เกือบห้าชั่วโมงที่ขับรถโดยไม่ได้แวะที่ไหนนอกจากแวะปั้มแค่ครั้งเดียวกลางทาง สุดท้ายพวกเรามาถึงโรงพยาบาลประจำจังหวัดบ้านผมในเวลาเกือบสามทุ่ม แค่เห็นหลังคาโรงพยาบาลผมก็ดีใจจนลิงโลดแทบอยากจะกระโจนไปหาบุคคลที่รักในทันที ผมแอบเห็นมันอมยิ้มแล้วได้แต่นึกเข่นเคี้ยว
ผมโกรธมัน
โกรธมาก
ตอนที่แวะปั้มมันบังคับผมให้กินข้าวให้หมดจาน มันไม่ใช่แค่จานข้างปกติแต่เป็นจานใหญ่มาก มันจงใจสั่งกับข้าวมาเยอะๆแล้วบังคับให้ผมทานจนหมด ถ้าไม่หมดไม่มีทางที่ล้อมันจะหมุนมาถึงจุดหมาย ผมกินจนแทบอ้วกน้ำตาปริ่มจะขาดใจพอเห็นไม่ไหวนั่นแหละมันถึงยอมให้หยุดได้
ไอ้จอมบงการ
พอรถจอดสนิทผมจึงรีบปลดเบล์ทก่อนจะเดินลงทันทีโดยที่ไม่คิดจะรอมันด้วยซ้ำ ผมเดินดุ่มๆไปขณะที่สายตาก็สอดส่ายมองชื่ออาคารที่พักผู้ป่วยตึกพิเศษ เพราะก่อนหน้านี้ผมโทรศัพท์คุยกับมารดาและบอกกล่าวกับท่านแล้วว่าจะเดินทางมาคืนนี้ ซึ่งตอนแรกมารดาไม่ค่อยเห็นด้วยแต่เพราะค้านผมไม่ไหวและรู้ดีว่าถ้ายิ่งห้ามยิ่งทำให้ผมห่วงยายมากยิ่งขึ้น และทั้งนี้มีมันขับรถมาให้ด้วยมารดาเลยวางใจ
ผมเดินไปตามพื้นสีขาวของหินอ่อนจนถึงหมายเลขห้องที่มารดาบอกไว้ ยังไม่ทันที่จะเคาะประตูห้องพักบานประตูก็เปิดออกมาโดยมีมารดา น้าสาว และบิดามารดาของไอ้จ๊อบ ผมรีบยกมือไหว้บุคคลเหล่านั้นทันทีก่อนจะตรงเข้าสวมกอดมารดาน้ำตาปริ่ม
“ มาถึงกันนานรึไงเนี่ย” คุณนายสารภีแม่ผมถามน้ำเสียงเต็มไปด้วยความห่วงใยเผื่อแผ่ไปถึงมันซึ่งเพิ่งเดินมาสมทบ แล้วตรงเข้าไปสวมดกอดบิดามารดาตัวเอง
“ เพิ่งมาถึงครับ”
“ แล้วยาย..” ผมชะโงกตัวเข้าไปในห้องพัก มารดาจึงค่อยดันไหล่ผมออกแล้วโอบบ่าไว้ น้าสาวของผมก็ทำเช่นเดียวกัน
“ ไม่เป็นไรแล้ว ดีว่าวัชกับนีผ่านไปที่บ้านพอดีเลยรีบพาส่งโรงพยาบาลทัน”
คุณนายสารภีพยักเพยิบไปทางบิดามารดาของมันซึ่งคือ
นายแพทย์ธวัชและแพทย์หญิงนลินี ทั้งคู่ยังอยู่ในชุดกาวน์สีขาวสงสัยคงจะเข้าเวรทั้งคู่ ผมมองบุคคลทั้งสองด้วยความรู้สึกตื้นตันก่อนจะสาวเท้าเข้าไปใกล้แล้วประนมมือไหว้ทั้งสองคนอีกครั้ง
“ ขอบคุณมากครับ”
“ ไม่เป็นไรจ๊ะ” แพทย์หญิงนลินีหรือ “แม่นี” ที่ผมเรียกติดปากมาตั้งแต่เด็กอ้าแขนโอบกอดผมเอาไว้ ส่วนนายแพทย์ธวัชก็ลูบศีรษะผมเบาๆ
“ ไม่ต้องห่วงนะ...” พ่อมันยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “...ตอนนี้ยายเราปลอดภัยแล้ว กระดูกไม่ร้าวไม่มีแตกหัก จะมีก็แค่รอยฟกช้ำกับความรู้สึกขัดๆที่สะโพกสักหน่อย พักสักวันก็กลับบ้านได้แล้ว นี่พ่อให้ยานอนหลับไปยายจะได้พักผ่อน”
“ ครับ”
พอได้ยินจากปากแพทย์เจ้าของไข้เองแท้ๆ ทำให้ความรู้สึกอึดอัดมาตลอดหลายชั่วโมงเริ่มเบาบางลงไป
“ เพิ่งมาถึงคงจะเหนื่อยกันมากสินะ”
“ ก็นิดหน่อยครับ”
ผมลอบสบตากับมัน จริงๆคนที่เหนื่อยคงมีแต่มันเพราะมันขับรถคนเดียวมาตลอดหลายชั่วโมงโดยที่ผมเพียงแค่นั่งเฉยๆและมีบางครั้งหลับด้วย
“ จริงๆไม่น่ารีบมาคืนนี้เลยเพิ่งเลิกเรียนกันใช่มั้ยคงเหนื่อยกันแย่เลยนะ” น้าสาวลูบเนื้อลูบตัวผมด้วยความเป็นห่วง
“ ไม่เป็นไรหรอกครับ เต้ยอยากรีบมาหายาย”
“ กลับบ้านครั้งนี้ก็ดีเหมือนกัน เต้ยจะได้มาทำบุญวันเกิดที่บ้าน” มารดาผมยิ้มเชิงหยอกล้อเพราะอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดผมแล้ว บรรยากาศดูเบาสบายขึ้นสีหน้าทุกคนดูโล่งอกกับอาการของยาย
“ ใช่สา เพราะนีก็ได้อานิสงค์ด้วย...” แพทย์หญิงนลินีตวัดสายตามองลูกชายตัวเอง “...ลูกชายโผล่มาให้เห็นหน้าสักที”
“ โธ่แม่”
มันครวญครางก่อนจะทำเนียนไปโอบมารดาอย่างอ้อนๆ
“ ไม่ต้องมาอ้อนเลยพ่อลูกชาย นานๆถึงจะกลับบ้านที ดีนะที่ยังโทรหาแม่บ้าง ไม่งั้นแม่คงลืมไปแล้วว่ามีลูกกับเขาเหมือนกัน”
“ คุณก็พูดเกินไปนี...” พ่อมันพูดยิ้มๆ ไอ้จ๊อบเลยยิ้มกว้างเหมือนได้พวก “...เรามีลูกชายกับเขาด้วยรึไงกัน”
“ อ้าวพ่อ”
ไอ้จ๊อบหน้ามุ่ย แต่ท่าทางมันเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนไม่เว้นแม้แต่แม่ผมกับน้าสาวซึ่งเอ็นดูมันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
“ พอๆ มากันเหนื่อยๆกลับบ้านไปอาบน้ำพักผ่อนให้สบายตัวดีกว่า”
“ แต่...” ผมกำลังจะค้านแต่มารดาทำหน้าดุใส่
“ เราหน่ะกลับบ้านไปพักเถอะ เดี๋ยวแม่จะเฝ้ายายเอง”
“ แต่ว่า..”
“ ฝากน้าพรกลับไปด้วย พรุ่งนี้ให้น้าพรกับเรามาเปลี่ยนแม่”
“ นั่นสิ” แม่นีพยักหน้าเห็นด้วย “...เต้ยมาเหนื่อยๆ กลับไปพักก่อนเถอะลูก พรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยมยาย เข้าไปตอนนี้ท่านก็หลับอยู่ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก”
“ ครับ” สุดท้ายผมต้องยอมจำนนกับเหตุผลของพวกผู้ใหญ่
“ เดี๋ยวนะ..” แม่นีทำหน้าตื่นเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ก่อนจะหันไปทางลูกชายตัวเอง “...จ๊อบไม่ได้บอกแม่ล่วงหน้าว่าจะมา แม่เลยไม่ได้ทำความสะอาดห้องลูกให้หน่ะสิ เอาไงดีทีนี้”
“ ไม่เป็นไรแม่ จ็อบนอนห้องรับแขกข้างล่างก็ได้” มันตอบท่าทางสบายๆ
“ ไปนอนห้องพ่อกับแม่ก็ได้ วันนี้พ่อกับแม่แกเข้าเวรทั้งคู่” พ่อมันบอก แต่สีหน้าแม่นียังคงแสดงว่าเป็นห่วงลูกชายตัวเองอย่างชัดเจน กลับมาเหนื่อยๆพอกลับบ้านไปดันไม่มีใครดูแล คุณนายสารภีมองท่าทางแบบนั้นออกก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ ไม่เป็นไรหรอกนี ให้จ๊อบไปนอนที่บ้านกับเต้ยแล้วกัน”
แม่ผมกับแม่มันเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียน ทั้งคู่สนิทสนมกันพอสมควรจึงเอ่ยเรียกชื่อเล่นกันเป็นประจำจนถึงรุ่นลูกที่เรียกอีกฝ่ายเป็นพ่อเป็นแม่ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
“ เกรงใจหน่ะสิ”
“ เกรงใจอะไรกันนี ทีจ็อบยังขับรถพาเต้ยมาถึงนี่เลย”
“ เอางั้นเหรอ”
“ อืม”
สุดท้ายมันก็ขับรถมาส่งที่บ้านโดยมีน้าพรกลับมาด้วย และคืนนี้มันก็มานอนค้างที่บ้านผมเป็นครั้งแรกในรอบสี่เดือน ผมถอนหายใจนึกเกร็งแปลกๆ จะว่าเราไม่เคยนอนด้วยกันก็ไม่ใช่ เพราะเราสนิทกันมาก พ่อแม่ก็สนิทชิดเชื้อกัน ดังนั้นเรื่องค้างคืนบ้านแต่ละฝ่ายจึงเป็นเรื่องปกติมาก
แต่
ตั้งแต่ผมสารภาพรักกับมันตั้งแต่ครั้งโน้นระยะห่างระหว่างเราก็เริ่มขยายขึ้น ดังนั้นไอ้จะค้างอ้างแรมด้วยกันจึงดูเป็นเรื่องที่ขัดเขินอยู่ไม่น้อย คิดไปก็เท่านั้นผมนึกปลง หลังจากมาถึงบ้านเรือนไทยของผม น้าสาวก็ใจดีลงมือทำกับข้าวให้ทานสองสามอย่างแต่รสชาติบอกเลยว่าอร่อยจนแม้แต่มันก็เติมข้าวตั้งสองรอบ พอกินข้าวเสร็จน้าสาวก็ขอตัวไปพักผ่อนเพื่อจะได้เตรียมตัวตื่นเช้ามาทำอาหารไปฝากคนที่โรงพยาบาล เวลานี้จึงเหลือแค่พวกเราซึ่งช่วยกันล้างจานเสร็จแล้วก็เดินตามกันขึ้นไปยังห้องผม บรรยากาศระหว่างเรายังเงียบเช่นเดิมไม่มีแม้แต่บทสนทนา
“ อาบก่อนเลย”
ผมยื่นผ้าเช็ดตัวและชุดนอนให้มันโดยไม่ต้องกังวลเรื่องไซส์เพราะสัดส่วนผมกับมันไม่ต่างกันมากนัก มันรับของในมือไปก่อนจะเบี่ยงหน้าไปยังห้องน้ำ
ผมรู้ว่ามันอยากจะคุยกับผม
แต่ผมยังไม่พร้อม
มันหลับแล้วตอนที่ผมออกมาจากห้องน้ำ มันซึ่งอาบน้ำเสร็จก่อนนานแล้วก็นอนแผ่หลาเต็มที่นอน ท่าทางมันคงเหนื่อยล้าน่าดูเพราะขับรถคนเดียวมาตลอดเกือบห้าชั่วโมง ผมกะว่าจะปลุกมันนอนดีๆแต่เห็นท่าทางมันแล้วจึงเลิกความคิดนั้น สุดท้ายผมทรุดตัวลงนั่งพิจารณาใบหน้าคมคาย ดวงตาปิดสนิท ลมหายใจสม่ำเสมอ
ผมมองใบหน้าของมัน
ใบหน้านี้ไงที่ผู้หญิงต่างหลงใหลได้ปลื้มกันนัก
ใบหน้านี้ไงที่ล่อลวงหัวใจผู้หญิงมานักต่อนักแล้ว
ใบหน้านี้ไงที่ผมหลงละเมอมาจนถึงบัดนี้
ผมไม่รู้ว่าตัวเองมีสีหน้ายังไงตอนที่พิจารณาใบหน้ามันอยู่แบบนี้ ผมสะดุ้งเมื่อดวงตาที่คิดว่าปิดสนิทขยับยุกยิกก่อนจะค่อยๆขยับเปิดเปลือกตาขึ้นมา มันรวดเร็วมากจนผมเบือนหน้าหลบไม่ทัน ดังนั้นดวงตาเราจึงประสานกันนิ่ง
ผมเตรียมผละลุกหนีแต่ติดว่ามันคว้าข้อมือผมเอาไว้ มันออกแรงนิดเดียวผมก็หลุดเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนมันแล้ว
“ ปล่อย”
มันไม่ตอบและไม่ปล่อยด้วย
ผมขยับตัวยุกยิกแต่มันกลับรัดแน่นขึ้น ริมฝีปากมันวนเวียนจูบที่หัวไหล่และซอกคอผมเบาๆ
“ เต้ย”
“ ปล่อย”
Rrrrrrrr
มันหัวเสียไม่น้อยตอนที่กำลังจะคุยกับผมแล้วมีเสียงรบกวนจากโทรศัพท์ของมัน ผมรีบสะบัดตัวหนีตอนที่ได้ยินเสียงผู้หญิงจากปลายสายของมัน มันผละออกไปรับโทรศัพท์ที่ริมหน้าต่าง ผมจึงม้วนตัวเองเข้าไปในผ้าห่มเพื่อเป็นการตัดโอกาสไม่ให้มันเข้ามาใกล้ได้
มันส่งเสียงอือออกับปลายสายขณะที่เหลือบตามองผม แววตาคู่นั้นกำลังเว้าวอนผมอยู่แต่ผมทำได้แค่หลับตานิ่ง
ผ่านไปสักพักนึงผมนอนนิ่งอยู่บนเตียง ผมไม่รู้หรอกว่ามันวางสายแล้วมองผมนิ่งๆ มันถอนหายใจก่อนจะหยิบหมอนใบหนึ่งบนเตียงติดมือมาแล้วทรุดตัวลงนอนที่พื้นข้างๆเตียง ผมรับรู้ว่ามันขยับตัวสักพักก่อนจะได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอแสดงว่าอีกฝ่ายหลับแล้ว ผมผละออกจากก้อนผ้าห่มเอี้ยวมองมันจากบนเตียง
น้อยใจ
เป็นความรู้สึกผมตอนนี้
ผมทรุดตัวลงนอนตะแคงข้างกอดหมอนข้างแน่นแล้วพยายามกลั้นเสียงสะอื้น แต่ยิ่งกลั้นเอาไว้น้ำตายิ่งไหลพราก ช่างมันถ้าจะไหลก็ปล่อยให้มันไหลไป แต่อย่าให้มีเสียงออกมาเถอะเพราะผมไม่อยากให้มันได้ยิน ไม่อยากให้มันรับรู้ว่ามันมีอิทธิพลมากแค่ไหนกับหัวใจของผม
“...ชูว์...”
ผมสะดุ้ง
ไม่รู้ว่ามันเคลื่อนกายเข้ามาใกล้เมื่อไหร่ มันสอดตัวเข้าในผ้าห่มผืนเดียวกับผมแล้วลูบหลังให้อย่างแผ่วเบา ผมยิ่งสะอื้นหนัก มันจึงตวัดตัวผมพลิกกลับไปหามันพร้อมกับสอดมือเข้ามารั้งเอวผมไว้ ใบหน้าผมเลยซุกอยู่กับซอกคอของมัน
“ ปะ ปล่อย ฮึก”
ผมขยับตัวหนีน้ำเสียงในลำคอแหบห้าวเพราะเสียงสะอื้น
“ ชูว์ ฟังก่อนนะ..” น้ำเสียงมันนุ่มนวลเหมือนน้ำเย็นที่ชโลม “...ฟังกูก่อนได้มั้ย”
“......”
“ เรื่องผู้หญิงนั่น”
“ ฮึก ไม่อยากฟัง..” ผมส่ายหน้ารัวๆอยู่กับอกมัน มันถอนหายใจแต่เพิ่มแรงรัดผมเสียแน่นคล้ายกับจะปลอบประโลม
“ ไม่ฟัง”
“ ครับ ไม่ฟังก็ไม่ฟัง” น้ำเสียงมันยังนุ่มนวลเช่นเดิม มือหนายังลูบไล้แผ่นหลังผมไม่หยุด
“ ในเมื่อไม่ฟัง ก็อย่าคิดไปเองได้มั้ย” ผมนิ่งเงียบ
“ กูไม่อยากเห็นมึงร้องไห้..” มันเกลี่ยรอบดวงตาผมเบาๆ “...รู้มั้ยว่าน้ำตาของมึงทำเอากูแทบบ้า”
“ อย่าร้องไห้ได้มั้ย”
“....” เราประสานตากันในความมืดก่อนที่มันจะโน้มใบหน้ามาจรดริมฝีปากที่หน้าผาก
“ ขอโทษครับ กูขอโทษที่ทำให้มึงร้องไห้” “ กูไม่อยากเห็นน้ำตามึงเลย โดยเฉพาะน้ำตาที่หลั่งโดยมีสาเหตุมาจากกู กูคงแย่มากใช่มั้ยที่ทำมึงร้องไห้บ่อยๆแบบนี้ อย่าร้องไห้เลยนะเต้ย อย่าร้องเลยนะคนดีของจ๊อบ”*** มาแล้วๆๆๆ แหะๆรู้สึกว่านิยายตัวเองกลายเป็นนิยายรายสัปดาห์(หลายๆสัปดาห์ถึงอัพ
)
กร้ากๆๆๆๆ หัวเราะไปก็หลบตรีนไปด้วย คริคริ ยังไงก็ขออภัยที่หายหัวไปนานนะครัช
กลับไปครั้งนี้มาไม่รู้หวานขึ้นรึเปล่า แต่ยังไงเรายังไม่ทิ้งคอนเซ็ปต์รักแบบหน่วงๆ
มีใครรู้สึกรำน้องเต้ยมั้ยตอนนี้ 5555 จริงๆมันเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์นะ ความรักที่มีอดีตมันย่อมมีความระแวง
และหวาดกลัวกันบ้าง แต่เชื่อเถอะว่า "ความรักที่แท้จริง" จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง อ้วกกกกกกกก
เจอกันตอนหน้านะจ๊ะ คาดว่าอีกไม่นานหรอก หึหึ เพราะใกล้จบแล้วววววว
สุดท้ายขอหยอดนิสนึงว่า " คิดถึงนักอ่านทุกท่านจ้า" เลียเบาๆ