออดหรือกวนตีนอะไร หมดฤทธิ์ของแท้เลยนะครับ สภาพแบบนี้ "ไปนั่งข้างหน้าไหม จะได้ยืดขาหน่อย"
รถคันนี้ข้างหน้าเรายืดขาผ่านรั้วไปตรงบันไดได้น่ะครับ ส่วนข้างหลังวงไพ่เขายึดกันไปเรียบร้อยแล้ว คงไปขอที่เพื่อกางแอเรียไม่ได้
"ไม่เป็นไร"พายุมันปฏิเสธเบา ๆ แต่คิดว่าผมจะฟังมันไหมล่ะครับ... รู้กันว่าไม่ ตอนนี้มันเป็นคนป่วย ผมไม่ฟังมันหรอก (ปกติก็ไม่ฟังนะครับ)
"มา เดี๋ยวผมพยุงไป"ผมลุกขึ้นแล้วดึงให้มันขยับตัวตามผมมา แค่นิดหน่อยก็เห็นเฮดว๊ากตรงหน้าเม้มปากแล้ว สงสัยคงปวดไม่น้อย... ไปทำอะไรของเขามากันนะ "ค่อย ๆ เดินนะ"
ผมพยุงเอาคู่อริมานั่งข้างหน้า ตัวพวกเราไม่ได้ต่างไซต์กัน เพราะงั้นสบาย ๆ ครับ พอมันนั่งลง ก็จับให้มันเหยียดขาออก ถึงกับร้องออกมาเบา ๆ ดีที่ไม่มีใครสนใจ
กล้ามเนื้อขาของมันสั่นน้อย ๆ แล้วมีการเกร็งอย่างเห็นได้ชัดเป็นระยะ เหมือนถูกใช้งานหนักเกินไป ถ้าเป็นปกติไปใช้กล้ามเนื้อส่วนไหนหนัก ๆ ในช่วงเวลาเฉียบพลันจะแค่ปวดจี๊ด ๆ นะครับ แต่ดูทรงแล้ว ก่อนหน้าคงมีอักเสบมาด้วยแน่
ผมดึงเอาแผ่นตราเสือที่ซื้อมาให้น้องเทคที่ชอบปวดหลังออกมาแกะและแปะลงบนขา อย่างน้อยก็น่าจะพอช่วยบรรเทาปวดไปได้บ้าง
"ขอบใจ"
"อืม"ผมก้มหน้าลงไปมองท่อนขาเรียวที่อุดมด้วยมัดกล้าม สมกับเป็นคนที่เล่นกีฬาสม่ำเสมอนั่นล่ะครับ ผมยิ่นมือไปนวดคลึงเบา ๆ ที่น่องปูดนั่น พายุมันกระตุกไปที สงสัยจะหนักมือไปหน่อย เลยเบาลงอีกนิด มันมองผมอย่างแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ตรงข้าม ปมินี่กลับหลับตาลงให้ผมนวดอยู่แบบนี้แทน
จากกรุงเทพไปถึงระยอง ระยะทางไม่ไกลเท่าไหร่ นั่งรถก็ไม่นาน แต่สำหรับคนที่ปวดขา ถ้าต้องนั่งขางออยู่คงทรมานน่าดูเหมือนกันครับ
พวกวินัยวิศวะที่เลิกตั้งก๊กแล้วเดินวนเวียนมาดูเฮดของพวกเขากันอยู่ไม่ขาด ผมได้แต่ส่งสัญญาณให้เงียบเพราะมันหลับอยู่ หลับไปคงดีกว่าการที่นั่งปวดล่ะนะครับ แต่จะดีกว่านี้ถ้ามันไม่เอนมาพิงผม
"เอาไรไหมหนาว"ปันปันกระซิบถามเมื่อรถบัสจอดระหว่างทางให้ได้เข้าห้องน้ำ ซื้อของกินกัน ผมส่ายหน้าตอบมันเชิงว่าไม้เอาอะไร ปันมันด็พยักหน้ารับแล้วเดินออกไป
นั่งเฉย ๆ นาน ๆ แบบนี้ ผมก็ชักง่วงแล้วสิ...
ผมเอียงหน้าไปซบกลุ่มผมนุ่มของคนที่หลับซบไหล่ผมอยู่แล้วปิดตาลง... ในเมื่อคุณยึดไหล่ผมเป็นที่นอน ผมก็ขอยึดหัวคุณพิงหน่อยละกัน คุณพายุ
"หนาว ๆ ตื่นได้แล้ว"อืม... เสียงใคร ไม่ใช่เสียงปันปันนี่น่า เสียงเหมือนพี่ทิวเลย แต่พี่ทิวมาเอง จะมาอยู่บนรถบัสได้ยังไงกัน "หนาว ตื่น น้องรอกันอยู่ข้างล่างนะ"
ผมลืมตาขึ้นมองไปรอบ ๆ ถึงรีสอร์ทที่เราจองกันเอาไว้แล้วล่ะครับ เสียงคลื่นซัดชายฝั่งดังเข้ามาในหู ก่อนที่จะมีผ้าเย็น ๆ โป๊ะมาเต็มหน้า พร้อมกับแรงซับเบา ๆ
"ลงไปคุยกับน้องก่อนเร็ว"ผมพยักหน้ารับ แล้วหันไปมองใครอีกคนที่นั่งข้าง ๆ ที่กำลังหดขาที่ยืดมาตลอดทาง เพื่อจะลุกขึ้นยืน "ส่วนคนเจ็บ ให้นั่งอยู่ก่อน ห้ามดื้อรู้ไหมครับ"
พายุมันหันมามองพี่ทิวหน้าเหวอ ส่วนผมก็อดขำออกมาเบา ๆ ไม่ได้ รู้ทุกเรื่องสมเป็นพี่ทิวจริง ๆ นายแพทย์มาสั่งการเอง ลองดื้อดูสิครับ พี่ชายผมคนนี้ไม่เบามือให้หรอกนะ
"เดี๋ยวผมบอกให้เพื่อนคุณมาหิ้วคุณลงไปที่หลังแล้วกันนะ คุณพายุ"ผมล้อมันไปดอกนึง ก่อนจะลงจากรถไป ความจริงไม่ต้องบอกอะไรหรอกครับ แค่ผมลงมา วิศกับปั๊มก็สวนขึ้นไปหาเพื่อนพวกเขาเองละ
น้องปีหนึ่งยืนเรียงแถวกันเรียบร้อย โดยมีพี่ปีอื่นกระจายตัวกันอยู่รอบ ๆ แฟรชที่วูบวาบนั่นคงไม่ต้องถามว่าจากใคร รู้กันครับ
"อยู่กันครบใช่ไหมครับ"ผมกอดอกยืนอยู่หน้าน้อง ๆ ทุกคนเพียงลำพัง คนอื่น ๆ เขากระจายไปรอบ ๆ บางคนก็ไปเช็คสถานที่ก่อนให้น้องเข้าพักเพื่อความสะดวกและปลอดภัยน่ะครับ
"ครบครับ/ค่ะ"น้องตอบกลับกันมาทั้งสองคณะวิชา
"คืนนี้พวกผมจะให้พวกคุณไปพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้เช้าแปดโมงรวมตัวกันที่ลาน ห้ามสายนะครับ"
"ครับ/ค่ะ"
"เขิญครับ"พูดจบผมก็แบกกระเป๋าตัวเองเดินไปที่บ้านพักหลังแรก หลังนึงนอนกันสิบคนครับ มีตึกที่เหมือนจะเป็นโรงแรมห้องละห้าคน กระจาย ๆ กันไปทั้งพี่ ทั้งน้องล่ะครับ
พี่ทิว น้องข้าว พี่คิส ก็ลากกระเป๋าตามหลังผมมา จริง ๆ ให้พี่เขาไปนอนที่ห้องพักอีกระดับของทางรีสอร์ทพี่แกก็ไม่ยอม จะมานอนด้วยกันแบบนี้ล่ะ
"ปันปันครับ มาเร็ว นอนกับพี่นะครับคนดี"พี่คิสเริ่มแล้วล่ะครับ ผมต้องบอกไหมว่าหน้าตาของเพื่อนผมตอนนี้เป็นยังไง อย่างที่คิดนั่นล่ะครับ ฮะ ๆ
"ไปไกล ๆ เลย พี่คิส"หลัง ๆ ก็พัฒนากันมาบ้างแล้วเหมือนกันนะครับ ปันปันมันยอมเรียกชื่อพี่แกแล้ว แต่ก็นั่นล่ะครับ ยังไม่ยอมให้แตะตัวอะไร ยังไงมันก็ผู้ชายแท้ ๆ นี่นะ ขนลุกเป็นธรรมดา
"พี่คิสนี่ อดทนขึ้นเยอะเลยนะ"เสียงนุ่ม ๆ เอ่ยเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงที่เจือแววขบขันเอาไว้ พี่ทิวทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ ผมแล้วยกมือขึ้นมาลูบหัวผมน้อย ๆ "นอนมาบนรถแบบนี้ ปวดคอไหม"
"ไม่ฮะ"ผมตอบกลับไปตามจริง ไม่ได้รู้สึกปวดเมื่อยตรงไหน ออกจะปกติด้วยซ้ำไปล่ะครับ "แล้วใครเป็นคนขับรถมาล่ะครับ พี่ทิว"
"พี่คิสขับน่ะ เขาชอบอยู่แล้ว ซิ่งรถเนี่ย"พี่ทิวตอบกลับมา พร้อมกับยื่นมือมาบีบที่ไหล่ผมเบา ๆ รู้จนได้ว่าผมปวดไหล่อยู่... ไม่รู้ทันสักเรื่องจะเป็นอะไรไหมนะ
"ผมไปอาบน้ำก่อนนะฮะ"น้องข้าวที่กอดเสื้อผ้าเอาไว้แน่น เดินเข้ามาบอกกับพี่ทิว ดวงตาคู่โศกของน้องเขาดูสั่นระริก... เหมือนกำลังเสียใจ
"อืม ระวังอย่าลื่นล้มล่ะ"พี่หมอทิวหันไปรับคำด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล หังดูเป็นห่วงเป็นใยเหมือนปกติ งั้นก็ไม่น่ามีอะไรล่ะมั้ง "อย่าอาบนานนักล่ะ แถวนี้อากาศชื้น เดี๋ยวจะไม่สบายเอา"
"ฮะ"น้องข้าวพยักหน้ารับ แล้วเดินออกไปเงียบ ๆ เอ... ผมว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างแน่ ๆ ทำไมน้องเขาดูห่อเหี่ยวขนาดนั้น ทั้งที่ปกติออกจากดู อืม... สดใสก็ไม่เชิง แต่ก็ยังดูร่าเริงกว่านี้
หลังจากที่ฟางข้าวอาบน้ำเสร็จ พี่ทิวก็ไล่ผมไปอาบต่อ และตามด้วยพี่เขา เหมือเป็นอัตโนมัติที่พอพี่ทิวทำอะไรเสร็จ คนอื่น ๆ ก็จะรีบจัดการตัวเองให้เสร็จ
ผมทิ้งตัวลงนอน ข้าวเย็นขอไม่กินแล้วกันครับ ง่วงเกินจะลุกขึ้นมากินแล้ว ก่อนจะหลับลงไป เหมือนพี่ทิวจะล้มตัวลงนอนข้าง ๆ ความอบอุ่นที่ไม่ได้สัมผัสมาพักหนึ่งโอบรัดกายเอาไว้
"ฝันดีนะครับ"แล้วทุกอย่างก็เงียบหายไป
แสงอาทิตย์สาดส่องผ่านหน้าต่างมาแยงตา ปลุกให้ผมตื่นขึ้น อืม... เอาจริง ๆ วันหยุดแบบนี้ ผมไม่อยากตื่นหรอกครับ อยากนอนสบาย ๆ มากกว่า
แต่ไม่ได้ ผมยังมีภารกิจต้องทำให้เสร็จ
"ตื่นแล้วก็ลุกขึ้นมาอาบน้ำ แต่งตัวนะ หนาว"เสียงที่เคยคุ้นกันดีพูดกระซิบขึ้น พี่ทิวตื่นเช้าตามเคย "อย่าขยับตัวเสียงดัง หรือกระชากล่ะ ดึงเขาออกเบา ๆ ให้ข้าวนอนไปก่อน"
ดึงออก... ตอนแรกผมก็งงครับว่าดึงอะไร แต่พอลืมตามเต็มตาแล้วหลุ่บมองในอ้อมแขน ก็เห็นลูกแมวตัวน้อยขี้อ้อนนอนหลับสบายซุกอกผมอยู่ นี่ผมนอนกอดกับน้องข้าวตอนไหนกันล่ะเนี่ย
ตัวนุ่ม ๆ หอม ๆ น่ารักชะมัดเลยครับ
ผมค่อย ๆ ขยับตัวออกมายืนข้างเตียง เอาผ้าห่มร่างเล็กที่ขดตัวเข้าหากัน แล้วจึงหันไปมองเตียงตรงข้ามที่ปันปันมันนอนอยู่
"ถ้าถ่ายรูปไว้แบล็คเมล์ จะโกรธไหมเนี่ย"ผมพึมพำออกมาเบา ๆ แล้วแอบหัวเราะอยู่คนเดียว กอดกันกลมเลยนะ พี่คิสกับปันปันน่ะ เพื่อนผมติดหมอนข้าง คงคิดว่าพี่คิสเป็นหมอนข้างอยู่แน่ กอดแน่นเลย
ผมหันมาหยิบเสื้อผ้าออกมาจากกระเป๋า กดมือถือดูความเคลื่อนไหวโลกโซเชียล เพิ่งหกโมงครึ่งเองแหะ ตื่นเช้าเหมือนกันนะ แดดดีจริง ๆ
"เฮ้ยยย อะไรวะเนี่ย"ระหว่างที่อาบน้ำอยู่ก็ได้ยินเสียงปันปันตะโกนแว่วเข้ามา ฮ่า ๆ ตื่นมาอยู่ในอ้อมแขนของคุณคิส ท่าจะตกใจน่าดูเลย
“อาละวาดอะไรแต่เช้าเลยวะ ปัน”ผมแกล้งถามมันเมื่อเดินเข้ามาในห้อง มันมองผมตาเขียวปั๊ดเลย ฮ่า ๆ ไม่ได้ทำอะไรให้สักหน่อย
“เงียบไปเลย มึง แม่ง”มันคว้าเอาเสื้อผ้าเดินลงส้นไปอาบน้ำ เหมือนสาวน้อยที่โมโหแก้เขินเลย ให้ตายเถอะ เพื่อนผม ถ้าอยู่ที่ห้องจะหัวเราะกลิ้งเลย
“พี่คิสก็ไปแกล้งมัน”หันมาหาคู่กรณีอีกคนที่นั่งยิ้มหวาน หน้าก็หวาน ยิ้มก็หวาน ถ้าเป็นผู้หญิงไอ้ปันคงยอมตกลงเป็นแฟนไปตั้งแต่วันแรก ๆ แล้วล่ะมัง
“อะไร พี่ยังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”พี่แกลอยหน้าลอยตา ปฏิเลธปัดข้อหาให้พ้นออกจากตัวไป “ปันปันน้อยมานอนกอดพี่เองนะ พี่ไม่ได้เริ่มก่อนนี่”
ก็จริงของพี่แก... เถียงอะไรไม่ได้
เช้านี้เลยเป็นเช้าที่โคตรวุ่นวายเลยครับ ปันปันตาขวางแต่เช้าไม่มีใครเข้าหน้าติด แต่ตัวต้นเหตุที่ทำให้หมอนั่นอารมณ์บ่จอยยังคงเสนอหน้าไม่หวั่นในแรงอารมณ์เลยครับ นะ เพื่อนกันเองยังเข้าหน้าไม่ติด ลาอะไรกับน้อง หัวหดกันไปเป็นแถบ ๆ
นัดแปดโมงนี้ แค่จะรวมตัวกัน พาไปกินข้าว คนจำนวนเยอะ ๆ ขนาดนี้ กว่าจะรวมตัวกันได้ก็กินเวลาไปถมที่เลยล่ะครับ แต่ยังดีที่เลยไม่มาก
พายุมันเดินลากขามายืนข้างผม ก็ดูดีกว่าเมื่อวานอยู่นะครับ ค่อยสมกับการเป็นคู่ปรับกับผมหน่อย
"เดี๋ยวพี่ของพวกคุณ จะพาพวกคุณไปทานข้าวนะครับ"พายุมันเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ ดวงตาคู่คมกวาดมองน้องรอบ ๆ "อยากแตกออกนอกกลุ่ม ถ้าพวกคุณหายไป จะไม่มีใครตามหานะครับ"
"ครับ / ค่ะ"
"ถ้าเข้าใจแล้ว เชิญปีสองครับ"ผมปิดท้ายให้ แล้ววินัยทั้งหมดก็เดินล่วงหน้าไปที่ห้องอาหารก่อน อืม คุณเฮดวิศวะไม่ต้องให้ใครพยุงแล้ว ดีขึ้นแล้วจริง ๆ สินะ
ใช้เวลากินข้าวอะไรกันก็ชั่วโมงนึง ก่อนที่จะมานั่งเรียงรวมตัวกันอยู่ที่ลานใกล้ ๆ ห้องอาหารนี่ล่ะครับ ตอนนี้เหลือแต่ผม พายุกับวินัยไม่กี่คน ที่เหลือต้องไปเตรียมฐานกันแล้ว
“นับ 1 -15 เรียงกันไปครับ”ต้องแบ่ง 15 กลุ่มไปวนฐาน มันดูเยอะใช่ไหมครับ แต่มันมีแบ่งอีกทอด เป็นหลุ่มใหญ่อีก 3 กลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มจะมี 5 กลุ่มย่อย นับแล้วทุกกลุ่มจะได้วนฐานอยู่ 5 ฐานครับ
ต้อง 5 ฐานเท่านั้น ห้ามขาด ห้ามเกิน
เพราะตัวอักษรคำว่า Sotus มันมี 5 ตัวนี่ครับ
พอแบ่งกันจนครบ จะมีปีสองที่เป็นพี่กลุ่มมารับน้องไปเดินฐาน ส่วนพวกผมไม่ได้มีหลัก มีแหล่งที่ฐานใดฐานหนึ่ง ก็เดินไปทั่ว ๆ นั่นล่ะครับ แล้วก็เตรียมงานสำหรับตอนกลางคืนด้วย
พอผ่านคืนนี้ไป การรับน้องก็จะจบลงแล้ว ผมก็จะได้พักสมองสักที... แล้วค่อยลุกขึ้นมาลุยใหม่เรื่องแสตนด์
“ทำหน้าสบายใจเชียวนะ ลมหนาว”พออาการดีขึ้น ปากก็กลับมาใช้งานได้เลยนะ หมอนี่ “เตรียมใจไว้เถอะ หลังจบรับน้องเราต้องทำงานกีฬาต่อ ยังไงคราวนี้ผมก็จะชนะคุณให้ได้”
“ทำให้ได้ก่อนค่อยมาพูดเถอะ คุณน่ะ”ผมกระตุกยิ้มเย็นส่งให้มันไป
“แน่นอน อย่าลืมซะล่ะ เตรียมล้างท้องเป็นเมียผมได้เลย คุณลมหนาว”พายุมันกระซิบที่ข้างหูผมเบา ๆ ก่อจจะเดินไปหาเพื่อนของมัน
คิดว่าอะไร ๆ มันจะง่ายอย่างนั้นหรือไง
ไม่มีอะไรเป็นไปตามที่หวังได้ตลอดหรอกนะ
คอยดู! แล้วเราจะเห็นดีกัน!
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
ตอนต่อไปจะจบรับน้องแล้วค่ะ ^^/ ดีใจเบา ๆ 5555
ยังคงหยอดโมเม้นเล็ก ๆ ไปเรื่อย ๆ... (ใครรอหวาน ตอนหน้าเกือบล่ะมั้ง...)
แล้วพบกันค้า