ยกที่ 25 : เรื่องที่ไม่คาดฝัน “ เฮ้ย”
เสียงถอนหายใจยาวเหยียดของไอ้แท็คดังขึ้นทันทีที่อาจารย์ผู้สอนบอกเลิกคลาสหลังจากท่านสั่งรายงานและการบ้านยาวเหยียดเป็นหางว่าว ทั้งๆที่ก็มีกำหนดให้ควิชในคาบเรียนทุกครั้งๆ นั่นเลยทำให้บรรดานิสิตรักเรียนทั้งหลายในห้องต่างโอดครวญกันเซ็งแซ่เพราะนอกจากวิชานี้แล้วพวกผมต้องอ่านหนังสือและเทสต์ย่อยติดต่อกันมาเป็นสัปดาห์ ดังนั้นสภาพอิดโรยของเพื่อนๆแต่ละคนจึงดูไม่จืดนัก
นั่นก็รวมถึงไอ้แท็คซึ่งทำเนียนทำท่าทางอ่อนเพลียเอียงศีรษะไปถูไหล่ของว่านอย่างอ้อนๆ และเพื่อนตัวน้อยซึ่งไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมก็ลูบหัวมันเบาๆอย่างเอาใจ หึ เหยียดปากใส่มันแม่ง
“ เอาไงดีพวกเรา คาบบ่ายไม่มีเรียนด้วยนิวันนี้”
ผมหันไปถามความคิดเห็นจากสองสาวพิมพ์และดาวที่ทำหน้าเหนื่อยๆไม่ต่างกัน
“ ไม่ไหวแล้วเต้ย พิมพ์กับดาวว่าจะกลับไปนอนอ่ะ”
“ ไม่กินข้าวก่อนเหรอ”
สองสาวส่ายหัวทำตาปรือ “ อยากนอนมากกว่า”
“ ตามนั้น แล้วมึงอ่ะไอ้แท็ค” หันไปถามไอ้ขี้สำออยพร้อมสะกิดหัวมันเบาๆ มันผงกหัวขึ้นแกล้งโมโหจนว่านขำคิก
“ กิน หรือ นอน”
“ นอน” มันพูดเสียงห้วนแต่กลับยิ้มกริ่มตอนหันไปมองเพื่อนตัวน้อยของผม “..กูอยากนอน”
“ หน้ามึงแม่งเสื่อมมาก”
ผมด่ามันเมื่อเห็นสายตานั้นจ้องมองว่านตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยประกายตาบางอย่าง เล่นเอาเพื่อนตัวน้อยสะดุ้งและก้มหน้าที่แดงก่ำงุดๆ
“ กรุณาอย่าอิจฉา” มันยักไหล่กวน
“ น่าอิจฉามากมึงอ่ะ”
ผมกวนกลับก่อนจะคว้าบ่าของว่านมาโอบไว้หลวมๆแล้วดุนหลังให้ออกเดินโดยมีมันวิ่งตามมาติดๆ “ เดี๋ยวๆจะเอาคนของกูไปไหน”
แหมเต็มปากเต็มคำเลยนะ หึ คนของกู พูดมาได้ไม่เกรงใจใบหน้าเขินสลับซีดของว่านเลย
“ มึงถามว่านรึยังว่าเขาอยากเป็นคนของมึงรึเปล่า” ผมนี่ทำไม่รู้ไม่ชี้แกล้งถามกลับไปไม่สนว่าว่านจะอายยิ่งกว่าเดิม
“ ไม่เห็นต้องถาม”
“ เนอะว่าน” ว่าแล้วมันก็คว้าไหล่บางไปโอบแทนทำเอาคนกลางอย่างว่านได้แต่ทำตาปริบๆหน้าแดง แก้มแดงจนจะม้วนเป็นโรลอยู่แล้ว
“ กูจะบอกอะไรให้อย่างนะเต้ย”
ไอ้แท็คมันยิ้มเจ้าเล่ห์ตอนที่กวักมือเรียกให้ผมยื่นหูให้เข้าไปใกล้ๆ “ ถ้ามึงอยากสุขี มึงควรย้ายไปอยู่คอนโดกับไอ้จ๊อบมันได้แล้ว รับรองซาบซ่าน”
ไอ้เลวท้ายประโยคมันเน้นคำว่าซาบซ่านที่หูว่านจนฝ่ายนั้นอ้าปากค้าง
“ ไอ้เชี่ยแท็ค”
“ ฮ่าๆๆๆๆ”
ผมเตรียมยกเท้าใส่มันแต่ก็ไม่ทันเมื่อมันคว้าแขนว่านแล้วพากันออกวิ่งไปอย่างไว
“ ซาบซ่านพ่อง”
ผมสถบแต่รู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนแปลกๆ เพราะเข้าใจในความหมายของคำพูดไอ้แท็ค ก็ตั้งแต่เป็นแฟนจ๊อบมันมาก็เป็นเดือนมากสุดก็แค่กอดจูบ ไม่มีอะไรเกินเลยไปมากกว่านั้นซึ่งผมคิดว่ามันก็โอเคแล้ว เพราะระยะเวลาที่เราคบกันมันก็เพียงไม่นานถึงแม้เราจะรู้สึกกันมาเกือบครึ่งชีวิต คิดมาถึงเรื่องนี้ผมเองก็หวิวๆเหมือนกัน ก็ผู้ชายเหมือนกันทำไมจะไม่รู้ว่ามันอยากมั้ย แต่มันก็ไม่เคยพูดหรือขออะไรทำนองนั้นเลย
มันอดทนน่าดู คิดแล้วแอบขำ
“ เฮ้ย”
“ คิ้วจะผูกเป็นโบว์แล้ว”
ผมเงยหน้าขึ้นยิ้มกว้างเมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย มือหนาคู่นั้นเอื้อมมาแตะหัวคิ้วสองข้างเบาๆ
“ พี่ที”
“ ไงเรา”
พี่รหัสผมถามยิ้มๆ ตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์ที่ยายผมจะหกล้มนั่นผมก็ไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับพี่รหัสตัวเองอย่างจริงๆจังๆ เห็นที่คณะก็เพียงผ่านๆเพราะดูเหมือนว่าคนตัวโตนี่จะยุ่งพอสมควรเห็นว่าเรียนเสร็จก็รีบกลับไปทำธุระที่บ้านจนนานเป็นเดือนแล้วที่ผมเพียงแต่ได้ยิ้มทักทายรุ่นพี่ตรงหน้า
“ สบายดีหรือครับพี่ที”
ผมแอบสังเกตแววตาที่ไหววูบเพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่เปลี่ยนไปเป็นประกายสดใสเช่นเดิม
“ ก็ดี แล้วเราหล่ะ”
“ ผมสบายดีพี่ แต่ช่วงนี้สอบเทสต์ย่อยทุกวันเลย”
ผมทำหน้าเหนื่อยมือหนาของพี่ทีจึงเขย่าศีรษะผมเบาๆ “...เอาน่าเดี๋ยวก็ผ่านไป”
“ ครับ”
ผมยิ้มมองหน้าพี่ทีตรงๆจนอีกฝ่ายเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ
“ มีอะไร มองหน้ากูซะขนาดนั้น”
“ ก็..”
ผมควรจะถามออกไปดีมั้ย
ผมควรจะบอกอะไรสักอย่างใช่มั้ย
เผื่อว่า เผื่อว่า
“ พี่เอ่อ”
“ว่า”
“ พี่เบียร์..” ชื่อที่หลุดออกจากปากผมทำเอาพี่แกชะงักไปก่อนจะยิ้มน้อยๆ
“ ทำไม”
“ พี่เบียร์จะไปต่างประเทศ พี่รู้มั้ย”
พี่ทีถอนหายใจก่อนจะเหม่อมองไปไกล “ เหรอ ไม่รู้สิ”
“ แล้ว..”
“....”
“ ช่วงนี้กูยุ่งๆต้องเข้าบริษัททุกวัน เอ่อ กิจการครอบครัวกูหน่ะ พอดีคุณพ่อเค้าให้กูไปช่วยดู” พี่ทีเอ่ยปากเล่าให้ฟังนำเสียงเนือยๆ
“ พี่เบียร์กำลังจะไปสิงคโปร์ครับ กำหนดการปีนึง แต่ผมไม่รู้ว่าบางที มันอาจ อาจจะมากกว่านั้น”
“ มึงกำลังจะบอกอะไรกูเต้ย”
“ พี่ที”
ผมคว้าข้อมือพี่รหัสมากุมไว้ พร้อมกับส่งสายตาเว้าวอน “ พี่ไม่คิดจะทำอะไรสักอย่างเหรอ”
พี่ทีถอนหายใจปลดข้อมือที่ผมกุมอยู่แล้วเปลี่ยนมาลูบศีรษะผม
“ ทุกคนมีความฝัน ทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องทำ มึงจะให้กูไปถ่วงความเจริญมันรึไง”
“ ผมไม่ได้ต้องการให้พี่ไปขอร้องไม่ให้พี่เบียร์ไป เพียงแต่ผมต้องการให้เรื่องของพวกพี่มันชัดเจน”
“ ชัดเจนยังไง”
ผมถอนหายใจก้มหน้านิ่ง
“ ถ้าชัดเจนเรื่องการกระทำมันคงชัดเจนแล้วว่ากูมีคู่หมั้นแล้ว...” พี่ทีพูดเสียงเรียบ ใบหน้าก็เฉยเมยไม่ต่างกันแต่แววตาคู่นั้นดูเด็ดเดี่ยวแต่แฝงไปด้วยความเจ็บปวด “...แต่ถ้าชัดเจนเรื่องความรู้สึกหล่ะก็ กูว่ามันคงรู้ดี เพราะกูได้บอกมันไปแล้ว”
“ บางทีตอนนี้เราต่างก็กำลังทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด”
“ แต่ผม..”
“ กูไม่สามารถทำทุกอย่างอย่างที่ปรารถนา เพราะกูมีหน้าที่และครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบ มึงโชคดีเต้ยที่สามารถทำทุกอย่างได้ตามที่คิดฝัน..”
“......”
“ กูขออะไรมึงสักอย่างได้มั้ย”
“ ครับ..”
“ มึงมีสิทธิ์จะรักและไขว่คว้าหาความรักของตัวเองได้ ขอให้มึงใช้สิทธิ์นั้นให้คุ้มค่า ใช้สิทธิ์ทำตามหัวใจตัวเองแทนกู ใช้สิทธิ์นั้นในการดูแลรักษาหัวใจที่กูทำไม่ได้แทนที”
“ ผมไม่เข้าใจ”
“ การได้เฝ้ามองความรักของคนอื่นเติบโตและงดงามก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง”
“ พี่..”
แย่จังผมร้องไห้อีกแล้ว
“ ความรักสวยงามเสมอเต้ย ความรักไม่เคยทำร้ายใคร”
“ ฮึก”
“คนเราต่างหากที่ตีความความรักให้ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง”
“ พี่”
“ เจอหน้ากูทีไรร้องไห้ทุกทีสิน่า” พี่ทีพูดขำๆไล่ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาให้ผม “ มึงไม่ต้องเสียใจหรอก ถึงกูกับมันจะไม่ได้รักกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราไม่รักกัน”
“ กองเชียร์อย่างมึงควรจะเปลี่ยนน้ำตาให้เป็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มได้แล้ว”
“ จะทำอย่างงั้นได้ยังไงกัน ก็ผมเสียใจอ่ะ”
“ วันนี้มึงเสียใจ วันหน้ามึงอาจจะดีใจก็ได้”
“ พี่หมายความว่ายังไง”
“ บางครั้งคนที่อยู่เฉยๆ ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สู้เพื่อความรัก แต่บางครั้งความเข้มแข็งอาจจะต้องใช้เวลา” “ ปาฎิหารย์เกิดขึ้นได้เสมอถ้าเรามีศรัทธา” ผมยอมรับว่าไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่ทีกำลังพูด แต่ผมรู้สึกได้ว่าผู้ชายตรงหน้าผมเป็นคนเข้มแข็งเหลือเกิน ผมไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ผมรู้แค่ว่าพี่ชายของผมจะต้องก้าวข้ามมันไปได้ และผมก็เชื่ออีกว่าความรักก็เหมือนศรัทธาซึ่งสักวันมันต้องสร้างปาฏิหารย์ที่งดงามให้เกิดขึ้นได้
“ กูว่านะ”
“ ครับ”
“ แทนทีมึงจะห่วงเรื่องของกู ห่วงตัวเองก่อนมั้ย”
พี่ทีพูดขำๆก่อนจะบุ้ยปากไปด้านหลังผม จึงเห็นว่ามันกำลังยืนกอดอกนิ่งมองพี่ทีกับผมที่กุมมือกันอยู่ ผมนี่แทบสลัดมือพี่รหัสทิ้งราวกับต้องของร้อน
“ กูเอาใจช่วยนะ”
ทำไมต้องกระซิบข้างหูผมแล้วขยิบตาก่อนจะเดินหนีไป
“ เอ่อ”
“.....”
“ คือ”
“ จ๊อบ”
มันถอนหายใจก่อนจะหมุนตัวเดินนำไป
“ จ๊อบเดี๋ยว”
“ เต้ย”
“ คือ”
“ มึงควรจะรีบนะนี่มันจะบ่ายโมงแล้ว กินข้าวไม่ตรงเวลาเดี๋ยวปวดท้องโรคกะเพรากำเริบอีก”
ใบหน้ามันบึ้งตึงแต่ยังอุตส่าห์พูดเสียยืดยาวและหากจับน้ำเสียงได้คงรู้ว่ามันมีกระแสของความห่วงใย ผมยืนนิ่งช้อนตาขึ้นมองมันอย่างเงียบๆ ไอ้จ๊อบมันเบือนหน้าหนีไปทางอื่นก่อนจะคว้ามือผมแล้วออกเดิน เสียแต่ว่าผมไม่ยอมขยับตัวมันเลยหยุดแล้วขยับเข้ามาใกล้
ผมคว้าชายเสื้อมันทั้งสองข้างเสียแน่น
“ เต้ย”
มันคงตกใจเมื่อผมโผเข้ากอดมันเต็มรัก มือทั้งสองผมคล้องคอมันก่อนจะซุกใบหน้าที่แผ่นอกกว้าง “ ขอโทษ”
“ ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจริงๆ”
น้ำเสียงผมอู้อี้อยู่ในลำคอตอนที่เกลือกกลิ้งใบหน้าไปกับเสื้อนิสิตสีขาวของมัน
“ เต้ย” มันกอดตอบพร้อมกับลูบไล้แผ่นหลังผมเบาๆ
“ เชื่อสิ”
“......”
“ ฮึก ไม่มีอะไรจริงๆ” เห็นว่ามันนิ่งไปมันยิ่งใจเสีย จากแค่น้ำเสียงสั่นคลอตอนนี้น้ำตาผมเริ่มไหลเอื่อยๆ “ แค่พี่น้องไม่มี ไม่มีอะไร”
“ เต้ย” มันดันผมออกผมยิ่งใจเสียหนักกอดรัดมันเสียแน่น “ เต้ย ชูว์ ฟังก่อน คุยกันก่อน”
“ ฮึก ไม่ มึงโกรธอ่ะ มึงโกรธกู”
“ เต้ย”
พอเห็นว่าดันผมออกไม่ได้มันเลยเปลี่ยนมากอดผมเสียแน่น พร้อมกับมือที่ลูบหัวผมอย่างแผ่วเบา
“ ที่กูจะดันมึงออกเพราะจะเช็ดน้ำตาให้” “.....”
“ กูไม่ได้โกรธมึง”
“ จริงนะ” ผมเงยหน้าจากอกที่ซุกซบทันได้เห็นแววตาขี้เล่นของมัน “ นี่แกล้งกูเหรอ”
“ เปล่า โอ๊ย ก็มึงไม่ฟังกู”
จากอารมณ์เศร้าผมนี่แทบปรี๊ดทุบอกมันไปเต็มๆ “ มึงอ่ะ”
“ โอ๊ย” มันร้องโอดโอยรีบคว้ามือผมไว้ “...เจ็บนะเนี่ย”
“ กูไม่โกรธก็จริงแค่น้อยใจเฉยๆ”
“ มันเป็นอารมณ์เห็นแก่ตัวว่าไม่อยากให้แฟนตัวเองใกล้ชิดกับใคร ทั้งๆที่กูรู้ว่ามึงกับพี่รหัสมึงไม่มีอะไรกัน อย่าว่าแต่พี่รหัสมึงเลย ต่อให้เป็นใครก็ตามมาทำตัวใกล้ชิดแบบนี้กับแฟนกู กูก็ไม่ชอบทั้งนั้นแหละ” คำสารภาพจากปากมันตรงๆทำเอาผมใจสั่นแปลก
“ ที่กูหึง กูหวง เพราะมึงเป็นแฟนกู”
มันโอบไหล่ผมแล้วเขย่าเบาๆ
“ และที่สำคัญคือกูรักมึง” พูดจบมันก็กดจูบที่ขมับผมทีนึงแรงๆ
**************************************************
“ เต้ย”
“ หืม”
“ เต้ย”
“ ว่าไง”
“ เต้ย”
“ อะไรเล่า”
ผมละความสนใจจากชีทในมือก้มลงมามองพร้อมกับทำร้ายร่างกายด้วยบีบจมูกมันเบาๆ มันหัวเราะขำก่อนจะเบี่ยงตัวหนีถึงอย่างนั้นศีรษะก็ยังหนุนตักผมอยู่ ตอนนี้พวกเราอยู่ที่คอนโดของไอ้จ๊อบก็ตั้งแต่ไปรับมาจากคณะและแวะซื้อกับข้าวมาทานด้วยกัน พอตกบ่ายทั้งพวกเราซึ่งไม่มีเรียบคาบบ่ายก็ต่างหามุมสงบอ่านหนังสือยิ่งช่วงนี้ใกล้สอบ พอกินข้าวอิ่มผมก็หยิบชีทขึ้นมาอ่านได้ไม่นานก็ถูกมันกวนตั้งแต่เนียนมานอนตัก ไม่พอยังกุมมือข้างหนึ่งผมไว้เสียแน่นจนมันเผลอหลับไปสักพัก แล้วพอตื่นขึ้นมาก็เริ่มก่อกวนอีกครั้ง
จริงๆเลยนะเนี่ย
“ เรียกทำไม”
มันยิ้มกริ่มยกเอามือข้างนั้นของผมที่กุมอยู่ขึ้นมาจูบเบาๆ “ โครตมีความสุขเลยหว่ะ”
“.......”
“ ถ้ากูรู้ว่าขอเป็นแฟนกับมึงแล้วมันมีความสุขขนาดนี้ คงขอตั้งแต่เรียนม.ปลายแล้ว”
“ เว่อร์”
มันดีดหนาผากมันไปทีนึงอย่างถนัดถนี่เพราะเล่นนอนตักแล้วเงยหน้าขึ้นมองกันอย่างนี้
“ จริงๆนะ”
“ เต้ย..” แววตามันจริงจัง “...กูขอโทษ คำๆนี้ไม่รู้ว่าพูดไปแล้วกี่ครั้ง แต่ทุกครั้งที่พูดออกไปกูรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ”
“ ขอโทษที่รู้ตัวช้า ช้ามากถึงขนาดที่ทิ้งระยะเวลามาตั้งสี่ปี”
“ ขอบคุณมึงมากที่อดทนรอกูได้นานขนาดนี้ กูรู้ว่ากูอาจไม่ดีพอ แต่กูจะพยายามทำให้ดีที่สุด”
“ ไม่ต้อง”
มันทำหน้าแปลกเมื่อผมบอกปฎิเสธ
ผมยิ้มน้อยๆทั้งที่รู้ว่ามีก้อนอะไรสักอย่างจุกอยู่ในลำคอ “...ไม่ต้องดีไปกว่านี้หรอก เพียงแค่นี้ก็พอแล้ว”
“ แค่ที่มึงเป็นก็พอแล้ว”
ผมเองก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
ผมไม่ต้องการความสมบรูณ์แบบ ไม่ได้ต้องการให้มันต้องชดใช้อะไร เพียงแค่ “ ใช้ช่วงเวลาดีๆร่วมกัน” เท่านั้นพอ
“ รักมึงหว่ะ”
มันยิ้มกว้างก่อนจะผุดขึ้นจุ๊บเบาๆตรงปลายจมูกผม
“ เหมือนกัน”
“ เหมือนกันอะไรอ่ะ”
“ ก็นั่นแหละ” ผมหลบตามันอย่างเขินๆ
“ มึงแม่ง” มันหัวเราะชอบใจกับอาการของผมก็จะอาศัยความเร็วประทับจูบแนบริมฝีปากผมเบาๆ
....Rrrrrr....
โชคดีว่ามีโทรศัพท์มือถือช่วยชีวิตไม่งั้นหมอนใบโตแก้อาการเขินของผมคงปลิวไปโดนหัวมัน มันยักไหล่กวนๆก่อนจะลุกขึ้นไปรับโทรศัพท์ ผมเลยได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะลุกเก็บพวกเศษขนมที่วางเกลื่อนบนโต๊ะไปทิ้งขยะ และรวบเก็บชีทไว้อย่างเป็นระเบียบก่อนจะลุกไปเปิดหนังแผ่นที่ไปซื้อวานก่อนกับมัน หนังที่ว่าเป็นแนวไซไฟกู้โลกดูน่าสนุกซึ่งเพิ่งออกจากโรงภาพยนตร์ได้ไม่นาน มันคงเห็นว่าผมไปยืนดูแผ่นหนังหลายรอบเลยควักตังค์ซื้อให้ซะเลย
ว่าไปแล้วมันก็มีมุมอ่อนโอนเหมือนกันนะเนี่ย
ผมทรุดตัวนอนตะแคงยืดปลายเท้าไปตามความยาวของโซฟา ตอนที่ล้มตัวลงนอนนี่แหละที่รู้สึกว่าตัวเองปวดหลังเพราะทนนั่งหลังขดหลังแข็งให้มันหนุนตักตั้งนาน พอหนังเริ่มฉายผมซึ่งเลื่อยตัวลงนอนเรียบร้อยแล้วก็คว้าเอาหมอนอิงใบเล็กมากอดพร้อมกับหันศีรษะไปยังหน้าจอทีวี
“ ดูหนังเหรอ”
“ อื้ม”
คงจะคุยโทรศัพท์เสร็จแล้วเสียงมันจึงดังขึ้นใกล้ๆหูแต่เพราะผมสนใจหนังตรงหน้าเลยไม่ได้หันไปดู
“ นอนด้วย”
“ หืม”
“ ขยับหน่อย”
“ ทำอะไรจ๊อบ”
ผมสะดุ้งมันเลยได้โอกาสดันผมไปข้างหน้าจนเกือบตกโซฟาอย่างหมิ่นเหม่ ดีว่ามันคว้าเอวผมไว้อยู่พร้อมกับแทรกตัวลงนอนบนโซฟาซ้อนหลังผม แล้วพลิกให้แผ่นหลังผมนอนซ้อนบนหน้าอกมัน ปลายคางมันซึ่งวางตั้งอยู่บนไหล่แถวๆซอกคอผม มันช่างเข้าล็อคกันอย่างพอดิบพอดีเสียเหลือเกิน
“ มองอะไร ดูหนังสิ”
ผมยู่หน้าใส่ก่อนจะหันไปสนใจหนังซึ่งกำลังฉาย
“ เต้ย”
“ หืม” ถึงตาจะจ้องภาพแต่ปากก็ยังขยับตอบรับมัน
“พี่ต๋องโทรมาชวนไปงานวันเกิดน้องชายแก จัดที่ร้านแกแถวสีลมนั่นแหละ”
“ อืม”
“ ขออนุญาตไปนะครับ” คำถามชวนจั๊กจี้จนแทบจะขวับมองมัน
“ ก็ไปสิ”
ผมตอบเสียงกลั้วหัวเราะเมื่อสังเกตมาสักพักแล้วว่าเวลามันไปไหนดึกๆดื่นๆ ยิ่งประเภทมีสุราของมึนเมามันจะเกรงใจมาขอผมก่อนทุกครั้ง ซึ่งจริงๆแล้วผมไม่เคยคิดจะไปก้าวก่ายสังคมของมันกับเพื่อนๆด้วยซ้ำ อย่างว่าแหละมันเพื่อนเยอะเลี้ยงกันบ่อยซึ่งบางครั้งผมก็ไปร่วมแจมบ้าง
“ ไปด้วยกันมั้ย”
ผมส่ายหน้ายิ้มๆ “...พรุ่งนี้มีควิชตอนแปดโมง กะว่าคืนนี้จะอ่านหนังสือ มึงไปเถอะ จริงๆมึงไม่ต้องขอกูก็ได้นะ กูเข้าใจ อีกอย่างแม่งจั๊กจี้หว่ะเวลามึงมาขออะไรแบบนี้”
มันร่วมหัวเราะผสมโรง
“ จะรีบกลับไม่ดึกหรอก”
“ อืม อย่ากินเยอะนะมึงต้องขับรถ ถ้าเมาก็นอนนั่นเลยก็ได้ไม่ต้องขับรถกลับมา”
“ ครับ”
มันตอบรับก่อนจะกดจมูกใส่แก้มผมทันที
.........
.........
ผมเหลือบตามองนาฬิกาที่กำลังบอกเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว ถึงว่ารู้สึกเมื่อยไปหมด ผมบิดขี้เกียจก่อนจะเก็บชีทที่เขียนสรุปรายละเอียดการสอบพรุ่งนี้หลังจากนั่งทบทวนมากว่าสามชั่วโมงตั้งแต่มันออกไปร่วมงานวันเกิดน้องชายพี่รหัสมัน ผมลุกขึ้นเดินไปรินน้ำกินที่ห้องครัว จริงๆแล้ววันนี้ผมควรจะอยู่ที่หอในแต่มันขอร้องไว้ว่าให้ผมค้างที่นี่คืนนี้เพราะตอนเช้ามันจะไปส่งเข้าสอบแต่เช้า ตอนแรกผมก็ไม่ได้ตอบรับหรอกแต่มันก็อ้างเหตุผลต่างๆนานาจนจำนนด้วยคำพูดสุดท้ายเลยมายืนยิ้มคนเดียวอยู่ในห้องครัวแบบนี้
ผมหยิบหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อกดเข้าไปในโปรแกรมไลน์เผื่อว่ามันจะบอกอะไรไว้ ในเมื่อมันบอกเองว่าจะรีบกลับแต่ตอนนี้จนล่วงเลยถึงวันใหม่แล้วทำไมยังไม่กลับมา
เป็นห่วงเป็นความรู้สึกผมตอนนี้
ตอนที่เปิดเข้าในมือถือภาพพื้นหลังคือรูปคู่ผมกับมันที่ถ่ายกันตอนวันลอยกระทง ผมอมยิ้มเมื่อมองภาพนั้น
....Rrrrrrrrrrr....
ผมขมวดคิ้วมองสายเรียกเข้าอย่างแปลกใจก่อนจะกดรับ
“ ว่าไงแฮม”
“ เต้ย”
ปลายสายดูสั่นๆ ก่อนจะได้ยินเสียงสะอื้น
“ แฮม มีอะไร”
“ เต้ย..” เสียงสูดน้ำมูก “ ทำใจดีๆนะ”
หมายความว่าไง
ผมกำโทรศัทพ์แน่น หัวสมองอื้ออึงไปหมด ความรู้สึกเย็นวาบเหมือนใครเอาน้ำเย็นมาสาดใส่อย่างแรง
“ จ๊อบรถคว่ำ” .
.
.
.
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ผมไม่รู้ตัวเหมือนว่าพาตัวเองมาถึงโรงพยาบาลได้ยังไง พอไปถึงแฮมโผเข้ามากอด ไอ้เต็ปตบบ่าผมเบาๆด้วยใบหน้าเครียดขมึง ผมไม่ได้สะอื้น แต่น้ำตาไหลพรากจนมองไม่เห็นภาพเบื้องหน้า ทุกอย่างสับสันไปหมด
“ กูบอกพ่อแม่มันแล้ว เขากำลังเดินทางมาจากต่างจังหวัด”
“ ทำไม..”
นั่นเป็นเสียงของผมที่เอ่ยออกมา มันเบามากเหมือนเสียงลม ผมแสบจมูกและปวดกระบอกตาไปหมด ผมรู้ตัวว่ากำลังสั่นไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะก้าวเดิน
“ จ๊อบมันไม่ได้เมา เพราะมันไม่ได้กิน มันบอกจะรีบกลับมาหามึงเลยไม่กิน ”
“กูก็ขับรถตามมันมาติดๆ มีรถคันหนึ่งพุ่งข้ามเกาะกลางถนนฝั่งตรงข้ามมาชนมันอย่างจัง ไอ้เหี้ยนั่นมันเมาแล้วขับ”
ผมยกมือปิดหน้าก่อนจะปล่อยเสียงสะอื้นไห้อย่างกลั้นไว้ไม่ไหว
“ เต้ย”
แฮมผวาตรงเข้ามาคว้าผมเอาไว้ แต่ผมเหมือนคนหมดเรี่ยวแรง ผมอ่อนยวบไปทั้งตัวเหมือนไร้น้ำหนักก่อนจะทรุดตัวนั่งแปบกับพื้น “ ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
“ เต้ย ฮือ”
แฮมกอดผมแน่น
มันไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นความฝัน ไม่จริง
เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนมันยังกอดผม บอกรักผมอยู่เลย ไม่จริงใช่มั้ย
“ คนไข้เลือดคั่งในสมองต้องผ่าตัดด่วน”
นายแพทย์ในชุดกาวน์สีขาวเดินมาบอกไอ้แท็ค นั่นเป็นถ้อยคำสุดท้ายก่อนที่สติผมจะดับวูบ
‘ ศรัทธาจะทำให้เกิดปาฎิหารย์’ มันจริงหรือเปล่า มันจริงใช่มั้ย ผมเชื่อในความรัก ผมเชื่อในตัวมัน ขอให้ปาฎิหารย์เกิดขึ้นกับคนที่ผมรักได้มั้ย
ขอร้อง
อย่าพรากคนรักของผมไป
**** โผล่หัวมาแล้ว ฮ่าๆ โผล่มาก็จัดดราม่าเลยฮะ สงสารเต้ยเนอะ
นี่เขียนเองยังต้องแอบเช็ดน้ำตาอ่ะ

ใกล้จบจริงๆแล้วนะ หึ มีใครกลัวใจนักเขียนบ้างจ้า
จะจบยังไงดีน้อ ว้ากกกกกกก
