ยกที่ 24 : แฟน (ครึ่งแรก)
“ อื้อ”
“...”
“ อ่ะ”
“....”
“ ฮ่าๆ”
ผมส่ายหัวอย่างขำขันกับอาการของมัน นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมสังเกตอาการของมันเวลาเมาอย่างจริงๆจังๆและผมก็เห็นว่าใบหน้าเนียนตาหลับพริ้ม ริมฝีปากบางกำลังอ้าปาก บ้างก็คลี่ยิ้มสุขใจบ้างก็ปล่อยเสียงหัวเราะราวกับอารมณ์ดีเสียเต็มประดา
ผมเพิ่งรู้ว่าเวลามันเมาแล้วน่ารักขนาดนี้
น่ารักจริงๆ
หลังจากที่แสดงอาการของคนเมาได้สักพักนึงแล้วสุดท้ายร่างที่ขี่หลังผมมาตลอดทางก็ถูกอุ้มวางอยู่กลางเตียงภายในคอนโดของผม หลังจากวางมันลงผมจึงเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองเมื่อยหลังเมื่อยมือมากแค่ไหน
“ อื้อ”
ใบหน้ามันที่ซุกอยู่กับหมอนเกลือกกลิ้งไปมา เท่านั้นไม่พอมันยังทำเหมือนคันอะไรสักอย่างแถวต้นคอ เต้ยมันหลับตานิ่งแต่เนื้อตัวขยับยุกยิกท่าทางนอนไม่สบายตัว ผมจึงสาวเท้าเดินเข้าไปพิจารณาใบหน้ามันใกล้ๆเม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามไรผมบ่งบอกว่าเจ้าตัวร้อนขนาดไหน แต่ใบหน้ายามหลับของมันเนี่ยแหละที่ทำให้ผมนิ่งมองเหมือนตกอยู่ในภวังค์
ไฟหัวเตียงที่เปิดพอให้เห็นแสงสว่างที่อาบไล้ทั่วใบหน้ามันส่งผลให้มุมตกกระทบของแสงเห็นเสี้ยวหน้าที่อ่อนเยาว์ และอะไรไม่รู้ดลใจผมให้โน้มใบหน้าเข้าหามันเรื่อยๆจนสัมผัสได้ถึงเนื้อหยุ่นนุ่มนิ่มของริมฝีปากมัน
“ อื้อ”
มันขยับตัวคล้ายกับอึดอัดพร้อมกับทำเสียงไม่พอใจในลำคอ ริมฝีปากบางบิดเบี้ยวยื่นขึ้นเป็นท่าทางที่น่ารักน่าชัง เห็นมันนอนหลับตาพริ้มแต่ใบหน้าขมวดมุ่นรำคาญก็นึกเห็นใจเลยตัดใจจากความอ่อนนุ่มตรงหน้าแล้วใช้นิ้วมือเกลี่ยไปตามโครงหน้าและแก้มเนียนของมันอย่างเบามือ
“ หลับจริงๆเหรอเนี่ย”
ผมแกล้งกระซิบเสียงแผ่วใกล้ๆหูมันจนเจ้าตัวพลิกตัวหนีไปอีกด้าน
“ ฮือ จานอน” มันงึมงำในลำคอปัดมือไปมา
“ โอเคนอนก็นอน”
หึ
อดใจไม่ไหวกดจมูกที่แก้มเนียนของมันอีกสักที
.
.
“ เย็น”
“ อ่ะ เย็น”
ผมส่ายหน้าพยายามยื้อตัวมันที่พลิกดิ้นไปมาหนีผ้าชุบน้ำที่ผมกำลังเช็ดตัวมันอยู่ ตอนแรกก็กะจะให้อีกฝ่ายนอนไปเลยแต่เห็นว่ามันนอนกระสับกระส่ายคงไม่สบายตัวเท่าไหร่ในเมื่อตอนหัวค่ำก็ไปนั่งกินข้าว ทั้งยังถูกมอมเหม็นทั้งเหล้าเหม็นทั้งเหงื่อ ไม่แปลกที่เจ้าตัวจะนอนไม่สบายตัวแบบนี้ ผมเลยลุกขึ้นมาซักผ้าขนหนูผืนเล็กมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ แรกทีเดียวที่เปลื้องผ้าส่วนบนของมันก็ทำใจอยู่นาน
ผมหายใจติดๆขัดๆตอนที่มองเนินอกเปล่าเปลือยของมัน ผิวข้างนอกว่าขาวแล้วผิวเนื้อภายใต้ร่มผ้าขาวยิ่งกว่ายิ่งแสงนวลตาของโคมไฟหัวเตียงสะท้อนภาพผิวเนื้อ ตุ่มไตสีสวยทั้งสองข้างเด่นนูนท้าทายสายตาจนต้องแอบกลืนน้ำลาย
มันหลับตาพริ้มเผยอริมฝีปากน้อยๆ....แต่ผมกำลังคิดว่ากิริยาอาการของมันกำลังยั่วยวนผม
เพราะผมกำลังคิดอกุศลกับมัน...ผมเลยตีความท่าทางของมันไปทางใต้สะดือแบบนั้น
ผมเหมือนคนหื่นกามยังไงไม่รู้
“ อ่ะ”
มันครางเสียงแผ่วตอนที่ผมเผลอมองหน้าอกมันแต่มือซึ่งจับผ้าขนหนูผืนน้อยกลับวนเวียนอยู่รอบสะดือจนนานสองนาน ผิวขาวๆของมันเลยขึ้นสีแดงก่ำเพราะแรงมือของผม
เนื้ออ่อนจริงๆนะ จับไปตรงไหนตรงนั้นก็ขึ้นสีเลย
ผมยิ้มกริ่มแล้วไล้ฝ่ามือลงต่ำเรื่อยๆจนผ้าไปชนกับขอบกางเกงยืนของมัน อีกครั้งที่ผมหายใจไม่ค่อยสะดวก ผมชั่งใจอยู่นานก่อนจะค่อยๆใช้ผ้าห่มคลุมร่างกายส่วนบนของมันแล้วสอดมือทั้งสองข้างไปปลดตะขอกางเกงยีนส์แล้วรูดรั้งขากางเกงลง
อย่าเพิ่งคิดว่าผมใจอกุศล
เพียงแต่
เอ่อ
ผมแค่กลัวว่ามันจะนอนไม่สบายตัวเลยจะถอดยีนส์ออกแล้วเปลี่ยนเป็นบอกเซอร์ให้มันใส่สบายๆเท่านั้นเอง แล้วทำไมใจผมถึงสั่นขนาดนี้วะ ผมกุมหัวใจตัวเองแน่นและในนาทีนั้นผมรู้ตัวแล้วว่ามันมีอิทธิพลต่อจิตใจผมจริงๆ
สุดท้ายหลังจากบังคับมือไม่ให้สั่นกางเกงเจ้าปัญหาก็หลุดออกจากข้อเท้าของมันจนได้ ผมพ่นลมหายใจอย่างหนักหน่วงแล้วปาดเหงื่อบนใบหน้าของตัวเอง ดีว่าผ้าห่มที่ผมห่มให้มันตั้งแต่ครั้งแรกถูกคลุมร่างกายส่วนล่างไม่งั้นผมคงประดักประเดื่อยิ่งกว่านี้
เมื่อก่อนผมไม่เคยคิดหรอกว่าวันนึงจะต้องมานั่งอายกับร่างกายของมันในเมื่อในอดีตเราสนิทถึงขนาดแก้ผ้าอาบน้ำด้วยกันเป็นเรื่องปกติ แต่วันนี้เรื่องเหล่านั้นมันไม่ปกติแล้ว ผมสะบัดหน้ากับความคิดของตัวเองก่อนจะลงมือเช็ดเฉพาะขายาวเรียวของมันแล้วใส่กางเกงบอกเซอร์ให้ แต่จังหวะที่กำลังจะเบี่ยงมือออกมันดันขยับตัวยุกยิกไปมาจนหลังมือผมไปโดนโคนขามันเต็มๆ
เชี่ย
ผมชะงักค้างราวกับมีสายไฟวิ่งวนไปมาทั่วร่างกาย ผิวเนื้อที่สัมผัสโดนแค่หลังมือผมทำไมถึงนุ่มเนียนขนาดนั้น ผมเริ่มหายใจไม่ทั่วท้องและรู้สึกปวดมวนท้องนิดๆราวกับความรู้สึกบางอย่างบิดเกลียวเป็นวงคลื่นพาให้เกิดความร้อนรุ่นทั่วรางกายลามไปถึงแก่นกายกลางลำตัวที่มันดันผงาดขึ้นอย่างไม่รู้จักเวล่ำเวลา
มันจะรู้มั้ยว่าผมกำลังคิดอกุศลกับมันอยู่
ทำไมถึงน่ารักน่ามองขนาดนี้วะ
“ นะ หนาว”
“ หนาวจัง”
จังหวะที่ผมกำลังจะโน้มไปสูดดมซอกคอของมันเจ้าตัวดันพึมพำตัวสั่นเพราะร่างกายส่วนบนยังเปล่าเปลือย ผมเลยได้สติรีบสวมใส่เสื้อนอนให้มัน
“ หนาวแย่สินะ ขอโทษนะครับ”
เหมือนมันจะพึมพำพยักหน้ารับรู้และผมก็ก้มลงไปฟัดแก้มนิ่มของมันอีกที และนั่นทำให้ผมเพิ่งสังเกตรอบคอของมันที่มีรอยเปื้อนสีแดงทั้งยังมีผื่นขึ้นเม็ดเล็กๆ ผมขมวดคิ้วก่อนจะล้วงมือไปดึงสร้อยคอที่มันใส่ติดคออยู่ขึ้น
...เกียร์...
ผมยิ้มอ่อนๆ มันคือเกียร์ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของผมแต่บัดนี้อยู่ในลำคอขาวซึ่งคนๆนี้แหละคือเจ้าของที่แท้จริง เชือกที่เป็นสายร้อยเกียร์เป็นแค่เชือกป่านธรรมดาเวลาโดนน้ำมันจะยุ่ยไปตามกาลเวลา อีกทั้งเวลาที่รู้สึกร้อนหรือมีเหงื่อมันจะคันและเกิดผื่นได้นี่คงแสดงว่าเจ้าตัวไม่เคยถอดสร้อยเส้นนี้เลยตั้งแต่วันที่ผมให้
...ตื้นตัน...
เป็นความรู้สึกผมในตอนนี้ความรู้สึกรักมันท้วมท้นหัวใจ
“ ผมฝากเกียร์ไว้ที่มันเพราะผมตั้งใจจะฝากหัวใจของผมไว้ให้มันเก็บรักษา” ผมไม่เคยลังเลที่ฝากของสำคัญให้มัน ผมคิดและทบทวนหัวใจตัวเองตั้งแต่วันที่รู้ตัวว่าชอบมันมากเกินกว่าเพื่อน ผมรู้ดีว่าตัวเองรู้ตัวช้าเพราะฉะนั้นผมถึงต้องรักษาความรักความมั่งคงที่มีต่อมันให้ดีที่สุด
ผมไม่ได้ทำเพราะแค่เพราะอยากได้หัวใจของมัน แต่ที่ผมทำเพราะผมอยากแสดงให้เห็นว่าผมได้ตัดสินใจที่จะเลือกมันแล้วและ
เป็นการเลือกที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
“ อ่ะ”
มันขยับตัวหนีตอนที่ผมกำลังจะถอดสร้อยจากคอมัน ผมไม่ได้จะถอดเพื่อเอาคืนหรอกแค่จะถอดเพื่อให้มันนอนสบายๆ กะว่าเดี๋ยวคงต้องเปลี่ยนสายห้อยคอซะแล้วไม่งั้นลำคอขาวมันคงเกิดรอยไม่น่าพิศมัย
“ เต้ย”
ผมเรียกมันเมื่อคิดว่าคนที่กำลังหลับคล้ายกับละเมอยื่นมือขึ้นมายื้อไม่ให้ผมถอดสร้อยที่สวมอยู่
“ ม่าย”
“ หืม” ขยับเข้าไปฟังใกล้ๆ
“ ม่ายถอด”
อ่อ ไม่ให้ถอด ผมยมยิ้มนึกสนุกนอนตะแคงเท้าศอกแล้วใช้มือข้างนึงยันศีรษะตัวเองนอนจ้องหน้ามัน ส่วนมืออีกข้างแกล้งกระตุกสร้อยให้หลุดจากคอ
“ ม่าย”
“ ทำไมถึงถอดไม่ได้หืม”
“สามคัน”
ห่ะ อะไรสามคัน ผมกลั้นขำตอนที่มันทำตายุกยิกคงอยากจะลืมขึ้นมาน่าดู แต่หนังตาคงทรยศเลยจึงได้แต่ขยับหนังตาคล้ายกับการหรี่มอง ใบหน้ามู่ทู่ทั้งยังทำปากจู๋อีกต่างหาก
คราวนี้ผมนึกหมั่นเขี้ยวแกล้งกระตุกสายสร้อยอีกครั้งมันเลยผวาคว้าไว้แล้วทำหน้ามุ่ยใส่ทั้งที่ยังไม่ลืมตา
“ ม่ายถอด”
“ ทำไมหล่ะ มันคันคอนะ เดี๋ยวผื่นขึ้น”
“ ฮือ ม่าย”
“..ม่ายถอด สามคัน สามคันอ่ะ สำคัญ”
อ๋อ สามคันคือสำคัญนั่นเอง มันยิ่งขำหนักเขี่ยแก้มมันเล่นอย่างนึกสนุก มันทำหน้ามุ่ยปัดป้องตัวเองด้วยการดิ้นหนีไม่พอยังรวบเอาสร้อยในคอมากุมไว้อย่างหวงแหน
“ ม่ายให้ถอด จ๊อบให้ ม่ายถอด”
...ของสำคัญ เพราะผมให้มันเลยไม่ยอมถอด... ได้ยินแค่นี้หัวใจผมก็เหมือนอุ่นวาบไปทั่ว ก้อนเนื้อที่มีชีวิตเต้นไม่เป็นจังหวะ มันจะทำให้ผมเพิ่มพูนความรักที่มีต่อมันไปถึงไหนนะ
“ ขอบคุณมากนะที่รักษาหัวใจของกู” ผมกระซิบบอกมันเสียงแผ่วส่วนเจ้าตัวแค่อือๆออๆไปตามประสา
หึ
มันน่านัก
คงไม่แปลกถ้าผมจะก้มลงฟัดแก้มมันอีกสักครั้ง
หลังจากรังแกแก้มมันจนสมใจแล้วผมก็เลิกรบกวนการนอนของมัน หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จผมก็สอดตัวลงใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ทั้งยังคว้าตัวมันซึ่งหลับพริ้มเนื้อตัวหอมกรุ่นเพราะตอนที่ผมเช็ดตัวให้มันผมผสมน้ำหอมกลิ่นอ่อนๆบวกกับกลิ่นตัวของมันซึ่งหอมเย็นๆทำให้อดใจไม่ไหวต้องสูดดมซอกคอมันอีกสักที
ปกติผมมักอึดอัดเวลามีคนนอนเตียงเดียวกัน แต่วันนี้มันทำให้ผมรู้สึกว่าการนอนเคียงข้างกันเป็นความสุขที่ยากจะหาที่จากที่ใดได้และมันยังทำให้รู้สึกว่าการนอนคนเดียวเป็นเรื่องยากแล้วจริงๆ
............
............
งานลอยกระทงปีนี้จัดได้ยิ่งใหญ่จริงๆเพราะนอกจากจะเป็นงานของมหาวิทยาลัยแล้วยังเปิดให้คนภายนอกเข้ามาร่วมกิจกรรม และตอนนี้เป็นเวลาใกล้ค่ำซึ่งผู้คนเดินกันให้ขวักไขว่เต็มไปหมดบริเวณสระน้ำใหญ่ด้านหน้ามหาวิทยาลัย ส่วนจัดงานจริงๆคือสระน้ำขนาดใหญ่เลยไปถึงลานสนามหญ้าหน้าพระรูปสองรัชกาลซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยผม นอกจากนี้บริเวณโดยรอบยังมีการตั้งโต๊ะขายน้ำและกระทงขนมปังกันเป็นแถวโดยอนุญาตให้เฉพาะนิสิตเท่านั้นที่ขายได้ ดังนั้นซุ้มขายของของบรรดานิสิตจึงตั้งกันเรียงรายอย่างเป็นระเบียบบ้างก็เป็นซุ้มของแต่ละคณะ บ้างก็เป็นการรวมตัวของนิสิตเพื่อหารายได้พิเศษ
ทุกๆปีสำหรับงานลอยกระทงของทางมหาวิทยาลัยนั้นส่วนกลางจะจัดให้การประกวดกระทงของแต่ละคณะโดยแบ่งเป็นประเภทสวยงามและประเภทความคิดสร้างสรรค์
นอกจากนั้นยังต้องการประกวดขบวนการแสดงของแต่ละคณะซึ่งจะเคลื่อนไปพร้อมกับขบวนนางนพมาศในชุดไทยสวยงาม ซึ่งนางนพมาศของแต่ละคณะที่ส่งเข้าประกวดก็สวยๆกันทั้งนั้นทั้งนี้หนึ่งในสองของเพื่อนสนิทผมอย่างสาวพิมพ์ก็เป็นตัวแทนนางนพมาศปีนี้ของคณะผมด้วย ทั้งพิมพ์และดาวต่างอยู่ในชุดไทยสวยงามเตรียมขึ้นเสลียงให้เพื่อนๆรุ่นผมแบกหาม
ดีหน่อยที่งานนี้ผมและว่านไม่ได้มีส่วนในการแสดงเพราะพวกเราอยู่ฝ่ายสวัสดิการคอยแจกข้าวแจกน้ำให้เพื่อนๆ อย่างที่บอกว่างานลอยกระทงมันเป็นงานของปีหนึ่งทั้งรุ่นโดยมีพี่ปีสูงกำกับดูแลอีกที
แต่เพราะอยู่สวัสดิการจึงถูกทั้งเพื่อนและทั้งพี่ใช้จนหัวหมุนนี่แจกข้าวแจกน้ำเสร็จ เราทั้งสองก็ต้องไปเฝ้าซุ้มขายน้ำของคณะอีก คิดแล้วก็เหนื่อยแต่มันเป็นความเหนื่อยที่น่าภูมิใจเพราะเพื่อนๆในรุ่นต่างก็ร่วมไม้ร่วมมือและยิ้มแย้มให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
“ สวยจัง”
ว่านอุทานและชี้ชวนผมดูภาพเบื้องหน้าส่วนตัวเตรียมควักมือถือขึ้นมาถ่าย ทำเอาเพื่อนสาวตรงหน้าอย่างพิมพ์และดาวยิ้มเขิน ก็จะอะไรซะอีกที่ทำให้ว่านอุทานเสียงดังถ้าไม่ใช่เพื่อนสาวทั้งสองวันนี้แปลกตาสักหน่อยเพราะอยู่ในชุดไทยโบราณห่มสไบสวยงาม แต่งหน้าแต่งตาเสียงามชดช้อยแทบจะจำไม่ได้
“ ถ่ายรูปกัน”
“....”
ว่านยิ้มกว้างก่อนจะฉุดมือผมไปถ่ายรูปกับเพื่อนๆ
“ วันนี้เพื่อนว่านสวยจังเลย งานนี้หนุ่มๆเห็นต้องตาค้างแน่” ว่านแซวพร้อมกับหัวเราะคิกคัก
“ ขอบใจจ๊ะว่าน”
พิมพ์กับดาวบิดแก้มเพื่อนตัวน้อยอย่างหมั่นเขี้ยว “...ว่านเองเถอะระวังตาค้างแล้วกัน”
ผมกับว่านมองหน้ากันไม่ค่อยเข้าใจก่อนที่สองนางจะพยักพเยิดไปอีกด้านจึงเห็นร่างสูงของเพื่อนผมที่หายหัวไปตั้งแต่บ่ายที่ไหนถูกรุ่นพี่จับแต่งราชปะแตนนุ่งโจงกระเบนผ้านุ่งซะหล่อเชียว ผมรู้สึกได้ว่าเพื่อนตัวน้อยแก้มแดงก้มหน้านิ่งเลยเป็นจุดให้สองสาวนิยามวายยิ่งแซวหนัก
“ หล่อใช่ม่ะ” พิมพ์แกล้งถามตอนที่เห็นว่านตกอยู่ในภวังค์
“ อืม”
“ เฮ้ย”
ผมกับสองสาวหัวเราะขำว่านที่มัวแต่อายไอ้แท็คจะเผลอปากตอบและพอรู้ตัวว่าถูกแกล้งจึงค้อนน้อยๆและทำปากยืนใส่พวกผม
“ ไม่คุยด้วยแล้ว”
“ ไปไหนว่าน”
“ เอ่อ”
ว่านที่แกล้งเดินหนีพวกผมถึงกับอ้อมแอ้มตอบเมื่อไอ้เพื่อนตัวดีของผมเดินมาดักหน้าแล้วถาม ใบหน้าหล่อๆของมันฉายแววกรุ่มกริ่มซะจนว่านถึงกับก้มหน้าหลบ และไม่นานหลังจากนั้นมันคงนึกสงสารเพื่อนตัวน้อยที่เขินอายจนทำอะไรไม่ถูกเลยจูงมือพากันไปหามุมสงบ แต่ว่าก่อนไปนี่สิมันดันหันมาขยิบตาใส่ผมและขยับปากไม่ออกเสียงแต่จับใจความได้ว่า
‘อย่าอิจฉากู’ ผมเลยเบะปากใส่ไอ้แท็คพร้อมกับชูนิ้วกลางไปที ส่วนสองสาวนี่ไม่ต้องพูดถึงหน้านี่เคลิ้มเชียวพอเห็นผู้ชายเขาจับมือกัน
...Line... เสียงเรียกเข้าของโปรแกรมแชทยอดนิยมพร้อมกับอาการสั่นของโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงจนต้องล้วงขึ้นมาดู รายชื่อที่ปรากฏในจอพื้นหลังสีเขียวนี่เห็นแล้วอดอมยิ้มไม่ได้
“นั่นแน่” สองสาวชี้นิ้วใส่ผมหน้าตาล้อเลียน “..จ๊อบไลน์มาหล่ะสิ”
พอผมพยักหน้ารับสองคนนั่นก็หันหน้าเข้าหากันแล้วกลั้นเสียงกรี๊ดเบาๆ ไม่นานหลังจากนั้นสองสาวก็ถูกเรียกตัวไปเตรียมพร้อม ผมจึงโบกมือให้กำลังใจก่อนจะบ่ายหน้าไปหน้าคณะวิศวะที่เจ้าของบทสนทนาเมื่อกี้ได้นัดหมาย
*************************************************************
ผมกำลังยืนอยู่หน้าหอนาฬิกาซึ่งเป็นจุดแลนด์มาร์กแห่งหนึ่งของมหาวิทยาลัยผม โดยเบื้องหลังที่ห่างไปพอสมควรคือสระน้ำขนาดใหญ่และเบื้องหน้ามีถนนเส้นเล็กคั่นอยู่หากข้ามไปก็คือบริเวณด้านหน้าของคณะวิศวะฯซึ่งใครคนหนึ่งยืนรออยู่ ตอนนี้ผู้คนพลุกพล่านแทบจะเดินเบียดกันแต่เพราะความสูงของมันที่โดดเด่นผมเลยเห็นได้ไม่ยาก ผมข้ามถนนเส้นเล็กๆนั่นไปหามันซึ่งยืนโบกมือรออยู่ มันซึ่งวันนี้ดูดีเป็นพิเศษคงเพราะลงรองพื้นเพิ่มความสว่างให้ใบหน้า แต่ถึงจะไม่แต่งผมก็มองว่ามันดูดีอยู่แล้ว แหะ คิดแล้วก็เขิน
“ ว่าไง”
ผมทักและขมวดคิ้วเล็กน้อยตอนที่มองนาฬิกาข้อมือเห็นว่าได้เวลาเริ่มประกวดขบวนการแสดงแล้วแต่มันซึ่งได้ข่าวว่าอยู่ในชุดการแสดงยังไม่ได้แต่งตัว ทั้งยังอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์อีกต่างหาก
“ ยังไม่แต่งตัวอีกเหรอ”
“ พอดีเพิ่งแต่งหน้าเสร็จ...” มันยิ้มบางๆ ก่อนจะเขยิบเข้ามากระซิบข้างหูผม “...ยังไม่ได้แต่งตัว นี่หนีพวกพี่ๆมา”
“ เฮ้ย”
ผมตาเหลือก “...แล้วนัดให้มาทำไมเนี่ย กลับไปแต่งตัวเลย”
“ มีเรื่องสำคัญจะบอก” มันเกาหัวแก้เก้อ
“ เรื่อง ? ”
“ ก็” คุณเคยมั้ยที่เห็นผู้ชายตัวโตๆทำอะไรไม่ถูกเนี่ย มันก็มีมุมนี้เหรอเนี่ย “...รอกูนะ”
“ หือ”
“ รอหน่อย เดี๋ยวเดินขบวนเสร็จไปลอยกระทงกัน”
ผมยิ้มอายๆ “..แค่นี้ก็ไม่เห็นต้องนัดให้มาหาเลย โทรมาก็ได้” ผมบ่นเสียงอุบอิบไม่กล้าสบตามันซึ่งพักหลังๆนี่ชอบแสดงท่าทางกรุ้มกริ่มใส่ผมเหลือเกิน
“ ดีแล้ว” มันขยับมายืนตรงหน้า
“ อยากเห็นหน้า” ...อยากเห็นหน้า...
ไม่เห็นต้องพูดไปยิ้มไปเลย มันไม่รู้รึยังว่าผมแพ้รอยยิ้มของมันแล้วไอ้ท่าทางขยิบตาใส่นี่คืออะไร
“ งั้น” ผมพูดไม่เป็นคำ “...ก็ เอ่อ ถ้าเห็นแล้วกูกลับนะ”
ผมก้มหน้านิ่งซ่อนใบหน้าที่แดงก่ำของตัวเองแล้วต้องสะดุ้งเมื่อมันเอื้อมมือเกลี่ยปอยผมให้ ผมเลยเงยหน้าขึ้นทำให้เราได้สบตากันในระยะประชิด แววตาของมันแพรวพราวมีประกายระยิบระยับสวยงามจนผมยอมแพ้ด้วยการเบือนหนีไปทางอื่น
“....”
“ อ่า เอ่อ งั้น งั้นกูไปนะ”
หึ มันกลั้วหัวเราะในลำคอจนอดไม่ได้ต้องค้อนใส่ไปสักที มันเอื้อมมาขยี้ศีรษะผมก่อนที่เราจะเดินแยกกัน ผมหันหลังเดินข้ามถนนสายเดิมกลับไปที่หน้าหอนาฬิกา
“ เป็นแฟนกูนะ” มันไม่ใช่เสียงเบา แต่ก็ไม่ดังถึงขนาดที่ทำให้ต้องสะดุดใจเพราะเสียงดนตรีรอบๆงานที่ดังกลบ แต่เสียงนั้นกลับดังทะลุเข้าไปถึงหัวใจ ผมเอี้ยวตัวหันกลับไปเห็นมันยืนยิ้มกว้างอยู่หน้าคณะวิศวะฯอีกฝั่งหนึ่งเช่นเดิม
ระหว่างเรามีแค่ถนนเส้นเล็กๆกั้นอยู่
ผมขยับมาหยุดอยู่ขอบฟุตบาทฝั่งหอนาฬิกา ส่วนมันก็ขยับมาหยุดยืนที่ขอบถนนหน้าคณะวิศวะฯ
ผมยืนนิ่งเห็นมันชูขวดยาคูลย์ขึ้นพร้อมกับขยับปากพูดเสียงเบา สุดท้ายเราค่อยๆเดินเข้าหากันและมาหยุดอยู่กึ่งกลางถนนซึ่งวันนี้ถนนทั้งมหาวิทยาลัยปิดการเดินรถเพื่อเป็นให้เป็นถนนคนเดิน จึงมีผู้คนขวักไขว่เดินไปเดินมารอบตัวเรา
“ เต้ย” มันยิ้มเป็นรอยยิ้มที่ชวนให้อบอุ่น “...เป็นแฟนจ๊อบนะ”
อยู่ผมก็รู้สึกถึงหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอรอบดวงตา ผมถูกมันขอเป็นแฟนมาแล้วสองรอบแต่สองครั้งนั้นเทียบไม่ได้กับครั้งนี้เลยทั้งๆที่ไม่มีอะไรพิเศษแตกต่างไปจากเดิม แต่เวลาคู่นี้ต่างหาก แววตาของมันเด็ดเดี่ยวมั่นคงและมันส่งผลให้ความรู้สึกผมกำลังได้เติมเต็ม
“ สี่ปีที่ผ่านมาเต้ยเหนื่อยมากใช่มั้ย” มันถามเสียงนุ่มนิ้วมือเกลี่ยรอบดวงตาและปาดน้ำตาให้อย่างแผ่วเบา
“ทุกข์ใจมากรึเปล่า” “ ความทุกข์ใจ ความเสียใจ ความเจ็บปวดที่ครั้งหนึ่งจ๊อบเคยทำกับเต้ย..” มันยิ้มอ่อนโยน
“ จ๊อบจะใช้คืนให้” “ เต้ยไม่ต้องเหนื่อยอีกต่อไปแล้วนะ” “ จ๊อบจะใช้คืนให้ด้วยชีวิตและหัวใจทั้งหมดที่จ๊อบมี” “ จ๊อบขอเป็นคนดูแลเต้ยได้มั้ย” ผมปล่อยน้ำตาไหลพรากอย่างไม่อาย เสียงร่ำไห้ของผมสะอึกสะอื้นจนคนที่ผ่านไปมาเหลือบตามอง แต่มันก็แค่หันไปยิ้มให้คนพวกนั้นแล้วรวบตัวผมไปโอบกอด อ้อมกอดของมันมั่นคงและหนาแน่น มันโยกตัวผมไปมาคล้ายกับการปลอบประโลม มือหนาลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังทุกสัมผัสที่ลากผ่านเต็มไปด้วยความเอาใจใส่
ผมกำคอเสื้อมันแน่นปล่อยน้ำหูน้ำตาไหลจนเปียกเสื้อมัน
ผมสะอื้นแบบนั้นอยู่นาน มันเหมือนฝัน มันคล้ายกับไม่ใช่เรื่องจริง แต่มันเกิดขึ้นแล้ว มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ ความทุกข์ทรมานตลอดสี่ปีสูญสลายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น
ผมทุกข์ก็เพราะมัน
ผมสุขก็เพราะมัน
ทุกอย่างเพราะมัน....เพราะผมรักมัน
“ จ๊อบ”
“ ว่าไงครับ” มันยิ้มล้อๆผมก่อนจะล้วงผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาให้ “ ตกลงว่าไงเด็กขี้แง”
“ อื้ม”
“ เป็นแฟนจ๊อบนะ”
“ ตกลง”
ผมหัวเราะก่อนจะรัดผมแน่นขึ้นแล้วโยกตัวไปมา “ หึ นึกว่าจะแป๊กซะแล้ว” มันพูดขำๆแล้วแอบกดจมูกใส่แก้มผมเต็มๆ
“ นี่”
ผมปาดน้ำตาเสร็จแล้วฟาดมือใส่อกมันก่อนจะกุมแก้มตัวเองไว้
“ อะไร” มันยักไหล่
“ อะไรหล่ะ”
หึ ...ฟอด...
“ ชื่นใจ”
ผมกุมแก้มหน้าแดงก่ำก่อนจะวิ่งไล่ตีมันซึ่งแสดงความหน้าด้านด้วยการหอมแก้มผมต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ ถึงจะไม่ค่อยมีคนสนใจเท่าไหร่เพราะเสียงเพลง เสียงผู้คนขวักไขว่แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าไม่มีใครเห็นโดยเฉพาะเพื่อนสนิทของมันสองคนที่เดินมาตามมันพอดีถึงกับตาโต
“ จ๊อบแม่ง ลามก”
ผมยืนเอ๋อทำอะไรไม่ถูกยิ่งทั้งเต็ปและแฮมมาจากไหนไม่รู้ยืนยิ้มล้อผมกับมันอยู่ด้านหลัง เท่านั้นไม่พอสองคนนั้นยังแสดงบทบาทสมมุติเล่นเป็นผมกับไอ้จ๊อบโดยแสดงท่าทางโอบกอดพร้อมกับกระซิบและแกล้งทำนัยน์ตาหยาดเยิ้มใส่กันจนผมอายแทบแทรกแผ่นดินหนี แต่ที่ฮาจนสุดคือไอ้เต็ปมันแอบเนียนโอบไหล่และงับติ่งหูแฮมจนรูมเมทผมเขินหน้าแดงวิ่งไล่เตะมันไป
ผมยืนหัวเราะจนไหล่สั่นแต่รู้สึกได้ว่ามีมือคู่หนึ่งเนียนโอบไหล่อยู่ ผมเลยชกไปที่อกมันไม่จริงจังทีนึงอย่างเขินๆก่อนจะวิ่งกลับไปที่ซุ้มของคณะ ทันได้ยินเสียงหัวเราะของมันดังไล่ตามหลังมา
**** หมอนขาดป่ะ ถามจริง 555++

หวังว่าคงตีตั๋วไปฟินแลนด์กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฮ่าๆๆๆ
เอาไปครึ่งนึงก่อนเนอะ พาร์ทหลังเดี๋ยวไปเที่ยวงานลอยกระทงพร้อมพี่เบียร์เนอะ
เจอกันตอนหน้านะจ๊ะ จุ๊บๆ
